บ่วงรัก ตอนที่ 1
เช้าวันนั้น เสียงเพลงคลาสสิคของโมสาร์ท ท่วงทำนองหวานนุ่มนวลและเนิบช้า ฟังดูมีรสนิยมสูง ดังแว่วขึ้นที่ถนนหน้าบ้านธานินทร์ พร้อมๆ กับรถตู้คันหนึ่งแล่นมาชะลอที่ประตูรั้ว สักครู่หนึ่ง ประตูรั้วลวดลายวิจิตรเปิดออก ให้รถตู้คันนั้นแล่นเข้าไปภายใน เผยให้เห็นคฤหาสน์ “เลิศชัยวัฒน์” อันใหญ่โต โอฬาร และตระการตา
รถตู้คันดังกล่าวแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าคฤหาสน์ ประตูรถเปิดออก ชายหนุ่ม 3 คน ก้าวลงจากรถ ในมือแต่ละคนมีกระเป๋าสัมภาระเป็นโลหะ และสิ่งของอีกหลายอย่างลงมาด้วย เรืองโรจน์ ผู้ช่วยเลขาของธานินทร์ และหน่อย สาวใช้ของบ้านเลิศชัยวัฒน์ พากันมาที่รถ
“เชิญครับ ทางนี้เลย” เรืองโรจน์เชื้อเชิญ พร้อมกับหันไปสั่งหน่อย “หน่อย เดี๋ยวไปเรียนคุณผู้หญิงนะ ว่าช่างภาพมากันแล้ว แล้วก็เอาน้ำมาให้แขกด้วย”
หน่อยกุลีกุจอ “ค่ะ คุณเรืองโรจน์” วิ่งเข้าบ้านไป
เรืองโรจน์หันมาหาบรรดาช่างภาพ “ทางนี้ครับ” ก่อนจะเดินนำไปทางประตูหลังบ้าน
ช่างภาพตามเรืองโรจน์ไป
ไม่นานนักช่างภาพ และทีมงาน พากันติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ อย่างคล่องแคล่ว เยี่ยงมืออาชีพ
อังคณา หญิงวัยกลางคนแต่ยังคงสวยสง่า สมฐานะคุณผู้หญิงของบ้าน แต่งตัวสวยเฉิดฉาย เดินมาตามทางเดิน ลงบันไดมาที่โถงชั้นล่าง โดยมีแหวว สาวใช้ เดินประคองขนมิงค์ตามหลังมา
เสียงอังคณาแหว “ถือดีๆ นะแหวว...นี่มันแพงนะ จะบอกให้”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
อังคณาดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วนึกได้ “แล้วคุณผู้ชายล่ะ”
“ตะกี๊เห็นอยู่ในครัวค่ะ” แหววว่า
“ในครัว” อังคณาขมวดคิ้ว นิ่วหน้าทันที
ธานินทร์ ชายวัยห้าสิบเศษ กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องปั่นผลไม้ พร้อมกับผลไม้และผักจำนวนหนึ่ง ใกล้ๆ กันนั้น มี ทองดี วัยหกสิบ กับสำรวย อายุยี่สิบเศษ ๆ แม่ครัวและลูกมือ ยืนอยู่ด้วย
“สับปะรดนี่ใส่เยอะๆ หน่อย ฉันชอบ” ธานินทร์หยิบสับปะรด ใส่เครื่องปั่น 3-4 ชิ้น
ระหว่างนั้นอังคณาเดินเข้ามา หน้าตาหงุดหงิด
“เข้ามาทำอะไรในนี้น่ะ คุณธานินทร์”
ธานินทร์เงยหน้ามามองแวบหนึ่ง “ป้าทองแกปรุงรสน้ำผักไม่ถูกปากผมซักที เลยต้องมาสาธิตให้ดู”
อังคณาบ่น “ก็มันน้ำผัก จะให้ถูกปากอะไรกันนักหนาล่ะคะ หมอเขาสั่งให้กินเพื่อรักษาโรคหัวใจของคุณ ไม่ใช่เพื่อความอร่อย”
ธานินทร์ท้วง “แต่มันก็ทำให้อร่อยได้”
อังคณาตัดบท “ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ช่างภาพเขามากันแล้ว” หันไปถามป้าทองดี “แล้วผู้ช่วยคนใหม่นี่ทำไม่เป็นเหรอ”
สำรวยหลบตา ก้มหน้างุด “ทำไม่เป็นค่ะ”
อังคณาส่ายหน้าเบื่อหน่าย แล้วเดินมาที่เครื่องปั่น “สับปะรดน่ะไม่ต้องใส่มาก เอาออก สับปะรดมันมีกรดเยอะ” พลางเอาส้อมจิ้มสับปะรดออกมา โยนกลับไปในจาน แล้วหันไปสั่งป้าทองดี “มะเขือเทศใส่ลงไปเยอะๆ มันมีประโยชน์ มันจะยากอะไรนักหนา”
ป้าทองดีกับสำรวยแอบมองหน้ากันงงๆ
สั่งเสร็จอังคณาก็ออกไปจากห้องครัว
ป้าทองดีเห็นใจธานินทร์ “คุณผู้ชายไปแต่งตัวก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะปรุงให้ใหม่”
ธานินทร์ส่ายหน้าอาการเบื่อหน่าย แล้วเอื้อมมือไปหยิบน้ำผักแก้วนั้นดื่มเลย ทั้งๆ ที่ไม่อร่อย
ชนกนันท์ หรือ นก ลูกสาวคนเล็กของอังคณาและธานินทร์อยู่ในชุดสวย เยื้องกรายลงมาจากชั้นบนอย่างร่าเริง นกเห็นอังคณาอยู่ที่โถงบ้าน
“คุณแม่...” ชนกนันท์ยิ้มให้อย่างประจบ และอวดอังคณา “คุณแม่ว่านกเป็นไงบ้างคะ?” หญิงสาวหมุนตัวให้แม่ดู
อังคณายิ้มกริ่ม “ลูกแม่ใส่อะไรก็น่ารัก”
“อะไรแค่น่ารักเหรอคะ นี่คอลเล็คชั่นใหม่จากฝรั่งเศสเลยนะ
อังคณาร้อง ท่าทีฉงน “เหรอ? มาแล้วเหรอ แม่ไม่ยักรู้”
“ยัยแก้วเค้าทัวร์ยุโรปอยู่ หนูเลยสั่งให้ซื้อมาฝาก” ชนกนันท์บอก
“ดีจ้ะ …ถ่ายรูปลงหนังสือทั้งที เราควรใส่เสื้อผ้าให้มันพิเศษหน่อย เออ... แล้วพี่ชายลูกล่ะ”
เสียงเปียโนดังแทรกเข้ามา อังคณากับชนกนันท์หันมายิ้มให้กัน ประมาณว่ารู้แล้วว่าชนะศึกอยู่ไหน
ชนะศึกหรือชนะ ลูกชายคนโต หนุ่มหล่อวัยราว 28 ปี แต่ใบหน้าอ่อนกว่าอายุมาก นั่งอยู่หลังเปียโน กำลังเล่นเพลงที่ทั้งรวดเร็วและดุดัน บ่งบอกว่าเป็นคนใจร้อน อังคณาเดินเข้ามา ปรบมือ
“เสร็จนานแล้วเหรอลูก”
ชนะศึกหยุดเล่นเปียโน ดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรู “เสร็จตรงเวลาครับ คนอื่นพร้อมกันหรือยังล่ะ”
ชนะศึกปิดฝาเปียโนแล้วลุกออกมา อังคณามองลูกชายด้วยความภูมิใจ
“ไหนให้แม่ดูซิ” อังคณาเข้าไปพิจารณาเสื้อผ้าลูกชาย “อืม...ใช้ได้ เนคไทด์นี่สวยดีนะ แม่ชอบ”
ชนะศึกกว้างยิ้มให้แม่ พลางแบมือ “จ่ายมาเลยครับ สองหมื่นห้า ผมซื้อมาใหม่สำหรับใส่ถ่ายรูปกับคุณแม่โดยเฉพาะ”
อังคณาค้อน ยิ้มๆ “แหม ชนะ นี่มันไม่ใช่ถ่ายรูปธรรมดานะ รูปพวกนี้น่ะ เขาจะเอาไปลงหนังสือ มันจะสะท้อนภาพพจน์ของครอบครัวเราให้ทุกคนได้เห็น ถ้ามันออกมาดี ทุกคนก็จะประทับใจ และชื่นชมเรา...”
ชนะศึกต่อคำให้ “และอิจฉา”
อังคณาหยุดนิดหนึ่ง อมยิ้มอย่างภูมิใจ “ก็ด้วย”
ชนะศึกหัวเราะส่ายหน้าแล้วเดินนำแม่กับน้องสาวไป
ภาพถ่ายครอบครัวเลิศชัยวัฒน์ ทยอยออกมาให้เห็นหลายๆ รูป ขับคลอด้วยเสียงเพลงคลาสสิคดังแว่วเข้ามา และจบลงพร้อมกับภาพถ่ายภาพสุดท้าย เป็นรูปอิริยาบทสบายๆ ของครอบครัวที่เทอเรซหลังบ้าน สนามหญ้า และที่อื่น ๆ ในบ้าน อีกหลายๆ รูป
ธานินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตกับเสื้อนอกลำลองแล้ว
ขณะที่ช่างภาพเก็บอิริยาบทของแต่ละคน เดี่ยวๆ อังคณาเต้นรำอยู่ ชนะศึกถ่ายกับรถสปอร์ตคันหรูของเขา ชนกนันท์สวยเจิดอยู่ในชุดตีกอล์ฟ และตามมาด้วยชุดเทนนิส
จนมาจบที่ภาพครอบครัวในห้องรับแขกหรูหรา โดยมีฉากหลังเป็นของตกแต่งราคาแพง ทุกคนเปลี่ยนใส่ชุดที่เป็นหรู ไฮ มากขึ้น
ในขณะที่ธานินทร์กำลังซ่อมนาฬิกาอยู่ในห้องทำงานนั้น ประตูเปิดออก อังคณาเข้ามาตาม
“ยังไงคะเนี่ย เข้ามาในนี้ทำไม”
ธานินทร์เงยหน้าบอกเสียงเรียบ “ผมพอแล้ว ถ่ายไปเยอะแล้ว”
“แต่มันยังไม่เสร็จนะคะ”
“คุณจะถ่ายอะไรมากมาย หนังสือนั่นน่ะเขาไม่ได้ลงรูปครอบครัวเราทั้งเล่มหรอก ความจริงเขาใช้แค่ 5-6 รูป เองล่ะมั้ง”
“แต่เราจ้างช่างมาแล้ว ฉันก็อยากถ่ายรูปครอบครัวไว้ให้ได้มากที่สุด นี่มันนานๆ ครั้ง คุณจะมีส่วนร่วมกับครอบครัวบ้างไม่ได้หรือไง” ท้ายประโยค อังคณาเหน็บ
“ผมก็ร่วมมือกับคุณไปแล้วไง ผมเบื่อแล้ว คุณอย่าบังคับได้มั้ย”
อังคณาชักสีหน้า “คุณเบื่ออะไร”
ธานินทร์นิ่งอึ้ง ไม่อยากต่อความ ได้แต่ก้มหน้าถอนใจ
“ชั้นจะลงไปถ่ายรูปต่อ คุณจะลงไปทำหน้าที่พ่อที่ดี หรือจะจมจ่อมอยู่ในห้องนี้ต่อก็เลือกเอาเองละกัน” อังคณาเดินฉุนเฉียวไม่พอใจออกไป
ธานินทร์มองตามไปด้วยสีหน้าหดหู่ หยิบนาฬิกาขึ้นมากำไว้
“ถ้าเลือกได้...ถ้าผมเลือกได้ตั้งแต่แรกก็คงดี”
ธานินทร์เอื้อมมือลึกเข้าไป หยิบกล่องกระดาษออกมาจากตู้นาฬิกาเรือนใหญ่ พร้อมกับเปิดกล่องนั้นออก
สายตาธานินทร์เพ่งมองไปที่บริเวณหน้าอกเสื้อ มีรอยปักเป็นรูปดอกกุหลาบและด้านล่างปักไว้ว่า “รัก...พรรณี”
“เธออยู่ไหนนะ พรรณี”
ธานินทร์คร่ำครวญหวนไห้
สภาพบ้านของพรรณี เป็นบ้านที่ซุกตัวอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเกือบจะเป็นชุมชนแออัด บ้านส่วนใหญ่เป็นเรือนแถวสร้างขึ้นจากไม้ ชั้นเดียวบ้างสองชั้นบ้าง แต่บ้านของพรรณีเป็นบ้านเดี่ยวมีรั้ว แต่ก็ไม่ใช่บ้านใหญ่นัก เห็นป้ายบอกไว้ที่หน้าบ้าน “รับตัดเย็บเสื้อผ้า”
ภายในบ้าน มีเสื้อชุดลายลูกไม้สวยงามหลายตัวแขวนไว้บนราว เห็นพรรณีหญิงวัยกลางคนที่มีเค้าสวยบนใบหน้างามสมวัย กำลังเย็บจักรเสื้อตัวหนึ่งอยู่ พรรณีดูท่าทางจริงจังกับการทำงานมาก
ระหว่างที่พรรณีกำลังเย็บจักรอยู่ ผึ้ง เด็กสาวข้างบ้าน ก็ช่วยนับเสื้อเรียงแล้วมัดรวมกัน พรรณีเหลือบตามองผึ้งที่ขยันขันแข็งช่วยงาน
“เรียบร้อยจ้า...น้าณี”
พรรณียิ้มออกมาอย่างใจดี “ดีนะที่ได้ผึ้งมาช่วย ลำพังน้ากับพิณคงไม่ได้งานเยอะอย่างนี้”
“แหมน้าณีก็ พูดจาเกรงใจไปได้ หนูกับพิณเป็นเพื่อนรักกัน ใช่คนอื่นคนไกลซะที่ไหน ไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะไปช่วยใครล่ะจ๊ะ”
จังหวะนั้นป้าสำอาง เพื่อนบ้านแสนดีชะโงกหน้าเข้ามาในบ้าน ร้องทักทาย
“ไงจ้ะ แม่พรรณี เสื้อที่เอามาให้ปะน่ะ เสร็จหรือยัง?”
พรรณีหัวเราะเบาๆ “ฉันให้พิณมันทำให้อยู่ คงใกล้เสร็จแล้วละ”
สำอางค์มีสีหน้าฉงน “อ้าว ไม่ได้ทำเองเหรอ”
“งานน้าณีก็เยอะอยู่แล้วนะป้า เนี่ยต้องรีบทำพวกนี้ส่งเฮียเขา เหลือตั้งร้อยกว่าตัว จะมาว่างทำงานป้าได้ไง โธ่ จ่ายก็จ่ายนิดเดียว ทำอย่างกับเป็นลูกค้าใหญ่” ผึ้งซึ่งเป็นหลานของสำอางค์บอก
สำอางค์แหวใส่ “เอ๊ะ นังนี่ เถียงแทนคนอื่นฉอดๆ เอ็งเป็นหลานข้าหรือเป็นหลานใครกันแน่วะ”
ป้าหลานตั้งป้อมใส่กัน พรรณีรีบตัดบท “เอาหล่ะ เอาหล่ะผึ้ง กวนโมโหป้าเค้าอยู่ได้” หันมาบอกสำอางค์ “รอเดี๋ยวนะจ๊ะ” ตะโกนเรียก “พิณ เสื้อป้าสำอางค์เสร็จรึยังลูก”
เสื้อลายดอกไม้ถูกสะบัด พลิ้วไสวอยู่ พอลดเสื้อลงมาจึงเห็นหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของพิณทอง สาววัยใสดวงหน้าสวย
“เสร็จแล้วจ้า” พิณทองถือเสื้อมาส่งให้สำอางค์ “นี่จ้ะป้า ตรวจดูก่อน”
สำอางค์รับมาดู “โห...นี่เอ็งปักเป็นรูปดอกไม้ให้ด้วยเหรอเนี่ย”
พิณทองยิ้มกว้าง พลางถาม “ป้าชอบไหมจ๊ะ”
สำอางยิ้มย่อง “ชอบซี้”
“ฉันว่ามันธรรมดาไปหน่อยนะป้า หยั่งป้าเนี่ย มันน่าจะปักดอกสีทอง” ผึ้งประชด
สำอางค์เคลิ้ม “อ๋อ...” นึกได้ “เฮ้ย อีผึ้ง อีปากปลาร้า ข้าเป็นป้าเอ็งนะ หนอย...อุตส่าห์เลี้ยงเอ็งมา รู้งี้เอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เล็ก ๆ ดีกว่า”
ป้าสำอางค์กับผึ้งทะเลาะ และไล่ตีกันไปจนถึงรั้วหน้าบ้าน พรรณีกับพิณอดขำสองคู่กัดนี้ไม่ได้
ทันใดนั้น น้ำเสียงทักทายเย้ยหยันของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“มีความสุขกันจังเลยนะ”
เจ้าของเสียงคือเจ๊วิไล เจ้าหนี้เงินกู้ที่เปิดประตูรั้วเข้ามา พร้อมกับลูกน้องชายฉกรรจ์ 2 คน ยืนอยู่
“จะเอายังไงกันแม่คุณ เลยไปจะอาทิตย์แล้ว ฉันรอมาตั้งนาน เมื่อไหร่จะเอาเงินมาให้ฉัน”
พิณทองขยับตัวเข้ามาหาพรรณี เห็นสีหน้าของแม่ก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่
สำอางค์แขวะ “เดี๋ยวนี้มาทวงถึงบ้านเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะมาที่นี่นักหรอก กลิ่นมันไม่ดี แต่ฉันรอมาหลายวันแล้วก็ไม่เห็นมีวี่แวว ว่าไงนังพรรณี” วิไลแหวใส่
“พอดีเดือนนี้ฉันจำเป็นจริงๆ” พรรณีบอก
“อะไร จำเป็นอะไร เราตกลงกันไว้แล้วว่าทุกวันที่ 2 ของเดือน เธอจะต้องเอาเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไปส่งให้ฉัน จะบิดพลิ้วไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
พรรณีหน้าเสีย “ฉันรู้จ้ะ แต่…”
วิไลสวนคำออกมา “ไม่มีแต่ ตกลงจะจ่ายฉันไหม”
“ป้าจ๊ะ วันนี้แม่ยังไม่มี ขอเวลาอีก 2-3 วัน ไม่ได้เหรอจ๊ะ” พิณทองร้องขอ
เจ๊วิไลไม่สน เสียงดัง “ไม่ได้” หันไปสั่งลูกน้อง “ไอ้หนุ่ม ไอ้รัน ไปดูซิ ในบ้านนี้ มีอะไรเอาไปขัดดอกได้บ้าง”
“ได้เลยเจ๊”
แล้วชายฉกรรจ์ทั้งสองเดินไปทั่วบ้าน พวกผู้หญิงในบ้านต่างมองตามอย่างตื่นกลัว
หนุ่มเข้าไปในห้องครัว
“ป้าจ๊ะ บ้านนี้ไม่มีของมีค่าหรอก ขอเวลาเราหน่อยเถอะ” พิณทองอ้อนวอน
“นั่นซี มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” สำอางค์ว่า
เจ๊วิไลแหวใส่ “ใจร้ายเหรอ มันเป็นหนี้ฉันอยู่แสนนึง ถ้าไม่ทำแบบนี้ มันก็ได้ใจหมด แกเองก็อย่าแส่ดีกว่า ไม่งั้นฉันจะเรียกเงินแกคืนทั้งต้นทั้งดอกให้หมด”
สำอางค์จ๋อยไป
หนุ่มออกมาพร้อมกับหม้อหลายใบ
“มีแต่พวกนี้เจ๊”
ระหว่างนั้นลูกน้องวิไลคนหนึ่งหิ้วทีวี 14 นิ้ว รุ่นเก่า ๆ มาให้ดู “ทีวีเครื่องนี้พอไหมเจ๊”
“พวกมึงบ้าเหรอ ของแบบนั้นมีราคาอะไร” วิไลหงุดหงิด หันไปเห็นจักร จึงพูดสั่ง “เอานี่ ถอดจักรมันไป”
พรรณีเห็นว่าวิไลมองมาที่จักร รีบเข้าไปขวางอย่างหวงแหน
“ไม่ได้นะ เอาไปไม่ได้”
“อย่านะ อย่าเอาจักรไป”
พิณทองเข้ามาแย่งจักรจากเหล่าชายฉกรรจ์ แต่ชายเหล่านั้นเข้ามายื้อแย่งจักรไปจนได้
“ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ อย่าหวังเลยว่าจะได้จักรคืนไป”
วิไล และเหล่าลูกน้องออกไป
“แม่เค้าเอาจักรเราไปแล้ว”
พิณทองกับพรรณีกอดกันร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่นใจ
บ่วงรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ในเวลาเดียวกัน ยินเสียงนกหวีดดังปี๊ดขึ้นที่ บริเวณสระว่ายน้ำของสปอร์ตคลับ ส่วนในสระ ท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยงๆ ชายหนุ่มสองคนออกสตาร์ทจากขอบสระ ว่ายน้ำแข่งกันอย่างดุเดือด
เทรนเนอร์หนุ่มอีก 2 คนเดินตามอยู่บนขอบสระ ส่งเสียงเชียร์อยู่ไม่ขาดปากมาถึงขอบสระอีกฝั่ง ชายหนุ่มผิวเข้มเข้ามาแตะขอบสระก่อน แล้วยืดตัวสะบัดหัว น้ำกระเซ็น กระจายไป จะเห็นว่าเป็นเพชรแท้นั่นเอง เพชรแท้ขึ้นมาจากสระ ยิ้มอย่างผู้มีชัย
ที่ริมสระ เพชรแท้กับสมภพ ชายหนุ่มคนที่แข่งกับเพชรแท้เมื่อครู่นุ่งผ้าเช็ดตัวเรียบร้อย สมภพกำลังต่อว่าเพื่อน
“ไอ้พงษ์ ไหนมึงบอกว่าเมื่อคืนไอ้เพชรมันอยู่ดึกไงวะ”
พงษ์ยิ้มร่า “ก็จริงนี่หว่า เพชรมันอยู่ดึกจริงๆ”
สมภพไม่เชื่อนัก “ดึกบ้าอะไรวะ ทำไมมันฟิตอย่างเงี่ย”
เพชรแท้ยักคิ้ว ทำหน้าเป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้ คนมันฟิต แล้วเดินไป เพื่อนๆ เดินตาม เพชรแท้แบมือทวงเงินสมภพ
“เอามา สามร้อย”
สมภพส่งเงินให้ ปากด่าไปด้วย “เอาไป ไม่รู้กูจะโง่แข่งกับมึงทำไม แข่งกันกี่ครั้งกี่ครั้งกูไม่เคยชนะมึงเลย” เสร็จแล้วหันไปด่าพงษ์ “กูน่าจะเอะใจ ทำไมมึงไม่ลงแข่งเอง”
เพชรแท้หัวเราะขำ “เอาน่า ถือว่าช่วยผ่อนค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ก็แล้วกัน”
สมภพเย้า “นี่ผ่อนรถเก๋งได้เลยนะ”
เพชรแท้หัวเราะ แล้วลุกไปล้างตัว
ไม่นานนักเพชรแท้อาบน้ำเสร็จ เสียงมือถือดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับ
“ฮัลโหล ... อะไรนะ” เพชรแท้หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ที่ซอยทางเข้าบ้านของชุมชน รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านพิณทอง แล้วชายหนุ่มที่ขับมอเตอร์ไซค์ก็ถอดหมวกกันน็อคออก ซึ่งไม่ใช่ใครเป็นเพชรแท้
เพชรแท้ฮึดฮัด เดินตึงตังเข้ามาในบ้าน หน้าตาโมโหสุดๆ
“ไหน มันอยู่ไหน”
พิณทองกับพรรณี กำลังเก็บข้าวของกันอยู่ รีบวิ่งเข้ามาหา พรรณีกอดแขนเพชรแท้ปรามและปลอบลูกชายที่เดือดดาลสุดขีด
“เค้าไปกันหมดแล้ว... เพชร ใจเย็นๆ”
เพชรแท้หันไปมองที่บริเวณที่จักรเคยตั้งอยู่เห็นร่องรอยโดนรื้อ “เลวจริงๆ มันจะเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มหันหลังจะกลับออกไป
พรรณีดึงตัวเพชรแท้ไว้ “จะไปไหนเพชร”
“ก็จะไปเอาจักรแม่คืน”
พรรณีร้องห้าม “อย่านะเพชร อย่ามีเรื่องมีราวกันเลย แม่ผิดเองล่ะที่ค้างค่าดอกเค้า”
“แต่มันเกินไปน่ะ จักรนั่นมันเครื่องมือทำมาหากินของแม่ แล้วทีนี้แม่จะทำยังไง”
พรรณีนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
เพชรแท้เห็นอาการแม่ ได้ถอนใจ “แล้วเพชรจะลองหาทางดูแล้วกัน”
“แล้วพี่เพชรจะเอาเงินจากที่ไหน ค่ารถก็ขาดส่งเค้ามา 3 งวดแล้วไม่ใช่เหรอ”
คำพูดน้องสาวทำเอาเพชรแท้หน้าเครียด ไม่มีคำตอบให้ พิณทองนิ่งคิดใคร่ครวญ
พิณทองตระเวนหางานทำในวันต่อมา เริ่มที่บริษัทห้องแถวเล็กๆ ภายในบริษัท พิณทองนั่งอยู่หน้าโต๊ะกับพนักงานคนหนึ่ง ที่กำลังสัมภาษณ์
“จบบัญชีมาเหรอ”
“ค่ะ”
“ใช้คอมพิวเตอร์ได้”
“ได้ค่ะ ได้หมดเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Windows, Excel, PowerPoint”
“แล้วใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคได้มั้ย”
คำถามนี้ พิณทองได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างหมดหวัง
เวลาผ่านไป พิณทองอยู่ที่หน้าบริษัท อีกบริษัทหนึ่ง
“น้องมีคุณสมบัติตามที่เราต้องการทุกอย่างเลยนะคะ แล้วอย่างน้องเนี่ย จะมีโอกาสก้าวหน้ามากเลย สิ้นปีอาจได้ไปดูงานต่างประเทศด้วยนะคะ ตกลงพี่รับน้องเข้าทำงานเลยคะ” พนักงานบอก
“แล้วจะได้เริ่มงานเมื่อไหร่คะ”
“พอน้องจ่ายค่าประกันปุ๊บ วันรุ่งขึ้นก็ทำงานได้เลยค่ะ” พนักงานคนนั้นว่า
พิณทองอึ้ง “ค่าประกัน”
“เงื่อนไข ข้อ 8 ไงคะ พนักงานต้องวางเงินประกันหมื่นสอง”
พิณทองถึงกับพูดไม่ออก
เวลาผ่านไปอีก พิณทองพาตัวเองมาอยู่ที่อีกบริษัทหนึ่ง เฮียเจ้าของบริษัทเดินจับมือถือแขนพิณทองอยู่
“งานของหนูก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายที่นี่ แล้วหนูต้องการเงินเดือนเท่าไรบอกเฮียเลย เฮียจ่ายไม่อั้นเลย แล้วบ้านหนูอยู่ไกลมั้ย ถ้าไกลพักซะที่นี่ มีห้องแอร์ด้วยนะ”
ภรรยาเฮียแหวใส่ “ไอ้แก่ ลื้อทำอะไร ไปๆๆ ออกไปเลย ไม่เอาแล้ว ทำอย่างงี้ได้ยังไง ไปจับมือถือแขนเค้า ออกไปเลย”
กลายเป็นว่าพิณทองโดนไล่ออกมาจากบริษัท
กลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ พิณทองอยู่ในชุดพนักงานแจกสินค้าตัวอย่าง สวยน่ารัก แต่สีหน้าเหนื่อยอ่อน เพราะแดดร้อนจัด แถมยังต้องสะพายกระเป๋าที่บรรจุสินค้าตัวอย่างเต็มกระเป๋า ผู้คนราว 6-7 คน ทยอยกันเดินผ่านหน้า พิณทองพยายามที่จะแจกของให้ แต่คนก็รับบ้าง เมินบ้าง พิณทองหมดกำลังใจ
พิณทองเดินมาเรื่อยๆ และเห็นศาลจึงแวะเข้าไป มีแม่ค้าคนเฝ้าศาลขายธูปเทียนทองดอกไม้นั่งอยู่
“พี่ขายชุดเท่าไรคะ”
“ชุดละยี่สิบจ้า”
พิณทองซื้อไม่ลง เพราะเสียดายเงิน หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปมือเปล่า วางกระเป๋าตัวอย่างสินค้าไว้ด้านข้าง แล้วพนมมือตั้งจิตอธิษฐาน
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เล็กจนโต หนูทำแต่ความดีมาตลอด หนูไม่เคยขออะไรเลย แต่ตอนนี้หนูอยากจะร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้หนูมีงานดีๆ ทำซักที หนูจะได้มีเงิน จะได้เอาไปไถ่จักรคืนให้แม่ได้ หนูไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว เมตตาหนูแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ หนูอยากได้จักรไปคืนแม่จริงๆ ช่วยหนูด้วยเถอะนะคะ”
พิณทองพนมมือหลับตาอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วยกมือไหว้จดหัวอีกครั้ง จากนั้นจึงลุกออกมา
รุ่งเช้า...ไข่เจียวฟูอยู่ในกระทะแลดูน่ากินด้วยฝีมือของพรรณีที่กำลังทอดอยู่ พรรณีตักไข่ใส่จาน พิณทองเดินเข้ามาช่วยพรรณีทำกับข้าว
“จะออกไปไหนเหรอวันนี้”
“จะไปแจกของต่อน่ะแม่”
พรรณีพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “จะไปอีกเหรอลูก ยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ ทั้งวัน”
“โอ้ย ไม่ไปได้ไงแม่ ค่าแรงวันละตั้ง 500” พิณทองยิ้มภูมิใจ “เนี่ย เงินที่ได้มา พิณจะไม่แตะเลยนะ จะเก็บไปไถ่จักรให้แม่”
“อย่าหักโหมมากนะเลยลูก เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“พิณไม่ป่วยง่าย ๆ หรอกแม่ ยังมีแรงอีกเยอะ ยังไงพิณก็ต้องรีบหาเงินไถ่จักรคืนให้แม่ให้ได้เร็วที่สุด แม่จะได้ทำงานของแม่ต่อ”
พรรณียิ้มบางๆ สงสารลูก เข้ามาลูบหัว “ไป งั้นกินข้าวกันก่อน พิณหยิบน้ำปลามาหน่อยซิลูก แม่จะซอยพริก”
พิณทองเดินไปที่ตู้กับข้าว แล้วหยิบขวดน้ำปลาออกมา ปรากฏว่าน้ำปลาในขวดหมดแล้ว
“อ้าว หมดแล้วเหรอ” ยกขวดขึ้นมาดู “แม่ น้ำปลาหมดแล้ว เดี๋ยวพิณไปซื้อขวดใหม่นะ”
พรรณีหยิบกระเป๋าเงินมา แล้วพบว่าไม่มี อึ้งไป
“ไม่เป็นไรแม่ พิณพอมี...”
พิณทองเปิดกระเป๋า ในกระเป๋ามีแต่เงินที่ได้มาใหม่ พิณทองพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ได้ ๆ เงินก้อนแรกนี่ห้ามใช้ เดี๋ยวเสียเคล็ดหมด น้ำปลาแค่ยี่สิบห้าบาทเอง พิณมีเศษตังค์อยู่ในลิ้นชักโต๊ะ
จากนั้นพิณทองเดินออกไป
พิณทองกำลังหาเศษเงินในลิ้นชักโต๊ะ ห่างออกไป พรรณียืนมองอยู่ พิณทองหาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรวบรวมเศษเหรียญบาทที่หาได้
“มีสิบบาท ความจริงพิณว่ามีมากกว่านี้ พี่เพชรน่ะ ชอบมายุ่งกับโต๊ะพิณ” พิณทองบ่นพลางทรุดตัวลงนอนกับพื้น พยายามหาดูใต้โต๊ะ
พิณทองกำลังกวาดสายตาหาเหรียญ แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ที่เหรียญห้าบาทเหรียญหนึ่ง พิณทองเอื้อมมือเข้าไปสุดแขนเพื่อจะหยิบเหรียญนั้น แล้วในที่สุดก็หยิบได้
พิณทองลุกขึ้น ดูเหรียญในมือ “ขาดอีกห้าบาท” ท่าทางยังดีใจ ไม่สิ้นหวัง
พรรณีเห็นสีหน้าลูกสาวก็ยิ่งสงสาร
“ไม่ต้องไปซื้อหรอกพิณ ไม่ใส่น้ำปลาซักวันก็ได้ กินเค็มมากไปก็ไม่ดี ไปเถอะ”
พิณทองหน้างอ “แย่จัง น้ำปลาขวดเดียวก็ซื้อให้แม่ไม่ได้”
พรรณีเข้ามาลูบหัวปลอบลูก
“ไม่เป็นไรหรอกลูก มันต้องดีขึ้นซักวันนะ ไปกินข้าวเถอะ”
ทันใดนั้น มีเสียงแตรมอเตอร์ไซค์ดังสั้นๆ 2 ครั้ง
พรรณีเอ่ยขึ้นขณะมองไปทางหน้าบ้าน “ใครมาก็ไม่รู้”
พิณทองเดินออกมาที่หน้าบ้าน เห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ และบุรุษไปรษณีย์มองมา
“รับจดหมายลงทะเบียนด้วยครับ”
พิณทองเดินไปรับจดหมาย
บุรุษไปรษณีย์ถามชื่อ “คุณพิณทอง”
“ใช่ค่ะ”
จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายลงทะเบียน บุรุษไปรษณีย์ยื่นเอกสารให้พิณทองเซ็น
พิณทองแปลกใจเพราะไม่ค่อยมีจดหมายลงทะเบียนส่งถึงเธอ แล้วรับเอกสารมาเซ็น เสร็จแล้วส่งคืนให้ บุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายให้พิณทอง เสร็จแล้วขับรถออกไป
พิณทองเอาจดหมายมาดู แล้วอ่านชื่อผู้ส่ง เป็นบริษัท เบสท์เอ็นเทอร์ไพร้ส์ จำกัด พิณทองนิ่งมองซองจดหมาย เริ่มหวั่นไหว
จากนั้นพิณทองก็ค่อยๆ ฉีกด้านหนึ่งของซอง แล้วดึงจดหมายออกมา พิณทองอ่านจดหมายนั้น สีหน้าค่อย ๆ แสดงอาการตื่นเต้นออกมา พออ่านจดหมายจบพิณทองก็รู้สึกลิงโลด ดีใจจนเก็บอาการไม่ได้
“แม่ แม่จ๋า แม่”
พิณทองร้องเรียกแม่ด้วยอาการดีใจ พรรณีรีบออกมาจากในบ้าน คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาว
“มีอะไรลูก พิณเป็นอะไร”
“พิณ พิณได้งานแล้วแม่ พิณได้งานแล้ว” พิณทองเริงร่าสุดขีด
“ว่าไงนะ”
“นี่ไงคะ” พิณทองชูจดหมายให้ดู “เขาส่งมาถึงพิณ บอกให้พิณไปรายงานตัว เขารับพิณเข้าทำงานแล้วแม่”
พิณทองดี๊ด๊าสุดๆ เข้ามากอดแม่ด้วยความดีใจ
“เดี๋ยวๆ ที่ไหนลูก บริษัทอะไร”
พิณทองยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ถอยออกมา แล้วอ่านจดหมายให้แม่ฟัง “บริษัทเบสท์เอ็นเทอร์ไพร้ส์จ้ะ” พรรณีแสดงสีหน้าฉงน ไม่รู้จัก “บริษัทใหญ่นะแม่ พนักงานตั้งหลายร้อยแน่ะ”
“แล้วเขาจะให้พิณทำอะไร”
“เขาให้พิณไปเป็นโอเปอเรเตอร์จ้ะ คอยรับโทรศัพท์ไงแม่ ดีใจที่สุดเลย”
“ดีแล้วลูก เห็นมั้ย มันไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกอย่างหรอก”
พรรณียิ้มให้พิณทอง โดยไม่รู้ว่างานที่ลูกสาวจะไปทำที่บริษัทแห่งนี้ จะนำความยุ่งยากเลวร้ายมาสู่ครอบครัวตนอีกครั้ง
บ่วงรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ป้ายหินอ่อน สลักชื่อบริษัท “BEST Enterprise” เด่นหราที่ด้านหน้าตึกสูงแห่งนั้น จากถนนทางเข้าหน้าตึก รถของชนะศึกเลี้ยว แล่นเข้ามาด้านหน้าทางเข้า
จังหวะนั้นกลุ่มนักข่าวสายเศรษฐกิจหลายคนกำลังรออยู่ พอเห็นรถชนะศึกมาก็ตื่นตัวกันใหญ่ แล้วรีบเฮกันเข้าไปหา ขณะที่รปภ. คนหนึ่งเข้ามาเปิดประตูให้ ชนะศึกเดินลงมาจากที่นั่งด้านหลัง โดยมี รปภ. อีก 2-3 คนเข้ามากันทั้งหน้าหลังทำหน้าที่บอดี้การ์ด
นักข่าวคนแรกตรงเข้ามาหาถึงตัวชนะศึก ก็ยื่นไมค์ถามทันที “ขอความเห็นเรื่องราคาหุ้นของเบสท์หน่อยค่ะ”
ชนะศึกไม่ทันได้ตอบ นักข่าวอีกคนซักต่อ “หุ้นขึ้นไม่หยุดมา 3 วันแล้ว คุณชนะศึกมีอะไรแถลงไหมครับ”
“ของดีใครก็อยากได้ไม่ใช่เหรอครับ” ชนะศึกตอบโดยไม่ได้หยุด
“อยากทราบเคล็ดลับการบริหารงานของคุณชนะศึก ที่ทำให้หุ้นของเบสท์เอ็นเทอร์ไพร้ส์เนื้อหอมขนาดนี้หน่อยค่ะ” นักข่าวคนแรกยิงคำถามต่อ
“ก็ทำงานอย่างจริงจังไงครับ ทุกคนที่นี่ทำงานอย่างจริงจัง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ที่นี่มีแต่คนที่ดีที่สุด ชื่อของเราก็บอกอยู่แล้ว เบสท์เอ็นเทอร์ไพร้ส์ ทุกคนที่เราคัดเข้ามา ล้วนแต่ดีที่สุดทั้งนั้น”
หมู่มวลนักข่าวเดินกันไป ถามกันมาจนถึงประตูทางเข้าพอดี
“ขอตัวก่อนนะครับ” ชนะศึกเดินเข้าบริษัทไป
ชนะศึกเดินเข้ามาในตึก ตรงไปที่ลิฟต์
รปภ.วอบอกกัน “คุณชนะศึกมาถึงแล้ว รอรับด้วย”
ชนะศึกเดินเข้าไปในลิฟต์
ไม่นานนัก ชนะศึกเดินไปนั่งที่โต๊ะ สุดาเลขาตามมายืนที่ด้านข้าง อ่านแฟ้มนัดหมายในมือแจ้งให้ชายหนุ่มทราบ
“บ่ายนี้คุณชนะมีประชุมกับคุณสมบูรณ์นะคะ แล้วก็ 4 โมงเย็น คุณพิชิตจะเข้ามารายงานความคืบหน้าโครงการใหม่”
จังหวะนั้นแม่บ้านถือถาดกาแฟเข้ามา ชุดกาแฟในถาดสวยงามหรูหราเตะตามาก สุดาหนีบแฟ้มไว้ใต้แขนแล้วยกกากาแฟกับถ้วยมา จะเตรียมเสิร์ฟ แต่แฟ้มที่หนีบไว้เลื่อนจนเกือบจะหล่น สุดาขยับแขน แล้วถ้วยกาแฟก็กลิ้งจากจานรองแก้วลงพื้นไป เสียงดังเพล้ง แม่บ้านกับสุดาอุทานกันเสียงหลง ชนะศึกหน้าเครียด แม่บ้านรีบออกไปเอาไม้กวาด
ชนะศึกเอ่ยขึ้น “ชุดกาแฟชุดนี้มาจากเบลเยียมนะ”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันรีบร้อนไปหน่อย”
สุดาก้มหน้างุด ท่าทีหวาดหวั่น
“ขอโทษแค่นั้นเหรอ รู้ไหม แก้วที่คุณทำแตกน่ะ ราคาเท่าไหร่”
สุดาตอบ ยังไม่กล้าเงยหน้า “ไม่ทราบค่ะ”
ชนะศึกขู่เล่นแกมกวนๆ “งั้นไว้ดูตอนเงินเดือนออกแล้วกัน โดนหักไปเท่าไหร่ก็ราคาเท่านั้นแหละ” พอเห็นสุดาหน้าจ๋อย ชายหนุ่มรูปงามก็โบกมือไล่ “คุณออกไปทำงานได้แล้ว เร่งแม่บ้านให้รีบมาทำความสะอาดด้วย”
สุดาจ๋อย “ค่ะ” แล้วเดินคอตกออกไป
ชนะศึกมองตามหลังไป แล้วส่ายหน้าอย่างไม่ได้ดั่งใจ
เช้าวันเดียวกัน ที่ถนนหน้าตึก รถมอเตอร์ไซค์ของเพชรแท้แล่นเข้ามา มีพิณทองนั่งซ้อนท้ายมาด้วย เพชรแท้ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าตึก พิณทองลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อค ส่งคืนให้ แล้วจัดผมเผ้าของตัวเอง
“เป็นไงบ้างพี่ ดูดีหรือยัง”
เพชรแท้ยิ้ม “สวยเลิศทุกอย่างเลย ยกเว้นไอ้ที่หิ้วมาด้วยน่ะ”
พิณทองยิ้มตอบ “นี่เหรอ” ยกเถาปิ่นโตใบเล็กขึ้นมา “ทำไม”
“ยังมาถามอีก มาทำงานบริษัทใหญ่โต ถือปิ่นโตข้าวมาทำงาน ไม่อายเค้าเหรอ”
“อายทำไม” สีหน้าพิณทองภูมิใจมาก “เราจนเราก็ต้องประหยัด ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
เพชรแท้พยักหน้ายิ้มๆ “อืม คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ไปเหอะ เข้างานได้แล้ว”
“นี่พี่เพชร น้องมาทำงานวันแรกนะ อวยพรหน่อยสิ”
“อืม” เพชรแท้ทำหน้าคิด ก่อนจะสัพยอกออกมา “ขอให้มีผู้จัดการหนุ่มหล่อมาหลงรักแล้วกัน”
พิณทองหน้างอ “โธ่พี่เพชร เอาจริงๆ สิ”
“ก็จริงน่ะสิ พี่กับแม่จะได้สบายไปด้วย”
“ไม่ต้องให้ใครมาชอบหรอก พิณจะขยันทำงานเลี้ยงแม่ ก็ทำให้แม่สบายได้”
“งั้นก็เท่ากับเราอวยพรตัวเองแล้ว ยังต้องการคำอวยพรของพี่อีกทำไมล่ะ”
เพชรแท้ลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
ที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น และแผนกโอเปอเรเตอร์ นันทนานั่งอยู่ มีดาว แม่บ้านของตึกยืนคุยอยู่ด้วย ในมือดาวมีไม้ปัดขนไก่ ปากก็เล่าเรื่องละครฉากเมื่อคืนอย่างเมามัน
“ทีนี้พอพอนางเอกเถียงนะพี่ พระเอกก็ตบเลย นางเอกงี้เซแซ่ด ๆๆๆๆ ล้มลงไปบนเตียง”
นันทนาต่อให้ “แล้วพระเอกก็เข้าไปปล้ำ”
ดาวชะงัก “อ้ะ ไหนว่าไม่ได้ดู”
“ฟังแค่นี้ก็เดาได้แล้วย่ะ” นันทนาทำเชิด “เพราะละครไทยซ้ำซากแบบนี้ พี่ถึงได้ดูแต่ละครเกาหลี”
ดาวประชด “แหม สลับลูก กับเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ใหม่มากเลยนะคะ”
นันทนาไม่ได้โต้รีบสะกิด “ผู้จัดการมา ทำงาน”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเดินนำพิณทองมาที่เคาน์เตอร์
“ดาว มาทำอะไรตรงนี้”
“ทำงานไงคะ นี่ค่ะ” ยกไม้ขนไก่ในมือให้ดู
ผู้จัดการหันมาพูดกับนันทนา “คุณนัน นี่น้องพิณ ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณ”
“สวัสดีค่ะ” พิณทองไหว้นันทนา
“คุณนัน แนะนำงานให้น้องเขาด้วยนะ เครื่องไม้เครื่องมือใช้ยังไงบอกกันด้วย”
“ได้ค่ะ”
เสร็จแล้วผู้จัดการหันมาหาดาว “แล้วเธอน่ะ ไปทำความสะอาดที่อื่นได้แล้ว เคาน์เตอร์เนี่ยสะอาดจนมันเงาแล้ว”
พูดเสร็จผู้จัดการก็เดินออกไป ดาวหันไปพูดกับพิณทอง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ เดี๋ยววันหลังมาคุยด้วยใหม่”
พอดาวเดินออกไปแล้ว พิณทองจึงเดินอ้อมมาหลังเคาน์เตอร์
“มา พี่จะอธิบายหน้าที่ของน้องให้ฟัง นี่เป็นชุมสายโทรศัพท์ เวลามีสายเข้าก็จะมีเสียงกริ่ง แล้วไฟตรงนี้ก็จะกระพริบ เรารับสายแล้วก็ถามเขาว่าต้องการพูดกับใคร”
นันทนาอธิบายวิธีทำงาน ให้พิณทองฟังเป็นฉากๆ
เวลาเดียวกันภายในห้องยิมที่สปอร์ตคลับ มีคนอยู่ประปราย ทั้งเทรนเนอร์และลูกค้า ยิ้ม ลูกค้าของสปอร์ตคลับแห่งนี้กับเพชรแท้ยืนอยู่หน้าชั้นวางดัมเบล โดยยิ้มถือดัมเบลที่มือซ้าย มือขวาท้าวเอว แล้วเอนตัวไปด้านซ้าย มีเพชรแท้ยืนอยู่ข้างหลัง จับไหล่ให้ตรง
“เหนื่อยไหมครับ”
ยิ้มเอาผ้าซับเหงื่อ พยักหน้า “นิดหน่อยค่ะ”
เพชรแท้อธิบายอย่างรอบรู้ “พรุ่งนี้จะตึงๆ แขนหน่อย .. งั้นซาวน่าซัก 10 นาทีนะครับ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ”
ยิ้มพยักหน้ารับยิ้มหวานให้เพชรแท้แล้วเดินออกไป
เกียรติหัวหน้าครูฝึกเดินเข้ามา สมภพกับพงษ์แยกออกไป
“เพชร มีเมมเบอร์ใหม่มา ไปดูแลให้พี่หน่อยนะ” เกียรติบอก
“ให้รอแป๊บได้ไหมพี่ ผมรอลูกค้าซาวน่าอยู่” เพชรแท้ว่า
เกียรติเร่ง “เอาน่า ไม่ต้องรอหรอก ซาวน่าเสร็จแล้วเค้าคงอยากอาบน้ำกลับบ้านแล้วล่ะ เพชรไปหน่อย เอาใจเขาดีๆ ด้วยล่ะ” ท้ายประโยคเกียรติกำชับ
“เก่าใหม่ก็ลูกค้าเหมือนกัน ทำไมผมต้องเอาใจใครเป็นพิเศษด้วย เมมเบอร์ใหม่ของพี่คนนี้มีอะไรดีนักเหรอครับ”
เกียรติไม่ได้ตอบ เป็นเสียงชนกนันท์ดังแทรกขึ้น “คงมีดีที่นามสกุลมั้ง”
เพชรแท้หันไปมอง เห็นชนกนันท์ยืนอยู่กับโสภิตา ทั้งสองหิ้วกระเป๋ากันคนละใบ
“ครูฝึกของคุณน่ะไม่จำเป็นสำหรับฉันหรอก ฉันน่ะเข้าสปอร์ตคลับมาตั้งแต่ 2 ขวบแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเคยเข้า ฉันดูแลตัวเองได้” ชนกนันท์พูดอย่างถือดี
โสภิตาพูดเล่นแกมหัวเราะ ยั่วเพชรแท้ “งั้นมาดูฉันคนเดียวก็ได้ค่ะ ฉันชอบ...”
ชนกนันท์ถลึงตาใส่โสภิตา แล้วดึงออกมา โสภิตาหัวเราะกิ๊กกั๊ก เพชรแท้ได้แต่ยืนอึ้ง มองชนกนันท์อย่างไม่พอใจ
เกียรติย้ำ “เอ้า เพชร ตามไปสิ”
เพชรแท้เกี่ยง “เค้าเพิ่งบอกว่าไม่ต้อง...”
“เอาน่า ไปเช็คดูก่อน เกิดเค้าต้องการความช่วยเหลืออะไร”
เพชรแท้มีหน้าตาหงุดหงิด จำใจพยักหน้าแล้วตามชนกนันท์กับโสภิตาไป
เพชรแท้ยืนพิงกำแพงตรงหน้าห้องล็อคเกอร์หญิง ท่าทางเบื่อๆ
ขณะที่ชนกนันท์กับโสภิตาเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังแล้ว ถือผ้าขนหนูซับเหงื่อมาคนละผืน เดินออกมาจากห้องล็อคเกอร์
เพชรแท้เดินเข้ามาหาสองสาว “เชิญครับ”
ชนกนันท์ขมวดคิ้วมองหน้าเพชรแท้อย่างเอาเรื่อง “ไม่ได้ยินหรือไงบอกว่าไม่ต้องมายุ่งน่ะ หูไม่ดีเหรอ”
เพชรแท้อึ้งเลยทันที คาดไม่ถึงว่าลูกค้าจะเล่นแรง
โสภิตาปรามนก “นี่ จะเหวี่ยงไปไหนยะ เค้ามาทำหน้าที่ ก็ปล่อยเค้าทำไปเถอะน่ะ เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง”
“คนท่าทางแบบนี้ จะทำประโยชน์อะไร” ชนกนันท์หยัน ผุดยิ้มร้าย “อ๋อ คงมีเหมือนกันแหละ” พร้อมกับโยนผ้าเช็ดเหงื่อลงพื้นมองหน้าเพชรแท้ อย่างท้าทาย
เพชรแท้ยืนกำมือแน่น ไม่นึกว่าชนกนันท์จะร้ายขนาดนี้
“เก็บมันขึ้นมา” เพชรนิ่ง “ไม่ได้ยินหรือไง ฉันบอกให้เก็บมันขึ้นมาไง”
แขกคนอื่นเดินผ่านมา เพชรแท้พยายามกลั้นความโกรธ หน้าเครียดก้มเก็บผ้าแล้วส่งคืนให้นก
ชนกนันท์รับมา โวยลั่น “ผ้าตกพื้นยังจะเอามาให้ชั้นใช้อีกเหรอ นี่มันสปอร์ตคลับภาษาอะไรกันเนี่ย” ปาใส่เพชรแท้ “ไปเปลี่ยนมาให้ฉันใหม่ แล้วเอาตามไปให้ฉันข้างบน”
ชนกนันท์ดึงแขนโสภิตาเดินออกไป ยิ้มสะใจ โสภิตาได้แต่หันมามองเพชรแท้ ยักไหล่เป็นเชิงขอโทษแล้วตามชนกนันท์ไป
เพชรแท้กำผ้าในมือแน่น มองชนกนันท์อย่างโกรธจัด
ขณะนั้นที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พิณทองรับสาย
“สวัสดีค่ะ เบสเอ็นเทอร์ไพรส์ค่ะ... ต้องการติดต่อแผนกอะไรคะ รอสักครู่นะคะ” กดโอนสาย
นันทนาถาม “เป็นไง ไม่ยากใช่ไหม”
“ค่ะ พิณทำได้แล้ว พี่นันไม่ต้องห่วงนะคะ ไปทานข้าวเถอะ เดี๋ยวพิณดูเอง”
นันทนาพยักหน้า “ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละ แล้วพี่จะรีบกลับมา”
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เดี๋ยวพิณเฝ้าเอง ไม่เป็นไร”
นันทนาพยักหน้ารับคำ หยิบกระเป๋าถือ แล้วเดินออกไปจากเคาน์เตอร์
พิณทองมองซ้ายขวาแล้วก้มลงไปแอบหยิบปิ่นโตขึ้นมา เปิดปิ่นโต
ชนะศึกกำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องทำงานตัวเอง
“เราทำธุรกิจกันมาเกือบสิบปีแล้วนะ ยูก็รู้ว่ายูไว้ใจเราได้…ร้อยยี่สิบล้านยุติธรรมที่สุดแล้ว วินวิน แฮปปี้ทุกฝ่าย”
เสียงดังปี๊บๆ เตือนว่าแบ็ตจะหมดดังขึ้น
“เออ แบ็ตเตอรี่ไอกำลังจะหมด…ร้อยถ้วนไม่ได้หรอก ไอลดให้ยูตั้งยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว…เอางี้ ถ้าแบ็ตหมดไอจะโทร.กลับไปหายูเอง อย่าเพิ่งตัดสินใจ เราต้องคุยกันอีก”
เสียงสัญญาณแบ็ตหมดดังขึ้นอีกครั้ง แล้วแบ็ตของชนะศึกก็หมด ชนะศึกเอาโทรศัพท์มาดู รู้สึกหงุดหงิด
ชนะศึกเปิดประตูห้องเดินออกมาที่หน้าห้อง
“คุณสุดา”
ปรากฏว่าที่โต๊ะเลขาหน้าห้องของชนะศึกไม่มีใครอยู่
ชนะศึกนึกได้ “ไปพักเที่ยงกันหมดแล้วซีนะ”
จากนั้นชนะศึกก็เดินไปที่โต๊ะเลขา ยกหูโทรศัพท์ขึ้น แล้วกด 0
ที่เคาน์เตอร์โอเปอเรเตอร์ เสียงโทรศัพท์ที่หน้าพิณทองดังขึ้น พร้อมกับหมายเลขของโต๊ะสุดาโชว์ที่จอ พิณทองกำลังแกะถุงกับข้าวอยู่
“สวัสดีค่ะ ต้องการติดต่อแผนกอะไรคะ”
“ผมต้องการต่อ มิสเตอร์เดวิด ซุง บริษัทเวิลด์คาร์โก้ ที่ฮ่องกง ต่อได้แล้วโอนสายไปให้ผมที่ห้องด้วย” ชนะศึกว่า
“ได้ค่ะ สักครู่นะคะ” พิณทองบอก
ชนะศึกพูดเสร็จก็วางหู แล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
พิณทองพิมพ์ชื่อมิสเตอร์เดวิด ซุง มีเบอร์โชว์ขึ้น พิณทองจัดการต่อเบอร์โทรศัพท์
พิณทองรอครู่หนึ่ง “Mr.Sung please…Your call sir, wait a minute”
เสร็จแล้วพิณทอง จึงโอนสายไปที่เบอร์โต๊ะสุดา เลขาชนะศึก และเริ่มลงมือกินข้าว
เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะสุดากรีดเสียงดังอยู่อย่างนั้น
ชนะศึกนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน รออยู่ครู่หนึ่งทนไม่ไหว หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกด 0
ชนะศึกรอสายสักครู่หนึ่ง “ยังต่อไม่ได้อีกเหรอ”
พิณทองพูดโทรศัพท์อยู่ ท่าทีงงนิดๆ “มิสเตอร์เดวิด ซุง ใช่ไหมคะ ต่อได้แล้วค่ะ โอนไปให้แล้วนี่คะ”
“โอนไปไหน แล้วทำไมผมยังไม่ได้พูด”
“ก็โอนไปตามเบอร์ที่โทร.มาไงคะ” พิณทองมองที่จอ “สายยังอยู่เลยค่ะ”
ชนะศึกเปิดประตูห้องออกมา เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะเลขายังดังอยู่ ชนะศึกรีบเดินไปที่โทรศัพท์ แต่ก่อนชนะศึกจะไปถึง เสียงโทรศัพท์ก็เงียบลง ชนะศึกยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับ
“ฮัลโหล เดวิด”
เสียงสัญญาณสายหลุดดังเข้ามาแทน ชนะศึกโกรธมาก กดวางหู แล้วกด 0 อีกครั้ง
พิณทองกำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงเค้าน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ ต้องการติดต่อแผนกอะไรคะ
“แล้วทำไมถึงโอนมาที่เบอร์นี้…ผมบอกให้โอนไปที่ห้องผม…เบอร์นี้ไม่ใช่เบอร์ห้องผม” ชนะศึกขึ้นเสียง
พิณทองย้อน “อ้าว...ก็ดิฉันไม่ทราบนิคะ ว่าเบอร์ห้องคุณเบอร์อะไร”
ชนะศึกงง “อะไรกัน ไม่รู้ได้ยังไงว่าเบอร์ผมเบอร์อะไร ไม่รู้ได้ยังไง”
“ก็ดิฉันไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร”
ชนะศึกอึ้ง ทวนคำของพิณทอง “ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร คุณไม่รู้ว่าผมเป็นใคร…” สีหน้าโกรธจัด
พิณทองพูดบอกพาซื่อ “ค่ะ ไม่รู้ค่ะ”
“แล้วอยากรู้ไหม”
“อยากรู้ค่ะ”
“รออยู่ที่นั่นแหละ คุณได้รู้แน่”
ชนะศึกวางหูโทรศัพท์
ขณะที่พิณทองกำลังจะกินข้าวต่อ ชนะศึกเพิ่งเดินออกจากลิฟต์ตรงเข้ามาที่เคาน์เตอร์ สีหน้าเคร่งเครียด
พิณทองทำฝาปิ่นโตหล่น กลิ้งออกไป พิณรีบตามไปเก็บ
ฝาปิ่นโตกลิ้งไปตามทางพิณทองมองตาค้าง วิ่งตามมา ฝาปิ่นโตมาหยุดที่เท้าชนะศึกพอดี ชนะศึกก้มลงเก็บ พิณทองมาหยุดอยู่ตรงหน้าชนะศึก
ทั้งสองสบตากัน พิณทองมองอย่างตะลึงเมื่อเห็นชนะศึก สาวน้อยยิ้มเขิน
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 1 (ต่อ) เวลา 17.00 น.
บ่วงรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตรงทางเดินในบริษัท พิณทองก้มลงเก็บฝาปิ่นโตที่อยู่ตรงหน้า บอกท่าทีอายๆ
“ของดิฉันเองค่ะ” เห็นชนะศึกยังทำหน้างง เลยอธิบายต่อ “ข้าวกลางวันน่ะค่ะ”
ชนะศึกมองพิณทอง ขำปนเอ็นดู และเดินจากไป
พิณทองพูดไม่ออกเพราะเขินมาก ได้แต่รับมาแล้วโค้งหัวขอบคุณ ชนะศึกยิ้มนิดๆ แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเลยยืนชะเง้อชะแง้มองหา พิณทองรีบวิ่งตามมายืนที่ด้านหลัง ถามอย่างกระตือรือร้น
“คุณมาหาใครเหรอคะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
ชนะศึกขมวดคิ้วทันที แล้วค่อยๆ หันมา “ไหนคุณลองพูดใหม่อีกทีซิ”
พิณทองทำหน้างง “พูดอะไรล่ะคะ”
“ลองพูดว่า” ชนะศึกคิดไปมา “ต้องการต่อเบอร์อะไร…ซิ”
พิณทองตั้งใจเต็มที่ “ต้องการต่อเบอร์อะไรคะ”
ชนะศึกบอก “อีกที”
“ต้องการต่อเบอร์อะไรคะ”
ชนะศึกมั่นใจรู้ทันที “คุณ! คุณนี่เอง” ตวาดเสียงดัง “คุณต่อโทรศัพท์ให้ผม เมื่อกี๊ใช่มั้ย”
พิณทองจำเสียงตวาดแหวของชนะศึกได้เหมือนกัน หญิงสาวอึ้ง หน้าเสีย
“คุณ!”
“รู้หรือยังว่าผมเป็นใคร”
พิณทองส่ายหน้า
“ผม ชนะศึก เลิศชัยวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร เบสท์เอ็นเทอร์ไพร้ส์ กรรมการผู้จัดการ ไอทีคอม บริษัทท็อปสยามคาร์โก้ และบริษัทนิวโกลด์ไมน์ แล้วยังเป็นกรรมการอีก 9 บริษัทในเครือ ทำไม ฝ่ายบุคคลเขาไม่ได้บอกคุณเลยเหรอว่าใครเป็นผู้บริหารบ้าง”
ชนะศึกบอกยาวเหยียด ปิดท้ายด้วยการย้อนถาม
พิณทองอ้ำอึ้ง “บอกค่ะ แต่…
“แต่อะไร คุณเป็นโอเปอเรเตอร์ หน้าที่ของคุณคือดูแลระบบโทรศัพท์ทั้งหมดของบริษัท ผมให้คุณโอนสายไปที่ห้องผม คุณกลับโอนไปที่โต๊ะเลขาฯผม ลูกค้ารอสายไม่ไหวเขาเลยวางหูไป รู้ไหมความผิดของคุณครั้งนี้มันราคาเท่าไหร่” ชนะศึกเน้นคำ “เป็นร้อยล้าน”
พิณทองพยายามแก้ตัว
“เอ่อ ดิฉันขอโทษค่ะ จะรีบต่อให้ใหม่นะคะ” รีบเข้าหลังเคาน์เตอร์ วางฝาปิ่นโตแล้วยกหูโทรศัพท์
ชนะศึกบอกเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ไม่ต้องแล้ว มันสายไปแล้ว”
“ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ” พิณทองกำลังจะกดเบอร์
ชนะศึกรีบคว้าหูโทรศัพท์วางกลับที่ “ที่ผมบอกว่ามันสายไปแล้วก็เพราะว่า คุณต่อโทรศัพท์ให้ผมไม่ได้...” เน้นน้ำคำ “เพราะคุณไม่ได้ทำหน้าที่นี้แล้ว”
พิณทองงง ยังไม่รู้ตัวว่าถูกไล่ออก “แล้วจะให้พิณทำอะไรคะ”
“ไม่ต้องทำอะไรเพราะคุณไม่ใช่พนักงานที่นี่อีกแล้ว”
พิณทองยืนอึ้ง ยังงงอยู่
“ผมไล่คุณออก”
พูดจบชนะก็เดินออกไปเลย พิณทองสับสนอื้ออึงอยู่ชั่วขณะ แล้วรีบวิ่งตามชนะไป
“คุณชนะศึกคะ คุณชนะศึก พิณขอโทษค่ะ”
ชนะศึกหายเข้าลิฟต์ไป ประตูลิฟต์ปิดลงต่อหน้าพิณทอง
บนชั้นห้องทำงานชนะศึก ประตูลิฟต์เปิดออก ชนะศึกออกมาจากลิฟต์ แล้วเดินมาตามทางเดินตรงไปที่ห้องทำงานของตน ชนะศึกเดินมาจนถึงโต๊ะเลขา ลิฟต์อีกตัวก็เปิดออก พิณทองออกมา เห็นชนะศึกกำลังจะเข้าไปในห้องทำงานรีบวิ่งไปหา
“คุณชนะศึกคะ พิณขอโทษค่ะ งานนี้สำคัญสำหรับพิณมากนะคะ อย่าไล่พิณออกเลยค่ะ”
ชนะศึกหันมามองพิณทองซึ่งกำลังวิ่งมา แล้วหันกลับเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป พิณทองมาถึงพอดี
ชนะศึกเปิดค้างไว้แล้วหันไปตวาดพิณทอง “อย่าตามเข้ามานะ”
แล้วชนะศึกปิดประตูใส่หน้าพิณทอง
พิณทองคร่ำครวญ “ขอร้องเถอะค่ะ คุณชนะศึก อย่าไล่พิณออกเลยนะคะ พิณจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลยค่ะ ไม่ให้มีปัญหาอีกเลยค่ะ”
เสียงพิณทองยังดังอยู่หน้าห้องชนะศึก ชนะศึกเดินไปที่โต๊ะ แล้วยกหูโทรศัพท์ พูดสาย
“ตาม รปภ.มาที่ห้องผมหน่อย”
พิณทองยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องชนะศึก พยายามวิงวอนขอร้อง
“พิณผิดไปแล้ว พิณขอโทษจริง ๆ ค่ะ ให้โอกาสพิณนะคะ พิณขอร้อง อย่าไล่พิณออกเลยค่ะ”
ด้านหลังพิณทอง รปภ.คนหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณ ๆ ๆ ครับ เชิญข้างนอกดีกว่าครับ”
รปภ.ดึงตัวพิณทองออกมา
“ฉันไม่ไป” พิณทองร้องบอกรปภ. ก่อนจะหันไปขอร้องวิงวอนชนะศึก “คุณชนะศึกคะพิณขอโทษ”
ทว่า รปภ. พาตัวพิณทองออกไปจนได้
ไม่นานต่อมารปภ. คนเดิม ก็เดินพาพิณทองออกมาที่บริเวณหน้าตึก
ระหว่างนั้นสุพจน์มาเจอเข้าพอดี นึกสงสัย “จะพาไปไหนเนี่ย”
“คุณชนะศึกให้พาออกมาข้างนอก โดนไล่ออกแล้ว” รปภ.บอก
“ฮ้า ไล่ออก”
สุพจน์ตกใจหน้าเหวอ
พิณทองเริ่มจะร้องไห้อีก “พี่ ช่วยหนูหน่อยเถอะ หนูออกจากงานไม่ได้จริงๆ ให้หนูเข้าไปขอร้องคุณชนะศึกอีกทีนะ”
ขณะที่รปภ.ปล่อยแขนพิณทอง แล้วจะกลับเข้าไปในตึก แต่พิณทองกลับดึงแขนเสื้อรปภ. คนนั้นไว้
“พี่หนูไหว้ละค่ะ”
“ไม่ได้ น้อง นายเขาบอกแล้วไง ให้น้องออกไป ..ไปเถอะไป๊”
พิณทองร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่ไม่เข้าใจ เขาไล่หนูออกจากงานไม่ได้นะคะ แม่หนูจน บ้านหนูไม่มีเงิน หนูต้องทำงานเอาเงินไปใช้หนี้ให้แม่”
สุพจน์รีบบอก “โธ่ น้อง พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ขืนพี่ให้น้องเข้าไปพี่ก็โดนไล่ออกน่ะซี ไม่ใช่แต่แม่น้องคนเดียวนะที่มีหนี้ พี่ก็มีเหมือนกันนะโว้ย”
ระหว่างนั้นเองตรงทางเข้าลานจอดรถ รถของธานินทร์แล่นเข้ามา ธานินทร์นั่งอยู่ตอนหลัง มองออกไปเห็น สุพจน์กับพิณทองยื้อยุดกันอยู่ สุพจน์พยายามดึงพิณทองไว้ ธานินทร์แปลกใจ
ธานินทร์สงสัย “อะไรกัน” บอกคนรถ “ศักดา เดี๋ยว จอดรถก่อน”
รถจอด ธานินทร์เปิดประตูลงจากรถไป เดินตรงไปหา สุพจน์เห็นก็ตกใจ
“อุ๊ย นายใหญ่มา สวัสดีครับนาย” สุพจน์ทักทายธานินทร์อย่างนอบน้อม
“นี่ ทำอะไรกันน่ะ”
สุพจน์ดึงพิณทองด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างยกขึ้นมาตะเบ๊ะ
“หนูคนนี้เค้าโดนคุณชนะไล่ออกครับ แต่จะขอเข้าไปหาคุณชนะอีกครับ นาย”
พิณทองได้ยินสุพจน์เรียกธานินทร์ว่านายจึงรีบหันมา
“ท่านคะ หนูไหว้ล่ะค่ะ ช่วยหนูด้วยนะคะ”
ธานินทร์เห็นหน้าพิณทองแล้วถูกชะตาทันที
“มีอะไรเหรอหนู ไหนเล่าให้ฉันฟังซิ”
ครู่ต่อมาธานินทร์เดินเข้ามาในภาพ
“เรื่องเล็กๆ แค่นี้ทำไมถึงกับไล่เขาออก”
ชนะศึกงง “พ่อทราบได้ยังไงครับ”
“เขานั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าบริษัท”
ชนะศึกฟ้อง “พ่อทราบไหมว่าไอ้เรื่องเล็กที่พ่อว่า มันอาจจะทำให้เราเสียหายเป็นร้อยล้าน”
ธานินทร์ย้อนถาม “แล้วเสียไหม”
“โชคดีที่มิสเตอร์เดวิดเขาต่อกลับเข้ามาน่ะซีครับ ผมเลยได้คุยกับเขาต่อ”
“แล้วเขาตกลงจ้างเราไหม”
“จ้างครับ”
“งั้นเราก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“แต่เขาก็จะมองว่าผมเสียมารยาท ปล่อยให้เขารอสายอยู่ตั้งนาน”
“ลูกโยนความผิดให้แม่หนูคนนั้นได้ยังไง เด็กคนนั้นเพิ่งมาทำงานที่นี่วันแรก ฟังแต่เสียงเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูก บอกให้เขาโอนสายมาให้ เขาก็โอนตามเบอร์ที่โทรลงไป ลูกต่างหากที่ควรจะบอกให้เขาโอนกลับไปที่เบอร์อะไร”
“ผมจำไม่ได้หรอกว่าเบอร์ห้องผมเบอร์อะไร”
“แล้วอย่างนี้จะไปเรียกร้องให้ทุกคนเขาจำเสียงตัวเองเหรอ
ชนะศึกเถียง “ทำไมพ่อถึงเป็นห่วงเด็กผู้หญิงที่พ่อไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนั้นนักครับ”
ธานินทร์บอก อบรมลูกชายอยู่ในที “เพราะลูกทำไม่ถูก แล้วที่เขาไปยืนร้องไห้อยู่หน้าบริษัทอย่างนั้น คิดว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ดีกับบริษัทเราเหรอ”
ชนะศึกนั่งเอนตัวลง หันไปทางอื่น “แต่ถึงยังไงมันก็คงสายไปแล้วล่ะครับ ผมบอกฝ่ายบุคคลไปแล้ว เขากำลังเอาเอกสารมาให้ผมเซ็น”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี
ชนะศึกบอก “เชิญ”
ประตูเปิดออก ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามา คำนับเมื่อเห็นธานินทร์ แล้วหันไปพูดกับชนะศึก
“เอกสารของ น.ส.พิณทอง ค่ะ”
ผู้จัดการค้อมตัวขณะเดินผ่านธานินทร์เอาเอกสารไปให้ชนะศึก ชนะศึกรับเอกสารมา เปิดหน้าแรก มีบันทึกให้พิณทองออก ชนะศึกอ่านผ่านๆ แล้วเซ็นชื่อทันที เสร็จแล้วส่งแฟ้มคืนให้ผู้จัดการ ผู้จัดการรับแฟ้มมา กำลังจะถอยออกไป ธานินทร์ทนไม่ไหวบอกด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“เอามานี่”
ผู้จัดการชะงัก ธานินทร์เอื้อมมือไปดึงแฟ้มเอกสารมาเอง ผู้จัดการไม่ทันตั้งตัว ทำให้แฟ้มเอกสารหล่นลงที่พื้น ใบประวัติของพิณทองมาตกอยู่ที่เท้าของธานินทร์
ผู้จัดการรีบนั่งลงเก็บเอกสารอื่น ๆ เป็นหลักฐานการศึกษา ทะเบียนบ้านของพิณทอง
ธานินทร์เก็บใบประวัติของพิณทองขึ้นมา มองดูอย่างไม่ได้ตั้งใจนัก แต่แล้วธานินทร์ก็ต้องชะงัก
เมื่อสายตาธานินทร์ไปที่ชื่อมารดาของพิณทองในเอกสาร เป็นชื่อของพรรณีที่ยังคงใช้นามสกุลเก่า เป็นชื่อ “พรรณี เปี่ยมจิต”
ธานินทร์นิ่งอึ้ง ภาพความหลังเสื้อลายปักแวบเข้ามาในหัว ที่แท้ “พรรณี” คือคนรักเก่าของเขานั่นเอง
เสียงความคิดดังก้องในหัวธานินทร์ “นี่ลูกสาวเธอเหรอพรรณี”
ชนะศึกร้องโวยทักท้วง
“พ่อครับ ให้ผู้จัดการเขาไปเถอะครับ
ธานินทร์หันมาทางชนะ ไม่ได้ยิน “หืม”
ชนะศึกท้วงอีก “ผมเซ็นให้ออกไปแล้ว ให้ผู้จัดการเขาไปเถอะครับ”
“ไม่ต้องแล้ว พ่อดูแลเรื่องนี้เอง”
ธานินทร์ตัดบทยื่นมือมาขอเอกสารจากผู้จัดการ ผู้จัดการงวยงง มองไปทางชนะศึก ขณะที่ชนะศึกเองก็ไม่เข้าใจ
ธานินทร์ย้ำ “เอาแฟ้มนั่นมาให้ผม”
ผู้จัดการส่งแฟ้มของพิณทองให้
ธานินทร์รับแฟ้มแล้วเดินออกจากห้องไปเฉยเลย ชนะศึกงง ไม่เข้าใจ
ภายในห้องทำงานธานินทร์ มีเสียงเคาะประตู พนักงานชื่อยุ้ยเปิดประตูเข้ามา
“ท่านคะ พิณทองมาถึงแล้วค่ะ”
“ให้เข้ามาสิ”
“ค่ะ”
ยุ้ยถอยกลับออกไป แล้วพาพิณทองกลับเข้ามา จากนั้นยุ้ยก็ออกไปพร้อมกับปิดประตู พิณทองรู้สึกประหม่าเป็นที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับธานินทร์
“หนู...นั่งซี”
พิณทองเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะธานินทร์ ธานินทร์เองก็เข้ามานั่ง ธานินทร์นั่งมองหน้าพิณทอง คราวนี้เป็นการมองที่พินิจอย่างจริงจังมากขึ้น เขายิ่งรู้สึกว่าพิณทองเหมือนพรรณีมาก ธานินทร์จ้องเอาๆ จนพิณมองเหลือบตาขึ้นมอง นั่นละธานินทร์จึงรู้สึกตัว
“หนูชื่อพิณทองใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“แม่หนู ..เอ๊ย ครอบครัวหนูทำอะไรล่ะ”
“แม่พิณเป็นช่างเย็บผ้าค่ะ”
“แล้วพ่อของหนูล่ะ”
“พ่อเสียมาหลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่พิณยังเด็ก”
“งั้นหนูก็อยู่กับแม่สองคนเหรอ”
“มีพี่ชายอีกคนค่ะ เป็นครูฝึกอยู่ที่สปอร์ตคลับค่ะ”
“อยู่กันลำบากมากไหม”
“ไม่หรอกค่ะ แต่ว่าตอนนี้จักรแม่ถูกเขายึดไปค่ะ แม่ไม่มีเงินให้เขา พิณคิดว่าถ้าได้เงินเดือนจะไปไถ่จักรให้แม่ ท่านคะ กรุณาเถอะค่ะ ท่านช่วยของานคืนให้พิณได้ไหมคะ” พิณทองพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างน่าสงสาร
สีหน้าธานินทร์เศร้าสลดลง ทั้งเห็นใจและเวทนา
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 2