สาวน้อย ตอนที่ ๒๗
นิดวางท่าอยู่บนโขดหิน สรรค์อยู่หลังเฟรม นิดทอดสายตามา สรรค์สบตามีแววลุ่มหลงหมดใจแล้วก็ชะงักระงับท่าทีไว้ นิดขยับนิ้วแกล้งให้แหวนพลอยวูบวาบเข้าตาสรรค์ สรรค์ชะงัก
“คุณน้อยหมุนแหวนหลบแสงหน่อยเถอะครับ”
“ค่ะ”
“หรือจะถอดออกก่อนก็ได้”
สรรค์หลุดปากออกไป นิดสบตานึกรู้แล้วกลั้นยิ้มไว้
“ผมลืมไปว่าคุณอยากใส่แหวนวงนี้ติดนิ้วไว้ตลอดเวลา”
“ถ้ามีวงใหม่ที่งามกว่า ฉันก็ถอดออกได้ค่ะ”
สรรค์ชะงักแล้วมองหน้านิด แม้จะเริ่มรู้เป็นนัยแต่ยังไม่แน่ใจ
“แล้วคุณไม่กลัวว่าท้าวทุษยันต์ของคุณจะจำคุณไม่ได้หรือ” สรรค์แกล้งถาม
“ตอนนี้ฉันรักกับเจ้าชายเรื่องเงือกน้อยต่างหากคะ” นิดบอกเป็นนัย
สรรค์แน่ใจมากขึ้นอีกนิด เดินเข้าไปหานิดแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ทำไมคุณน้อยเปลี่ยนใจเร็วจริง”
นิดขี้เกียจพูดอ้อมค้อม
“ดิฉันเคยอ่านที่ฝรั่งเขาเขียนไว้ว่า ชีวิตคนเรามีรักแท้ได้สองครั้งค่ะ”
คราวนี้สรรค์รู้ชัดมองนิดอย่างดีใจและแสนรัก นิดมองตอบอย่างรักหมดใจ สรรค์วาดรูปต่ออย่างปลอดโปร่ง ดื่มด่ำ ลมแรงพักดอกไม้โปรยกลีบไปในสายลม เสียงเพลงของเทวีแห่งแรงดลใจแว่วมา
สรรค์ลดพู่กันลงก่อนถอยออกมามองดูรูป แล้วหันไปมองดูนิด สรรค์เผยยิ้มเต็มที่
“คุณน้อยครับ”
นิดนึกรู้เบิกตากว้างถ่ทสรรค์
“เสร็จแล้วหรือคะ”
นิดไม่รอคำตอบลุกมายังข้างสรรค์มองดูรูปที่เสร็จเหมือนรูปสาวน้อยรูปแรกไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงแหวนพลอยที่นิ้วเท่านั้นที่เพิ่มเข้ามาในรูปนี้ นิดยกมือปิดปากปลาบปลื้มใจ น้ำตาเอ่อคลอเบ้ารำพึง
“เหมือนเหลือเกิน”
“ครับ รูปนี้เหมือนคุณน้อยมากกว่ารูปยามเศร้ามาก ในที่สุดผมก็เก็บประกายตา รอยยิ้ม และชีวิตชีวาทั้งหมดของคุณน้อยได้สำเร็จ“
“คุณตั้งชื่อรูปนี้แล้วหรือยังคะ”
“ผมคิดเอาไว้ว่าจะตั้งชื่อรูปว่า สาวสยาม”
นิดรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแล้วบอก
“ก็ดีค่ะ”
“แต่ผมว่า คงมีคนตั้งชื่อรูปว่าสาวสยามหลายคนแน่เลย ผมนึกออกแล้ว ผมตั้งชื่อสาวน้อย ดีกว่า”
นิดดีใจโผเข้ากอดสรรค์ที่ตกใจไปนิดหนึ่งก่อนจะกอดตอบพลางนึกว่า นิดคือสาวหัวนอก นิดนิ่งซบอกสรรค์ สรรค์กอดนิ่งใจเต้นวูบวาบ
แก้วกับบุญมาเดินมาเห็นเข้าพอดีก็ชะงัก แก้วอ้าปากค้าง บุญมาเอามือดันคางให้หุบปาก
นิดรู้ตัวจึงผละจากสรรค์แล้วทำสีหน้าแบบเป็นปกติ สรรค์ถึงกับวางหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว นิดเหลือบไปเห็นแก้วกับบุญมาก็เรียกให้มาดูรูป
ในเวลาต่อมา สรรค์ขับรถตาเป็นประกายตกอยู่ในภวังค์รัก บุญมาเหลือบมองด้วยความหมั่นไส้ รถสรรค์แล่นมาตามถนน บุญมาพูดขึ้น
“คราวนี้แกคงเลิกปากแข็งแล้วซีนะ”
สรรค์เฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“แกพูดเรื่องอะไร”
“เรื่องแกรักวนิดาและวนิดาก็รักแก แล้วเรื่องแกจะทำยังต่อไป”
สรรค์สีหน้าหม่นลง
“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น และยิ่งไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อไป”
“แล้วแกรู้สึกยังไงกับคู่หมั้นแก”
“ฉันเคยรักสุมากแต่เดี๋ยวนี้มันจืดจางลง เพราะวิถีชีวิต รสนิยมอะไร เราต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ เหลือไว้ที่หน้าที่ที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ตอบแทนความดี ความซื่อสัตย์ของเขา”
บุญมามีประกายยิ้มเยาะ ดูแคลนสุวลีผุดขึ้นบนใบหน้า
“แม่คุณเอ๋ย แสนดีอะไรขนาดนี้”
สรรค์ไม่รู้เรื่องยังคงระบายความในใจต่อไป
“แต่กับคุณน้อยเราเข้ากันได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องศิลปะ ทุกเวลานาทีที่อยู่ใกล้เขา ฉันจะลืมทุกอย่างหมด” ..
สรรค์ตกภวังค์รักอย่างดื่มด่ำ
“วนิดาทำให้ฉันวาดรูปได้อย่างที่ไม่เคยวาดได้มาก่อน ครูแมกกินนีเคยพูดว่า ถ้าฉันรักใครหมดใจและเขารักฉันตอบทั้งใจ ฉันจะสร้างงานชิ้นเอกออกมาได้ รูปสาวน้อยคืองานชิ้นนั้น” สรรค์บอก
“วนิดาคือเทวีแห่งแรงดลใจของแก ถ้าฉันเป็นแกฉันคงตัดสินใจได้ง่ายๆ แต่นี่เป็นแก”
“เป็นฉันแล้วทำไม” สรรค์ถาม
“คนอย่างแกมักจะยึดติดกับอะไรๆที่น่าเบื่อน่ะซี ยึดติดชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ยึดติดประเพณี ยึดติดคำสั่งพ่อแม่ ยึดติดหน้าที่ บุญคุณอะไรโง่ๆ นั่น”
“สุวลีเค้าดูแลฉันในยามที่ฉันไม่สบาย แม้ว่าฉันจะจำเขาไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องโง่ๆ นะบุญมา เขาดีกับฉันมาตลอดไม่เคยทำผิดอะไรเลย”
บุญมาหันมามองหน้าสรรค์ เหมือนอยากพูดอะไรเต็มแก่ แต่พูดไม่ได้ ขัดใจ
“ฮึ่ย... เออ แล้ววนิดาล่ะ เขาทำผิดอะไร อ้อ ผิดอยู่ข้อหนึ่ง ผิดที่ดันมารักแกเข้า”
สรรค์นิ่งอึ้ง
ในเวลากลางคืน รูปสาวน้อยรูปที่สองบนขาตั้งวางเด่นอยู่กลางห้องโถงบ้านเช่าเพื่อรอให้สีแห้ง แก้วเดินมาพิศดู
“ไม่น่าเชื่อเลยยังกะรูปเดียวกัน”
แก้วหันไปถามนิดที่นั่งใช้ความคิดอยู่
“แล้วแกจะเอายังไงต่อไป”
นิดพรายยิ้มบนริมฝีปาก
ภายในโรงละครจันทร์กระจ่าง บนเวทีกำลังเล่นละครฉากแรก แก้ว จิตรา และน้องเงือก ๓ สาวกำลังร่ายรำโบกหาง แก้วมองลงไปที่หน้าเวทีก็หน้าหงิก
นิดซบอยู่เปลือกหอยที่ค่อยๆเปิดออก นิดลืมตากรายแขน สะบัดหาง คนดูปรบมือกราวต้อนรับ นิดมองตรงไปที่นั่งแถวหน้า สรรค์นั่งอยู่มีอาการขรึม สุวลีนั่งเด่นอยู่เคียงข้าง ต่างหูเพชรระย้าวูบวับ แม้จะปรบมือ ปากยิ้ม แต่ดวงตาเย้ยหยัน
แก้วร่ายรำสบตานิดอย่างเป็นห่วง นิดยิ้มให้แล้วร่ายรำต่อใส่จริตกว่าวันอื่นราว ๒๐ เปอร์เซ็นต์ สุวลีซุบซิบชื่นชมกับสรรค์
“เงือกสาวสวยๆ ทั้งนั้น มิน่า คุณบุญมาถึงได้ดูแล้วดูอีก”
สรรค์ฝืนยิ้มหูอื้อตาลาย
บนเวที ทมในชุดเจ้าชายยืนอยู่ ประภาในชุดเจ้าหญิงยืนเคียงข้าง ทำตาแป๋วยิ้มแสนดีเครื่องเพชรจัดเต็ม นิดยืนเท้าเปลือยแต่งตัวเรียบๆ อยู่ตรงหน้า
“เกิดพายุใหญ่ นาวาแตกไป ข้าใกล้ทอดร่าง” ทมร่าย...
ทมโอบไหล่ประภาที่ยิ้มถอนสายบัว มีนางกำนัลร้าย ๒ นางยืนประจบอยู่ข้างหลัง
“นางช่วยชีพไว้ มิให้วายวาง ข้าจึงรักนาง หมายหมั้นเสกสม” ทมในบทเจ้าชายว่า
นิดผงะถอยไปก้าวหนึ่ง ส่ายหน้ามองประภาแล้วหันมาพูดป้อง
“ไม่ใช่...ไม่ใช่นาง ข้าต่างหากที่ช่วยชีวิตเขา”
นิดมองตรงมาที่สุวลีและสรรค์ สุวลีเกาะแขนสรรค์ขมวดคิ้ว ประภาก้าวมาหานิดทำแสนหวานคล้ายสุวลี ปากแย้มยิ้มแช่มช้อย แต่ตาดุกระด้าง
“สาวน้อยผู้นี้ หน้าตาเข้าที กิริยาน่าชม” ประภาในบทเจ้าหญิงว่า
ประภากรายมาหน้าเวที กึ่งพูดป้องเผยตัวตนนางร้ายกับคนดู
“แต่กลับเป็นใบ้ อกไหม้ไส้ขม มิอาจเผยปม ซ่อนอยู่ในใจ
นิดเซไปทรุดลงนั่งบนชิงช้าเถาดอกไม้ ไฟจับที่นิด นิดร้องเพลง “ยังรักยังรอ” สุวลีเลิกคิ้ว
“ตายจริง ใช้เพลงเก่าซ้ำหรือคะ น่าขันจริง”
“มีคนเรียกร้องนะสุและเข้ากับเรื่องด้วย”
นิดร้องเพลงกรายมือมาให้สรรค์ สุวลีแปลกใจมากขึ้น
นิดอยู่กลางเวทีแหวกกิ่งไม้ดูทมที่กำลังยืนโพสให้จิตรกรวาดรูป พลางยิ้มใฝ่ฝัน
บรรดาคนดูเอ็นดูเงือกน้อย ทันใดนั้นประภาเดินมาพร้อมนางกำนัลสองนาง ประภามองดูนิดอย่างแปลกใจ
“นังใบ้ มิน่าเล่า”
ประภาเข้าไปจิกผมนิด นิดร้องอื้ออ้า คนดูตื่นเต้น ประภาตบฉาด นิดถลาล้มลงไปกับพื้น
สรรค์กับสุวลีมองดู ประภากรายมืออยู่รอบตัวนิด
“ชะชะนังใบ้ หวังสูงเหลือใจ หลงรักเจ้าชาย”
นิดกัดริมฝีปากเบือนหน้าหนีประภา แต่เท่ากับหันมามองดูสุวลี สุวลีเลิกคิ้ว
“เขาเป็นของข้า เจ้าอย่ามาดหมาย พรุ่งนี้แล้วไซร้ พิธีวิวาห์”
ประภาเอามือทาบอกเงยหน้าหัวเราะเยาะ แล้วหมุนตัวสะบัดผ้าคลุมลากระตัวนิดเดินไป ๒ นางกำนัลมองนิดอย่างเหยียดหยามแล้วสะบัดพรึดตามประภาไป
นิดค่อยๆ ลุกขึ้น มองดูทมกับจิตรกร นิดยกมือกรายวิงวอนทม
“เธอรักคนผิด มิใช่มิ่งมิตร คือคนชั่วช้า”
นิดหันมาหน้าเวที กรายมือราวพูดกับสรรค์แล้วมองสุวลีที่ยิ้มเยาะ
“มิอางขนาง แอบอ้างเอาหน้า มดเท็จวาจา แย่งชิงดวงมาน”
สุวลีขมวดคิ้ว นิดก้าวมาพูดอย่างชิงชัง
“งามเหมือนนางหงส์ จิตไม่ซื่อตรง ดังแร้งสาธารณ์ ดังผลมะเดื่อ สุกเรื่อตระการ ข้างในสามานย์ เป็นหนอนบ่อนเบียน”
คนดูร้องฮือฮากับคำด่าทอนั้น สุวลีเห็นตานิดมองตรงมาที่ตนก็เม้มปากรู้สึกสังหรณ์ในใจ
สรรค์แล่นรถมาตามถนนด้วยอารมณ์ดื่มด่ำกับละครที่ดูมา สุวลีนั่งเคียงข้างครุ่นคิด สรรค์ใจลอยไปวูบหนึ่ง ภาพสรรค์หมดแรงจมวูบลงในน้ำ นิดว่ายมาช่วยผ่านเข้ามา จนสรรค์ผวา รถส่ายไปมาเล็กน้อย สุวลีร้องอุทาน
“สรรค์คะ”
สรรค์แล่นรถเข้าจอดนิ่งเทียบฟุตบาธ สุวลีมองสรรค์อย่างตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกสุ แค่จู่ๆ ผมก็เห็นภาพตัวเองกำลังจมน้ำ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาช่วย”
สุวลีเบิกตากว้างแล้วเมินหน้าไปนอกรถ ก่อนจะหันมายิ้มละไมและมือจับแขนสรรค์ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สรรค์มอง
“โธ่เอ๋ย คิดว่าเรื่องอะไร เรื่องมันตั้งสองปีแล้ว ตอนที่สรรค์สูญเสียความจำใหม่ๆ สุพาคุณไปดูแลที่บ้านสวนที่เมืองนนท์ วันหนึ่งคุณนึกอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ โดดลงท่าน้ำหน้าบ้านแล้วจมลงไป ดีที่สุอยู่ตรงนั้น สุเลยโดดลงไปช่วยคุณไว้ทัน”
สรรค์ทั้งตกใจ ทั้งซาบซึ้ง ทั้งยิ่งอึดอัดที่บุญคุณทับทวีขึ้น
“โธ่เอ๋ย สุ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ก็จะให้สุป่าวประกาศหรือคะ”
สรรค์ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ
“ผมไม่ได้เป็นแค่หนี้บุญคุณ ผมยังเป็นหนี้ชีวิตสุอีก”
สุวลีกุมมือสรรค์ไว้แล้วมองอย่างหวานซึ้ง สรรค์ยิ้มตอบแต่ยิ่งอัดอั้นตันใจ
เวลากลางวัน สุวลีนั่งบนเก้าอี้ยาว บริเวณเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ อนงค์ รตีมากินน้ำชาของว่างด้วย มะลิเดินมาเมียงมอง สุวลีเมินทำเป็นไม่เห็น มะลิชะงัก แล้วเชิดหน้าหันไปทางอื่น
“ต้าย วันนี้ของว่างมีแค่ ๒ อย่างเอง น้อยก็น้อย” อนงค์ว่า
สุวลีมองอย่างขัดใจ รตีคว้าขนมในจานมาใส่จานตัวเอง จนเหลือแต่จานเปล่า
“ใช่ น้อย งั้นเธออย่ากินเลย”
“ต้าย นังคนชั่วช้า มิอางขนาง แอบอ้างเอาหน้า มดเท็จวาจา แย่งชิงของกิน”
อนงค์ก็มิใช่แค่แฟนละครสามัญแต่เป็นพวกซื้อบทละครมาเล่นเองด้วย อนงค์ด่ารตีเป็นกาพย์
“ว้าย นังนี่ ดูละครเสียจนเป็นบ้า”
สุวลีขมวดคิ้วขยับกายนั่งตัวตรง คิดแวบหนึ่งก็แสร้งมองไปเห็นมะลิ
“อุ้ย คุณน้า คุณน้าคะ”
สุวลีลุกขึ้นเดินไปเรียกมะลิพลางกอดแขนพาเดินมา
“คุณน้าขา มาตั้งแต่เมื่อไหร่สุไม่ทันเห็น มารับประทานของว่างกับเถอะค่ะ”
อนงค์กับรตีซุบซิบกัน
“อ้าว ไหนบอกว่าไม่อยากเสวนาด้วยไง”
“จะไปรู้พระนางเธอหรือคะ”
สุวลีพามะลิมานั่งลง อนงค์กับรตีฉีกยิ้ม ดวงตาส่อแววรังเกียจ สุวลีรินน้ำชาให้มะลิแล้วถาม
“คุณน้าเบื่อบ้างไหมคะนี่”
“โถ เบื่ออะไรกัน แค่ผล็อบๆ แผล็บๆ ก็หมดวันแล้ว”
“แต่สุกลัวคุณน้าเบื่อ .. อนงค์ รตี คืนนี้เธอพาคุณน้าไปดูละครหน่อยซีจ๊ะ”
มะลิตาโตดีใจ สุวลียิ้ม ดวงตามีแววมุ่งร้าย
“ที่โรงละครจันทร์กระจ่างที่สามแยกน่ะค่ะ กำลังลงโรงเรื่องเงือกน้อย สุอยากให้คุณน้าดูวนิดานางเอกเรื่องนี้ให้ดี”
ค่ำคืนนั้น หลังชมละครจบ … รถของสุวลีแล่นมาตามถนนอย่างรวดเร็วเข้ามาจอดลงหน้าเทอเรซ มะลิลนลานลงมาจากรถสุวลีก่อนวิ่งเข้าในตัวบ้านเนาวรัตน์ทันที
ภายในห้องนอน … สุวลีสวมชุดนอน มีเสื้อคลุมผ้าลูกไม้กรอมพื้นยืนอยู่ที่กรอบหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง สุวลียิ้ม รอยยิ้มมีแววมั่นใจ ดวงตามีแววชั่วร้ายเหี้ยมเกรียม แล้วก้าวเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง จวนมองสุวลีแล้วถอนใจราวเสียดายความงามสูงศักดิ์นั้น สุวลีนั่งลงพิศดูรูปโฉมตัวเองที่หน้ากระจกเงา มะลิพรวดพราดเข้ามา
“หนูสุ นังนิด”
สุวลีโบกมือเป็นเชิงห้าม มะลิชะงักไม่พูดต่อ สุวลีมองจวนที่รู้ตัวก้มกราบลงแล้วออกไป มะลิก้าวมาใกล้
“นังนางเอกวนิดาคือ นังนิด”
สุวลีสีหน้านิ่งหันมา ดวงตาฉายแววทั้งโกรธแค้น เจ็บใจ ดูหมิ่นและเสียหน้า
“ค่ะ”
“น้าเพ่งดูอยู่ตั้งนานกว่าจะจำได้ แต่ใช่มันเป็นมันแน่ๆ ต๊าย ยังกะนังแก้วหน้าม้าถอดรูป มันไปชุบตัวในบ่อทองที่ไหนมายิ่งกว่าท้าวสันนุราช (๑) เสียอีก”
“ถ้าสุเดาไม่ผิด คนชุบตัวให้มันกลายเป็นวนิดาก็คือ สามีเก่าของคุณน้า”
“ว้ายจริงด้วย ท่านเจ้าคุณรักมัน หลงมันมาแต่ไหนแต่ไร ท่านเจ้าคุณน่ะได้มันเป็นเมีย มันก็เลยกำเริบใจกระด้างกระเดื่องกับน้า น้าถึงต้องวางแผนกับหนูเอามันเข้าคุกไง”
เวลาผ่านมาเพียง ๑ ปีเต็มทำให้มะลิลืมไปว่าเรื่องไม่ตรงกับที่เคยใส่ไฟไว้ สุวลียิ้มเยาะมะลิ แล้วก็ยิ้มอ่อนๆ กลบไว้ไม่ทักท้วง เพราะยังคิดจะใช้งานมะลิอยู่
“ค่ะ แล้วตอนนี้มันกำลังตอแยสรรค์อยู่”
“ว้าย ตายแล้ว มันต้องกำลังหาทางแย่งพ่อสรรค์คืนไปแน่”
สุวลีเชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่ง
“น่าเวทนานะคะ อุตส่าห์ฝึกฝนชุบตัว ใส่หน้ากากนางเอกเจนสังคมมาตบตาคน คงต้องเป็นหน้าที่คุณน้าแล้วละค่ะ”
มะลิสะดุ้งเพราะเคย ‘ฉิบหาย’ กับแผนของสุวลีมาแล้ว
“ว้าย น้าไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“คุณน้าคือคนที่จะกระชากหน้ากากของมันว่า ที่แท้มันคือนางไพร่ชาวเกาะที่ตะเกียกตะกายใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ไงคะ”
บุญมาแต่งตัวหล่อเดินมาในสวนของบ้านชูวงศ์แล้วมองหา ชั่วประเดี๋ยวก็มีใบไม้โปรยลงมารดตัวจนเขาต้องปัดไบไม้ออก เสียงหัวเราะคิกคักดังจากด้านบน บุญมาแหงนดู บรรยากาศดูฝันมลังเมลือง
แก้วถักเปีย 2 ข้าง สวมเสื้อตาสก็อตผูกชายเสื้อโชว์สะดืออย่างไร้เหตุผล นุ่งกางเกงขาสั้นจู๋ นอนเอนอยู่บนกิ่งใหญ่บนต้นมะม่วงกำลังหัวเราะคิดคัก บุญมาทำตาเขียวดุด้วยเสียงทุ้มหล่อแบบพระเอกหนังไทย
“เธอนี่มันแก่นแก้วจริงๆ ขึ้นไปทำไมลงมานี่นะ”
แก้วแลบลิ้นหลอก
“ลงทำไม จ้างให้ก็ไม่ลง”
บุญมาสะดุ้งปัดคอพัลวัน
“โอ้ย นี่เธอแกล้งโปรยมดแดงใส่ฉันหรือ”
“อย่ามาหาความฉัน มดแดงอะไร เปล่าซะหน่อย อึ๊ย ว้าย ว้าย ว้าย”
ทันใดแก้วก็โดนมดแดงกัดจนต้องปัดตัววุ่นวาย
“ดีสมน้ำหน้า ฮ่ะ ฮะ เฮ้ย ดีๆ เดี๋ยวก็ต...”
ยังไม่ทันขาดคำแก้วก็ตกลงมาพร้อมกับร้องวิ้ด บุญมาถลันไปรับไว้ แก้วตกมาในอ้อมแขนพอดี บุญมาหมุนหันตัวคว้างลดแรงปะทะคล้ายเต้นบัลเล่ต์แล้วค่อยๆ ล้มลงบนพื้นหญ้า แก้วตาใส่แจ๋วมองตาบุญมาที่มองตอบ แก้วขัดเขินขลาดอายระคนยั่ว บุญมาพยายามสะกดกลั้นแล้วก้มลงจูบนิ่งนาน เพลงรักถักทอในท่วงทำนองหวานซึ้ง
ทันใดก็มีเสียงควากคล้ายแผ่นเสียงถูกเข็มครูดยกขึ้น เสียงเพลงชะงัก
สาวน้อย ตอนที่ ๒๗ (ต่อ)
บนโต๊ะทำงานภายในบ้านชูวงศ์ บุญมานั่งอยู่หน้าพิมพ์ดีดรอบตัวมีกระดาษเกลื่อน ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน กระดาษบนเครื่องพิมพ์เขียนว่า “แก่นแก้ว” ตอน ๔๐ ตัวอักษรที่ถูกเรียงร้อยอยู่บนกระดาษ ในเครื่องพิมพ์ดีดมีความว่า
“แก่นแก้วเผยอปากอิ่มราวกลีบกุหลาบ ชายหนุ่มตะลึงตะไลไป ราวต้องมนต์จากกามเทพผู้ถือธนูดอกไม้ เขาก้มลงจรดริมฝีปากลงบนเรียวปาก”
บุญมาชะงักนิ้วอ่านทวนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“คลิเช (๒) จริงๆ ให้ตาย ล้มทับมองตากันอีกแล้ว”
บุญมาดึงกระดาษควากมาขยำ ปาลงไปรวมกับกระดาษอื่นๆ นมพวงกับศรีสาวใช้ถือหนังสือพิมพ์เข้ามาด้วย
“คุณบุญมาขา”
“จ๋า มีอะไรหรือนม”
“ใครคือนางเอกสาวดาวรุ่ง เคยเป็นเมียบ่าวในบ้านพระยาอายุรุ่นปู่ แล้วเจ้าคุณก็เอามาย้อมแมวทั้งปั้นทั้งปล้ำให้เป็นดาราค่ะ” นมพวงถาม
บุญมาตาเบิกโพลง
“อะไร ใครปล้ำใคร”
“ก็ข่าวในหนังสือพิมพ์คู่แข่งของผะดุงไทยนี่ไงคะ”
บุญมาคว้ามาอ่านดูคร่าวๆ ตรงหน้าบันเทิง
“หนูว่าถ้าไม่ใช่มานีก็ต้องเป็นวนิดาแน่เลยเจ้าค่ะ”
บุญมาหน้าบึ้งทันที
ภายในบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยลดหน้าหนังสือพิมพ์ลงแล้วยิ้มเยาะ สรรค์นั่งหน้าเคร่ง ส่วนมารศรีสีหน้าบึ้ง แม่ผินเอาอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟอย่างอารมณ์ดี บัวคุกเข่าเอาผ้าขี้ริ้วถูพื้นที่มีน้ำหยด สมพงษ์นั่งรอรับใช้อยู่
“ไงตอนนี้ น้ำลดตอเลยผุดขึ้นมาแล้ว แกยังหลงใหลได้ปลื้มอยู่อีกไหม” พระชาญชลาศัยถามขึ้น
“นี่มันข่าวเท็จครับ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มุ่งโจมตีวนิดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” สรรค์บอก
“ไม่มีไฟจะมีควันได้ยังไง”
ผินหัวเราะระริกพลางมองค้อนมารศรี
“ต้องเปรียบว่า ไม่มีมูลฝอยหมาไม่...ถ่ายตะหากเจ้าคะ แต่นังผู้หญิงสมัยนี้มันหน้าด้านตะพานช้างโรงสี (๓) ตอผุดโด่ออกมาก็ยังลอยหน้าเสนอนวลอยู่ได้ค่ะ”
มารศรีปรายตามองก็รู้ว่า ผินไม่ได้ด่าวนิดาแต่ตั้งใจมาแขวะตน แต่สรรค์กลับโกรธแม่ผิน
“แม่ผิน พูดจาให้ระวังหน่อย ลูกผู้หญิงน่าจะเห็นใจผู้หญิงเหมือนกัน ยิ่งเป็นข่าวโป้ปดมดเท็จจะช่วยกระพือข่าวไปให้ได้อะไรขึ้นมา”
แม่ผินผงะน้อยใจ พระชาญชลาศัยได้ยินที่สรรค์พูดก็ยิ่งโกรธ
“แกรู้ได้ยังไงว่าเป็นข่าวเท็จ”
“วนิดาเคยเล่าให้ฟังทุกอย่างว่า เคยเป็นสาวใช้ในบ้านพระยาธรรมนูญ พระยาธรรมนูญเอ็นดูเธอเหมือนลูกหลาน สอนหนังสือ สอนภาษาอังกฤษให้จนพูดได้คล่อง”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าไม่สอนเลยเถิด ไปสอนภาษากายกันบนเตียงด้วย”
“จริงเจ้าค่ะ เจ้าคุณแก่ๆ มาทำเป็นใจดีกับคนใช้ ร้อยทั้งร้อย ก็คิดจะร้อยก้นเอาไว้ใช้งานในห้องกันทั้งนั้น”
“แม่ผิน!” สรรค์เรียกปราม
มารศรียิ้มลุกขึ้น
“ตาย ถ้าอย่างนั้น คุณพระก็คงเคยร้อยก้นแม่ผินไว้ใช้งานน่ะซีคะ ถึงได้อยู่กันมายืดยาวขนาดนี้” มารศรีแขวะ
แม่ผินร้องวิ้ด เพราะพรหมจาริณีที่รักษาไว้ถูกละเมิด พระชาญชลาศัยโกรธจัดลุกพรวดขึ้น
“ปากดีนักนะมารศรี ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วหรือ”
“ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่แบกแต่อคติไว้ ผู้น้อยก็ควรจะพูดเตือนสติได้บ้างค่ะ”
“งั้นฉันก็ขอเตือนสติเธอบ้าง”
พระชาญตบมารศรีผัวะจนมารศรีหน้าสะบัดไป สรรค์ตกใจ แม่ผินผงะแล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจ บัวถอยลนลานไปข้างสมพงษ์ด้วยความตกใจ เพราะบัวรักมารศรี นายหญิงคนนี้มาก
“ชนักมันติดหลังเธอคาอยู่ อย่าอวดดีให้มากนัก ฉันหมดความอดทนกับเธอแล้ว”
“เช่นเดียวกันค่ะ ดิฉันก็หมดความอดทนเหมือนกัน” มารศรีบอก
คุณพระอึ้งไป มารศรีมองอย่างผิดหวังด้วยความน้อยใจและเสียใจ แววตาพระชาญชลาศัยเริ่มอ่อนลงเพราะยังไงก็ยังรักมารศรีอยู่
“ดิฉันเลิกร้างกับสามีคนแรกเพราะมันทุบตีดิฉันประสาคนชั้นต่ำ ดิฉันถึงอยากมีสามีผู้ดี เพราะนึกไปเองว่า คนชั้นสูงจะไม่ตบตีเมีย ลงท้าย...ผู้ดีกับไพร่ก็ไม่ต่างกันนัก”
แม้พระชาญชลาศัยจะรู้สึกผิด แต่เอาโกรธขึ้นข่ม
“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับผัวเก่าของเธอ”
“ค่ะ เพราะชั่งข้อดีข้อเสียกันแล้ว คุณพระอาจจะทรามกว่าด้วยซ้ำ”
แม่ผินร้องว้าย พระชาญเงื้อมืออีก มารศรีมองตอบตาวาวท้าทาย
“คุณพระจะยืนยันคำพูดดิฉันหรือคะ”
พระชาญชลาศัยลดมือลง
“ไป ไป๊ ไปให้พ้นหน้าฉัน”
“ค่ะ...ดิฉันจะไปให้พ้นจากบ้านแห่งความอยุติธรรมนี้”
พระชาญชลาศัยตกใจอย่างคาดไม่ถึงแทบร้องท้วง แต่แม่ผินตาวาวเสือกไส
“ไป ไปเลย ไปหาความยุติธรรมที่อื่น”
คุณพระนิ่งงัน มารศรียิ้ม สรรค์ถึงกับหลุดปาก
“มารศรี”
สรรค์เองก็พูดไม่ถนัดปากนัก มารศรียิ้มรับอย่างขอบใจพลางก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แล้วเดินออกไป บัวกับสมพงษ์ร้องไม่มีเสียง ‘ทำยังไงดีแก’
สมพงษ์กับไม้ขนกระเป๋าเสื้อผ้า ๓-๔ ใบของมารศรีไปใส่รถ กุ๊กเฮง รามซิงค์มาร่วมยืนหน้าเสียอยู่ บัว ราตรี จงกลยืนร้องไห้กระซิก มารศรีน้ำตาคลอแต่ยิ้ม
“จะร้องทำไมฮึ”
“คุณต้องได้กลับมาเจ้าค่ะ ยังไงคุณก็เป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้”
มารศรีน้ำตาไหลแล้วรีบปาดทิ้ง ผินมายืนแอบดูค้อนเด็กตัวเองตาคว่ำ
ภายในห้องนอนพระชาญชลาศัยในเวลาต่อมา คุณพระนั่งเชิดอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มารศรีถือกล่องเครื่องเพชรแบนใหญ่ ๒ กล่องเข้ามา
“เมื่อไม่เห็นหัวฉันก็ไม่ต้องมาลา”
“ดิฉันไม่ได้มาลาค่ะ ดิฉันเอาเครื่องเพชรของคุณหญิง คุณแม่คุณสรรค์มาคืน”
พระชาญชลาศัยอึ้ง เพราะลืมไปแล้วว่าเคยให้
“อยากคืนก็เอาไปเก็บที่ไป”
มารศรีเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้ามีลิ้นชักข้างในสำหรับเก็บของมีค่าของสำคัญ มีจดหมายของแมกกินนี ๒ ฉบับวางอยู่ มารศรีหยุดมองแล้ววางกล่องลง คว้าซองจดหมายมาซุกซองลงในเสื้อหันมา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
พระชาญชลาศัยมีแววรักแต่เปี่ยมทิฐิจึงทำเมินไป
มารศรีมองอย่างรักและน้อยใจผิดหวังก่อนยิ้มหยันแล้วพาตัวเองออกไป
นายไม้นั่งอยู่บนรถที่ติดเครื่องรออยู่ คนใช้หญิงชายตั้งแถวส่ง มารศรีขึ้นรถแล้วดึงซองจดหมายจากอกมาดู ทันใดนั้นแม่ผินก็พรวดมาบนรถ กระซากซองไป
“กะอยู่แล้วว่าแกต้องขโมยเงินคุณพระซุกซ่อนมาในนม”
แม่ผินตรงมาที่รถแล้วกระชากซองไป มารศรีตาวาวตามติดเข้าแย่งซองคืน
“นังขี้ขโมยต่ำเหมือนเลนตม”
“เอาคืนมา”
มารศรีแย่งคืนมาได้ แต่แม่ผินยังแย่งยื้อ คนใช้หญิงชายกรูมาดู
“ไอ้อีทั้งหลายมาช่วยฉันซียะ”
ไอ้อีทั้งหมดได้ยินดังนั้นเลยตัดสินใจไม่ช่วย มารศรีสะบัดจนแม่ผินหมุนคว้าง มารศรีได้จังหวะถีบก้น แม่ผินลอยถลาลงไปในอ่างบัวขนาดใหญ่ หน้าทิ่มลงไปก้นโด่ง บัว สมพงษ์ไปช่วยดึงขึ้น แม่ผินมีเลนพอกหัวดำไปถึงไหล่ บนหัวมีดอกบัวบานสีขาวโรยราหักติดมาประดับอยู่ ราวกับจะสำแดงอาการของพรหมจารีหมดอายุ
“ว้าย คุณแม่บ้าน” บัวร้องขึ้น
“ต่ำเหมือนเลนตม” สมพงษ์ย้ำ
มารศรียิ้มให้แม่ผินแล้วขึ้นรถไป แม่ผินร้องวิ้ดยาวคล้ายวิสัญญีเปรต
ภายในโถงบ้านธรรมนูญภักดี นิดนั่งราบกับพื้นกราบลงขอโทษพระยาธรรมนูญที่นั่งหน้าเฉยอยู่บนเก้าอี้ นักสืบประสงค์ยืนกุมเป้าเยื้องไปทางด้านหลัง
“นิดขอประทานโทษที่ทำให้ใต้เท้าต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นๆ มานั่งนี่ เอ้า ประสงค์มานั่งด้วยมา”
นิดลุกมานั่งเก็บมือเก็บเท้าสำรวม ประสงค์ตามมานั่งบนโซฟาอีกตัว
“ขี้ปากชาวบ้านอะไรกัน เมื่อวานไปสโมสร เพื่อนฝูงฉันทักกันให้เกรียว บางคนมายกนิ้วให้ฉันเป็นเต้ย ฉันงงอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกออก”
ประสงค์อมยิ้ม นิดยิ้มไม่ค่อยออกเพราะรู้ว่า พระยาธรรมนูญพูดเล่นเพื่อปลอบใจ
“บ้านเมืองเรา ตาแก่ตัณหากลับไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอก ที่ฉันห่วงน่ะคือเราต่างหาก”
“ชาวบ้านก็ไม่ได้เชื่อไปเสียทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ เพราะหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จ้องเล่นงานแต่ดิฉันมาหลายครั้งแล้ว”
“ว่ายังไงประสงค์”
“ที่ผมสืบมา ตัวเอดิเตอร์หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ไม่ถูกกับคุณบุญมา ยิ่งคุณบุญมามาทำโฆษณาให้ละครคุณนิดก็ยิ่งเติมเชื้อลงไปอีก”
“คุณบุญมาก็เคยพูดให้ดิฉันฟังเหมือนกัน”
“แต่ไม่ใช่แค่นั้นครับ นายเอดิเตอร์คนนี้ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณรตี”
นิดยิ้มนิดๆ
“เพื่อนสนิทกึ่งผู้ติดตามของคุณสุวลีน่ะหรือคะ”
“ครับ”
พระยาธรรมนูญภักดีถอนใจแล้วบอก
“ฉะนั้นสายสนกลในเป็นยังไง เธอก็น่าจะเดาได้”
“คุณเธอจะเล่นงานดิฉัน ยังไงก็ไม่น่าดึงใต้เท้ามาเสื่อมเสียด้วย”
“ปู้โธ่ เสื่อมเสียอะไร ข่าวแบบนี้ล่ะที่ทำให้ชีวิตไม่จืดชืด”
นิดยิ้มแล้วบอก
“ค่ะ พรุ่งนี้ดิฉันต้องไปออกงานให้เป็นข่าวเหมือนกัน”
บริเวณพระบรมรูปทรงม้าเด่นสง่า พระที่นั่งอนันตสมาคมประดับไฟแพรวพรา บรรยากาศงานฉลองรัฐธรรมนูญประจำปีเป็นงานใหญ่มหึมา มีการออกร้านจากสมาคม หน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ร้านค้ามีการตกแต่งประดับประดาแข่งกัน ตามซุ้มประดิดประดอยเป็นคอนเซปท์ต่างๆ บ้างก็ใช้ต้นไม้ดอกไม้ , ธงทิว , โบว์ผ้า คนที่มาเดินส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางขึ้นไป แต่งตัวแต่งผมมาประกวดประชันกัน แม้ยังไม่ถึงยุคมาลานำไทย ก็มีการแต่งแฟชั่นหมวกนานาชนิดไม่แพ้งานดาร์บี้ของอังกฤษ
งานฉลองรัฐธรรมนูญ สวนอัมพร ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
เวลากลางคืน สรรค์และบุญมาใส่สูทสากล นิดสวมชุดราตรีเรียบหรู แก้วใส่สูทแบบผู้ชายแต่อกเสื้อแขนเสื้อมีระบายให้ดูหญิงเดินมาด้วยกัน บรรดาคนที่เดินสวนมาตาโต ต่างร้องทัก
“วนิดา วนิดาจริงๆ ด้วย ใช่จริงๆ เธอสวยจังเลย”
“วนิดาขอถ่ายรูปหน่อยนะครับ”
นิดต้องหยุดยืนกับแก้ว สรรค์กับบุญมาขยับถอยออกมา เพียงครู่เดียวก็มีคนกว่าสิบคนมามุงขอลายเซ็น คนหนึ่งถือกล้องมีดวงแฟลชโด่มาด้วย ขอถ่ายรูป นิดกับแก้วยืนยิ้มให้ถ่ายรูป แสงแฟลชสว่างพึ่บ เสียงแฟนคลับดังเซ็งแซ่
“ไม่ต้องไปสนใจข่าวลือนะวนิดา อย่าไปใส่ใจ ช่างหัวมัน”
“เราไม่เชื่อข่าวลือหรอก เราเลิกซื้อหนังสือพิมพ์บ้านั่นไปแล้ว”
นิดยิ้มมากขึ้นปรายตามองดูสรรค์ที่ยิ้มให้
ร้านๆ หนึ่งมีการแสดงภาพที่เข้าประกวด ทางเข้ามีป้ายคำขวัญตัวใหญ่ “รัฐธรรมนูญจงถาวร” สรรค์ นิด แก้วและบุญมาเดินมาถึงทางเข้าที่ตกแต่งด้วยดอกไม้งดงาม
“จะมีการประกาศผลเมื่อไหร่คะ” นิดถาม
สรรค์ดูนาฬิกา
“อีกราวๆ ชั่วโมงนึงครับ”
“อีกตั้งชั่วโมงนึงแล้วให้ฉันมาทำไมป่านนี้” แก้วว่า
“ก็ให้มาดูรูปก่อนไงครับ” สรรค์บอก
“ไม่ดูล่ะเบื่อเห็นแล้วเห็นอีก”
แก้วหันมาหาบุญมาบอก
“นี่ ไปเดินเที่ยวกับฉันดีกว่า ฉันอยากลงเรือตูม อยากขึ้นรถไฟอยากไปยิงปืน อยากเข้าเขาวงกต แล้วก็อยากคล้องห่าน”
“เวร มีเวลาชั่วโมงเดียวนี่นะ” บุญมาว่า
“แหม รางวงรางวัลช่างมันเถอะ ท่าทางคงไม่ได้หรอก” แก้วบอก
“แล้วกันคุณแก้ว”
สรรค์ทำตาค้อนๆ แก้ว แก้วทำไม่รู้ไม่ชี้ นิดขำสรรค์
“ไปซี ไปไหนก็ไป” บุญมาบอก
“ดีจัง”
แก้วคว้ามือบุญมาลากหายไปในฝูงชน สรรค์กับนิดมองตามแล้วอมยิ้ม
“ไปดูรูปคุณน้อยกันดีกว่า”
“ดูรูปคู่แข่งของคุณสรรค์ก่อนดีกว่าค่ะ”
สรรค์กับนิดเดินดูรูปที่แสดงในงาน ปากคุยไปด้วย
“เมื่อคืนผมฝันประหลาดมาก ผมฝันว่าผมไปเที่ยวงานวัดกับคุณน้อย”
นิดแอบดีใจ
“ยังไงคะ”
สรรค์ทบทวนความฝัน... งานวัดวันงานสงกรานต์
“มันเป็นวัดเหมือนวัดบ้านนอกมีผมเดินเที่ยวกับคุณน้อย คุณแก้วแล้วยังมีผู้ชาย 2 คนเหมือนเป็นพี่ชายคุณน้อย”
นิดตื่นเต้นดีใจ เสียงประกาศผลรางวัลกำลังเริ่มต้นขึ้น
บริเวณมุมหนึ่งจัดเป็นยกพื้นเตี้ยๆ มีไมโครโฟน ประธานในงานกำลังประกาศผลรางวัล
ที่นั่งด้านหน้ายกพื้นตั้งเก้าอี้เรียงเป็นแถว แถวหน้าเป็นเก้าอี้หุ้มผ้าขาวมีริบบิ้นทองหรูหรารับแขกผู้ใหญ่และผู้มีเกียรติ มีผู้เฒ่า ๓-๔ คน สรรค์และนิดนั่งอยู่ด้วย
“รางวัลชมเชยเป็นของนายฉัตร วิจิตรกุล”
สรรค์และนิดปรบมือ นิดเอียงหน้าคุยกับสรรค์
“ในฝันนั่นยังมีอะไรอีกคะ”
“เหมือนผมกับคุณน้อยไปก่อพระเจดีย์ทราย”
นิดปลาบปลื้มยิ้มสุขใจ สรรค์ยังคงพูดลำดับความฝันออกมา
“ในฝันยังมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ท่าทางใจดี ผมเกิดรู้ขึ้นมาเองว่าคือคุณแม่ของคุณน้อย”
นิดน้ำตาคลอนึกถึงแม่ที่จากกันมากว่าปี แต่สุขใจที่สรรค์จำได้ นิดหันหน้าไปซ่อนน้ำตาที่คลอออกมาด้วยความตื้นตัน
ท่านประธานการประกวดยืนประกาศที่ไมโครโฟน ด้านหลังมีภาพเขียน ๓ ภาพซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าอยู่
“ต่อไปเป็นการประกาศผลภาพเขียนรางวัลชนะเลิศและรอง ๒ อันดับ ในคืนนี้คณะกรรมการได้รับเกียรติจากดาราขวัญใจประชาชนมาร่วมงานด้วย”
คนในงานฮือฮา บางคนไม่รู้ว่านิดมาด้วยก็ชะเง้อดูอยากรู้ว่าเป็นใคร เมื่อเห็นนิดปรากฎตัวก็ฮือฮากัน นิดยิ้มนิดๆ สรรค์มองอย่างชื่นชม
“ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เข้าประกวดภาพหนึ่งก็เป็นภาพที่เธอเป็นแบบด้วยจึงขอเชิญวนิดา ขึ้นมามอบรางวัลแก่ผู้ชนะและรองในโอกาสนี้”
นิดลุกขึ้นจากที่นั่ง ผู้คนปรบมือกราว นิดก้าวขึ้นไปบนยกพื้น นักข่าวช่างภาพถ่ายรูปกันแฟลชปะทุพึ่บพั่บ ที่บริเวณทางเข้า บุญมาลากแก้วเข้ามา แก้วถือตุ๊กตุ่น ตุ๊กตาที่ได้รางวัลมาด้วย ทั้ง ๒ คนแทรกผู้คนเดินไปหาสรรค์
“ปู้โธ่ เขาประกาศไปจะถึงรางวัลที่ ๑ แล้ว” บุญมาบอก
“อุ้ย นายเสียมไม่ได้หรอก” แก้วว่า
บุญมาและแก้วมาตรงหน้าสรรค์พอดี สรรค์ลุกขึ้นเชิญให้แก้วนั่ง
“นายเสียมอะไร”
“เปล่า ฉันพูดว่าคุณสรรค์ไม่ได้หรอก”
“ให้กำลังใจกันจัง ขอบคุณมาก” สรรค์บอก
บนยกพื้นนิดกำลังมอบโล่สลักชื่อเล็กๆ ให้กับรองอันดับหนึ่งที่เป็นศิลปินร่างตัวผอมบาง รูปภาพทั้ง ๒ รูปถูกเปิดผ้าคลุมแล้วเหลือเพียงรูปตรงกลาง บุญมามองดูรูปที่ปิดผ้าอยู่แล้วถาม
“รูปสาวน้อยของนายหรือเปล่าวะ”
“ไม่รู้ซี”
“ไม่ใช่หรอก รูปที่คลุมผ้าใหญ่กว่าตั้งเยอะ” แก้วว่า
ท่านประทานยิ้มแป้นกับนิด
“ส่วนรางวัลชนะเลิศได้แก่...”
ผู้ช่วยบนเวที ๒ คนรอจังหวะ ท่านประทานพยักหน้า ผู้ช่วยทั้ง ๒ คนก็ตลบผ้าออก รูปสาวน้อยรูปที่ 2 ตั้งเด่นอยู่
“...รูปสาวน้อย ของสรรค์ โพธิธารา”
นิดยิ้มดีใจจนน้ำตาคลอหันมาดูสรรค์ บุญมาหัวเราะดึงสรรค์ลุกขึ้น แก้วกระโดดยืนร้องวิ้ดตบมือไม่หยุด ผู้คนปรบมือกราวมองดูสรรค์และนิด นักข่าวช่างภาพถ่ายรูปกัน ผู้คนร้องกันเซ็งแซ่
'วนิดาแจกรางวัลให้รูปตัวเอง’ , ‘ดูวนิดาไม่แต่งหน้าเลยในรูป’ , ‘รูปสวยมาก’ , ‘ตัวจริงสวยกว่า’ , ‘รูปสวยกว่า’ , ‘ตัดสินลำเอียง’ , ‘ปากเหรอ ระวังโดนตบ’
สรรค์ก้าวไป นิดถือถ้วยเงินใบเล็กๆ ในมือมอบให้สรรค์ สรรค์รับมามองนิดอย่างตื้นตัน นิดยิ้มให้ แก้วตบมือหนักอย่างไม่กลัวมือหัก ดีใจอย่างสุดซึ้ง บุญมามองอย่างหมั่นไส้
“เมื่อกี้ ยังแช่งให้มันแพ้อยู่ไม่ใช่หรือ”
“ไม่เคยได้ยินที่เขาว่า ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือเหรอ”
นิดก้าวมายืนข้างสรรค์ทางด้านหนึ่งของรูป บุญมากับช่างภาพอื่นๆ มารุมถ่ายรูป นิดยิ้มให้สรรค์
กลางดึก ผู้คนเริ่มซาลง พวกสรรค์กลับไปหมดแล้ว สุวลีก้าวมายืนที่หน้าจุดแสดงภาพ สายตาพิศวง มียิ้มเยาะ รังเกียจ หวาดหวั่นปะปนกันไปหมด ตรงหน้าคือรูปสาวน้อยรูปที่ 2 แขวนเด่นอยู่ที่ผนังของงานแสดงภาพ มีโบว์แดงติดอยู่ที่รูป นิดในรูปดูคล้ายมองตรงมาที่สุวลี
“ยิ่งรูปนี้ยิ่งเหมือนมัน สมัยเป็นนังบ้านนอกชาวเกาะคอยทำงานงกๆ อยู่ที่บ้านธรรมนูญภักดีไม่มีผิด” มะลิว่า
มะลิก้าวมายืนเคียงดูรูปกับสุวลี คุณเฟื่องยืนเยื้องไปทางเบื้องหลัง มีคนมาดูรูปบ้าง สุวลีมองด้วยแววตาริษยาแต่ยอมรับ
“สวยเหลือเกิน”
“ต้าย แม่คุณ ใจกว้างกระไรเช่นนี้ ยังไปนิยมชมชื่นมันอีก”
“สุไม่ได้หมายถึงแบบ แต่สุพูดถึงรูปนี้ต่างหากคะที่งามเหมือนสรรค์ทุ่มเทชีวิตจิตใจทั้งหมดลงไป สวยกว่ารูปส...”
สุวลีมีแววยอกแสยง ริษยา โกรธ น้อยใจ และรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แม้เกือบพูดว่าสวยกว่ารูปสุ แล้วก็ชะงัก คุณเฟื่องและมะลิรู้โดยนัยว่า สุวลีนึกเปรียบกับรูปตัวเอง
มะลิใส่ไฟทันที
“มันกล้าแต่งตัวเป็นชาวบ้านให้พ่อสรรค์วาดรูป มันจงใจให้หนูจำมันได้ สม .. มันคงคิดเปิดศึกกับหนูแล้ว”
“สงครามครั้งนี้ สุไม่แพ้หรอกค่ะ”
สุวลีเชิดหน้าเรียกความมั่นใจคืนกลับมาแล้วสบตากับนิดในรูปอย่างไม่หวั่น
จบตอนที่ ๒๗
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง ตอนที่ ๒๗
๑ สันนุราช - ตัวละครจากเรื่อง “คาวี”
๒ คลิเช - cliche' หมายถึง สำนวน ภาษา หรือความคิดเห็นที่ใช้กันบ่อยจนเฝือ
๓ ตะพานช้างโรงสี หมายถึง สะพานช้างโรงสี หน้ากระทรวงมหาดไทย เรียกชื่อนี้เพราะสะพานที่มีความแข็งแรงมากพอที่ช้างจะเดินข้ามได้ ส่วน “โรงสี” ที่พ่วงท้าย เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับโรงสีข้าวของฉางหลวงสำหรับพระนคร ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดให้สร้างสะพานช้างโรงสีขึ้นใหม่ เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างเสร็จใน พ.ศ.๒๔๕๓
สาวน้อย ตอนที่ ๒๘
บัตรเชิญร่วมงานแฟนซีสวมหน้ากากวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๒ ที่บ้านเนาวรัตน์ ถูกออกแบบเป็นรูปหน้ากากอย่างหรูหรางดงาม มารศรีนั่งอยู่โถงบ้านเช่าของนิดในชุดอยู่บ้านดูสวยงาม มารศรีลดบัตรเชิญในมือลง นิดและแก้วนั่งอยู่ตรงข้าม
“งานแฟนซีสวมหน้ากากเชียวหรือ คราวนี้เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ” มารศรีถาม
“เพื่อแสดงความยินดีที่รูปของคุณสรรค์ได้ที่๑ ในงานรัฐธรรมนูญไงคะ”
“ไม่ใช่จัดขึ้นเพื่อเล่นงานเธออีกหรือ คราวก่อนเขาทำอะไรเธอไม่ได้ คราวนี้เขารู้แล้วว่าเธอเป็นใคร คงเตรียมเล่นงานเธอหนักขึ้นไปกว่าเดิม”
“หนูทราบค่ะ แต่ว่าหนูไม่กลัว”
“แกน่ะอวดเก่งอีกแล้ว แต่เอาก็เอา ฉันไปด้วยช่วยกันเต็มที่”
มารศรี นิด แก้วสบตากันแล้วยิ้ม
“ไม่เสียแรงที่ฉันเคยช่วยเธอไว้จริงๆ นะ”
“คุณคือราชสีห์ที่ช่วยชีวิตหนูไว้ แต่หนูยังไม่ได้ช่วยคุณตอบแทนเลย มีแต่ทำให้คุณต้องลำบาก”
“ใครว่า ที่เธอให้ฉันพักอยู่ด้วยก็ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้ไหมว่าฉันได้ส่วนแบ่งจากโรงละครตั้งเท่าไหร่”
“หนูดีใจค่ะที่คุณมาอยู่ที่นี่กับหนู”
“ฉันไม่เห็นดีใจเลย เธอรู้ไหมฉันต้องลำบากแทบแย่” มารศรีแกล้งพูดล้อเล่น
“ยังไงคะ”
“พอพี่เสียมของเธอมาที ฉันต้องวิ่งหลบเป็นนางอายน่ะซี”
นิดยิ้ม แก้วหัวเราะเยาะสะใจ
“แต่คุณสรรค์ก็ยังไม่มาบ่อยเท่าคุณบุญมา วันก่อนฉันต้องไปคุดอยู่ก้นครัว” มารศรีว่า
แก้วอายจนหน้าแดงและหุบยิ้มไป นิดหัวเราะบ้าง มารศรีรู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ที่บ้านเนาวรัตน์บรรยากาศกลับหนักอึ้งเคร่งเครียด พระยากีรติหน้าบึ้งตึงยืนอยู่กลางห้อง คุณหญิงบัวผันนั่งอยู่ที่โซฟา สุวลีนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว คุณเฟื่องยืนอยู่ข้างหลัง บรรดาคนใช้ต้นห้องถูกไล่ออกไปจนหมด
“งานแฟนซีสวมหน้ากากอะไรของเธออีก”
“พ่อบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า เราไม่มีปัญญาจะจัดงานอะไรฟุ่มเฟือยแล้ว”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม สุต้องจัดงานนี้ค่ะ” สุวลีเชิดหน้าแล้วยืนยัน
“ถ้าลูกอยากจัดงานให้พ่อสรรค์ก็จัดงานเล็กๆ ไม่ต้องเอิกเกริกซีจ้ะ” บัวผันว่า
“แค่นี้ก็เล็กกว่าที่สุตั้งใจแล้วค่ะ”
พระยากีรติมีสีหน้าขมขื่น บัวผันมองลูกสาวอย่างไม่เชื่อสายตา สุวลียืนขึ้นอย่างเย็นชาแล้วบอก
“ถ้าเจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ลำบากใจนัก ลูกก็จะหาเงินมาจัดงานเอง”
“เธอจะไปหาเงินทองมาจากไหน”
“คุณธนาเคยออกปากไว้ค่ะ ว่าถ้าสุเดือดร้อนก็ให้บอก เขาเต็มใจช่วยสุทุกอย่าง”
พระยากีรติหน้าเผือดเซไป คุณหญิงบัวผันลุกขึ้นมาพาพระยากีรติไปนั่ง
“สุขอตัวก่อนนะคะ คุณเฟื่องขาไปเตรียมงานกับสุกันเถอะค่ะ”
“ค่ะ คุณน้อง”
สุวลีกรายออกไป เฟื่องตามไปด้วยอย่างจงรักภักดี พระยากีรติมีสีหน้าขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ฉันเลี้ยงลูกยังไงมันถึงกลายเป็นเทวดาอย่างนี้”
“ดิฉันต่างหากคะที่ผิด ที่ปล่อยให้แม่เฟื่องให้ท้ายแกขนาดนั้น”
คืนที่บ้านเนาวรัตน์จัดงานอีกครั้ง ตัวบ้านถูกประดับไฟหลากสีสันดูแพรวพราว แต่บรรยากาศของหน้าหนาวกลับดูมืดมนอึมครึม
ภายในห้องจัดเลี้ยงถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีแจกันดอกไม้ประดับมากกว่าปรกติเพื่อให้ดอกไม้ปิดบังข้าวของที่ลดน้อยลง ที่ด้านหนึ่งมีวงดนตรี นักดนตรีใส่สูทดำทั้งชุดสวมหน้ากากดำเรียบๆ ที่ใกล้ๆฟลอร์รูปสาวน้อยตั้งเด่นอยู่บนขาตั้ง
สรรค์ในชุดสูทราตรีแบลกไทยืนอยู่ แขกในงานมาร่วมงานกันพอสมควรแล้ว แขกที่มาส่วนใหญ่แต่งชุดสากลและราตรีสวมหน้ากากพวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งแต่งแฟนซีเป็นตัวละครต่างๆ
บริเวณหน้างานแขกทะยอยเดินเข้ามา คนรับใช้ชายคอยแจกหน้ากากให้แขกที่เข้างานมา บุญมาใส่สูทแบลกไทสวมหน้ากากดูหล่อกว่าทุกครั้ง บุญมาก้าวมาหาสรรค์ที่กำลังมองไปยังผู้คนที่มาร่วมงาน
“มีแต่แขกเด็กๆ นะ ไม่มีแขกผู้ใหญ่”
“เห็นว่าเจ้าคุณกีรติท่านเบื่อไม่อยากมาแกร่วอยู่ในงาน” บุญมาว่า
“ฉันเองยังเบื่อเลย ไม่รู้ว่าสุจะต้องจัดงานให้สิ้นเปลืองทำไม”
“เหอะน่า ถือซะว่าแกมาโฆษณาร้านของแก แน่ะคุณสุมาแล้ว”
สรรค์และบุญมามองไปเห็น สุวลีก้าวลงบันไดมาด้วยแต่งชุดสวยแสนอลังการ ชุดนั้นเป็นแบบฝรั่งโบราณ คอกว้าง รัดอก กระโปรงสุ่มบานเต็มบันได ผมเกล้าอย่างพิสดารประดับเพชรและขนนกสวมเครื่องเพชรของธนาครบเซท สร้อยคอ ต่างหูระย้า กำไล และแหวน
ธนากับนพคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งก็มองไปตามไป แขกที่มาร่วมงานต่างมองตามกันไป ทุกสายตาชื่มชมในความงดงาม เพริดพรายของผู้เป็นเจ้าภาพ เสียงเยินยออื้ออึงดังขึ้นรอบกาย
“โอ้โฮ ชุดอะไรนี่” นพพูดขึ้น
ธนายิ้มแล้วตอบประชด
“พระนางมารี อังตัวเนตต์มั้ง”
สุวลีเดินลงมาถึงฟลอร์ สรรค์ บุญมา ธนา นพ เข้าไปต้อนรับ อนงค์ รตีถลาเข้ามาสมทบอีก
“ว้ายสุ สวยจังเลย” อนงค์ว่า
“ขอบใจ เธอก็สวย” สุวลีบอก
“ฉันสวยกว่า” รตีแขวะ
อนงค์กับรตีค้อนกันตาคว่ำ สุวลีกรายตัวผ่านไป บริกรในงานถือถาดวางหน้ากากมา สุวลีหยิบอันประดับเพชรและขนนกมาก่อน คนอื่นก็ต่างหยิบกัน
สุวลีหันมาหาสรรค์ ส่งหน้ากากอีกอันให้
“สวมหน้ากากซีคะ”
สรรค์รับมาแล้วบอก
“เดี๋ยวผมค่อยใส่ก็แล้วกัน สุ”
สุวลีหันมาหา ธนาหยิบหน้ากากมาพูดอย่างยิ้มๆ แบบรู้ทัน
“แล้วจะมีการกระชากหน้ากากเอ้ย เปิดหน้ากากกันตอนไหนหรือครับ”
สุวลีมองค้อนแล้วบอก
“เที่ยงคืนค่ะ”
ธนาพรายยิ้มอย่างขบขัน บุญมาเริ่มรู้สึกแปลกๆ นึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
บุญมาจิบเครื่องดื่มอยู่กับสรรค์ด้วยสีหน้าตากังวล ครั้นกวาดสายตามาองไปที่หน้างานก็เห็นแขกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีกล้องถ่ายรูปและไฟแฟลชคล้องคอเข้ามา ๖-๗ คน ทุกคนเดินเข้ามารับหน้ากาก รวมทั้งนักข่าวคู่แข่งของบุญมาด้วย
“พวกนี้มันนักข่าวนี่มาจากทุกสำนักเลย”
อนงค์ รตี สุวลียืนอยู่ด้วยกัน รตีมองดูกลุ่มนักข่าวแล้วโบกมือทักทายลูกพี่น้องลูกน้องซึ่งเป็นคู่แข่งของบุญมา รตีถามสุวลี
“เธอว่าแม่วนิดาเค้ามาแน่นะ”
“งานแบบนี้ แม่นั่นไม่ยอมพลาดหรอก”
อนงค์ไม่รู้เรื่อง ชะเง้อคอรอวนิดาด้วยความจงรัก
“อยากรู้จังว่า วนิดาจะแต่งเป็นอะไร”
ทันใดก็เกิดเสียงอื้ออึง ฮือฮาจากกลุ่มแขกที่อยู่หน้างาน
“วนิดา, วนิดามาแล้ว, แต่งเป็นใครน่ะ ชุดแปลกจัง”
แขกในงานเริ่มมีการเคลื่อนไหว บางคนกรูเข้าไปดู อนงค์รีบวิ่งแจ้นอย่างเร็วจนชนกับสรรค์หน้ากากที่สรรค์ถืออยู่กระเด็นตไป ผู้คนที่กรูกันต่อมา เตะหน้ากากของสรรค์กระเด็นหายไป
รตีกับสุวลียืนเชิดหน้าอยู่
สรรค์กับบุญมามองไป ธนากับนพมอง, เสวกมอง , สุวลีกับรตีมอง , กลุ่มนักข่าวมอง สรรค์มองไปก็ผู้คนแยกออก นิดในชุดสีขาวบางก้าวมาแล้วหยุดยืน ทุกสายตาจ้องมองดูก็เห็น นิดเกล้าผมขึ้นเป็นกรอบแล้วปล่อยเป็นช่อหลายหลอดมา
นิดมองมาที่สรรค์ที่ยืนมองอยู่แล้ว ภาพเทวีแห่งแรงดลใจแวบเข้ามาในภวังค์ของสรรค์
ทันใดนิดก็พลันสะบัดผ้าบางออก ชุดขาวข้างในเป็นชุดเทพธิดากรีกเปลือยไหล่ข้างหนึ่งเห็นเนินอก กระโปรงยาวทิ้งตัวกรอมเท้า เครื่องประดับกลับเป็นดอกไม้สดสีสันงดงาม นิดขยับตัวเห็นว่า ชุดแหวกสูงจนเห็นเรียวขา คนในงานฮือฮากันเซ็งแซ่
“โอ้โห ชุดเทพธิดากรีก” อนงค์ว่า
“มิวส์ เทวีแห่งแรงดลใจ” สรรค์พึมพำ
นิดสบตาสรรค์ที่ยิ้มให้ นิดยิ้มตอบด้วยประกายดวงตาสุกใส นิดกวาดตามองส่งยิ้มไปที่สุวลีที่กำลังกรายตัวเข้าไปหา ธนามองดูสุวลีแล้วอมยิ้มอย่างนึกสนุก
สุวลีเข้าไปยิ้มหวานทักทายส่งมือให้นิด แต่แววตาของทั้งสองซ่อนนัยยะที่รู้กันเพียงสองคน
“นึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว”
“คุณก็จะผิดหวังแย่ซีคะ”
บริกรถือถาดหน้ากากค้อมตัวเข้ามา สุวลีผายมือไป นิดยิ้มแล้วบอก
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่ชอบสวมหน้ากาก”
สุวลียิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น
“หรือคะ ไม่น่าเชื่อ”
“ค่ะ คนที่ชอบสวมมันคงไม่เข้าใจ”
เสียงเพลงไพเราะดังก้องอยู่ในห้องจัดเลี้ยง สุวลีถือหน้ากากขนนกประดับเพชรดูลึกลับ เต้นรำกับสรรค์ด้วยลีลาสง่า คล่องแคล่วและไหวพลิ้ว
“สนุกไหมคะ สรรค์”
“ครับ ขอบใจสุมากที่จัดงานให้ผม”
“เพื่อสรรค์ สุทำได้ทุกอย่างค่ะ”
สุวลีพูดแฝงนัย แต่สรรค์ไม่รู้ยิ่งรู้สึกผิด
“บุญคุณของสุ ผมตอบแทนยังไงก็ไม่หมด”
ธนาเต้นรำกับนิดแล้วเฉียดมา สุวลีหันไปมอง ธนาหยุดตรงหน้าสุวลี
“คุณสุ ขอให้ผมได้รับเกียรติ”
ธนาโค้ง สุวลีอึ้งไปเล็กน้อย สุวลีส่งสายตามองนิดแล้วยิ้ม ทว่าดวงตาแข็งกร้าว
“ค่ะ ธนา ฝากสรรค์ครู่นึงนะคะ” สุวลีพูดกับนิด
“ค่ะ แต่ดิฉันไม่ทราบว่าครู่นึงนานแค่ไหน”
สุวลีชะงักยังไม่ทันตอบโต้ ธนาพาสุวลีหมุนออกไป เหลือนิดเต้นรำอยู่กับสรรค์
“ทำไมคุณถึงไม่สวมหน้ากาก”
“เพราะดิฉันสวมหน้ากากจนเบื่อแล้วน่ะซีค่ะ เดี๋ยวหน้ากากศกุนตลา เดี๋ยวหน้ากากเงือกน้อย แม้แต่หน้ากากวนิดาอันนี้”
“แล้วตัวจริงๆ คุณคือใครกันแน่”
นิดยิ้มแล้วบอก
“ซักวันคุณก็จะรู้เองค่ะว่า ที่จริง ฉันคือใคร”
ธนามองตาเยิ้มเต้นรำอยู่บนฟลอร์กับสุวลีอย่างคล่องแคล่ว เครื่องเพชรของธนาฉายประกายระยิบระยับ สุวลียิ้มอยู่หลังหน้ากาก
“คืนนี้ คุณสุระยิบระยับกว่าเครื่องเพชรที่สวมอีก”
“ขอบคุณค่ะ สุขอบคุณคุณจริงๆ สำหรับทุกอย่าง ถ้าไม่มีคุณก็คงไม่มีวันนี้”
“แต่ผมคงไม่อยู่หลังฉากไปตลอดหรอกนะครับ”
ธนาพูดอย่างมีนัยยะ สุวลีเมินหลบไม่ได้เห็นสายตาธนาหลังหน้ากากที่มองสุวลีเหมือนลูกไก่ในกำมือ
ร่างกระทัดรัดในชุดราตรีสีสดใส ผมเกล้าสูงใส่เครื่องเพชรชิ้นเล็กวูบวับ สวมหน้ากากยืนมองบุญมาสอดส่ายสายตาหาแก้วอยู่ บุญมาจำร่างนั้นไม่ได้ยืนเกาหัวแกรกกรากอยู่
บุญมามองหน้าที่ใส่หน้ากากตรงหน้า ร่างนั้นอมยิ้มภายในหน้ากากที่สวมอยู่แล้วแกล้งเดินชน
“ว้าย” แก้วแกล้งอุทานส่งเสียงหวานกว่าปกติ
บุญมาจำไม่ได้
“ขอประทานโทษครับ คุณ”
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ” แก้วพูดเสียงหวานยิ่งขึ้น
แก้วเดินกรายบิดสะโพกเกินงาม บุญมาแปลกใจ พลางนึกในใจ...ใครวะ พิลึก!
แก้วถือจานไปที่โต๊ะบุพเฟต์แล้วตักอาหารมาสุมบนจาน บุญมาชักคุ้นมองๆ แก้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง แล้วคว้าผ้าเช็ดปากมาเหน็บคอแล้วกินอย่างยัดทะนาน บุญมาถอนใจเฮือก แน่ใจว่าเป็นแก้วแน่ก็รีบลงไปนั่งด้วย แก้วชะงัก รีบวางท่าหวานใหม่
“ว่างไหมครับนี่”
“เชิญค่ะ”
บุญมานั่งลงแล้วสะดุ้งมองไปเห็นซอสเปื้อนแก้มแก้วอยู่
“เอ้อ ขอโทษนะครับ คุณมีซอสเปื้อน”
“หรือคะ ออกหมดหรือยังคะ”
แก้วประจงเอาผ้าเช็ดปากมาแตะๆ มุมปาก บุญมาเซ็งคว้าถาดเงินมาส่องให้ แก้วตาเหลือก
“ตายห่า” แก้วร้องขึ้น
“อ้าว อย่าหลุดบทผู้ดีซีเธอ”
แก้วปลดหน้ากากแล้วมองค้อน บุญมาเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้ แก้วอสยจนหน้าแดง
“หมดแล้ว”
บุญมาพูดแล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นแก้วแต่งหน้าครบครันนวลเนียน ดวงตาเข้มขนตายาว ปากเต็ม
“สวยจัง” บุญมาเผลอตัวเอ่ยขึ้น
“อะไรสวย”
“หน้ากากที่เธอใส่ไง”
แก้วหุบยิ้มใส่หน้ากากกลับเข้าที่หน้าแล้วลุกพรวดไป บุญมาตบปากตัวเองเดินตาม
แก้วเดินลิ่ว บุญมาเดินตาม รตีกับอนงค์ที่ยืนคว้างอยู่เห็นบุญมาก็ดีใจ
“อุ้ย คุณบุญมา”
รตีวิ่งนำไป อนงค์รีบตาม บุญมาเดินง้อแก้ว
“ฉันขอโทษ”
แก้วทำท่าสูงส่งอย่างดอกฟ้าแล้วบอก
“เอามือหยาบกร้านของคุณออกไปจากแขนอันบอบบางของฉันนะ”
บุญมาทั้งขำทั้งทุเรศ อนงค์รตีมาถึงตัวบอก
“คุณบุญมาขา เต้น...อุ๊ยนี่ใครกันคะ”
สองนางเชิดใส่แก้วเพราะสวยกว่า แก้วยิ้มร่า
“ดิฉันชื่อแก้วมณีค่ะ”
“ชื่อไม่คุ้นหน้าไม่คุ้น เป็นใคร มาจากไหนยะ พวกปลอมปนเข้ามาแอบกินฟรีหรือเปล่า” รตีบอก
“นี่ เธอ”
“ทำไม”
“อย่าเสียงดังครับ อายเค้า” บุญมาเตือน
“ก็บอกมาซีคะว่า แม่นี่เป็นใคร” รตีคาดคั้น
แก้วยังไม่ทันตอบ บุญมาแย่งตอบก่อน
“คนรักของผมครับ ไป ที่รัก ไปเต้นรำ”
พูดแล้ว บุญมาก็คว้าแขนแก้วควงออกไป
แก้วโดนลากออกไป รตีกับอนงค์หน้าแตก ใจสลายในบัดดล
นิดยืนมองดูรูปสุวลีที่ติดเด่นอยู่ห่างออกไป พลางก้าวเข้าไปใกล้ๆ อย่างช้าๆ สุวลีเดินเข้ามาอีกด้าน นิดก้าวเข้าไป ดวงตาประสานกันอย่างไม่ลดละจนมายืนประจันหน้ากันที่หน้ารูปสุวลี
“รูปนี้สวยมากนะคะ” นิดบอก
“จริงใจ หรือพูดไปตามมารยาทคะ”
“ดิฉันปากกับใจตรงกันค่ะ ไม่ใช่คนปากอย่างใจอย่าง”
“ดิฉันก็เช่นเดียวกันค่ะ ไม่ชอบคนมาตีหน้าหลอกกัน”
“ถ้าอย่างนั้น คุณจัดงานนี้ขึ้นเพื่ออะไรล่ะคะ”
นิดมองตอบสุวลีปากยิ้มแต่ดวงตาฟาดฟัน เสียงนาฬิกาเรือนใหญ่เริ่มตี บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี สุวลียิ้มโหดร้ายขึ้นทันที
“อยากรู้ใช่ไหมคะ งั้นก็ตามฉันมาเลย”
สุวลีหมุนกาย เดินไปที่ด้านหน้าฟลอร์ที่มีไมโครโฟนตั้งอยู่ นิดยิ้มๆอย่างไม่กลัว เดินตามไปห่างๆ
วงดนตรีทำเพลงเปิดตัว สุวลีก้าวมาบนเวทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เที่ยงคืนแล้ว ถึงเวลาถอดหน้ากากได้แล้วค่ะ”
คนในงานร้องเฮ ดนตรีทำเพลงรื่นเริง มีลูกโป่งโปรยลงมาในงาน แขกในงานวิ้ดว้ายแล้วถอดหน้ากากกัน
“ขอเชิญคุณวนิดาบนเวทีด้วยค่ะ”
คนในงานฮือฮาปรบมือกราว สรรค์มองหานิดที่ยิ้มก้าวขึ้นบนเวที สุวลีปรบมือพลางขยับถอย นักข่าวกรูกันมาหน้าเวทีถ่ายรูปแฟลชพึ่บพั่บ นิดยิ้มสู้แต่ก็ตาพร่าพราย ข้างล่างสรรค์ บุญมา แก้ว อนงค์ รตี ธนา นพมองดู
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
ทันใดก็ร่างหนึ่งก้าวพรวดมาบนเวที นิดหันไปมอง ดวงตาพร่าเห็นเป็นเงาดำ
“มีความสุขนักใช่ไหมนังตัวดี”
สาวน้อย ตอนที่ ๒๘ (ต่อ)
นิดจำเสียงได้ มะลิประชิดตัวตบนิดฉาดจนนิดเซไป นักข่าวกระหน่ำถ่ายรูป สรรค์ บุญมา และแก้วพรวดไปประคองนิด แยกมะลิออกไป แก้วกำหมัดแน่นบอก
“แกนะซี อีตัวดี”
สุวลีเสแสร้งตกใจ
“คุณน้า นี่มันอะไรกันคะ”
มะลิร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“น้าขอกระชากหน้ากากให้ทุกคนรู้ว่าตัวจริงนังวนิดาคือใคร”
สรรค์ประคองนิดไว้ นิดมองดูมะลิและสุวลีแล้วยิ้มเยาะอย่างรู้ทัน
“ฉันคือใครคะ” นิดถาม
มะลิพูดก่อนหันไปหานักข่าว
“แกคือคนทำให้ดิฉันบ้านแตกสาแหรกขาด...มันเคยเป็นบ่าวในบ้านดิฉัน แต่ยั่วยวนเจ้าคุณธรรมนูญ จนได้เลื่อนชั้นกลายเป็นเมียบ่าวในบ้าน”
คนในงานร้องฮือ นักข่าวถ่ายรูปกัน ทุกคนมองนิดเป็นตาเดียว
“แค่ขโมยผัวยังไม่พอ มันยังมาขโมยเครื่องเพชรดิฉัน ดิฉันจึงต้องแจ้งตำรวจจับมันติดคุก”
เสียงร้องฮือดังขึ้นอีก
“อีตอแ...” แก้วโพล่งขึ้น
นิดเตือน “จุ๊ๆ แก้ว”
นิดยืนนิ่ง แก้วเต้นท่าทางฮึดฮัดเต็มที่
“ท่านเจ้าคุณลุ่มหลงมัน ใช้เส้นสายจนมันหลุดคดีออกมาลอยหน้า มันออกมาล้างแค้นจนดิฉันต้องหย่าขาดกับท่านเจ้าคุณ แล้วให้ท่านเจ้าคุณใช้อิทธิพล ทั้งปลุกทั้งปล้ำจนมันได้เป็นนางเอกโด่งดัง”
นักข่าวคู่แข่งบุญมาถามนิด
“จริงไหมครับ วนิดา ที่คุณเคยเป็นสาวใช้บ้านธรรมนูญภักดี”
“ค่ะ แต่ว่า”
นักข่าวถามต่อ
“แล้วคุณเคยต้องคดีลักทรัพย์จนเคยติดคุกติดตะรางจริงไหมครับ”
“ค่ะ แต่”
รตีส่งเสียงดังลั่นซ้ำ
“ก็แปลว่าที่คุณหญิงมะลิพูดมา ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง”
เพียงเท่านั้น นักข่าวอื่นก็ถามกันเซ็งแซ่ บรรดาแขกในงานก็วิจารณ์กัน ผู้คนครึ่งหนึ่งร้องกันเซ็งแซ่ อีกครึ่งยังไม่เชื่อ
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ” อนงค์พูดขึ้น
นิดนิ่งอั้นมองดูมะลิกับสุวลีที่ยิ้มบนหน้า
“ไม่จริง ฉันเป็นพยานได้ ฉันเองก็รู้เรื่อง ฉันจะแฉให้หมด” แก้วบอก
“แก้ว อย่านะ” นิดปราม
นักข่าวคู่แข่งบุญมาชี้หน้าแก้ว
“เฮ้ย พวกเดียวกันก็คงมาแก้ตัวให้กัน”
“อ้าวเฮ้ย พูดดีๆ นะ”
“คุณเองก็เหมือนกันคุณบุญมา คุณเองก็รับเงินเจ้าคุณธรรมนูญใช่ไหมถึงได้เขียนเชียร์วนิดาซะขนาดนั้น”
บุญมากระโดดลงมาชกเข้าเต็มหน้าจนนักข่าวตัวดีหมุนคว้างไป แก้วยกเท้าถีบซ้ำอย่างเหลืออด นักข่าวถลากลับไปถึงบุญมาที่รอสวนอยู่ นักข่าวหงายผลึ่งไปทับรตีๆ ที่ร้องวิ้ดดิ้นกระแด่วๆ อนงค์เชิดใส่
“สม”
ผู้คนเข้ามากันบุญมาและดึงรตีกับนักข่าวขึ้นจากพื้น นักข่าวเลือดกลบปากชี้หน้าบุญมากับ แก้ว
“พวกเดียวกันถึงได้เดือดร้อน กางขาผวาปีกปกป้องกันขนาดนั้น”
นิดกัดริมฝีปากแน่น สรรค์มองอย่างปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ว่ายังไง ผมก็จะอยู่ข้างคุณตรงนี้ตลอดไป”
นิดตาเป็นประกาย สุวลีมองมาเห็นพอดี มะลิลอยหน้าแล้วพูดต่อ
“ใช่ ทำผิดทำชั่วเอาไว้ เต่าใหญ่ไข่กลบ เชอะ”
“นั่นซี ยิ่งเต่าตัวใหญ่ขนาดเธอ กลบยังไงความชั่วก็ยังโผล่ออกมา”
เสียงนั้นทำให้ทุกคนชะงักไป พระยาธรรมนูญภักดีก้าวเข้ามามาพร้อมกับประสงค์และคนขับรถ
“ท่านเจ้าคุณ” นิดเรียก
มะลิร้อง “ว้าย” อย่างคาดไม่ถึง
มะลิหน้าซีดถอยหลังกรูดไปหาสุวลีที่ขยับถอยห่างมา พระยาธรรมนูญก้าวขึ้นบนเวทีมองดูนิดแล้วถาม
“เธอจะทำร้ายตัวเองเพื่อปกป้องเกียรติฉันไปถึงไหน”
นักข่าวตัวร้ายหน้าซีด รตีทำไม่รู้ไม่ชี้ นักข่าวอื่นถาม
“ท่านขอรับ ความจริงมันเป็นยังไงครับ”
“วนิดาเคยเป็นสาวใช้ของฉันจริงและก็เคยทำผิดจริงๆ”
ผู้คนร้องฮือ นิด สรรค์ บุญมา แก้วมองพระยาธรรมนูญที่กำลังพูดต่อ
“ความผิดนั้นก็คือ วนิดาเผอิญไปเห็นคุณหญิงมะลิเริงรักอยู่กับชายชู้”
ผู้คนร้องฮือ มะลิร้องวิ้ด สุวลียืนอึ้ง ธนายืนยิ้มกริ่มอย่างสะใจ
ภายในห้องนอน พระยากีรตินั่งซึมอยู่ที่โต๊ะหนังสือที่มีเอกสารโฉนดอยู่ตรงหน้า คุณหญิงบัวผัวกำลังดูแลเรื่องยาก่อนนอนให้แล้วพูดขึ้น
“จะตีหนึ่งแล้ว ทำไมไม่เลิกราเสียที”
มีเสียงเคาะประตู คุณหญิงร้อง “อุ้ย” ขึ้นเบาๆ
“มีอะไร” ท่านพระยาถามขึ้น
“อิฉันเองเจ้าคะ” วาดบอก
“เข้ามา”
วาดและเดือนเปิดประตูหน้าตาตื่นเข้ามาคุกเข่าลง
“ใต้เท้าเจ้าขา ข้างล่างเกิดเรื่องใหญ่เจ้าค่ะ” วาดบอก
สรรค์ยืนเคียงอยู่กับนิด แก้วเคียงกับบุญมา พระยาธรรมนูญยืนเด่น สุวลีและเสวกยืนด้วยกัน มะลิยืนตัวสั่นงันงก
“มีข่าวลือมากมายเหลือเกินเรื่องวนิดา แต่ข่าวที่ออกจากปากฉันตอนนี้คือข่าวจริง ฉันพระยาธรรมนูญภักดีขอรับวนิดาเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย”
นิดตกใจและยินดี แก้วอ้าปากค้าง สรรค์ดีใจเป็นอย่างมาก
“มีสิทธิ์ทั้งมวลในทรัพย์สินของธรรมนูญภักดี ณ ต่อแต่นี้ไป” พระยาธรรมนูญภักดีพูดต่อ
มะลิร้องวิ้ดก่อนจะทรุดฮวบลง นิดมองสุวลีที่ตัวสั่นเทาเดินเย็นชาเลี่ยงไป ธนามองตาม
สุวลีวิ่งเข้าไปในห้องแล้วปัดข้าวของ แจกันกระเบื้องลงจากโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ เศษแจกันกระเด็นไปบนพื้น สรรค์ก้าวเข้ามาตรงนั้นพอดี สรรค์คุกเข่าลงหยิบเศษกระเบื้องที่พื้นและมองดูสุวลีอย่างผิดหวัง
สุวลีหันมาเห็นสรรค์ก็เปลี่ยนท่าเป็นสวยใสบริสุทธิ์ตกใจและอับอายขึ้นมาแทน
“สุ นี่สุทำอะไรลงไป” สรรค์ถาม
“สุ ไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น สุไม่ทราบเรื่องวนิดากับคุณน้ามะลิมาก่อนเลย”
สรรค์มองดูสุวลีตบตาเล่นละครอย่างแนบเนียน สรรค์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“สุ แน่ใจหรือ เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นฝีมือสุที่มุ่งทำลายวนิดา”
“ไม่จริงนะคะ สุจะทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อสุรู้ว่า วนิดาไม่มีวันมาพรากเราจากกันได้ เพราะสุรักและเชื่อมั่นในตัวสรรค์ เหมือนกับที่สรรค์รักและมั่นคงต่อสุ”
สุวลีโผเข้ากอดสรรค์ สรรค์นิ่งอั้นกับบุญคุณจอมปลอม สุวลียิ้มในหน้า
ระหว่างนั้นรถทยอยเเล่นออกจากบ้านเนาวรัตน์หลังงานเลิก
แขกในชุดราตรีและแฟนซีเดินไปขึ้นรถเป็นทิวแถว ทุกคนต่างวิจารณ์กันแซ่แซ่ด ไฟที่ตัวตึกเริ่มดับลงที่ละจุด
ภายในห้องนอน สุวลีในชุดอยู่บ้านนั่งอยู่หน้ากระจก พลางถอดต่างหูระย้าวางลงในกล่องรวมกับเครื่องเพชรในเซท หน้าตานิ่ง เยือกเย็น
ยินเสียงประตูเปิดดัง ปัง!
สุวลีหันขวับไป เห็นพระยากีรติยืนเด่นด้วยหน้าตาที่โกรธจัด คุณหญิงบัวผันน้ำตาคลอ ยืนคู่กับท่านพระยาฯมองสุวลีอย่างตำหนิ ส่วนมะลิยืนตัวลีบอยู่ข้างหลัง
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง” พระยากีรติถาม
“เจ้าคุณพ่อ พูดเรื่องอะไรกันคะ ลูกทำอะไร”
“เธอทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ไม่เคยคิดถึงคนอื่น เธอวางแผนฉีกหน้าวนิดา แต่ลงท้ายก็กลับเป็นบ้านเราที่ต้องอับอายแทน”
“ไม่ใช่สุนะคะ คุณน้ามะลิต่างหากที่เป็นคนวางแผนทุกอย่าง”
“ว้ายไม่จริงนะคะ คุณพี่ ยายสุต่างหากบังคับให้ดิฉันทำ”
คุณหญิงบัวผันและพระยากีรติมองสุวลีอย่างขมขื่น
“ลูกนึกว่าแม่โง่ ไม่มีทางรู้ทันลูกใช่ไหม สุวลี”
สุวลีเชิดหน้าพูดอย่างแข็งกร้าว
“ก็นังละครเจ้ามารยานั่น มันเผยอมาทำตัวเทียมสุ มาแทรกกลางระหว่างสุกับสรรค์ มาสร้างปัญหาให้ชีวิตสุ สุต้องกำจัดมันไปให้พ้นทาง”
“สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับชีวิตลูก ก็คือตัวลูกเอง” บัวผันว่า
“และที่มากั้นกลางระหว่างเธอกับพ่อสรรค์ คือนายธนามากกว่า”
สุวลีตาเบิกกว้างตัวสั่น บัวผันสงสารลูก มะลิแอบยิ้ม สุวลีกับบัวผันร้องขึ้นพร้อมกัน
“คุณพ่อ” / “เจ้าคุณพี่”
“ถ้าพ่อสรรค์รู้เช่นเห็นชาติเธอเมื่อไร ฉันจะไม่ว่าเขาเลย ถ้าเขาเลือกคนอื่นมากกว่าเธอ”
พระยากีรติโกรธจนเหลืออดจึงตัดสินใจพูด สุวลีตาวาวร้องกรี๊ด
“เจ้าคุณพ่อ กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับสุ สุไม่ยอม”
สุวลีปาข้าวของแตกเปรื่องปร่าง คุณหญิงบัวผันเข้ายุดตัวไว้ สุวลีผลักบัวผันจนล้มกระเด็น
“ยายสุอย่าลูก ว้าย” บัวผันร้องขึ้น
“คุณพี่” มะลิร้องเช่นกัน
พระยากีรติก้าวไปตบหน้าฉาดจนสุวลีหน้าสะบัดไป พระยากีรติตบซ้ำ สุวลีถลาลงไปกับพื้น
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่า แกกล้าดียังไง นังสุวลี”
คุณหญิงบัวผันน้ำตาคลอเข้าขวางกีรติไว้และมองอย่างขอโทษแทน
“เจ้าคุณพี่ อิฉันขอเถอะค่ะ”
สุวลีพลันลุกขึ้นเซซังออกไปจากห้อง ครั้นบัวผันจะตามไปก็เห็นพระยากีรติเซไป บัวผันจึงหันมาคว้าตัวไว้
สุวลีวิ่งออกมาจากตัวบ้าน ลงจากเทอเรซวิ่งไปตามถนนในบ้าน ไฟหน้ารถสว่างขึ้นทางเบื้องหลัง รถธนาแล่นมาจอดตรงหน้า สุวลีชะงักหยุดยืนนิ่งและพยายามปรับสีหน้า ธนามองอย่างแปลกใจ
“คุณสุ เกิดอะไรขึ้นครับ”
สุวลีก้าวขึ้นรถธนา
“ธนาคะ พาสุไปให้พ้นบ้านนี้เร็ว ๆ เถอะค่ะ”
ธนามองนิ่งไม่ถามต่อแล้วออกรถไป สุวลีเบือนหน้ามองนอกหน้าต่างเลยไม่เห็นสีหน้าของธนาที่แท้จริง ไม่ได้แปลกใจเลย...
ภายในบ้านธนา...คฤหาสห์ที่ใหญ่หรูหรา แต่ออกจะดูเกินงามแต่แข็งกระด้าง
โถงบ้านของห้องนั้นมีโครงสร้างและองค์ประกอบแบบตึกฝรั่ง แต่ใช้เฟอนิเจอร์แบบจีนที่หรูหราจนเหมือนห้องโชว์มากกว่าที่จะเป็นบ้านคน ธนาพาสุวลีเดินเข้ามา คนรับใช้ชายหน้าตาจีนๆ ใส่ชุดคอกลมขาวสะอาด กางเกงขายาวสีกากีแบบคนรับใช้จีน เดินรับเสื้อนอกของธนา ก่อนมองดูสุวลีคล้ายประเมินค่า
พลุ่งพล่านของสุวลีจางลง มองดูทุกอย่างรอบตัวแล้วความรังเกียจก็พุ่งขึ้น สุวลีเดินไปหน้ารูปในกรอบ 4 รูป เป็นรูปปู่ย่าตายายของธนาในชุดแบบจีน มีป้ายสถิตวิญญาณครบด้วย สุวลีขยับถอยเท้าแล้วเซไปจนเกือบจะเหยียบศาลเจ้าที่ ธนาเข้าไปประคอง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณสุคงอยากพักผ่อน เชิญที่ห้องชั้นบนดีกว่า”
ธนาประคองสุวลีไป
ภายในห้องธนาดูคล้ายห้องชุดขนาดใหญ่ของโรงแรมหรูในยุโรป ไม่มีส่วนเป็นจีนเลย แต่ก็หรูหราเกินงาม ธนาเชิญสุวลีเข้ามา สุวลีกวาดตามองอย่างรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังดูไร้รสนิยมในสายตาของสุวลี
“สวยจังค่ะ”สุวลีพูดตามมารยาท
ธนารู้ทันแล้วบอก
“เหรอครับ ผมคิดว่าคุณสุจะติว่า ดูเกินงามแบบพวกนูโวริชซะอีก”
สุวลีเกือบสะอึก ธนาเชิญให้สุวลีนั่งลง มีถังเงินแช่เเชมเปญไว้แล้ว ธนาเปิดออกรินให้
“ดึกขนาดนี้แล้วนะคะ”
“แชมเปญอาจทำให้จิตใจของคุณสุสงบขึ้น”
สุวลีถอนใจ รับแก้วมา ธนาชูแก้วให้
“แด่ความเป็นเพื่อนของเรา แด่พลาโตนิกเฟรนด์ชิพ”
สุวลีรู้สึกดีที่มีคนเอาใจ เมื่อจิบแชมเปญก็ผ่อนคลายขึ้น ธนาจิบตามมองสุวลีด้วยสายตาแสนรัก
สรรค์มาส่งนิดที่บนระเบียง ไม้เลื้อยออกดอกเบ่งบาน ลมแรงพัด เมฆเบื้องบนป่วนปั่นราวความรู้สึกในใจสรรค์
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”
สรรค์กุมมือนิดไว้
“คุณน้อยรู้ไหมครับ เมื่ออยู่ใกล้คุณ ผมมีความสุข”
“ค่ะ”
“ตั้งแต่เราพบกัน คุณก็ช่วยผมมาตลอด”
นิดยิ้ม สรรค์พูดต่อ
“ผมเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ คุณก็ฉุดผมขึ้นมา เหมือนกับคุณให้ชีวิตใหม่กับผม ชีวิตที่มีชื่อเสียงและความสำเร็จ เกิดขึ้นได้เพราะคุณ”
“เลิกพูดเรื่องบุญคุณเสียทีเถอะค่ะ”
“ก็ได้ครับเพราะผมมีเรื่องอื่นจะพูด”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
สรรค์ดวงตาวาววาม นิดใจเต้นแรง
“คุณวางใจผม ให้ผมเป็นเพื่อนสนิทของคุณยิ่งกว่าชายคนไหน แต่ผมก็ยังทำตัวไม่สมกับที่คุณไว้ใจ”
“นี่คุณจะพูดอะไรกันแน่คะ”
สรรค์พูดคล้ายที่เสียมสารภาพ เมื่อปีกว่ามาแล้ว นิดใจเต้นวาบหวาม
“ผมทรยศความตั้งใจของตัวเอง”
“คะ”
“ผมรักคุณ คุณน้อย”
นิดสบตาสรรค์ ดวงตาสดใสปากแย้มเผยอ สรรค์ก้มลงจูบที่ริมฝีปากเนิ่นนาน ลมแรงพัดมารอบกายทั้งคู่ ชุดสวยและผมนิดพลิ้วสะบัดไหว กลีบดอกไม้โปรยปรายลงในสายลม
ภายในห้องธนา สุวลีหน้าแดงก่ำตาหรี่ปรือ ธนานั่งอิงแอบอยู่ สุวลียกแก้วดื่มแชมเปญจนหมด บนโต๊ะมีขวดแชมเปญกลิ้งอยู่ 2-3 ขวด ธนามองดูแล้วก้มลงจูบไหล่สุวลี
“อะไรกันคะ ธนา”
“จุมพิตฉันเพื่อนไงครับ”
“อย่า”
สุวลีผลักหน้าธนาออกไปพลางขยับตัวหนี แต่ด้วยความเมาก็หล่นลงจากโซฟา สุวลีเมาจนทรงกายไม่ไหว อ่อนระทวยอยู่ที่พื้น ธนาลุกขึ้นช้า ๆ ก้าวไปหา สุวลีขยับตัว กึ่งๆ จะคลานหนี จนไปเจอรองเท้าของธนาขวางหน้า สุวลีแหงนมอง ธนายิ้มตระหง่านมองอย่างสมเพช
“ธนา”
ธนาคุกเข่าลงแล้วสอดมือลูบผมสุวลี แต่กลับเหมือนจิกหน้าให้แหงนเงย
“ผู้ดีเวลาเมามายก็ไม่ต่างอะไรกับไพร่”
สุวลีแม้จะเมาแต่ก็งุนงงในคำพูดของธนา
“คุณพูดบ้าอะไร”
“ผมพูดว่า ผู้ดีเวลาเมามายก็ไม่ต่างอะไรกับไพร่”
ธนาพูดจบก็ก้มลงจูบอย่างหนักหน่วง สุวลีผวาพยายามดิ้น แต่วูบเดียวก็คล้อยตาม กอดรัดธนา ธนากดสุวลีราบลงกับพื้น ดึงทึ้งเสื้อผ้าสุวลีออกอย่างไม่ปรานีปราศรัย ธนาโน้มกายลงตาม...
สรรค์และนิดนั่งอิงแอบบนระเบียงไม้เลื้อยเบ่งบาน นิดมองดูเมฆมหึมาที่เคลื่อนอยู่เบื้องบน สรรค์มองตาม
“คุณน้อยไม่ยอมตอบว่ารักผมบ้างไหม”
นิดอายหน้าแดงพลางพยักหน้า สรรค์จับมือนิดมาจูบแหวนพลอยทอแสงจ้า
ภาพที่สรรค์สวมแหวนให้สุวลีแวบเข้ามา สรรค์อึ้งไปนิดหนึ่งแล้วบอก
“ตอนนี้ผมยังมีพันธะผูกพันอยู่ แต่ผมจะแก้ไขให้เร็วที่สุด”
นิดยิ้มอย่างมีชัย
“ค่ะ”
สรรค์จับมือนิดลุกขึ้นเดินลงบันไดมายังถนน
“ผมอยากจะอยู่จนฟ้าสาง แต่มันดึกเหลือเกินแล้ว คุณน้อยจะได้พักผ่อน”
“ไม่ดึกหรอกค่ะ ถ้าดึก ๒ คนนั่นต้องกลับมาแล้วซีคะ”
นิดพูดเล่นทำค้อนลมค้อนแล้ง สรรค์อมยิ้ม
“เอารถดิฉันไปก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืน”
สรรค์รับคำ ทั้งคู่หยุดยืนใกล้รถ สรรค์กุมมือนิด
“ผมขอให้คำมั่นต่อท้องฟ้า ดวงจันทร์ ดวงดาว” สรรค์บอก
“และก้อนเมฆ” นิดต่อ
สรรค์ยิ้มแล้วพูดต่อ
“และก้อนเมฆ ต้นไม้ใบหญ้า ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ว่าผมจะรักคุณน้อยตลอดไป”
สรรค์เอามือนิดมาจูบอีก เมฆเคลื่อนผ่านฟ้าไปไม่ขาดระยะ
ในเวลาต่อมา รถของนิดแล่นมาจอดหน้าบ้านโพธิธารา สรรค์ลงรถมาแล้วหยิบรูปสาวน้อยที่ถูฏคลุมด้วยผ้าจากหลังรถมาถือเดินเข้าไปในบ้าน
ภายในโถงบ้าน พระชาญชลาศัยยืนหน้าเคร่งอยู่ แม่ผินอยู่หลังเคาน์เตอร์หน้าตาเหมือนรออะไรอยู่ นาฬิกาบอกเวลาตีห้า สรรค์หอบรูปสาวน้อยที่มีผ้าคลุมเดินเข้ามาพอดี
“อ้าว คุณพ่อ ทำไมตื่นเช้าจังครับ”
“ช่างฉัน ว่าแต่แกเถอะ กลับมาเอาเกือบรุ่ง ไปไหนมา”
“ผมไปส่งคุณน้อยที่บ้าน แล้วก็เลย...”
สรรค์ยังพูดไม่ทันจบ คุณพระก็พูดเสียงดัง
“สุวลีลงทุนลงแรงจัดงานฉลองความสำเร็จให้แก แต่แกกลับไปค้างอ้างแรมกับวนิดาหรือ”
สรรค์อึ้งไปนิดหนึ่งและยังรู้สึกผิดต่อสุวลี พระชาญชลาศัยนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว
“ที่งานเกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้น ผมก็เลยต้องไปส่งเธอที่บ้านก็แค่นั้นเอง อ้อ คุณพ่อเคยเห็นรูปสาวน้อยของผมหรือยัง”
“ยัง! วันงานคนมันเยอะนัก คนมุงจนฉันคร้านจะดู แกอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง แกไปรักใคร่นอนค้างอ้างแรมกับวนิดาแบบนี้ ถ้าสุวลีรู้เข้าจะทำยังไง”
สรรค์อึ้งแล้วตัดสินใจพูดไป
“ผมคิดว่าผมจะถอนหมั้นกับสุวลีครับ”
พระชาญชลาศัยลุกพรวดขึ้น แม่ผินลืมตาโพลงวิ่งถลามา
“ไม่ได้ ฉันไม่ยอม นี่แกเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“โธ่ คุณหนู นี่มันทำเสน่ห์เล่ห์กลอย่างไร คุณหนูถึงได้หลงผิดไปขนาดนี้”
“ผมไม่ได้หลงผิด ผมรักวนิดาจริงๆ รักอย่างหมดหัวใจ”
“แล้วสุวลีเล่า”
“ผมเคยคิดว่าผมรัก แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่า นั่นคือความหลงไปกับคุณสมบัติเลิศเลอต่าง ๆ ของเธอเท่านั้น”
“อ้อ แล้วนั่นคือความผิดหรือ แกคิดดูซี สุวลีรักแก มั่นคงต่อแกคนเดียว บริสุทธิ์ผุดผ่อง และยังมีบุญคุณกับแกอย่างมหาศาล”
สรรค์ถอนใจยาว
“ผมทราบและซาบซึ้งอยู่เสมอครับ แต่ถ้าผมจะตอบแทนบุญคุณโดยการแต่งงานกับสุ ทั้งที่ใจผมอยู่กับคนอื่น โดยไม่มีวันจะรักสุได้ มันก็ไม่ยุติธรรมต่อสุเหมือนกัน”
พระชาญอึ้ง แม่ผินนิ่งคิดแล้วคร่ำครวญต่อ
“โธ่เอ๊ย คุณสุวลีที่แสนดี”
“ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่แกพูดหรอกนะ พระยากีรติคงมาถอนหงอกฉันหมดหัว”
สรรค์ถอนใจแล้วบอก
“ผมเหนื่อยเต็มที ผมจะขึ้นไปนอนก่อน”
สรรค์พูดตัดบทเดินไปที่บันไดและชะงักหันมา
“แม่ผิน พอเจ้าสมพงษ์ตื่นให้เอารูปขึ้นไปเก็บให้ผมด้วย”
ผินมองค้อนแล้วบอก
“ค่า”
สรรค์ขึ้นบันไดไปแล้ว แม่ผินก้าวมาใกล้รูปสาวน้อยที่มีผ้าคลุมปิดอยู่
“ไหนดูทีซิ มันลงอาคมผังรูปผังรอยไว้ที่รูปหรือเปล่า ถึงได้เพ้อเป็นวิหยาสะกำขนาดนี้”
แม่ผินตลบผ้าคลุมรูปขึ้นแล้วสะดุ้งสุดตัวร้อง
“ว้าย คุณพระ”
พระชาญชลาศัยกำลังอารมณ์เสียอยู่ถาม
“จะเรียกทำไม”
“รูปเจ้าค่ะ คุณพระ รูปนี่มัน...”
ผินเอารูปไปวางพิงกับผนัง รูปนิดมองตรงมา พระชาญหันมาเห็นก็ ผงะ!
“ใช่...ใช่มัน ใช่ไหมเจ้าคะ”
“วนิดาคือนังเด็กนิดหรือ”
พระชาญชลาศัยดูรูปนิดแล้ว ในใจก็ยิ่งสับสนอลหม่าน
ภายในห้องนอน นิดเปลี่ยนเป็นชุดนอนทิ้งตัวลงบนเตียงและถอนแหวนออกจากนิ้ว
“แหวนจ๋า พี่เสียมบอกรักนิด นิดชนะแม่ผู้ดีนั่นแล้ว”
นิดหลับตาแล้วพรายยิ้มอย่างสุขใจ
รุ่งเช้า … แสงแดดเช้าส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ทาบลงบนเตียงอันหรูหราฉลุฉลัก สุวลีนอนเปลือยเปล่ามีผ้าห่มปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ สุวลีค่อยๆกระพริบตาและลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจ แล้วผวาลุกตะครุบผ้าไว้แนบอก ธนาสวมกางเกงตัวเดียว อกเปลือยเปล่านั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือหันมามองสุวลี ก่อนลุกจากโต๊ะมาทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณสุ”
สุวลีหน้าเผือดพูดไม่ออก ธนามานั่งใกล้บนเตียง สุวลีขยับถอย ธนาเลิกคิ้ว
“ธนานี่ไม่จริงใช่ไหมคะ ไม่จริงใช่ไหม”
“คุณคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกนะครับ”
สุวลีตัวชา ธนาลุกขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมมาสวม
ทันใดประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก หญิงจีนวัย ๕๐ ร่างสูง ผอม หน้าตาเค็มและร้ายกาจ แต่งตัวแบบจีนดูหรูหราก้าวเข้ามา โดยมีหมวยสาวใช้นุ่งกาเกงแพรจีน 2 นางเดินตามหลังมา สุวลีผงะดึงผ้าขึ้นปิดถึงคอ
“อาตั่วตี๋ ลื้อพาใครมานอน พวกโคมเขียวหรือ” อาม้าถาม
“โธ่ ม้า ไม่ใช่หรอก”
แม่ของธนามายืนใกล้ๆเตียง มือโบกพัดในมือ มองสุวลีด้วยหางตาอย่างดูถูก สุวลีทั้งโกรธทั้งอายและเจ็บแค้น ธนาแนะนำ
“คุณสุ นี่ม้า คุณแม่ของผมเอง”
สุวลีตัวชา ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเมินหน้าไป แม่ธนามองดูแล้วก็เชิดใส่
“ลื้อไม่ต้องมาเเนะนำผู้หญิงแบบนี้ ม้าไม่อยากรู้จัก พวกใจง่าย ไป!”
แม่ธนาสะบัดหน้าพรืด สาวใช้ ๒ นางก็ทำอาการอย่างขี้ข้าพลอย จ้องมองสุวลีอย่างดูถูก เมื่อแม่ธนาเดินคอแข็งออกจากห้องไป ธนากลับมานั่งบนเตียง สุวลีตวาด
“เอาเสื้อผ้าฉันมาเดี๋ยวนี้”
ธนาหัวเราะเบา ๆ ถือเสื้อคลุมมามือหนึ่ง อีกมือถือชุดของสุวลี ราวกับจะให้เลือก สุวลีกระชากชุดของตัวเองมา ธนากุมมือไว้แล้วพูดอ่อนหวาน
“คุณสุ เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้เเล้ว ผมว่าคุณควรจะถอนหมั้นนายสรรค์ คืนของหมั้นไป แล้วเตรียมแต่งงานกับผมแทน”
สุวลีเชิดใส่ตวัดผ้าขึ้นแนบตัว ถือชุดเดินไปหลังฉาก ธนาเดินมาเกาะฉาก
“ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ผมควรไปคุยกับท่านเจ้าคุณเมื่อไรดี”
สุวลีกลัดกระดุมชุด ทั้งเจ็บใจ อับอาย สับสนจนน้ำตาคลอ
“คุณสุครับ”
สุวลีใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ก้าวออกมาจากฉากหลัง ตอบอย่างเย็นชา
“ไม่จำเป็นค่ะ คุณไม่ต้องทำอะไร สุเองก็จะไม่ทำอะไร เพราะเรื่องเมื่อคืนนี้...ไม่เคยเกิดขึ้น”
ธนาชะงักอย่างนึกไม่ถึง แล้วค่อยๆยิ้มเยาะ
“คุณคงถนัดเรื่องแต่งเรื่องหลอกใครๆ”
“คุณพูดอะไร”
“คุณแต่งเรื่องหลอกนายสรรค์ว่า คุณเป็นคนช่วยชีวิตมัน แล้วเรื่องต่อไปที่คุณต้องแต่งก็คือ คุณยังเป็นสาวบริสุทธิ์ในคืนวิวาห์”
สุวลีตบธนาฉาดจนธนาเซไป ธนาตาวาววับอย่างโกรธจัดแต่แล้วก็สลายไป ในวินาทีต่อมาธนาก็ฉายยิ้มบนใบหน้า
คนรับใช้ชายโผล่เข้ามาพอดี
“คุณชายใหญ่”
“ขับรถไปส่งคุณผู้หญิงไปที่บ้านเนาวรัตน์ ที่ใครๆ ก็รู้จักน่ะ”
“ครับ คุณชายใหญ่”
สุวลีตัวชา ธนาพูดยิ้ม ๆ ดวงตาไม่แยแส
“คุณกลับออกไปเองก็แล้วกัน ผมคงต้องนอนซักหน่อย เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้หลับได้นอนเลย”
สุวลีอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เดินฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ธนามองตาม ความรักไม่มีเหลือในดวงตาอีกแล้ว จะมีก็แต่ความแค้นและชิงชังเท่านั้น
โปรดติดตามอ่าน "สาวน้อย" ตอนต่อไป