xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 17

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 17

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเสี่ยจำเริญ เสี่ยจำเริญที่งัวเงียนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว เสาวภา อาม่า ต่างนั่งเบลอๆกัน

“เสี่ยคะ อี๊ ม่า เป็นไงกันมั่งคะ”
สุคนธรสถาม เสี่ยจำเริญส่ายหน้า
“เวียนหัว”
“อี๊เป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกยังกะสลบไปซะ 20 ชั่วโมง”
“ใช่ๆ หลับไปยังไงไม่รู้ตัวเลย ตอนหนูสุคนธรสไปปลุก ทำไมพวกเราถึงนอนในห้องนั้นกันล่ะ”
สุคนธรสเอาถุงชาสำเร็จรูปสีขาววางลงในถ้วยชา 3 ถ้วย ที่ตั้งไว้หน้าเสี่ยจำเริญ เสาวภา อาม่าแล้วเทน้ำร้อนลงไป
“ชาน้ำมนต์สำเร็จรูปของหลวงลุง...เสี่ย อี๊ ม่า ดื่มน้ำชานี่นะคะ แล้วจะรู้สึกสดชื่น หายมึนงงค่ะ”
เสี่ยจำเริญดื่มอย่างว่าง่าย คนอื่นทำตาม เคธี่เดินเข้ามามีไตรรัตน์ตามฉุดกระชาก
“อย่ามาบังคับกันนะธไรย์ คุณมันป่าเถื่อน ทำกะชั้นยังกับจำเลยรัก...”
“ผมต้องขอโทษทุกคน ที่หลังจาก ทุกคนหลับไปแล้ว ผมก็ยังทำไม่สำเร็จ”
“ทำอะไรไม่สำเร็จ บอกชั้นด้วยสิ บอกชั้นด้วยๆ”
“ฉันจะทำยังไงกะเธอดีนะ คาที่”
“เคธี่ย่ะ”
สุคนธรสชงชาอีกแก้ว
“ทุกคนคะ ตอนนี้ทุกคนคงชัดเจนแล้วว่าหมอสมคิดใช้วิธีไสยศาสตร์มนต์ดำ สะกดเจ๊หญิงให้ทำตามทุกอย่าง อย่างที่เค้าต้องการ”
“แบบนี้เอาตำรวจไม่จับมันเลย พวกเราทุกคนนี่แหละ จะเป็นพยานให้ว่ามันมีเวทมนต์จริงๆ”
“เรายังใช้กฎหมายจัดการกะเค้าไม่ได้ค่ะ ต้องแก้อาถรรพณ์ฝังรูปฝังรอยที่เขาทำกะเจ๊ก่อน เพราะฉันกลัวว่า...ถ้าเราเอาตำรวจไปจับเค้า เขาอาจใช้วิชามารอะไรทำกับเจ๊หญิง ให้มีอันตรายมากไปกว่านี้ก็ได้”
“แปลว่า ตอนนี้ หมอสมคิดมันมีดวงจิตของเจ๊หญิงเป็นตัวประกันงั้นเหรอ”
“เหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย คลายก็รอด”
“เธอ 2 คนกำลังทำอะไรก็บอกมาสิ ชั้นจะช่วย ชั้นยินดีร่วมมือทุกอย่าง” เคธี่บอก
“ผมจะไว้ใจคุณได้จริงๆ หรือ เคธี่” ไตรรัตน์ถามอย่างไม่ไว้ใจ
“ธไรย์...คุณไม่รักเคธี่แล้ว แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ใช่เหรอ”
“ผม...ไม่แน่ใจ”
“เป็นกันมากกว่าเพื่อนก็ได้ แต่ขอให้ภารกิจนี้จบก่อน แล้วชั้นจะไปเอง”
สุคนธรสบอกแล้วถือชาแก้วนั้นเดินขึ้นบ้านไป
“เดี๋ยวสิ สุคนธรส มันไม่ใช่อย่างนั้น” ไตรรัตน์รีบตามสุคนธรสไป สุคนธรสไม่สน วิ่งขึ้นบ้านไป ไตรรัตน์วิ่งตาม
ทุกคนมองตาม เคธี่นึกแค้น
“เวียนหัว...เวียนหัว...”
เสี่ยจำเริญบ่น เสาวภารีบเข้าไปดูแล
“ดื่มชาอีกสิคะ เฮีย”

ภายในห้องที่ขังเจ๊หญิง เจ๊หญิงนอนมองเพดานตาลอย สุคนธรสประคองเจ๊หญิงให้ดื่มชาถ้วยนั้น
“เจ๊คะ ดื่มชานี้หน่อยนะคะ”
เจ๊หญิงดื่มไปแบบไม่ค่อยมีสติ สัมปชัญญะ งงๆ
“ฉัน เป็นอะไรไป”
“เจ๊หิวไหมคะ อยากไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า”
ไตรรัตน์เปิดประตูเข้ามา
“ที่คุณพูดอย่างนั้น หมายความว่ายังไง”
“นี่...เปิดปิดประตูน่ะให้เบาๆ หน่อย เดี๋ยวผ้ายันต์หลุดแล้วก็ต้องมาเหนื่อยกันอีก”
ไตรรัตน์งับประตูไว้หลวมๆ ไม่ปิด
“ที่คุณบอกว่าคุณจะไป...”
“ก็ถ้าชั้นทำภารกิจสำเร็จ ชั้นก็ต้องไปสิ จะให้อยู่ไปทำป๊ะอะไรล่ะ นี่ คุณไปดูแลพ่อคุณไป๊ เดี๋ยวชั้นจะพาแม่คุณอาบน้ำมนต์ ล้างหน้าล้างตาซะหน่อย แล้วคืนนี้ เราต้องช่วยกันขุดหา ‘สิ่งนั้น ’ ต่อ”
เคธี่ย่องมาแอบฟังอยู่หน้าห้อง
“แล้วถ้าผมไม่ให้คุณไป”
“เอาล่ะๆ หยุด ชั้นจะไม่คุยอะไรกะคุณทั้งนั้น นอกจากเรื่องปราบหมอสมคิด เราต้องรวบตึงหาไอ้นั่นให้เจอในคืนนี้ จากนั้นชั้นจะทำพิธีแก้ไขอาการแม่คุณ โดยมีหลวงลุงช่วย จบมั้ย”
“สุคนธรส...คุณช่วยผมทำไม ถ้าคุณไม่ใยดีอะไร ในตัวผม”
ไตรรัตน์ดึงสุคนธรสมากอด เคธี่แอบดู ตาลุก แทบเป็นไฟปะทุ สุคนธรสเอามือยันอกไตรรัตน์ไว้
“ชั้นไม่ใยดีอะไรในตัวคุณทั้งนั้น ชั้นแค่อยากช่วยพ่อแม่คุณ พวกเค้าเป็นคนดี หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องดูแลครอบครัวและสมบัติของคุณให้ดี เราเผาใบเอกสารมอบอำนาจดูแลมรดกนั่นไปได้แล้วสมบัติของคุณปลอดภัยแล้ว และถ้าแม่คุณอยู่แต่ในห้องนี้ หมอสมคิดก็จะสั่งแม่คุณไม่ได้ คุณอย่ามารบกวนสมาธิชั้น ปล่อย”
สุคนธรสผลักจนไตรรัตน์เซไป แล้วหันมาประคองเจ๊หญิงลุก
“เจ๊คะ เราไปเข้าห้องน้ำกันค่ะ”
ไตรรัตน์ได้แต่มอง อ้ำอึ้ง

เคธี่กลับลงมาในครัวแล้วนั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปซ้วบๆ คำสุดท้ายจนหมดถ้วย ด้วยความหิว แล้วก็นั่งนิ่งๆ เช็ดปาก คิดหนัก เอาไงดี ทันใดนั้นมือถือดังขึ้นเคธี่ตกใจหยิบมาดูแล้วขมวดคิ้ว
“แม่...” เคธี่ทำใจสักพักก่อนจะกดรับ
“แม่...ก็ค่าถ่ายแบบคราวที่แล้ว หนูก็ให้เค้าโอนไปให้แม่แล้วไง หนูไม่เอาแม้แต่เหรียญเดียวนะ” เคธี่ฟังคำตอบแล้วตกใจ
“หา...หมดได้ไง ถ้าคิดเป็นเงินไทย มันก็หลักแสนบาทเลยนะแม่” เคธี่ฟังคำตอบแล้วถอนหายใจ
“แม่...แม่เลิก Bet เลิกเล่นพนันซะทีได้ไหม ไม่ว่าจะกัลโช่ อังกฤษ เยอรมัน ลี้กนั่นลี้กนี่เนี่ย แม่เลิกซะทีได้ไหม แม่บ้า Bet แบบนี้ ต่อให้หนูได้เป็นท็อปโมเดล หนูก็ช่วยอุดรูรั่วของแม่ไม่ไหวหรอก อะไรนะ เงินด่วน หา จะเอาเป็นล้านเลยเหรอแม่ หนูไม่ไหวแล้วนะ”

เคธี่กดตัดสายแล้วนั่งอึ้ง

 
เคธี่มายืนมองที่หน้าห้องเจ๊หญิงอย่างคิดหนัก สุคนธรส อาม่า เสาวภาเดินคุยกันเข้ามา เคธี่รีบแอบในมุมนึง

สุคนธรสเดินมาเช็คยันต์ว่าเรียบร้อยดีไหม
“ตราบใดที่เจ๊ยังอยู่ในห้องนี้ แกก็จะไม่เป็นอันตรายนะคะแล้วเสี่ยล่ะคะ”
“หลับไปแล้ว”
“เดี๋ยวอี๊ดูแลเฮียเอง ไม่ให้ใครเข้าไปรับกวนได้”
“ดีค่ะ งั้นขอหนูไปพักเดี๋ยว คืนนี้ราตรียังอีกยาว”
“ไปนอนเถอะหนู เดี๋ยวจะล้มป่วยไปอีกคน”
ไตรรัตน์เดินหาวมาพอดี
“ไปนอนไป๊ หนูสุคนธรส อย่าห่วงอะไรเลย กลางวัน พวกเราอยู่เวรให้เอง”
ไตรรัตน์รีบเข้ามา
“ใช่ๆ มาๆ ไปนอนกัน”
“พูดอะไรของคุณ”
เคธี่ที่ยังแอบอยู่ทำหน้าหมั่นไส้สุดๆ
“ผมพูดจริงๆ ไปนอนกัน เราสองคนยังไม่ได้หลับเลย ตั้งแต่เมื่อวาน”
“คุณก็ไปนอนของคุณ ชั้นก็ไปนอนของชั้น ไม่ต้องมาทำเป็นมั่วนิ่ม”
“แต่เตียงผมกว้างมากอะ นอนได้ 2-3 คน”
“ชั้นจะนอนโซฟาข้างล่าง ไปล่ะ” สุคนธรสเดินลงบันไดไป ไตรรัตน์วิ่งตาม “ตามมาทำไม ห้องคุณอยู่บนโน้น”
“คุณนอนโซฟา ผมก็จะนอนโซฟาด้วย”
“ประสาท”
สุคนธรสรีบไป ไตรรัตน์รีบตาม เสาวภากับอาม่าคิกคัก นินทาประมาณน่ารักจัง สมกันจัง อยากให้แต่งงานกันเร็วๆ เนอะ เคธี่ทำหน้าตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำอะไรมองไปที่ยันต์ 9 ชั้นที่ประตูห้องเจ๊หญิง

หมอวรวรรธพาเนตรศิตางศุ์ขี่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์มาตามถนน เนตรศิตางศุ์ซบหลังหมอวรวรรธนั่งซึมมาตลอดทาง หมอวรวรรธเหลียวหลังมาดูอย่างเป็นห่วง
หมอวรวรรธชะลอรถจอดที่มุมสวยๆ มุมหนึ่ง เนตรศิตางศุ์ลงจากรถเดินไปยืนมองออกไป หมอวรวรรธลงจากรถเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง
“ผู้หญิงที่หน้าเหมือนกัน 2 คนนี้มีชะตากรรมที่น่าสงสาร คุณใบหม่อนถูกวางยาตาย คุณวาโยเธอก็ตายอย่างสยดสยอง”
เนตรศิตางศุ์ตัวสั่น หมอวรวรรธจับไหล่ปลอบโยน
“เข้มแข็งไว้ครับ”
“เธอชูมือข้างซ้ายขึ้นมาค่ะ มันมีรอยแผลที่หว่างนิ้วมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา หน้าตาเธอดูเจ็บปวดทรมานมาก จากนั้นเธอก็กระอักเลือด แล้วไฟก็ลุกท่วมเธอจนไหม้ดำไปหมด หมอสันนิษฐานได้ไหม๊คะ ว่าอาการแบบนี้เธอเป็นอะไร?”
“คล้ายคนที่ได้รับพิษจากบาดแผลที่หว่างนิ้ว แต่ไฟคืออะไร ผมไม่เข้าใจ”
“ถ้างั้นเรากลับกันเถอะค่ะหมอ เนตรจะต้องรีบหาข้อมูลให้ได้ว่าคุณวาโย ใบหม่อน หมอรุทธ์...สามคนนี้ เกี่ยวข้องกันยังไง”
เนตรศิตางศุ์หันเดิน แต่หมอวรวรรธคว้ามือจับไว้แน่น เนตรศิตางศุ์ชะงักหันมามอง หมอวรวรรธฝืนยิ้มทั้งๆ ที่รู้สึกเศร้า
“ผมไม่อยากรีบกลับเลย เพราะยิ่งกลับเร็วเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งจากคุณเร็วเท่านั้น”
“หมอ...”
เนตรศิตางศุ์มองหมอวรวรรธอย่างอดเห็นใจเขาไม่ได้ หมอวรวรรธดึงเนตรศิตางศุ์มากอดไว้

หมอรุทธ์เดินลงมาที่ห้องเลี้ยงสัตว์ทะเล ไขกุญแจจะเปิดเข้าไปแต่ประตูเปิดออกจากด้านใน หมอรุทธ์ชะงักมองเห็นเป็นลาภที่เปิดประตูให้
“หมอไปไหนมาครับ?”
“แล้วแกล่ะไปไหนมา ไม่เห็นบอกฉันว่าจะมาที่นี่”
หมอรุทธ์ก้าวเข้าบ้าน โยนกุญแจรถ
“ผมมาให้อาหารสัตว์ทะเลพวกนั้นน่ะครับ”
“ดีมากลาภ ที่แกเอาใจใส่มัน นอกจากความงามของผู้หญิงแล้ว ไม่มีอะไรทำให้ฉันหลงใหลคลั่งไคล้ได้เท่าสัตว์มีพิษพวกนั้น ความงดงามที่เชิญชวนของพวกมัน ซ่อนเร้นไว้ด้วยพิษร้ายที่น่าอัศจรรย์ใจ หึๆ” หมอรุทธ์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี หันไปจับไหล่ลาภ “แกชอบอะไรมากกว่ากัน ระหว่างหอยเต้าปูนกับงูทะเลปล้องดำ”
“เออ ชอบ”
“ลืมไปว่าแกมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชั้นจะบอกให้นะไอ้ลาภ หอยเต้าปูน มันเคลื่อนที่ช้า มันจึงมีเข็มพิษเอาไว้ล่าเหยื่อ ทำให้เหยื่อหมดสติก่อนจะโดนกิน ส่วนงูทะเลมีพิษรุนแรง ทำลายระบบกล้ามเนื้อ ปากมันเล็กมาก มันจึงกัดเราได้เฉพาะตามง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้าเท่านั้น เป็นไงไอ้ลาภ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“ฟังแล้วตกลงแกชอบแบบไหนวะ”
“ชอบทั้งสองชนิดเลยครับ แล้วแต่ว่าเราจะใช้ให้เหมาะกับอะไร”

เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงบริษัทเนตรศิตางศุ์นั่งลงที่โต๊ะประชุมก่อนโชว์รูปจากมือถือให้เพื่อนๆ ดู ซึ่งเป็นภาพโกศและตัวหนังสือตัวใหญ่ วาโย วรรณภู
“วาโย วรรณภู” กรรณา
“จำวิญญาณผู้หญิงหน้าเหมือนใบหม่อนที่พวกเราเจอที่บ้านหมอรุทธ์ได้ไหม๊” กรรัมภา กรรณาพยักหน้า ส่วนก๊องส่ายหัว “เนตรไปเจอวิญญาณเธออยู่ที่วัด แล้วก็เจอโกศที่เก็บกระดูกของเธอด้วย นี่เป็นชื่อที่เขียนไว้ที่โกศของเธอ”
“อธิบายต่อสิยัยเนตร”
“ที่โกศเขียนไว้ว่าเธอตายมาตั้ง 7 ปีแล้ว แต่ใบหม่อนเพิ่งตายเมื่อปีที่แล้วเอง”
“ในโลกนี้มีผีหน้าคล้าย แบบคนหน้าคล้ายในข่าวบันเทิงด้วยหรอเจ๊”
“ก๊องช่วยเอาชื่อนี้ไปช่วยค้นหาประวัติแบบละเอียดให้ที”
“ครับผม”
ก๊องรีบเปิดคอมพิวเตอร์ กรรณาตบไปที่ไหล่กรรัมภา
“ฉันรู้สึกใจว่าคุณหมอรุทธ์ของแกกลิ่นเหม็นชักจะโชยหนักแล้วว่ะ”
“นี่หล่อนยังไม่เจอซากศพ แกอย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นหมอหรือเป็นหมู”
กรรัมภาแยกเขี้ยวใส่ กรรณาแยกเขี้ยว

ทางด้านณัฐเดช ขณะนั้นยังอยู่ที่ทำงานและคุยโทรศัพท์อยู่กับติณห์
“นี่ไอ้ติณห์ แกรนปาแกตายมานานมากแล้วนะเว้ย ถ้าไอ้คนที่ฆ่าท่านยังไม่ตายป่านนี้ก็คงแก่งั่กหูตาฝ้าฟาง อย่าว่าแต่จะตามไล่ฆ่าแกเลย จะกินข้าวก็คงไม่เหลือฟันไว้ให้เคี้ยว แล้วมันจะตามฆ่าแกได้ไงวะห่ะ”
“ญาณินบอกว่านายคมจะไขปริญญาเรื่องนี้ได้”
“ปริญญาอะไรวะ ปริศนาโว้ย”
“เออนั่นแหละ แต่ฉันไม่มั่นใจในความปลอดภัยของนายคม อยากให้แกช่วย”
“เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะจัดคนไปอารักขานายคมให้แกเอง”
“แท้งกิ้ว ฝากด้วยนะ...ใช่... เพราะเขาเป็นพวงกุญแจที่สำคัญพวงเดียวที่เหลืออยู่ ห๊า! อ๋อ...ไม่ใช้คำว่า “พวง” โอเค...ได้...”

ติณห์วางสายไป

 
อีกด้านที่รีวอร์ทริเวอร์มูน เพ็ญนภาเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดจนกระทั่งเปรมเดินเข้ามามองน้อง เครียดๆ

“เพนนี! หยุดร้องไห้ได้แล้ว แกเป็นบ้าอะไรห่ะ! ร้องไห้มา 3 วัน 3 คืนและเนี่ย”
“ใช่ ฉันกำลังจะบ้า เพราะพ่อเพราะพี่นั่นแหละละโมบอยากได้ที่ดินที่รีสอร์ทของเค้านัก ติณห์เค้าถึงได้เกลียดฉันฮือๆ”
เพ็ญนภาวิ่งร้องไห้ขึ้นห้องไป กำนันพงษ์ก้าวเข้าบ้านมาหาเปรมเพื่อยืมมือเปรมกำจัดติณห์
“คุณเปรม นอกจากที่มันทำให้น้องสาวคุณเป็นบ้าไปแล้ว ตอนนี้นายติณห์กำลังหาทางเอาคืนเสี่ยปิงพ่อคุณอีกด้วย มันจะไปแจ้งความ เรื่องที่ดินที่พ่อคุณครอบครองโดยไม่มีโฉนด”
“หา จริงดิ ชาติชั่ว”
“ผมว่า คุณเปรมควรชิงลงมือก่อน รีบให้ยาสั่งมันซะ”
เปรมหันมามองกำนันพงษ์งงๆ
“ยาสั่งอะไร”
“ก็แล้วแต่คุณเปรม ว่าจะเลือกใช้ยาสั่งแบบไหน”
“ไม่หยุดนะมึงไอ้ติณห์...เจอกูแน่”
กำนันพงษ์กับสนแอบมองสบตากันยิ้มๆ ที่แผนสำเร็จ

คืนนั้นญาณินนั่งพักหลังจากทำงาน เอาไพ่ออกมาทำนาย
“เพี้ยง...งานจะราบรื่นจะเสร็จมั้ยนะ” ญาณินตั้งสมาธิแล้วเปิดไพ่ออกมาเป็น
“สุดยอด ฮ่าๆ” ญาณินนั่งลงตั้งสมาธิต่อ “แล้วเรื่องความรักล่ะ ได้เจอเนื้อคู่หรือยัง”
ญาณินกำลังจะเปิดไพ่พอดี ได้ยินเสียงติณห์เรียกจากหน้าบ้าน ญาณินวางไพ่ลงบนโต๊ะ แล้วมีไพ่ใบหนึ่งค่อยๆ เลื่อนหลุดออกมาเป็นไพ่ The Lover แต่ญาณินไม่เห็น
“ญาณิน ญาณิน”
ญาณินเดินแปลกใจออกมาจากห้อง
“มีอะไรคะ”
“อย่านอนดึกนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเข้ากรุงเทพไปหานายคม”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ญาณินกำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ติณห์กลับดึงญาณินมากอดไว้
“กู้ดไนท์ครับ”
ญาณินตะลึงอยู่ในอ้อมแขนติณห์ ก่อนจะยิ้มมีความสุขกอดตอบติณห์ ป้าอรวรรณเดินอยู่ในบ้านมองออกไปเจอภาพนั้นพอดี ยิ้มมีความสุข ภูมิใจแทนญาณิน แล้วป้าอรวรรณก็เหลือบลงมาเห็นไพ่ The Lover ที่วางโชว์อยู่ ป้าอรวรรณหยิบไพ่ใบนั้นเก็บใส่สำรับดังเดิม

เปรมเปิดประตูห้องที่ปิดไฟมืดเดินเหี้ยมเข้ามาในห้องตัวเอง กดเปิดโคมไฟที่โต๊ะสว่างขึ้น เปรมเปิดลิ้นชักออกมาเห็นปืนออโตเมติกสีตะกั่ววางอยู่ภายใน เปรมหยิบปืนขึ้นมาปลดแมกกาซีนออกมาดูแล้วใส่กระสุนจนเต็มแมก
เปรมใส่แมกกาซีนกลับเข้าที่เดิม สองมือจับปืนตั้งท่าขบกรามเล็งท่ายิงหมายหมั่นจะเก็บติณห์
“ไอ้เปรมไม่เอามึงไว้แน่ ไอ้ติณห์”

คืนเดียวกันนั้นที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ กรรณา เนตรศิตางศุ์ ก๊อง กำลังมะรุมะตุ้มกันอยู่หน้าจอคอมฯช่วยกันค้นหาประวัติของวาโย วรรณภูกันอยู่ ในขณะที่กรรัมภานั่งกินน้ำอยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วเธอก็ทำหน้าขมปี๋
“นี่น้ำอะไร ขมปี๋เลย”
“น้ำคลอโรฟิลจากสารผัดผัก ฝีมือเนตรเอง หวานเป็นลม ขมเป็นยานะ” เนตรศิตางศุ์บอก
“อี๋”
อยู่ดีๆ ก๊องตะโกนโหวกแหวกขึ้นมา
“เจอแล้ว! เจอแล้ว! เย้...”
“ฮะ เจอประวัติผู้หญิงที่วาโยแล้วเหรอ เก่งว่ะก๊อง ไปหาเจอในไหน”
“ในแฟ้มข่าวอุบัติเหตุ ดูนี่ดิ” ทุกคนกรูมาที่หน้าจอคอมก๊อง แล้วก็เห็นพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์มีรูปรถที่คว่ำไฟไหม้ทั้งคัน “วาโย”ภรรยาหมอรุทธ์ แพทย์ศัลยกรรมชื่อดัง รถคว่ำตายสยอง ไฟไหม้ทั้งคัน”
“นั่นไง! ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นเมียหมอรุทธ์”
“รถคว่ำที่เชียงรายตั้งแต่ปี 48 เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ยังไงก็ไม่ใช่ใบหม่อนแน่”
“อยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เธอขับรถคว่ำได้ไง ยัยแก้ม ลองดูดิ”
“อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันเอามือแตะภาพข่าวจากในจอคอม บ้าเป็นไปไม่ได้หรอกที่ฉันจะมองเห็นภาพในอดีตจากจอคอมนี่”
“แต่สำหรับตำรวจอย่างพี่ อะไรที่ยังไม่ลองทำดู ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าทำไม่ได้”
ทุกคนช็อกอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าณัฐเดชมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ณัฐเดชมองหน้าเนตรศิตางศุ์นิ่งไม่แสดงอาการเหมือนที่ผ่านมา ทุกคนนิ่งเงียบรอว่าณัฐเดชจะพูดว่าอะไร เพราะรู้ว่าตัวเองมีความผิดปิดบังณัฐเดช
“ยัยแก้ม”
“คะ...คะ...”
“ลองดูสิ เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม”
ทุกคนหันหน้ามองกันไปมา เนตรศิตางศุ์พยักหน้าให้กรรัมภา กรรัมภามองหน้าณัฐเดช
“โอเค แก้มจะลองดู”
กรรัมภารวบรวมสมาธิ ก่อนจะยื่นมือไปแตะภาพข่าวรถคว่ำในที่จอคอม แล้วตากรรัมภาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพรถของวาโยที่วิ่งมาตามถนนเลียบเขาที่คดเคี้ยว วาโยกำลังขับรถไปร้องไห้ไปอย่างเศร้าๆ เพราะทะเลาะกับหมอรุทธ์ เสียงมือถือในกระเป๋าถือดังขึ้น วาโยใช้มือปาดน้ำตา ก่อนยื่นมือล้วงลงไปในกระเป๋าถือเพื่อควานหามือถือที่ใส่ไว้ในนั้น แล้วอยู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ง่ามนิ้ว

“ว้าย”

 
วาโยหดมือกลับอย่างแรง ทำให้ปากกระเป๋าคว่ำลง วาโยดูง่ามนิ้วตัวเองเห็นเป็นรอยรูเขี้ยว 2 เขี้ยวที่หลังมือ มีเลือดไหลออกมา

“อะไรกัดชั้นเนี่ย” วาโยตกใจ แล้วต้องช็อกเมื่อเห็นงูทะเลตัวหนึ่งลายปล้องดำขาวเลื้อยออกมาจากกระเป๋า เลื้อยหนีหายลงใต้เบาะไปอย่างรวดเร็ว “ว้าย งูๆ”
วาโยตกใจสุดชีวิตกรี๊ดลั่น แล้วก็เริ่มมีอาการเจ็บปวดเกร็งที่มืออย่างแรง ทำให้มือบังคับพวงมาลัยไม่เป็นถนัด รถขับส่ายไปมา วาโยเริ่มปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อแขนมากขึ้น และเริ่มกระอักเลือด มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ยิ่งทำให้วาโยตกใจ ยื่นมือไปหยิบมือถือเพื่อจะโทรให้คนช่วย
ขณะกำลังตั้งสติพยายามกดเบอร์โทรด้วยความยากลำบาก รถสิบล้อคันหนึ่งขับเลี้ยวโค้งมาอย่างเร็ว ขณะที่วาโยขับรถส่ายกินเลนไป เสียงรถสิบล้อกดแตรไล่ วาโยเงยหน้าขึ้นมองก็กรี๊ดลั่นหักพวงมาลัยหลบ จากนั้นภาพก็หมุนเคว้งตามรถที่คว่ำ

ณัฐเดชกำลังสันนิษฐาน โดยมีรูป Before และ After ของใบหม่อนแปะอยู่ในจอคอมต่อหน้าทุกคน
“พอคุณวาโยตายไปแล้ว หมอรุทธ์ก็เลยหาเหยื่อจากลูกค้าที่มาทำศัลยกรรมให้มีหน้าสวยเหมือนเมียตัวเอง”
“ซึ่งเหยื่อคนนั้นก็คือใบหม่อน”
“ไอ้หมอนี่โรคจิตชัดๆ”
“ทีนี้พอใบหม่อนตายไปแล้ว หมอรุทธ์ก็คงกำลังหาเหยื่อรายใหม่ มาทำศัลยกรรมหน้าให้เหมือนเมียตัวเองอีก ซึ่งเหยื่อคนต่อไปก็อาจจะเป็น...”
ทุกคนหันมาทางกรรัมภา แล้วพูดพร้อมกัน
“ยัยแก้ม”
กรรัมภายกสองมือจับแก้มตัวเองร้องลั่น
“อ๊าย! ไม่เอานะ เค้าสวยแบบเกาหลีอยู่แล้ว เค้าไม่อยากสวยเหมือนผี เดี๋ยวปาร์คจุนจีไม่ชอบ”
ณัฐเดชมือถือณัฐเดชดังขึ้น ณัฐเดชกดรับ
“ส่งมาแล้วเหรอ ทันใจจริงๆ ว่ะ ขอบใจมากนะเพื่อนที่ช่วยหาแฟ้มคดีให้” ณัฐเดชกดวางสายแล้วบอกกับก๊อง “รีบเปิดดูเมล์บริษัทซิ เพื่อนพี่ส่งข้อมูลคดีการตายของคุณวาโยมาให้”
“Yes Sir”
ณัฐเดชกับเนตรศิตางศุ์แอบสบตากัน เนตรศิตางศุ์รีบหลบสายตาณัฐเดช ก๊องรีบเปิดดูอีเมล์ เลื่อนดูเห็นรูปศพ รถ ในคดีอุบัติเหตุของวาโยและมีข้อมูลประวัติของผู้ตายแทรกอยู่
“คุณวาโยเคยอยู่ที่อเมริกา จนได้สัญชาติอเมริกัน พบรักกับหมอรุทธ์จดทะเบียนกันที่อิลลินอยส์เมื่อ 8 ปีก่อน พอพ่อแม่เธอเสียก็ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยกับหมอรุทธ์ได้ไม่นานก็ตาย”
ข้อมูลที่ก๊องอ่านทำเอากรรัมภาขนหัวลุก ลูบแขน
“อุย ขนลุกอ่ะ เท่าที่ฉันใกล้ชิดกับหมอรุทธ์มา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างหมอรุทธ์จะฆ่าคนได้”
เนตรศิตางศุ์ตัดสินใจพูดหลังจากอึดอัดมานาน
“วิญญาณคุณวาโยยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็อาจเป็นเพราะเธอยังมีบ่วงพันธการพันจิตใจเธออยู่ไม่ให้ปล่อยวาง เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าใครฆ่าเธอ แล้วสิ่งที่เหมือนกันระหว่างคุณใบหม่อนและคุณวาโย นอกจากจะใบหน้าเหมือนกันแล้ว ก็คือทั้งคู่เสียชีวิตเพราะพิษจากสัตว์ทะเล ซึ่งมีอยู่ในห้องใต้ดินบ้านหมอรุทธ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ยัยแก้มก็เคยบอกว่าคนที่ถือจดหมายขู่เนตรสวมถุงมือแพทย์ด้วย”
ทุกคนอึ้งกันหมด
“ว้าว”

เคธี่ยืนรอ ชะเง้อ ชะแง้อยู่หน้าบ้านเสี่ยจำเริญ สักพักมีรถตู้หรูแล่นมาจอด ประตูเปิดออก
“ขึ้นมา”
กล้าบอก เคธี่มองซ้าย-ขวา ไม่มีใครจึงรีบขึ้นไป ในรถตู้หมอผีสมคิดนั่งอยู่ เคธี่ขึ้นไปนั่งข้างๆ กล้าปิดประตู แล้วไปนั่งข้างหน้าข้างคนขับคือหาญ รถแล่นต่อไป
“หนูเคธี่นี่น่ารักจริงๆ เลย นี่จ้ะ เอกสารที่หนูต้องการ พวกมันเผาได้เผาไป ชั้นมีฉบับใหม่ ทดแทนเสมอ”
“แล้วถ้าหนูทำสำเร็จ อาจารย์สมคิด อย่าลืมหนูนะคะ”
“ฉันไม่ลืมแน่นอน สัญญาเลย ส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ตลาดหญิงจำเริญและนายไตรรัตน์ จะต้องแต่งงานกะหนู และอยู่ใต้กระโปรงหนูตลอดไป”
“หนูก็จะรับใช้อาจารย์สมคิดตลอดไปค่ะ” เคธี่กราบแทบอกหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดลูบผมไปมา กล้า หาญแอบดู คิกคัก

เสาวภากำลังจัดผลไม้ใส่จาน 2 จาน เคธี่เดินเข้ามา
“อาอี๊จะเอาไปให้ใครมั่งคะน่ะ”
“เอาไปให้เจ๊หญิงจานนึง แล้วก็เฮียจำเริญจานนึง”
“ให้เคธี่ช่วยไหมคะ”
“จะดีเหรอ”
“เคธี่รู้นะ อาอี๊ไม่ไว้ใจเคธี่”
“เอ้อ...ก็...”
“อาอี๊จะป้อนผลไม้ให้ทั้งสองคนเลยเหรอคะ ป้อนผัวที ป้อนเมียที...ต๊ายตาย...คงสนุกแย่”
“นั่นสิ เฮ้อ”
“เอางี้คะ ถ้าอี๊ไม่ไว้ใจ กลัวหนูจะไปช่วยเหลืออะไรเจ๊หญิง อาอี๊ก็เป็นคนเอาผลไม้ไปให้เจ๊หญิงเถอะ เคธี่เอาไปให้เสี่ยก็ได้”
“อือ งั้นก็ ก็...ก็ได้ ก็ดีเหมือนกัน”
เคธี่ยกผลไม้มาจานนึง แอบยิ้มสะใจ

เสี่ยจำเริญนั่งดูทีวีกับอาม่าอยู่ในห้อง เคธี่เคาะห้องแล้วเปิดเข้าไป
“อ้าว อาม่าอยู่นี่เหรอคะ”
“ผลไม้เหรอ เอามานี่ เดี๋ยวอั๊วจัดการเอง”
“อุ๊ย อาม่าคะ เป็นแม่ อย่ารับใช้ลูกเลยค่ะ อาม่าทำนั่นทำนี่มาทั้งวันแล้ว ไม่เมื่อยหลังหรือคะ”
“จะว่าไปก็เมื่อยเหมือนกัน”
“งั้นไปพักผ่อน เอนหลังเถอะค่ะ หนูดูแลเสี่ยเอง”
“ตามใจ งั้นอั๊วะไปอาบน้ำดีกว่า”
อาม่าลุกไป เคธี่มองจนอาม่าพ้นออกไปจากห้องจึงเดินยกจานผลไม้ไปหาเสี่ยจำเริญ
“เสี่ยคะ รับประทานผลไม้หน่อยไหมคะ” เคธี่บอกแล้วยกจานฟาดหัวเสี่ยจำเริญเต็มแรง
“อ๊าก” เสี่ยจำเริญล้มหงายไป

เคธี่รีบเก็บจาน ผลไม้ที่หล่น วางไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วหยิบเอกสารออกมาจากอกเสื้อ เคธี่ล้วงกระเป๋าหยิบหมึกสำหรับพิมพ์มือออกมา เคธี่จับมือเสี่ยจำเริญเอาหัวแม่มือปั๊มหมึกแล้วกดลงบนเอกสารแทนลายเซ็น
อ่านต่อหน้า 2

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 17 (ต่อ)

 
ขณะนั้นสุคนธรสกับไตรรัตน์อยู่ในสวนพยายามหาที่ฝังหุ่นฝังรูปฝังรอยของเจ๊หญิงแข่งกับเวลา


“หามา 2 คืนแล้ว ยังไม่เจอเลย มันมีแน่เหรอ ไอ้หุ่นฝังรูปฝังรอยที่คุณว่าน่ะ แล้วลักษณะมันเป็นแบบไหน”
สุคนธรสทำจมูกฟุดฟิดแถวๆ ดงโป๊ยเซียน
“บิงโก ฉันได้กลิ่นแล้ว”
ไตรรัตน์ชะงัก รีบเข้ามาหาสุคนธรส ดมแล้วทำหน้ายี้
“อึ๋ย กลิ่นขี้แมวน่ะเหรอ”
“นายก็! ฉันได้กลิ่นมันแล้ว แต่กลิ่นมันเคลื่อนที่ได้ แสดงว่าเจ้าของสิ่งนี้ มันไม่อยู่กับที่”
“อะไรนะ คุณอย่าบอกนะ ว่าหุ่นมันเคลื่อนที่เองได้อยู่ใต้ดิน”
สุคนธรสดีดนิ้วเป๊าะ
“ต้องเป็นอย่างที่นายพูดแน่ๆ หุ่นมันถูกลงอาคมให้เคลื่อนย้ายที่ตัวเองเพื่อไม่ให้ใครหาพบ”
ไตรรัตน์ถอนใจเซ็ง
“แล้วเราจะเจอไอ้หุ่นเนี่ยก่อนที่แม่ผมจะขนสมบัติไปให้ไอ้หมอสมคิดนั่นหมดหรือเปล่าล่ะ”
สุคนธรสทำจมูกฟุดฟิด วิ่งไปอีกทาง
“โฮย ทำไงดี มันเคลื่อนที่หนีเราตลอดเลย แบบนี้ไม่มีวันจับได้แน่”
แล้วตาสุคนธรสก็เหลือบไปเห็นแสงจันทร์ที่กระทบน้ำในอ่างบัว เธอแหงนหน้ามองไปที่พระจันทร์เต็มดวง
บนท้องฟ้า เลยนึกถึง
“แสงจันทร์! จริงซิ กระจก 6 ทิศ”
สุคนธรสรีบหยิบกระจก 6 ทิศออกมา กระจกในมือสุคนธรสส่องกระทบแสงจันทร์แว๊บวั๊บ
ขณะนั้นเคธี่แอบซุ่มอยู่หน้าห้องที่แปะยันต์ เสาวภาเปิดประตูออกมา
“เดี๋ยวชั้นมานะ เจ๊ แล้วจะมานวดให้ก่อนนอนนะจ๊ะ”
เสาวภารีบเดินไป เคธี่รอจนเสาวภากลับไปทางห้องตน มองซ้ายขวา แล้วยืนผงาด กระชากยันต์ของสุคนธรสออกมาทั้งหมด
ทันทีที่ยันต์หลุดเจ๊หญิงสะดุ้งตาเบิกโพลงขึ้น เคธี่เปิดเข้ามาแล้วอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นเจ๊หญิงยืนกางแขน ท่าคารวะสมคิด พลางสวดบริกรรมคาถาสรรเสริญสมคิดงึมงัม
สุคนธรสกำลังนั่งขัดสมาธิโดยวางกระจก 6 ทิศไว้ตรงหน้า ก่อนจะลืมตาขึ้นใช้ 2 มือยกกระจกสูงขึ้นเหนือหัว ทำให้แสงจันทร์ส่องกระทบกระจกเป็นลำแสง 6 แฉกส่องไปที่พื้นดิน ไตรรัตน์คอยลุ้นข้างๆ ไตรรัตน์เห็นภาพข้างหน้า แล้วทึ่งเมื่อเห็นแสงจันทร์ส่องมาตกกระทบกระจก แล้วสะท้อนกระจายออกไป ไล่ตามหาที่ซ่อนหุ่นฝังรูปฝังรอย เหมือนกับการสแกนหาโลหะ
“ว้าว มันทำงานแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอเนี่ย กระจกนี้น่ะ”
สุคนธรสเองก็ตะลึงเหมือนกัน

เคธี่พาเจ๊หญิงที่อยู่ในชุดนอนหนีบเอกสารไว้ในรักแร้ ย่องจะไปลงบันได อาม่าเดินถือถ้วยชาขึ้นบันไดมา เคธี่รีบพาเจ๊หญิงแอบ อาม่าเดินไปแล้วไปที่ห้องเสี่ยจำเริญ
“อาเสี่ยจำเริญ นี่ๆ อั๊วชงชาน้ำมนต์สำเร็จรูปของหนูสุคนธรสมาให้แล้ว”
เจ๊หญิงหันมาสบตาเคธี่ หวั่นๆ
อาม่าเข้ามาในห้องเสี่ยจำเริญเห็นปิดไฟสลัว เหลือแต่ไฟโคมข้างเตียง
“อ้าว ปิดไฟนอนแล้วเหรอ ไม่ดูทีวีเหรอวะ” บนเตียงเสี่ยจำเริญนอนนิ่ง มีผ้าคลุมถึงคอ เอียงหัวไปด้านนึง “อ้อๆ หลับซะแล้ว ดีๆ” อาม่าเอื้อมมือไปปิดโคมไฟ
เคธี่พาเจ๊หญิงวิ่งปรู๊ดลงบันไดไป
สุคนธรสมองไปที่พื้นเห็นแสงจันทร์ทั้ง 6 ลำแสงส่องไปตามพื้น และแล้วเธอก็เห็นเงาดำขยับเคลื่อนไปมาอยูใต้ดิน
“อยู่นั่นเอง ไวนักนะแก” สุคนธรสชี้แล้วสั่งไตรรัตน์ “คุณ จัดการเลย”
ไตรรัตน์คว้าเสียมด้ามสั้นขึ้นจ้องตามเงาดำที่กำลังเคลื่อนที่หนีแสงจันทร์

เคธี่พาเจ๊หญิงย่องๆ ไปตามเงามืด ตาเจ๊หญิงวาวๆ เหมือนตาเสือ เคธี่พาวิ่งแอบไปริมกำแพง ในสนามเห็นสุคนธรสกับไตรรัตน์กำลังวิ่งไล่บางอย่างที่มุดๆ อยู่ใต้ดิน เหมือนกำลังจับหนู ไม่ได้หันมาสนใจทางหน้าบ้านเลย เคธี่พาเจ๊หญิงย่องออกประตูบ้านไป ที่ริมรั้วมีรถตู้จอดรออยู่ กล้า หาญ เปิดออกมารับเจ๊หญิงที่สวมชุดนอนและหนีบเอกสารไว้ เคธี่ทำเครื่องหมายโอเคให้กล้า หาญ ประตูรถปิด แล้วแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในรถเห็นแววตาเจ๊หญิงแข็งๆ ไร้สติ ที่เบาะข้างๆ เห็นเอกสารที่มีพิมพ์นิ้วมือเสี่ยจำเริญยินยอมให้หมอผีสมคิดเป็นผู้จัดการมรดกวางอยู่ สีหน้าเจ๊หญิงเปลี่ยนวูบเป็นหน้าปีศาจภายในใจที่ถูกอาคมของหมอผีสมคิดครอบงำ
เคธี่กลับเข้าบ้านมามองหาไตรรัตน์กับสุคนธรสที่กำลังไล่ล่าบางสิ่งอยู่ เคธี่ปรับสีหน้าเป็นแอ๊บแบ๊วใสๆ วิ่งเข้าไป
“อุ๊ย ธไรย์ คุณรส ทำอะไรกันเหรอ ให้ชั้นช่วยมั้ย”
สุคนธรสหันมาดุไตรรัตน์
“ดูแลคนของคุณด้วย อย่าให้มาเป็นอุปสรรคงานสำคัญ”
“เคธี่ ถอยไปก่อนนะ ไปห่างๆ เลย อาจจะมีอันตรายได้”
“อะไรจะเป็นอันตรายเหรอ” เคธี่เข้าไปเกาะแขนไตรรัตน์ “ถ้าเป็นอันตราย ธไรย์ก็อย่าทำสิคะ ให้คุณรสเค้าทำคนดียว เค้าเก่ง เป็นมืออาชีพ แต่คุณไม่ใช่”
“ใช่ ไปอยู่ด้วยกันในที่ปลอดภัยไป รำคาญ ชั้นต้องการสมาธิ”
“แต่ว่า”
“ชั้นกำลังจะมีโทสะแล้วนะ คุณไตรรัตน์ กรุณา ร่วมมือด้วยการเอาคุณคาที่ไปเก็บด่วน ไม่งั้น ถ้าชั้นทำไม่สำเร็จ ชั้นจะโทษว่าเป็นความผิดของคุณนะ” สุคนธรสบอกเสียงเรียบ ไตรรัตน์อึ้ง จำต้องถอยไป เคธี่แอบยิ้มสะใจ
สุคนธรสยืนรอจนไตรรัตน์พาเคธี่ห่างออกไป หันกลับมาพนมมือ
“หลวงลุงคะ หนูขอโทษค่ะ ที่วอกแวกไปนิด มารมันมาผจญน่ะค่ะ ขอให้หนูมีสมาธิ มีพลัง พอที่จะทำลายสิ่งชั่วร้ายให้สำเร็จด้วยค่ะ”
สุคนธรสฮึด ค่อยๆ ระบายลมหายใจ แล้วพอตั้งสติได้ มีสมาธิ ชูกระจกขึ้นใหม่ แสงจันทร์สะท้อนกระจก ส่องไปมา แล้วหักไปส่องนิ่งตรงพื้นดินจุดนึง ดินนูนขึ้นมาแล้วผลุบขึ้น ผลุบลง เต้นไปมา
“ชัดเจน” สุคนธรสเงื้อเสี้ยมยืนเล็ง พอได้จังหวะเงาดำเคลื่อนมาใกล้ก็ปักเสี้ยมลงไปดักทางเงาดำนั้นไว้ทันที “เสร็จฉันล่ะ”
สุคนธรสรีบใช้สองมือขุดๆ ดินลงไป และแล้วก็เห็นหม้อดินใบหนึ่งมีผ้ายันต์ขาวคลุมปิดฝาหม้ออยู่ สุคนธรสดีใจหันไปโบกมือตะโกนบอกไตรรัตน์ ลืมไปว่าเคธี่อยู่ตรงนั้น
“เจอแล้วคุณ”
ขณะที่สุคนธรสดึงหม้อดินขึ้นมาจากดิน เคธี่ก็สะบัดมือไตรรัตน์หลุดวิ่งนำเข้ามาก่อน

“เฮ้ยอย่าเข้าไปเคธี่”

แต่เคธี่วิ่งมาถึงตัวสุคนธรสแล้ว
 

“เจออะไรอ่ะ?” เคธี่เห็นหม้อลงยันต์แล้วตกใจ “โอ้ มายก็อด หม้ออะไรน่ะ”
สุคนธรสรีบแก้สถานการณ์หันมาทำหน้าตาน่ากลัวใส่
“หม้อใส่ผี เรามาเล่นหม้อดินกันมั้ย ฉันจะปล่อยผีออกมาแล้วน่ะ”
“อ๊าย ไม่เอา ฉันไม่เล่น” เคธี่ถอยหนี
“จะหนีไปไหนเล่า มาเล่นด้วยกันก่อนซี” สุคนธรสคว้าแขนเคธี่ “เห็นว่าในนี้เป็นผีตายท้องกลมด้วยนะ หึๆ”
“ปล่อยฉัน ไม่เอา ฉันไม่เล่น ฉันกลัว ปล่อยซี”
ทันใดเสียงเสาวภาร้องโวยวายออกมาจากในบ้าน สุคนธรส ไตรรัตน์ตกใจ ในขณะที่เคธี่หน้าตาพิรุธแล้วแกล้งทำเป็นตกใจ
“เสียงอาอี๊นี่นา เกิดอะไรขึ้น”

ที่หน้าห้องเจ๊หญิงที่ยันต์ 9 ชั้นกระจาย เสาวภา อาม่า ยืนตัวสั่นอยู่ ไตรรัตน์วางขึ้นมาตามด้วยสุคนธรส ที่ถือหม้อดินมาด้วย และตามด้วยเคธี่ที่ระวังตัวนิดนึง
“เจ๊หนีไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ดูสิ ยันต์ของหนูลงมากองกะพื้นเลย”
“สงสัยอาสมหญิงไปหาหมอสมคิดอีกแล้ว”
“ใคร ใครมาเอาผ้ายันตร์ฉันออกแบบนี้” สุคนธรสหันมาหาเคธี่ทันที “เธอใช่ไหม ยัยคาที่”
“เปล่านะ ชั้นเปล่า ชั้นไม่รู้เรื่อง”
ทันใดนั้นเสี่ยจำเริญเดินออกมาจากห้องนอนท่าทางแข็งแรงหายดี
“ม่า ไตรรัตน์ อี๊เสาวภา เอ๊ะ หนูสุคนธรส แล้วนั่น เคธี่นี่ มาทำอะไรกัน ชั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัวยังกะใครเอาของแข็งมาฟาด”
“พ่อ พ่อทำไม ดูยังกะไม่เป็นอะไร สบายดี”
“ก็พ่อสบายดีน่ะสิ”
“หา หรือว่า พอโดนตีหัวซ้ำ อาการเลยหายซะงั้น” เคธี่บอกอย่างลืมตัว
“เอ๊ะ ทำไมเธอรู้ว่าเฮียโดนตีหัว” เสาวภาหันมาถามอย่างแปลกใจ
“หนูเปล่านะก็คุณพ่อพูดออกมาเองไม่ใช่เหรอ ว่าโดนของแข็งฟาดหัว ใครๆ ก็ได้ยิน” ทุกคนหันมามองเคธี่ เคธี่คอแข็งรีบเข้าไปกอดแขนไตรรัตน์แน่น
“ธไรย์ขา ช่วยเคธี่ด้วย ทุกคนมองเคธี่แบบนี้ทำไม ไม่แฟร์กะเคธี่เลย เคธี่หัวเดียวกะเทียมลีบมากๆ คุณต้องสงสารเคธี่ด้วยนะคะ”

สุคนธรสประคองหม้อดินนั้นเดินลงมาที่หน้าตึก ไตรรัตน์วิ่งตามมา
“คุณอย่างอนผิดกาลเทศะได้รึเปล่า”
“ใครว่าชั้นงอน บ้าไปแล้ว หลงตัวเกินไปหรือเปล่า”
คนอื่นๆ ตามมามุง ลุ้นข้างหลัง
“ก็ถ้าหุ่นฝังรูปฝังรอยทำของใส่ให้แม่ผมคลั่งหมอสมคิดมันอยู่ในหม้อนี้ คุณก็จัดการเดี๋ยวนี้เลยสิ ...รีบเปิดสิคุณ”
“อย่า! เปิดไม่ได้นะ เดี๋ยวของจะเข้าตัวเรา มันลงคาถาป้องกันเอาไว้ วิธีแก้มีอยู่ทางเดียวคือต้องใช้มีดตัดลูกนิมิต 9 วัด ถึงจะทำลายอาคมมันได้”
“แล้วคุณจะไปไหนล่ะ ก็รีบเอามีดของคุณออกมาจัดการซี”
“มีดที่ชั้นมีน่ะมีดหมอ ไม่ใช่มีดตัดลูกนิมิต 9 วัด ชั้นจะรีบไปหาเจ้าของมีดท่านตังหากเล่า...ตาบ้า”
จังหวะนั้นเองพระรูปหนึ่งก็เดินฝ่าความมืดเข้ามา สุคนธรสหันไปมองอย่างสุดแสนดีใจและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“หลวงลุง”
“ไม่ต้องไปแล้ว เจ้าของมีดเขามาแล้ว” หลวงลุงสุวิทย์บอก
“ประตูบ้านไม่ได้เปิด ท่านเข้ามาได้ยังไง” อาม่าพึมพำกับตัวเองอย่างแปลกใจ
สุคนธรสหน้าเขิน ทรุดลง ไหว้ ไตรรัตน์ทำตาม คนอื่นๆ ทำตาม เคธี่อึกอัก ซีด เหงื่อแตก

ภายในห้องทำพิธีของหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดลืมตา ซีเรียส พูดไปหน้าห้อง
“เข้ามา” หาญ กล้าพาเจ๊หญิงเข้ามา หมอผีสมคิดแบมือออกมา “เจ๊หญิง...ขอ...”
เจ๊หญิงยังไม่ยอมให้ นั่งลงกราบและท่องคาถาบูชาสมคิดยาวเหยียดพร้อมกับเต้น หมอผีสมคิดส่ายหัว นั่งรอไป พวกหาญ กล้าขำๆ

ที่บ้านเสี่ยจำเริญ หลวงลุงสุวิทย์ทำพิธีนั่งขัดสมาธิสวดมนต์มือถือมีดตัดลูกนิมิต 9 วัดจ่อปลายมีดไปที่ผ้ายันต์สีขาวที่มีอักขระเขมรกำกับอยู่ เสี่ยจำเริญ อาม่า เสาวภา เคธี่นั่งพับเพียบยกมือไหว้โดยถือสายสิญจน์ที่โยงมาจากมือหลวงลุงสุวิทย์ ทุกคนคอยดูอย่างตื่นเต้นพนมมือกันแต้ แล้วหลวงลุงสุวิทย์ก็กดปลายมีดลงบนผ้ายันต์ แล้วตัดผ้ายันต์ขาดออกจากกัน มีกลุ่มวิญญาณเป็นควันดำลอยออกมาจากหม้อ
หลวงลุงสุวิทย์หยิบหุ่นดินคู่หนึ่งที่ถูกมัดติดกันอยู่ในหม้อออกมา ถือไว้ในมือ แล้วบริกรรมคาถารัวชุดใหญ่ เสี่ยจำเริญ อาม่า เสาวภา ตะลึงมองกับภาพหุ่นดินที่เห็น เคธี่เหงื่อแตก กระสับกระส่าย แต่ไม่กล้าทำอะไร
หลวงลุงสุวิทย์บริกรรมคาถาเสร็จแล้วเป่าลงบนมีด จากนั้นจัดการใช้มีดตัดตราสังแยกหุ่นดินออกจากกัน หุ่นร่วงลงบนพื้นดินตรงหน้า แล้วหลวงลุงสุวิทย์ก็ใช้มีดตัดสลายหุ่นให้เป็นแค่ก้อนดินพร้อมกับสวดมนต์ทำลายอาคมหมอผีสมคิด เคธี่ถึงกับร้องไห้ เสาวภา อาม่า หันมามองหน้า

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่สำนักหมอผีสมคิด เจ๊หญิงเพิ่งทำพิธีเสร็จนั่งลง หมอผีสมคิดยื่นมือมาขอเอกสาร
“ส่งมาได้แล้ว เร็วๆ”
เจ๊หญิงกราบเสร็จ เงยหน้าขึ้น แล้วแววตาที่มีแสงแปลกๆ ส่องอยู่ก็ดับวูบลง เหมือนไฟดับ เจ๊หญิงต้องชะงัก กระพริบตาตื่นขึ้นจากเสน่ห์ มองไปรอบๆ
“ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่ สำนักอาจารย์สมคิดนี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ๊ะ เจ๊หญิง ส่งมาสิ บอกให้ส่งมา”
เจ๊หญิงยกมือจะจับขมับตัวเอง แต่เห็นมือกำเอกสารบางอย่างอยู่
“ส่งอะไร อะไรเนี่ย” เจ๊หญิงคลี่เอกสารในมือดู แล้วต้องตกใจ “ใบเซ็นยินยอมแต่งตั้งให้อาจารย์สมคิดเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมด ฮะ นี่ นี่มันอะไรกัน ฉันมาทำบ้าอะไรแบบนี้ แล้วนี่ ว้าย ทำไมชั้นอยู่ในชุดนอน บ้าๆ”
“ไม่บ้า ส่งมา”
“เจ๊หญิง อย่าลีลาสิครับ”
เจ๊หญิงก้าวถอยหลัง หันรีหันขวาง รีบหันวิ่งกลับไป
“เจ๊หญิงมันไม่ได้ลีลาหรอก แต่สิ่งที่ชั้นทำมีมือดีมาแก้ไขซะแล้ว อย่าปล่อยให้หนีไป”
กล้า หาญ หมอผีสมคิด เข้าล้อมเจ๊หญิงไว้
“อ้าว เจ๊หญิงเดี๋ยวซี จะไปไหน”
“เจ๊หญิง ไหนว่ารักหมอสมคิดยิ่งกว่าพ่อแม่ไง”
“ส่งมา”
ทันใดนั้นเจ๊หญิงตัดสินใจฉีกเอกสารนั่นเป็นชิ้นๆ โยนใส่หน้า
“อยากได้นัก เอาไปสิ”
“อีเจ๊บ้า ใครมาแก้ฝังรูปฝังรอยให้แกวะ” หมอผีสมคิดบอกอย่างโมโห
“แก นี่แกทำคุณไสยใส่ชั้นเหรอ”
“เออสิ ชั้นเป็นหมอผีจะให้เล่นฟิสิก เคมี ชีวะเหรอวะ หาญ กล้า จับมัน” หาญ กล้า จับเจ๊หญิงไว้
 “บอกมา...ใครมาช่วยแกนังเจ๊ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่นังสุคนธรสมันจะเก่งขนาดนี้”

 
ทันใดประตูโดนถีบเปรี้ยงเข้ามาทุกคนตกใจ ไตรรัตน์โดดเข้ามา พร้อมปืน
 

“ทำไมชั้นจะไม่เก่ง พูดผิดพูดใหม่ได้นะ” สุคนธรสบอก
พวกลูกน้องอื่นๆ ของสมคิด ยืนเกาะกลุ่มอยู่หน้าห้องเพราะกลัวปืน
“ปล่อยแม่ชั้นเดี๋ยวนี้”
“ไตรรัตน์ๆ ลูกแม่มาช่วยแม่แล้ว ลูกหล่อมาก แมนมากลูก”
“ชั้นโทไปบอกตำรวจแล้วว่าแกกักขัง หน่วงเหนี่ยวแม่ชั้น เดี๋ยวตำรวจก็คงมาภายใน 5 นาที แกเสร็จแน่ ไอ้หมอผีนรก”
หมอผีสมคิดตกใจ ปล่อยเจ๊หญิงทันที เจ๊หญิงวิ่งมาหาลูกชาย ไตรรัตน์ สุคนธรส พากันคุ้มกันเจ๊หญิงออกไปหมอผีสมคิดยืนทื่อด้วยความแค้น

เมื่อกลับมาบ้านไตรรัตน์ชี้ให้เจ๊หญิงดูหม้อและเศษดินของการฝังรูปฝังรอย
“ก็หม้อนี่ไงแม่ ที่มันใส่หุ่นดินที่ทำเสน่ห์ใส่แม่ ดีที่หลวงลุงมาทำลายเสน่ห์มันได้ทัน ไม่งั้นแม่ถูกมันหลอกจนหมดตัว”
เจ๊หญิงพูดอะไรไม่ออกได้แต่ปล่อยโฮ สุคนธรสต้องโอบปลอบ
“เจ๊ไม่เป็นไรแล้วค่ะ หลวงลุงมาล้างอาคมให้หมดแล้ว”
หลวงลุงสุวิทย์ยื่นน้ำมนต์ในขันให้
“โยมเอาน้ำมนต์นี่ไปผสมน้ำอาบ ล้างอาคมทั้งหมดให้ออกจากตัวซะ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ท่านมาช่วยฉันไว้ เป็นบุญของคนโง่อย่างฉันจริงๆ ที่หลงไปนับถือบูชาคนอย่างหมอสมคิด”
“อย่างน้อย เห็นเธอตาสว่างได้ ชั้นก็ดีใจ” เสี่ยจำเริญบอก
“เอ๊ะ คุณ นั่นสิ คุณหายแล้วนี่ ท่าทางมีสติดีทุกอย่าง เกิดอะไรขึ้น” เคธี่หน้าซีด
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ ก็หายเอง แต่หัวโนนิดหน่อย สงสัยตกเตียง หรืออะไรซักอย่าง”
“ทำใจให้สบายเถอะโยม ทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี ที่โยมถูกชักจูงให้หลงเชื่อไปอย่างงี้ก็เพราะตอนนี้เป็นช่วงกรรมเก่าและเจ้ากรรมนายเวรย้อนมาสนองครอบครัวโยม แต่มันยังไม่พ้นเคราะห์ซะทีเดียวหรอกนะ ยังมีเคราะห์อยู่ อีกระลอกนึง”
“หา เคราะห์อะไร จะเกิดกะใครหรือคะ” อาม่าถามอย่างตกใจ
“แล้วมีวิธีแก้ไหมคะ หลวงลุง”
“ขอให้ทุกคนอยู่ในศีลในธรรมเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน แล้วธรรมจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเอง”
“แล้วถ้าผมบวชล่ะครับหลวงลุง มันจะช่วยอะไรได้มั้ยครับ”
“อาตมาว่า รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนดีกว่า ถึงเวลานั้นแล้วค่อยบวช”
“ครับหลวงลุง”
“สัตว์โลก ย่อมมีกรรมเป็นของตน ซึ่งที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่กิจของอาตมา”
ทุกคนก้มลงกราบหลวงลุงสุวิทย์ มีเพียงเคธี่ที่มีท่าทางกระวนกระวาย เสาวภา อาม่า เสี่ยจำเริญ ต่างขรึมไป

วันต่อมาณัฐเดชขับรถพาเนตรศิตางศุ์มาส่งที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ ณัฐเดชจอดรถหน้าบริษัทภายในรถเนตรศิตางศุ์กับณัฐเดชนั่งกันนิ่ง ไม่พูดอะไรกัน ณัฐเดชมีสีหน้าเรียบเฉย
“พี่ณัฐ ไม่พูดอะไรกับเนตรตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ”
“ก็พี่ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”
“เนตรรู้ว่าเนตรผิด แต่เนตรก็ยังจะยืนยันอีกว่าที่เนตรทำเพราะต้องการช่วยคุณใบหม่อน ต้องการให้เธอได้ไปผุดไปเกิด เรื่องอย่างอื่นเนตรไม่ได้คิดอะไร”
“ไม่ได้คิดอะไรก็ดีแล้ว เนตรรู้ว่าอะไรทำให้พี่มีความสุข อะไรที่ทำให้พี่ทุกข์ พี่ก็หวังว่าจะไม่ทำให้พี่ทุกข์”
“ค่ะ”
“เอาล่ะ พี่เชื่อใจเรา พี่จะยอมให้เราทำคดีนี้ต่อ แต่...แต่ อย่าเพิ่งดีใจ นับแต่นี้เนตรจะทำอะไรต้องบอกพี่ทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกเรื่อง เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ” เนตรศิตางศุ์หันมากอดณัฐเดช
“รักพี่ณัฐที่สุดเลย”
เนตรศิตางศุ์ดีใจ สวัสดีณัฐเดชแล้วรีบลงรถวิ่งเข้าบริษัทไป ณัฐเดชมองตามไปอย่างเป็นห่วง แต่ยอมความตั้งใจอันแน่วแน่ของเนตรสิตางศุ์ โทรศัพท์ณัฐเดชสั่น ณัฐเดชหยิบขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล ไม่เลทแน่ ชั้นจะไปรอแกอยู่ที่นั่น...”
ณัฐเดชวางสายแล้วออกรถไป

ติณห์ขับรถเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาล ญาณินทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถแต่ติณห์คว้าแขนเธอไว้
“เดี๋ยวครับ ที่คุณบอกว่ามาวันนี้มีแผนจาทำให้นายคมพูด คุณยังไม่บอกผมเลย มีแผนอะไร?”
ญาณินยิ้ม
“อยากรู้จริงๆ เหรอคะ ถ้ารู้แล้วอย่าตกใจนะ”
“ทำไมผมต้องตกใจด้วย มีอะไรน่ากลัวกว่าคุณอีกหือ ญาณิน”
ติณห์ยักคิ้วทำตากรุ้มกริ่มใส่
“เหอะ! ทำเป็นปากดี หันไปดูเบาะหลังซิ”
ติณห์หันขวับไปมองเบาะหลัง ที่มีวิญญาณหลวงพิชัยภักดีนอนเอกเขนกมาในรถด้วยแต่ติณห์มองไม่เห็น
“What? คุณให้ผมดูอะไร ไม่เห็นมี”
“มีซิ วิญญาณตาคุณไง ฉันเชิญคุณหลวงมาช่วยเยี่ยมนายคมด้วยนี่แหละแผนเด็ดของฉัน”
“หา แกรนปาของผมมาด้วยเหรอ”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดียื่นหน้ามา
“ทำไม ฉันมาด้วยแล้วแกตกใจอะไร”
หลวงพิชัยภักดีเป่าไปที่หูติณห์ ติณห์ตกใจร้องลั่นรีบลงจากรถมายืนจับหูทันที
“โว้ๆ” ญาณินกับลวงพิชัยภักดีหัวเราะขำ ลงจากรถกันเสียงมือถือของติณห์ดังขึ้นพอดี ติณห์รับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงแกถึงไหนคุณตำรวจ ฉันมาถึงแล้ว”
ณัฐเดชเดินเท่ๆ ลงมาจากตึกโรงพยาบาล
“ก็ขั้นบอกแล้วไงว่าชั้นจะมารอแกอยู่ที่นี่”

ณัฐเดชกดวางสาย พลางโบกมือทักทายติณห์ โดยมีลูกน้องนอกเครื่องแบบ 2 คนมาด้วย

ภายในห้องพักนายคม นายคมนั่งอยู่บนรถเข็นมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่นิ้วเท้าข้างหนึ่งขวาถูกตัดหายไปทั้งแถบมีผ้าพันแผลพันไว้ทั้งฝ่าเท้า มีสายน้ำเกลือแขวนไว้ระโยงระยาง นายจคมกำลังไอโขกสภาพร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงทรุดโทรมลงมากอย่างเห็นได้ชัด ตายังคงมองไม่ชัดเหมือนเดิม เสียงคนเปิดประตูเข้ามา
“นายคมมีคนมาเยี่ยมค่ะ”

“ใครอ่ะ”
นายคมเหลียวไปมองเห็นพยาบาลยืนอยู่ แล้วอยู่ๆ ก็ล้มลงไม่มีสาเหตุ จึงเห็นเห็นคนที่ยืนหลังพยาบาลคือกำนันพงษ์กับนายสน
“พวกคุณเป็นใคร จะมาทำอะไรผม”
“ทางโรงพยาบาลจะส่งตัวคุณไปรักษาที่อื่น ผมจะพาไปนะครับ” กำนันพงษ์บอกด้วยสีหน้าร้ายๆ

กลุ่มติณห์ ญาณิน ณัฐเดช เดินมาหยุดที่หน้าห้องพักนายคม วิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้น
“ไอ้คมอยู่ที่นี่เหรอ”
ญาณินยกมือขึ้นจะเคาะประตู แต่เห็นประตูแง้มอยู่เลยผลักประตูเข้าไป
“ฉันมาเยี่ยมนายคมค่ะ”
“ไม่มีใครอยู่ในห้องเหรอครับ”
ทุกคนตกใจเมื่อพบพยาบาลนอนสลบอยู่ที่พื้น ณัฐเดชรีบวิ่งเข้าไปตรวจอาการพยาบาลคนนั้น
“แค่สลบ ชั้นเพิ่งมาดูนายคมครั้งสุดท้ายเมื่อไม่เกิน 5 นาทีนี่เองนะ”
“แสดงว่ามีคนเข้ามาชิงตัวนายคมตัดหน้าเรา”
“คงยังอยู่ในโรงพยาบาล แยกย้ายกันไปหาประตูทางออกจากโรงพยาบาลทุกทาง” ณัฐเดชชี้มือ ทำสัญญาณกับลูกน้อง ทุกคนรีบไป

สนเข็นรถพานายคมเดินลิ่วมาตามทางเพื่อจะออกไปจากโรงพยาบาล กำนันพงษ์เดินตามประกบคอยเหล่มองระแวดระวัง สีหน้านายคมตกใจ
“เอ่อ ช้าๆหน่อย ทำไมต้องรีบขนาดนี้ด้วย”
กำนันพงษ์เหลียวหลังไปเห็นติณห์กับตำรวจนอกเครื่องแบบทั้ง 2 กำลังวิ่งมา
“ห่ะ ไอ้ติณห์ เวรแล้ว มันกำลังมาทางนี้ หลบเร็ว”
สนกับกำนันพงษ์รีบช่วยกันเข็นนายคมเข้าหลบที่ห้องเก็บของข้างๆ ติณห์กับตำรวจทั้ง 2 วิ่งมา ผ่านห้องเก็บของไปรีบตรงไปดูทางประตูด้านหลัง กำนันพงษ์ค่อยๆ แง้มประตูโผล่หน้าออกมามองตาม
“ออกไปทางประตูหลังไม่ได้แล้วว่ะ ไปประตูหน้า มา ฉันเข็นเอง”
กำนันพงษ์เปลี่ยนมาเป็นคนเข็นพานายคมย้อนกลับไปทางเดิม นายคมเริ่มรู้สึกกลัว
“พวกคุณจะพาผมไปที่ไหนกันแน่! พวกคุณเป็นใคร”
“หุบปาก! แล้วนั่งเฉยๆ น่า ไม่งั้นจะเอาอะไรมัดปาก”
นายคมตกใจปิดปากเงียบ มือทั้ง 2 ข้างจับรถเข็นแน่น

ญาณินกับณัฐเดชวิ่งออกมาพบกันที่ประตูทางออกด้านหน้าหยุดยืนมองหา วิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้นมองหาด้วย
“เห็นนายคมมั้ย”
“ไม่มีค่ะพี่ณัฐ”
“ไปดูซิ มีประตูทางออกอื่นอีกมั้ย”
ณัฐเดชวิ่งนำไป ญาณินวิ่งตาม
“ใครว่าผีรู้ทุกอย่าง อย่าไปเชื่อนะ ชั้นมากะแม่หนูญาณินก็ต้องอยู่ติดเขาเนี่ยแหละ”
หลวงพิชัยภักดีหันเดินตามวิญญาณหายตัวไป

กำนันพงษ์วิ่งเข็นพานายคมมาตามทางจะไปประตูหน้า ติณห์กับตำรวจนอกเครื่องแบบเมื่อไม่พบนายคมก็วิ่งกลับมาจากประตูหลังย้อนมาทางเดิม ญาณินกับณัฐเดชวิ่งย้อนกลับมาจากประตูหน้า กำนันพงษ์เข็นพานายคมมาถึงกลางโรงพยาบาลจะไปทางประตูหน้า แต่กำนันพงษ์ต้องเบรกรถเข็นเอี๊ยด
“หยุดทำไมครับ ไม่ไปล่ะ”
“จะไปได้ไง แหกตาดูโน่น”
สนมองไปต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นญาณินกับญัฐเดช วิ่งเลี้ยวจากมุมตึกมาแต่ไกล กำนันพงษ์เลี้ยวรถเข็นหันจะไปอีกทาง แต่ก็เห็นติณห์กับตำรวจนอกเครื่องแบบทั้ง 2 วิ่งมาแต่ไกล กำนันพงษ์หันรีหันขวางตัดสินใจเข็นพานายคมถอยหลังเข้าหลบหลังเสา
“เอาไงดีกำนัน หรือว่าฆ่าปิดปากมันตรงนี้เลย”
พอนายคมได้ยินอย่างนั้นก็แหกปากร้องออกมาอย่างสุดเสียงลั่นร้องโรงพยาบาล
“อย่าฆ่าฉัน อย่า”
กำนันพงษ์ตกใจ
“เฮ้ย อย่าร้องซีวะ เงียบ บอกว่าอย่าร้อง”
แต่นายคมไม่ยอมหยุด ยิ่งร้องลั่น ญาณินกับณัฐเดชได้ยินเสียงร้องของนายคมก็ชะงักมองหน้ากัน สังหรณ์ใจ ก่อนณัฐเดชจะวิ่งนำตามเสียงไป ติณห์ก็ได้ยินเสียงร้องของนายคมชี้บอกตำรวจนอกเครื่องแบบ
“เสียงดังมาจากทางนั้น”
ทั้งหมดวิ่งไป
กำนันพงษ์และสนไม่มีทางหนี
“ไอ้สน จับตัวฉันไว้”
สนเกาะกำนันพงษ์แน่น ขณะที่นายคมยังคงแหกปากโวยวาย กำนันพงษ์หยิบใบไม้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วสวดมนต์ พร้อมกับเอาใบไม้นั้นทัดหูตัวเอง
ญัฐเดชกับญาณินวิ่งมาถึงนายคมก่อน
“ขอทางหน่อยครับๆ”
เห็นนายคมนั่งร้องลั่นอยู่หลังเสา แต่กำนันพงษ์กับสนหายไปแล้ว ติณห์กับตำรวจนอกเครื่องแบบทั้ง 2 วิ่งตามเข้ามาติดๆ ญาณินนั่งลงถาม โดยมีวิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้นยืนอยู่ข้างหลัง
“คุณตาคมเป็นอะไรคะ ร้องทำไม”
“มันจะฆ่าฉัน...มันจะฆ่าฉัน”
“ใครครับลุง ใครจะฆ่าลุง”
นายคมชี้ไปข้างหน้า
“มันจะฆ่าฉัน....มันจะฆ่าฉัน...”
ณัฐเดชกับตำรวจนอกเครื่องแบบรีบวิ่งไปดูตามที่นายคมชี้ พยาบาลเข้ามาเข็นรถเข็นนายคมออกไปจากบริเวณนั้น
“ใจเย็นค่ะ ตาคม ไม่มีอะไรแล้ว เรากลับห้องกันนะคะ”

“ช่วยด้วย มันจะฆ่าฉัน”
 
อ่านต่อหน้า 3

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 17 (ต่อ)

ณัฐเดชรีบวิ่งมาหน้าประตูโรงพยาบาล หันมองซ้ายมองขวาแต่ไม่พบใครในบริเวณสายตา
“หลุดไปจนได้”
ณัฐเดชตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาลพร้อมตำรวจทั้งสอง มุมไกลออกมาร่างของกำนันพงษ์และนายสนโผล่แว่บมา พร้อมทั้งกำนันพงษ์ดึงใบไม้ที่ทัดออกจากหู กำนันพงษ์เหลียวมองณัฐเดช สีหน้ากำนันพงษ์เจ็บใจที่เอาตัวนายคมไม่สำเร็จ
“โชคดีนะมึง ไอ้คม”

นายคมนอนพักอยู่บนเตียง หายตกใจ สีหน้ากลับมาปรกติแล้ว ญาณินกำลังถือแก้วน้ำให้ดูดด้วยหลอดอยู่ ติณห์นั่งมองรอเวลาอย่างใจจดจ่อ โดยมีวิญญาณหลวงพิชัยภักดีนั่งมองจับจ้องไปที่อดีตเด็กรับใช้ในบ้าน ณัฐเดชเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องบอกกับติณห์
“ฉันทำเรื่องย้ายตาคมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่นตามที่แกขอแล้วนะ”
“จะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไป”
“คุณตาฟังก่อนนะคะ ที่เราต้องย้ายก็เพื่อความปลอดภัยของคุณตานะคะ”
“พวกคุณต้องการอะไร จะมาเอาอะไรจากฉันกันแน่”
ติณห์เลยลุกขึ้นเดินเข้ามาหา
“ผมแค่อยากได้คำตอบจากปากของคุณตา ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณหลวงพิชัยภักดีคุณตาของผม”
นายคมอึ้งไปทันที ทิ้งหัวลงนอนหันหน้าหนี
“ฉันไม่รู้ ต่อให้ถามฉันสักร้อยครั้งพันครั้ง ฉันก็บอกไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้”
“วิญญาณคุณหลวงกำลังทุกข์ทรมานเพราะถูกใส่ความเรื่องโกงข้าวสารญี่ปุ่น ถ้าท่านไม่รู้ความจริงว่าใครทำ ท่านก็จะไม่ไปผุดไปเกิด แล้วก็จะจองเวรจองกรรมกับคนที่ทำกับท่านไปทุกชาติ”
นายคมนิ่งสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะพูด ญาณินเลยถอนใจหันไปมองหน้าณัฐเดชเป็นสัญญาณให้ทำตามแผน
ณัฐเดชกระซิบบอกกับติณห์
“ถอดสร้อยไอ้ติณห์”
“หา! ถอดทำไมวะ”
“เถอะน่า ญาณินมีวิธีทำให้นายคมพูด”
ติณห์เลยจำต้องปลดสร้อยเขี้ยวเสือไฟออกมากำไว้ในมือ ญาณินหันพยักหน้าหลวงพิชัยภักดี หลวงพิชัยภักดี
ลุกจากที่นั่งเดินเข้าสิงร่างติณห์ทันที ร่างติณห์กระตุกสั่นเทาเล็กน้อยแบบคนถูกผีเข้า ตาแข็งตั้งไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าแววตา และท่าทางมาเป็นหลวงพิชัยภักดี ก้าวไปยืนใกล้เตียง พูดขึ้นด้วยสำเนียงหลวงพิชัยภักดี
“ไอ้คม! มึงบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครฆ่ากู”
นายคมหันมามองที่ติณห์ จากจิตใต้สำนึกนายคมเห็นหลวงพิชัยภักดียืนจ้องอยู่ก็ตาเหลือกลานขึ้น ร่างผอมเกร็งเขยิบถอย ปากละล่ำละลักพูด ยกมือไหว้ท่วมหัว
“คุณหลวง! กลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว อย่ามาเอาผมไปเลย ผมไม่ได้ฆ่าคุณหลวง”
“ถ้ามึงไม่ได้ฆ่า แล้วอ้ายอีคนไหนเป็นคนฆ่ากู มึงรู้ก็รีบบอกมา แล้วกูจะอโหสิให้มึงที่ช่วยพวกมันปกปิดเรื่องนี้ ไม่อย่างงั้นกูจะฆ่ามึงให้ตายตกนรกตามพวกมันไปอีกคน” หลวงพิชัยภักดีทำมือเหมือนจะขย้ำคอ
“อ๊าก อย่าหักคอกระผมเลย บอกแล้ว กระผมจะบอกทุกอย่างคุณลำดวนขอรับ! คุณลำดวนกับพี่เกิดรวมหัวกันฆ่าท่าน”
หลวงพิชัยภักดีถึงกับตะลึง
“ฮะ! เมียรักของกูกับข้ารับใช้ที่กูไว้ใจมันมากที่สุดหักหลังกูงั้นเหรอ”
“ขอรับ! พี่เกิดมันแค้นเพราะรักกับคุณลำดวนมาก่อน แต่ท่านมาเอาคุณลำดวนไปเป็นเมียคนเล็ก คุณลำดวนถูกพ่อแม่บังคับเลยเจ็บช้ำน้ำใจ มาร่วมมือกับพี่เกิดหาทางวางแผนฆ่าท่าน”
นายคมบอกแล้วนึกย้อนไปในอดีต

ภาพในอดีต ลำดวนเดินนำนายเกิดลับๆ ล่อๆ มาตามป่ารก
“หลังจากหาวิธีฆ่าท่านหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คุณลำดวนก็เลยพาพี่เกิดไปหาหม่องยันอ่อง ญาติของคุณลำดวนที่เป็นหมอผีพม่าอยู่กลางป่า”
ทั้งคู่เดินแหวกป่ารกมาจนเจอกระท่อมไม้ลึกลับตั้งอยู่กลางป่า
ภายในกระท่อม หม่องยันอ่องหมอผีพม่าเคี้ยวหมากฟันดำ โพกหัว ห้อยเครื่องรางของขลังพะรุงพะรัง เล็บมือยาวดำ นั่งอยู่หน้าเตาไฟในบ้าน ส่งขวดยาน้ำที่ข้างในมีน้ำสีดำอยู่ให้นายเกิด
“หม่องยันอ่องได้ให้ยาสั่งแก่คุณลำดวน บอกให้แอบใส่ลงไปในอาหารให้คุณหลวงกินทุกวัน...ทีละน้อย...ทีละน้อย คุณหลวงจะค่อยๆ ป่วยกระเสาะกระแสะอย่างไม่มีสาเหตุ”
นายเกิดถือขวดยามองกับนังลำดวนอย่างพอใจ

ลำดวนต้มยาสมุนไพรในหม้อดิน แล้วแอบหยอดยาสั่งลงไปในหม้อจากนั้นลำดวนเอายาสมุนไพรมาให้หลวงพิชัยกิน
“จากนั้น คุณลำดวนก็ทำตามที่หม่องยันอ่องบอก แอบใส่ยาสั่งลงในอาหารให้ท่านกินอยู่นาน ต่อมาร่างกายท่านก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งป่วยหนัก ตอนนั้นแหละขอรับที่คุณลำดวนเทยาทั้งหมดลงไปในยาหม้อที่ต้มให้ท่านกิน”
ลำดวนแอบมองซ้ายมองขวา ล้วงขวดยาออกมาจากอก แล้วเทยาหมดทั้งขวดลงไปในหม้อ ที่นอกครัวนายเกิดกับนายคมแอบมองที่หน้าต่าง นายเกิดยิ้มแววตาเหี้ยม ขณะที่นายคมมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแต่ไม่กล้าพูดอะไร
ลำดวนตักยาใส่ถ้วยยาแล้วหันมามองสบตากับนายเกิด
“แล้วคุณลำดวนก็ตักยาใส่ถ้วยไปให้คุณหลวงกิน”
ลำดวนเดินถือถ้วยยาออกไป
หลวงพิชัยภักดียกถ้วยยาขึ้นมาดื่มแล้วก็หายใจไม่ออกล้มลง ถ้วยร่วงจากมือแตก หลวงพิชัยภักดีชักตาตั้ง นายพุ่มตอนเด็กวิ่งเข้ามาดูหลวงพิชัยภักดี ตกใจร้องโวยวายลั่น หลวงพิชัยภักดีค่อยๆ หมดลมเสียชีวิต

หลวงพิชัยภักดีมีสีหน้าเจ็บปวดและสลดใจที่ได้รู้ความจริง
“เสียแรงที่ข้าทั้งหลงทั้งรักอีลำดวนเหลือเกิน เลี้ยงดูมันอย่างดีจากบ่าวให้เป็นนาย โดยเฉพาะไอ้เกิด ไอ้ขี้ข้าที่ข้าไว้ใจมัน ให้มันเป็นมือตีนทำงานให้ แล้วข้าก็ปูนบำเหน็จรางวัลให้มันมากมาย ทั้งเงินทองและที่ดินที่นา พวกมันไม่เคยสำนึกบุญคุณยังไม่พอ แต่มาแว้งกัดข้าข้างหลังหันขวับไปมองนายคม มึงก็ด้วยไอ้คม! มึงรู้แล้วทำไมไม่บอกกู”
นายคมสะดุ้ง ยกมือไหว้
“พี่เกิดมันจะฆ่ากระผมขอรับท่าน มันขู่ว่าถ้าผมเอาเรื่องไปแพร่งพราย มันจะฆ่าล้างโคตรผม กระผมกลัว กระผมก็เลยได้แต่ปิดปากเงียบ”
“แล้วเรื่องที่คุณหลวงถูกกล่าวหาว่าโกงชาติรับเงินญี่ปุ่นล่ะ” ญานินถามต่อ
“พี่เกิดนั่นแหละขอรับเป็นคนโกงข้าวสารญี่ปุ่น แล้วโยนความผิดให้กับท่าน พอหลังจากท่านตาย พี่เกิดก็เอาเงินทองที่โกงชาติมาแบ่งให้พวกกระผมใช้ ขอรับ”
“ถ้างั้นที่ไอ้สังข์จมน้ำตาย แล้วป้ายสีมาให้กู ก็ไม่พ้นฝีมือไอ้เกิดอีกล่ะสิ”
“ขอรับ กระผมรู้แต่ว่านายเกิดใช้ไสยศาสตร์จากหม่องยันอ่องฆ่าปิดปากนายสังข์ที่แม่น้ำเพราะนายสังข์ขี้โวยวายที่นายโดนฆ่า นอกนั้นกระผมก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ผมบอกความจริงท่านหมดแล้ว ได้โปรดเมตตายกโทษให้ผมด้วยฮือๆ”
นายคมร้องไห้สะอึกสะอื้น หลวงพิชัยภักดีค่อยๆ ยกมือไปจับที่หัวนายคม
“คมเอ้ย ตอนนี้เอ็งก็กำลังทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมของเอ็งอยู่ ข้าอโหสิกรรมให้เอ็ง เพื่อข้าจะได้ไปเกิดชาติใหม่โดยไม่ต้องแบกทุกข์แบกกรรมเก่าไปเกิดด้วย”

“กระผมผิดไปแล้ว กระผมผิดไปแล้วฮือๆ”

 
ติณห์ ญาณิน ณัฐเดชเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล ตำรวจทั้งสองเดินตามหลังมาห่างๆ
 
“ถึงตาคมจะไม่ได้ฆ่าคุณหลวงโดยตรง แต่รู้เห็นการฆาตกรรมและการโกงชาติโกงแผ่นดิน บั้นปลายชีวิตเลยต้องเจ็บป่วยชดใช้กรรมอยู่อย่างนี้”
“นี่เพิ่งตัดนิ้วเท้าข้างขวาเพราะแผลเน่าเนื่องจากเป็นเบาหวานเห็นพยาบาลบอกว่าจะตัดนิ้วเท้าข้างซ้ายอีกแล้วนะ”
“ก็หวังว่าการที่คุณหลวงอโหสิให้ จะทำให้กรรมของนายคมที่ต้องชดใช้ในชาตินี้จะลดลงบ้างนะคะ”
ณัฐเดชพยักหน้าเห็นด้วย เหลือบมองหน้าเพื่อนรักที่เดินตีลูกซึมอยู่ ใช้ไหล่กระแทก
“เป็นไรวะแก วิญญาณคุณหลวงออกจากร่างแล้ว มีผีตัวอื่นมาสิงต่อรึไง”
“ฉันกำลังเสียใจเว้ย ที่เคยเข้าใจแกรนปาผิดๆ I’m so..so..sorry แกรนด์ปา แต่วันนี้ผมโล่งอกมากที่รู้ความจริงทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต and now! ถ้าใครมากล่าวหาคุณหลวง แกรนปาของผมให้ได้ยินอีก” ติณห์กำหมัดต่อยอกตัวเอง “ผมจะปกป้องแกรนปาให้ถึงที่สุด คอยดู”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้นเดินตบไหล่ติณห์ป๊าบ
“เออ! ฉันจะคอยดู ไอ้หลานรัก”
ติณห์ไหล่ทรุด ตกใจ
“เฮ้ย!ใครตบไหล่ผม”
“จะใครซะอีก ก็คุณตาคุณน่ะสิ”
“หา! แกรนปาอยู่ตรงไหล่ผมเหรอ อึ๋ย”
ติณห์หันมองล่อกแล่กอย่างขนหัวลุก ญาณินกับญัฐเดชขำ
“เอาเป็นว่าคดีการตายของคุณหลวงก็ปิดลงได้แล้ว ถึงแม้ว่าเราจะตามไปจับตัวฆาตรกรในอดีตไม่ได้ก็ตาม”
“ยังปิดไม่ได้ค่ะพี่ณัฐ”
“ทำไมอีกล่ะ”
“ก็เรื่องนางผีพรายตัวนั้นไงคะ ถ้าในอดีตนายเกิดเคยได้ผีตัวนั้นจากหมอผีพม่ามาใช้ฆ่าคน แล้วปัจจุบันล่ะ ใครเป็นเจ้านายมันถึงได้เลี้ยงมันไว้ที่ใต้แม่น้ำตรงนั้น”
“ก็ใครเป็นลูกหลานแฟมิลี่ของนายเกิดล่ะ ช่วยไม่ได้ที่คนๆ นั้นต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อนเป็นคนแรก”
“กำนันพงษ์”

ติณห์ขับรถเข้ามาในตึกจอดรถของคอนโด ติณห์ขับเข้ามาจอดยังที่จอดประจำตามป้ายทะเบียนตัวเอง แล้วหันไปบอกญาณินที่นั่งมาด้วย
“ตอนแรกผมว่าจะค้างกรุงเทพสักคืน แต่เปลี่ยนใจแล้วขอขึ้นไปเอาของบนคอนโดก่อนแล้วก็เปลี่ยนรหัสห้องด้วย เอ่อ คือเพนนีเค้ารู้รหัสห้องผมน่ะ”
“เหรอ คุณมาบอกฉันทำไมคะ ฉันไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย”
ญาณินทำไม่รู้ไม่ชี้ ติณห์ยิ้มให้กับท่าทางฟอร์มจัดของญาณิน
“คุณจะขึ้นไปกับผม หรือจะรอผมอยู่ในรถก็ได้นะ ถ้าไม่ไว้ใจผม”
ติณห์ทำตาหวานใส่
“เสียดายที่ฉันส่งวิญญาณคุณหลวงกลับรีสอร์ทไปแล้ว ไม่งั้นจะให้คุณหลวงมาสั่งสอนหลานตัวเองซะหน่อย”
ญาณินพูดพลางเปิดประตูลงจากรถ ติณห์ยิ้มลงจากรถตาม กดรีโมทล็อครถแล้วเดินนำไปจะเข้าตึกคอนโด ญาณินเดินตาม
“เดินเร็วๆ ซีคุณ ชักช้าจริงๆ เลย ม่ะ”
ติณห์แอบมั่วนิ่มคว้ามือญาณินมาเดินจูง ญาณินดึงมือกลับแต่ติณห์ไม่ยอมจูงมือไว้แน่นหน้าตาเฉย ที่ด้านหลังคนทั้งคู่ เปรมเดินโผล่ออกมาจากเสาพร้อมกับชักปืนที่เหน็บเอวออกมา แต่เหมือนโชคช่วย อยู่ๆ สัญญาณกันขโมยของรถคันหนึ่งดันดังขึ้น ญาณินกับติณห์เลยเหลียวหันไปมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นเปรมกำลังเล็งปืนลั่นไกยิงออกมาพอดี
“เฮ้ย”
ติณห์กระตุกแขนพาญาณิณหลบกระสุนได้อย่างหวุดหวิด ติณห์พาญาณินล้มกลิ้งไปกับพื้นหลบอยู่ข้างรถคันหนึ่ง เปรมขบกรามฉุนที่ยิงพลาด เดินถือปืนปรี่ตามเข้ามา
“มึงตาย”
ติณห์รีบดึงมือญาณินพาวิ่งอ้อมรถไปอีกทาง
“run!”
เปรมยกปืนขึ้นเล็งตาม ลั่นไกยิง 2 นัดซ้อน กระสุนผ่านทั้งสองไปเจาะถูกเสาข้างๆ แทน ปูนกระจุย รปภ.คนหนึ่งได้ยินเสียงวิ่งเป่านกหวีดออกมาดู
“เฮ้ย อะไรน่ะ” เปรมหันไปเล็งปืนใส่ทันที รปภ.ยืนช็อกตาตั้ง นกหวีดถึงกับร่วงจากปาก
“มึงเป่านกหวีดหาญาติมึงเหรอฮะ ถ้าไม่อยากตายไสหัวไปให้พ้น”
“ยะๆอย่ายิง อย่า”
รปภ.วิ่งเผ่นแน่บ เปรมหันขวับไปมองทางที่ที่ติณห์พาญาณินหนีไป กำปืนแน่น วิ่งตามไป
ติณห์พาญาณินวิ่งหนีมาแต่กลับมาเจอทางตัน ไม่มีประตูหนีไฟ ไม่มีทางไปนอกจากระเบียงสูง ทั้งสองหยุดชะงักยืนหันเคว้ง ญาณินยึดมือติณห์ไว้แน่น
“ทำไงดี”
ติณห์หันมองหาทางหนี
“ไปหลบตรงนั้นก่อน”
ติณห์ดึงญาณินมานั่งหลบข้างรถ ใช้รถที่จอดเป็นที่กำบัง ญาณินกลัวมาก แม้ไม่พูดแต่นั่งกอดเข่าตัวสั่น ติณห์โอบกอดญาณินไว้ ปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะไม่ยอมให้มันทำอะไรคุณได้เด็ดขาด” ญาณินกอดตอบ พยักหน้า
“พระต้องคุ้มครองเราค่ะ”
ทั้งสองนั่งกอดกันนิ่ง หูก็เงี่ยฟังเสียง เสียงเปรมและปืนเงียบไปแล้ว เงียบมาก ติณห์ผละจากญาณิน ค่อยๆโผล่หน้าจากข้างรถขึ้นไปดูลาดเลา ไม่เห็นเปรมในลานจอดรถแล้ว
“ไม่เห็นมันแล้ว ทางเข้าคอนโดอยู่ทางโน้นเรารีบเข้าตึกกันดีกว่า ป่ะ”
ติณห์ยื่นมือไปญาณินยื่นมือมาจะให้จับ แต่เปรมโผล่ขึ้นมายืนอยู่บนหลังคารถ จ่อปืนใส่ติณห์
“มึงจะหนีไปไหนกัน วันนี้วันตายของมึง”
เปรมลั่นกรสุนยิง ปัง!แต่ติณห์กระชากขาเปรมล้มลงเสียก่อน กระสุนยิงเฉี่ยวไหล่ติณห์ไป
“โอ๊ะ”
ติณห์ล้มหงายหลังลงไปนอนจับไหล่ เลือดโชก
“กรี๊ด คุณติณห์”
ญาณินจะเข้าไปดูติณห์ แต่เปรมกระโดดลงมาจากหลังคารถ หันมากระชากแขนญาณินหันมา
“อีนังคนสวย น้องกูฝากนี่มาให้นี่”

เปรมตบญาณินสองครั้งจนคว่ำ ญาณินลงไปนอนมึนเลือดกบปาก

 
ติณห์โกรธที่เห็นเปรมทำร้ายญาณิน ลุกขึ้นวิ่งพุ่งเข้าชนเปรมพาร่างเปรมไปชนกับรถ เปรมจ่อปืนมาจะยิง แต่ติณห์ใช้สองมือจับมือที่ถือปืนของเปรมค้างไว้ เปรมเลยใช้มืออีกข้างต่อยหน้าติณห์ ติณห์ตะโกนไล่ญาณิน
 
“หนีไปญาณิน หนีไป”
ญาณินส่ายหน้าไม่ไป
“ไม่ ฉันไม่ทิ้งคุณ...”
เปรมออกแรงงัดปืน กดลงมายิงใส่ติณห์อีกสองนัด ปัง! กระสุนเฉี่ยวไปทั่ว ญาณินปิดหูร้องกรี๊ด
“ผมบอกให้ไป...ไปซี รีบไป”
“ฉันจะตามคนมาช่วยคุณนะ”
ญาณินจำต้องวิ่งหนีไปทางประตูเข้าตึก เปรมตะโกนไหล่หลัง
“มึงหนีไม่พ้นหรอก วันนี้ไปเป็นวันตายของมึงทั้งคู่ กูฆ่าไอ้ติณห์แล้ว จะตามไปฆ่ามึงนังแม่มด”
เปรมพลิกตัวดันหลังติณห์ไปชนรถ แล้วออกแรงกระแทกติณห์กับรถหลายครั้งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้มือที่ล็อคเปรมไว้หมดแรง เปรมสลัดมือข้างที่ไม่ถือปืนหลุด ขย้ำไปที่แผลถูกยิงของติณห์
“อ๊าก”
ติณห์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เปรมหัวเราะลั่นอย่างบ้าเลือด
“ฮ่าๆ”

ญาณินวิ่งมึนๆ ซวนเซเข้าตึกมา ได้ยินเสียงร้องของติณห์ดังก้องตามหลังมาจากตึกจอดรถ
“อ๊าก”
“คุณติณห์....คุณติณห์...ใครก็ได้ช่วยที...มันกำลังจะฆ่าเค้าช่วยแจ้งตำรวจที”
แต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ญาณินร้องไห้พลางควานหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าถือ แต่ลนลานจนมือถือตก มือถือตกไถลไปอยู่ที่หน้าลิฟต์ ญาณินตามไปเก็บ ประตูลิฟท์เปิดออกมาพอดี ญาณินมองเห็นเท้าในรองเท้าส้นสูงสีแดงก้าวเดินออกมา ญาณินเงยหน้าขึ้นมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นเป็นเพ็ญนภา
“หล่อนทำอะไรน่ะ”
ญาณินไม่ตอบรีบลุกขึ้นกอดโทรศัพท์มือถือ แต่เพ็ญนภาเข้ามาดึงไว้
“ฉันถามว่าหล่อนจะทำอะไร”
“ปล่อยฉันนะ ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ พวกแกกำลังรวมหัวกันจะฆ่าติณห์”
“อะไรนะ! ฆ่าติณห์เหรอ”
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นที่ลานจอดรถ ญาณินหันไปมอง แทบช็อก ตะโกนลั่น
“ติณห์”

ติณห์กำลังจับมือที่ถือปืนของเปรมกระแทกๆ กับรถ ทำให้เปรมลั่นไกออกมา กระสุนเจาะถูกท่อประปาแถวนั้น ทำให้ท่อแตก ทำให้ปืนกระเด็นไปไกล น้ำฉีดกระจายใส่ทั้งสองคนเปียกปอน เปรมได้จังหวะกำหมัดต่อยติณห์ได้หลายหมัดซ้อน ติณห์ลงไปกองกับพื้น
ญาณินกับเพ็ญนภาวิ่งตามออกมาดูพอดี ปืนกระเด็นมานอนนิ่งอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ สองสาวชะงักไปที่ปืน เลยมองไปยังติณห์กับเปรมที่กำลังต่อยสู้กันอยู่ เพ็ญนภายืนตะลึงเพราะเธอมาคอนโดเพื่อง้อติณห์ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอเปรมตามมาฆ่าติณห์
ขณะที่ญาณินเหล่มองเพ็ญนภาคิดว่าต้องเอาปืนมาให้ได้ ญาณินถลาไปจะหยิบปืน แต่เพ็ญนภารู้ทันเข้าไปตะครุบปืนเช่นกัน สองสาวยื้อแย่งปืนในมือ
“ปล่อยนะ เอาปืนมาให้ฉัน”
“แกนั่นแหละปล่อย”
เพ็ญนภาก้มลงกัดมือญาณินเต็มเขี้ยว
“โอ๊ย”
ญาณินเจ็บมาก ปล่อยมือข้างที่ถูกกัด เป็นโอกาสให้เพ็ญนภาใช้สีข้างกระแทก ญาณินเซผงะมือหลุดจากปืน
แต่ก็จะกลับเข้าไปแย่งใหม่ เพ็ญนภากำปืนสองมือยกขึ้นจ่อญาณิน
แกอย่าเข้ามานะ”
“ฮะ”
ญาณินยืนตะลึงค้างอยู่กับที่ เพ็ญนภาหันไปมองทางเปรมกับติณห์ซึ่งทั้งคู่ยังสู้กันอยู่ เปรมล็อคคอติณห์จากข้างหลังได้ รัดคอติณห์แน่น แล้วแหกปากร้องอย่างบ้าคลั่ง
“วันนี้มึงกับกูต้องตายกันไปข้างนึง”
ติณห์รั้งแขนเปรมไว้
“คุณจะมาฆ่าผมทำไม ผมไปทำอะไรให้พวกคุณมีแต่พวกคุณจ้องแต่จะทำร้ายผม”
“ก็เพราะมึงเป็นก้างขวางคอพวกกูไง ถ้ามึงยอมขายที่ดินให้พ่อกูเสียดีๆ มึงก็จะไม่มีวันนี้หรอก ถ้ามึงไม่ทำให้น้องกูเจ็บ กูก็ไม่ต้องมาฆ่ามึงถ้ามึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไป กูก็จะไม่มีความสุข กูต้องฆ่ามึง” ติณห์ตัดสินใจใช้สองนิ้วจิ้มเข้าตาเปรม แล้วใช้ศอกหลังกระแทกเข้าเข้าเต็มชายโครงเปรม เปรมเจ็บ
เปรมกระอักเลือด แต่ทนทายาด ยิ้มเลือดกบปาก ชี้ไปที่หน้าติณห์
“เมื่อกี้ทีของมึง คราวนี้ทีของกูมั่ง” เปรมชักมีดสปริงออกมา กระโดดเข้าใส่ติณห์
ติณห์หลบมีดที่เปรมตวัดฟันเข้าใส่ไม่ยั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงเพ็ญนภาตวาดขึ้น ติณห์กับเปรมหันไปมองเห็นเพฌญนภาเดินร้องไห้ถือปืนเข้ามาหาทั้งคู่ โดยมีญาณินตามหลังมาอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เพนนี”
“แกมาก็ดีแล้วเพนนี จะได้มาช่วยกันกำจัดเสี้ยนหนามในใจแกไปให้หมดยิงมันเลย”
เพ็ญนภาถือปืนร้องไห้สะอึกสะอื้น หันไปมองติณห์
“อย่านะเพนนี” ญาณินร้องห้าม ติณห์ส่ายหน้าห้าม
“มันไม่คุ้มหรอกเพนนี ถ้าคุณฆ่าผม คุณก็จะหมดอนาคตไปตลอดชีวิต”
“อย่าไปฟังมัน ฆ่ามันซี ยิงเลย ยิงซี”
เปรมตะโกนกดดัน เพ็ญนภายกปืนขึ้นเล็งไปที่ติณห์
“อย่าคุณเพนนี” ญาณินร้องห้ามอย่างตกใจ
“ฉันบอกให้ยิงไง ยิง”
เปรมสั่ง แต่วินาทีนั้นเพ็ญนภากลับเล็งปืนมาที่เปรม
“พี่นั่นแหละ หยุดเถอะ ปล่อยเค้าไปตามทางของเค้า แล้วเราก็กลับบ้านกัน”
“ไม่ กูไม่ปล่อยพวกมัน”
เปรมเงื้อมีดในมือขึ้นจะแทงขณะที่ติณห์กำลังเผลอตัว เพ็ญนภาลั่นไกยิงออกไป มีดร่วงจากมือเปรมพร้อมหยดเลือด เปรมตะลึงค้างเมื่อเห็นมือตัวเองถูกยิง
“เพนนี”
เปรมแหกปากตะโกนลั่นอย่างโกรธ ขณะที่เพ็ญนภาถือปืนทรุดลงนั่งร้องไห้
“ฉันขอโทษ เราทำผิดมามากแล้ว ฉันปล่อยให้พี่ทำผิดอีกต่อไปไม่ได้ ฮือๆ”
รถตำรวจแล่นเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง เปรมหันมองตกใจ
“ฮะ”
ตำรวจในเครื่องแบบชักปืนกรูลงจากรถ โดยมี รปภ.คนเดิมวิ่งลงจากรถนำมา ชี้ไปที่เปรม ตำรวจตั้งวงล้อมเล็งปืนมาที่เปรม
“วางอาวุธ แล้วยกมือขึ้น ตอนนี้คุณถูกล้อมหมดแล้ว”

เพ็ญนภาปล่อยปืน เปรมยกมือขึ้นตำรวจกรูเข้าไปคุมตัวเปรมกับเพ็ญนภาจับใส่กุญแจมือ ญาณินวิ่งเข้าไปกอดติณห์ ทั้งคู่กอดกันแน่น

 
สุคนธรสวางเครื่องรางของขลังที่มี เรียงรายบนโต๊ะ
 
“อ้ะ คุณเลือกเอา ว่าจะเอาอะไรไปให้ใครที่บ้านคุณใช้บ้าง”
สุคนธรสบอกกับไตรรัตน์
“ผมเล่นมัน ด้วยวิธีของผมดีกว่า ไอ้สมคิดมันคงไม่ถึงขนาดหนังเหนียวฟันไม่เข้า ยิงไม่ออกหรอกนะ ดูนี่” ไตรรัตน์ควักปืนมาวาง
“คุณไตรรัตน์ คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” ไตรรัตน์รีบเก็บปืน
“ไม่หรอก ผมมีไว้แค่ป้องกันตัว ผมไม่อยากเป็นแบบนายติณห์อีกคน”
“เพราะต้องการหารายได้ให้บริษัท ยัยเจ๊ญาณินต้องเจอเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตขนาดนั้น พวกเราแค่นักออกแบบตกแต่งนะ ไม่ได้เป็นสายลับมือปราบอะไรซักหน่อย”
“แต่ที่คุณช่วยครอบครัวผม ไม่ใช่เรื่องงานเลย คุณมาเสี่ยง เพื่ออะไรก็ไม่รู้”
ไตรรัตน์มองสุคนธรสอย่างซึ้งใจ สุคนธรสสบตาแล้วต้องเมินหลบ
“ชั้นก็แค่ทำเพื่อความถูกต้อง ไม่อยากให้คนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อคนเลว”
“อ๋อ คุณทำหน้าที่ของผู้มีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ ที่ต้องมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ แบบพวกสไปเดอร์แมน อะไรเงี้ยเหรอ”
สุคนธรสเชิดใส่ ค้อนๆ แล้วเดินหนี
“งั้นมั้ง” ไตรรัตน์จับมือสุคนธรสไว้
“แล้ว เราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”
“อะไรนะ”
“อ้าว ก็เราได้เสียกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใครได้ ใครเสีย พูดให้ดีๆ นะ”
“แต่พ่อแม่ผมอยากให้เราแต่งงานกันจริงๆ นะ”
“ชั้นไม่แต่งงาน โดยปราศจากความรักหรอก” สุคนธรสจ้องตาไตรรัตน์เขม็ง “ชั้นจะไม่แต่งกับผู้ชาย ที่มีผู้หญิงอื่นอยู่ในใจตลอดเวลา จำไว้”
สุคนธรสเดินหนีไป ไตรรัตน์อึ้ง อยากตามไปง้อ แต่ก็หยิ่ง เชิดหน้า
“หึ”

อีกด้านหนึ่งที่สถาบันนิติเวช หมอวรวรรธมองณัฐเดชแบบเคร่งขรึม หมอวรวรรธยื่นแฟ้มเอกสารให้ณัฐเดชแบบเป็นทางการ ณัฐเดชรับมาแบบเย็นชาแล้วหันไปเปิดดู ภาพหอยเต้าปูนหนีบอยู่กับใบตรวจค่าเปรียบเทียบจากหอยเต้าปูนและจากคอนเทคเลนส์ของใบหม่อน
“ในคอนเทคเลนส์ของใบหม่อนพบพิษโคโนท็อกซินส์จากหอยเต้าปูน พิษของมันจะทำให้สายตาพร่ามัว เป็นอัมพาตชนิดเฉียบพลัน ระบบหายใจล้มเหลวแล้วก็ตายในที่สุด”
“เลวจริงๆ”
“ใครครับ”
“นายมั้ง”
หมอวรวรรธเซ็ง ณัฐเดชเห็นภาพถ่ายมีดอยู่ในแฟ้มด้วย
“มีดอะไร ทำไมถึงมาอยู่ในแฟ้มเดียวกับคดีใบหม่อน”
“เอ่อ...”
“พบลายนิ้วมือของนายแพทย์รุทธ์บนมีดที่ใช้ทำร้ายนางสาวเนตรศิตางศุ์”
ณัฐเดชอึ้ง มองหน้าหมอวรวรรธ หมอวรวรรธซีดแต่ไม่หลบตา พร้อมเคลียร์
สองหนุ่มเดินตามกันมาที่หลังตึก พอถึงที่โล่งปั๊บหมอวรวรรธหันมา
“ผมขออธิบายเรื่องนี้ ว่า...”
ณัฐเดชไม่ฟัง กระชากคอเสื้อหมอวรวรรธดันไปจนติดกำแพง
“ไอ้เลว มึงพาน้องกูไปเสี่ยงตายกับไอ้หมอโรคจิตได้ลงคอ นี่เหรอ ที่มึงรักกัน”
“พี่กรุณาฟังผมบ้าง”
“กูไม่ฟัง”
“พี่ต้องยอมรับความจริง ว่าหลายๆ ครั้ง ถ้าผมไม่ไปด้วย เนตรก็จะไปเองคนเดียว พี่คงไม่รู้ว่าเนตรปลอมตัวเข้าไปเป็นทีมงานที่โรงละคร เพื่อหาตัวฆาตกร เพื่อช่วยให้ใบหม่อนไปสู่สุคติให้ได้ แล้วที่เราได้ความคืบหน้าในคดีนี้อย่างนี้ ก็เพราะฝีมือเนตรกับซิกเซ้นส์ของเค้ากะเพื่อนๆ”
ณัฐเดชเงียบไปพักใหญ่
“แปลว่า ชั้นเอง คือคนผิด ข้อ1 ผิด ที่ควบคุมน้องไม่ได้ ข้อ 2 ผิด ที่สะสางคดีนี้เองไม่สำเร็จ เลยทำให้น้องต้องไปช่วย จนน้องต้องตกอยู่ในอันตราย แล้วก็ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกะแก”
“พี่ไม่ต้องคิดว่าใครผิดใครถูกได้ไหม พี่น่าจะรู้นิสัยน้องพี่ว่าเค้าเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรเลย ไม่กลัวอะไรเลย ที่คนคิดว่าเค้าอ่อนแอ บอบบาง น่าทะนุถนอมน่ะ คิดผิด เนตรเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ผู้หญิงแบบนี้ ใครไม่รักก็บ้าแล้วพี่”
ณัฐเดชอึ้ง มองหน้าหมอวรวรรธ พูดไม่ออก

ณัฐเดชกองแฟ้มหนาซึ่งเป็นผลการพิสูจน์ต่างๆ เกี่ยวข้องกับคดีการตายของใบหม่อนวางบนโต๊ะทำงานของผู้กำกับสุชาติ
“เอกสารผลการพิสูจน์ศพของคุณใบหม่อน หมอรุทธ์เป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคุณใบหม่อน แล้วเขาก็เคยไล่ฆ่าน้องสาวผมด้วย”
สุชาติจ้องแฟ้มบนโต๊ะ หน้านิ่วคิ้วขมวดใช้พลังจิตเต็มที่ ณัฐเดชเห็นเจ้านายสนใจหลักฐานก็ใจชื่น จู่ๆ สุชาติสะบัดหน้าไปอีกฝั่งของโต๊ะกองแฟ้มเลื่อนตาม
“เฟอร์เฟ็กต์ ฮ่าๆ อีกไม่นานผมจะใช้พลังจิตของผมเลื่อนโต๊ะตัวนี้ให้คุณดู”
ณัฐเดชผุดลุกขึ้นอย่างโมโห
“ท่าน ท่านฟังผมบ้างหรือเปล่า ไหนท่านว่าผมทำคดีนี้ไม่คืบหน้า ผมต้องโดนแป้ก แต่ตอนนี้ผมคืบหน้าไปตั้งขนาดนี้ ท่านกลับไม่สนใจ”
“ณัฐเดช นี่คุณมาลำเลิกผมเหรอ ได้ คุณหาหลักฐานมาได้เยอะแยะ แต่ถ้าคุณอยากได้หมายจับ” สุชาติหยิบกระดาษกับดินสอเลื่อนให้ณัฐเดช “คุณต้องใช้กระดาษตัดดินสอแท่งนี้ให้ได้”
“อะไรนะครับ นี่มันเวลางานนะท่าน ไม่ใช่เวลาทำเรื่องไร้...” ณัฐเดชจะพูดว่าไร้สาระ แต่ไม่กล้า “เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“งั้นก็เชิญคุณออกไปได้แล้ว ผมต้องฝึกเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“ผมต้องทำยังไง” ณัฐเดชถามอย่างจำใจ
 
อ่านต่อหน้า 4

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 17 (ต่อ)

สุชาติยิ้มแล้วจับดินสอเป็นแนวนอนยื่นไปตรงหน้าณัฐเดช

“คุณแค่คิดว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นมีด ดินสอแท่งนี้เป็นถั่วฝักยาว จงเอามีดตัดถั่วฝักยาวซะ”
ณัฐเดชถือกระดาษจ่อกลางแท่งดินสอในท่าเตรียมตัด สายตาจับจ้องใจนึกถึงเรื่องที่แค้นตอนที่ที่หมอวรวรรธประกาศ
“เนตรเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง คิดถึงส่วนรวม มากกว่าส่วนตัว ผู้หญิงแบบนี้ ใครไม่รักก็บ้าแล้วพี่”
ณัฐเดชฟันกระดาษลงไปบนดินสอ ดินสอขาดกลาง
“ฮ้า ทำได้ยังไง ผมยังไม่เคยทำได้เลย เฮ้ย บอกผมหน่อยสิ ตอนคุณทำคุณคิดอะไร”
“ท่านกรุณาออกเอกสาร ให้ผมมีสิทธิ์ไปพาตัวผู้ต้องสงสัยรายนี้ มาสอบสวนก่อนสิครับ แล้วผมจะบอก...”
สุชาติยิ้ม

ตำรวจเปิดประตูเข้ามาในคลีนิกหมอรุทธ์ พนักงานกับเหล่าลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสาวพากันมองอย่างสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจคนหนึ่งแสดงตราตำรวจในกระเป๋าให้พนักงานดู
“เราต้องการพบหมอรุทธ์ เจ้าของคลีนิกนี้”
พนักงานเงอะงะอึกอัก คนไข้สนใจ ฮือฮา
ณัฐเดชขับรถไปคุยโทรศัพท์บลูทูธไป
“อะไรนะ ไม่มาคลินิกวันนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหน อ้อ บ้านริมทะเลเหรอ โอเค ดี มันช่างได้จังหวะเหมาะสมอะไรเช่นนี้ ชั้นอยู่เมืองชลพอดี งั้นพวกนายรีบตามมาเลย”
ณัฐเดชกดวางสาย
“เลี้ยวซ้ายแยกหน้า เป็นทางลัดไปบ้านหมอรุทธ์ได้ครับ” หมอวรวรรธที่นั่งอยู่เบาะข้างบอก
“ใครถาม ชั้นให้นายมาเก็บหอยเต้าปูนไปเป็นหลักฐาน ไม่ได้ให้นายมาช่วยออกความเห็น”
หมอวรวรรธเซ็ง ทำอะไรก็ผิด เลยมองออกไปนอกหน้าต่าง

ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ ติณห์คล้องผ้าพันแผลที่หัวไหล่ข้างที่ถูกยิงนั่งอยู่บนเตียงกำลังดื่มน้ำที่ญาณินป้อนให้ พอดื่มเสร็จญาณินก็เช็ดปากให้ติณห์เบาๆ แล้วนำแก้วน้ำไปวางกับถาดข้าว ยกถาดไปวางไว้บนโต๊ะ พอหันกลับมาญาณินก็เห็นสายตาของติณห์มองมาอย่างหวานฉ่ำ
“มองอะไรคะ”
“มองว่าที่แม่ผีเรือนของผม”
“แม่ศรีเรือนค่ะ ไม่ใช่แม่ผีเรือน”
“ภาษาไทยพูดยาก งั้นเอาเป็นว่าที่ภรรยา my wife ดีกว่า ตกลงไหมครับ”
“ไม่ตกลงค่ะ”
ญาณินจะเดินเอากระเป๋าไปวางบนโต๊ะ ติณห์ดึงข้อมือญาณินให้มานั่งตักตัวเอง
“ทำไมล่ะครับ”
ญาณินดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของติณห์
“คุณติณห์ปล่อยนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ไม่ปล่อย คุณต้องบอกผมก่อนว่าทำไมคุณถึงไม่ตกลงเป็นว่าที่ภรรยาของผม” ญาณินเม้มปาก ส่ายหน้าไม่พูด “ไม่พูดใช่ไหม งั้นผมจะเปิดปากคุณเอง”
ติณห์จะจูบญาณิน แต่เชิงหยอกล้อมากกว่าเอาจริง
“ว้าย คุณติณห์ อย่านะคะ”
ญาณินหัวเราะคิกคักและเอี้ยวตัวหลบ สุคนธรสกับไตรรัตน์เปิดประตูเข้ามา ไตรรัตน์หิ้วกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพเข้ามาด้วย สุคนธรสถือขวดน้ำขนาดใหญ่มา
“ฮาโหล”
สุคนธรสเห็นภาพสงครามจูบของติณห์กับญาณินก็ชะงักกึก ญาณินรีบผละจากติณห์
“บอกแล้วว่าให้เคาะประตูก่อน”
ไตรรัตน์กระซิบกับสุคนธรส สุคนธรสกระทุ้งศอกใส่ไตรรัตน์ให้หยุดพูด ไตรรัตน์จุก
“ชั้นเอาน้ำมนต์เก้าวัดไปให้เจ๊หญิงอาบ เลยคิดว่า..น่าจะเอามาเผื่อให้คุณติณห์อาบด้วย หรือจะใช้ล้างหน้าทุกเช้าก็ได้นะคะ” สุคนธรสบอกแล้วส่งให้ติณห์ ติณห์ไหว้แล้วรับไป ไตรรัตน์วางกระเช้า
“หายไวๆ นะครับคุณฝรั่ง”
“ขอบคุณครับคุณตี๋ตัวดำ”
“เจ๊ มีความคืบหน้ามาแจ้งให้ทราบ พี่ณัฐกำลังจะไปจับไอ้หมอรุทธ์ รับรองว่ามันไม่รอดแน่ เรากำลังจะปิดภารกิจอีกอันได้แล้วนะ”
“เก่งมาก”
สองสาวแปะมือกัน สองหนุ่มยิ้มกัน

ที่บ้านหมอรุทธ์ ลาภยกถาดอาหารออกมาจากครัว โทรศัพท์บ้านดังขึ้น ลาภวางถาดไว้บนโต๊ะอาหารแล้วไปรับโทรศัพท์
“บ้านหมอรุทธ์ครับ”
พนักงานที่คลีนิกโทรศัพท์ด้วยท่าทางร้อนรน
“ขอสายหมอรุทธ์ค่ะ”
“หมอรุทธ์กำลังอาบน้ำ มีธุระอะไรสั่งไว้ไหมครับ”
“เมื่อตะกี้มีตำรวจมาขอพบหมอรุทธ์ เขามีหมายค้นและหมายจับมาด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังจะไปที่บ้านหมอรุทธ์แล้วค่ะ”
ลาภหน้าตึง ฟังอยู่สักพักแล้วตอบ
“ผมจะบอกหมอรุทธ์ให้”

ลาภวางสายหน้าเครียดๆ

 
ประตูห้องใต้ดินเปิดออกดังเอี๊ยดเท้าใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องที่ปิดไฟมืด มีเพียงแสงจากตู้ใส่สัตว์ทะเล ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัว ใครคนนั้นเดินผ่านบรรดาตู้สัตว์ทะเล เหล่าสัตว์ทะเลแหวกว่ายอยู่ในน้ำหันหน้ามาทางใครคนนั้นราวกับรับรู้ได้ว่าเขามาที่นี่เพื่อทำสิ่งเลวร้าย “ใครคนนั้น” หยุดยืนหน้าตู้งูทะเลแล้วกระชับถุงมือยางที่มือ

ที่โต๊ะอาหารจัดเรียบร้อยแล้วลาภยืนอยู่ข้างโต๊ะกุมมือไว้ข้างหน้าท่าทางสงบเสงี่ยม หมอรุทธ์ใส่ชุดจะไปทำงานเดินเข้ามา ลาภเลื่อนเก้าอี้ให้หมอรุทธ์นั่ง หมอรุทธ์กางผ้ากันเปื้อนวางบนตักแล้วตักเครื่องปรุงจำพวกน้ำตาล น้ำปลาลงไปจาน ลาภรินน้ำจากเหยือกใส่แก้ว แต่คอยชำเลืองมองหมอรุทธ์เป็นระยะๆ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ หมอรุทธ์เห็นสายตานั้นของลาภ
“มีอะไรก็พูดมา”
“เอ่อ คือ คือ”
หมอรุทธ์คว้าแก้วน้ำสาดใส่หน้าลาภ
“ทีนี้จะพูดออกได้หรือยัง”
“ผมกลัวอาหารร้านใหม่ไม่ถูกปากคุณหมอ พอดีร้านเจ้าประจำปิดครับ”
“ตอนนี้ชั้นหิวมาก กินอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ลาภถอยออกไป หมอรุทธ์คนเครื่องปรุงให้เข้ากันแล้วตักอาหารกิน ลาภมองด้วยแววตาเรียบเฉย เสียงกริ่งประตูบ้านดังขึ้น หมอรุทธ์กับลาภหันไปทางหน้าบ้าน
“ชั้นไม่รับแขก”
“ครับ”
ลาภเดินออกไป หมอรุทธ์กินอาหารต่ออย่างเอร็ดอร่อย สักพักลาภเดินนำณัฐเดชกับหมอวรวรรธเข้ามา หมอรุทธ์เงยหน้ามองณัฐเดชและหมอวรวรรธ แล้วหันไปสบตาลาภเชิงดุว่าทำไมถึงขัดคำสั่งตน ลาภก้มหน้าแล้วถอยออกไป หมอรุทธ์ยกน้ำดื่มเช็ดปากแล้วยิ้มทักทายผู้มาเยือน
“สวัสดีครับผู้กอง คุณหมอ ทานข้าวด้วยกันไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”
“พวกคุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
หมอวรวรรธเปิดแฟ้ม กางภาพมีดเล่มที่คนร้ายเคยจะทำร้ายเนตรศิตางศุ์ให้หมอรุทธ์ดู
“เราพบมีดเล่มนี้ตกอยู่ที่คาสซานดร้า”
หมอรุทธ์พิจารณารูปมีด
“แล้วยังไงครับ”
“มีคนร้ายเคยพยายามจะฆ่าน้องสาวผมด้วยมีดเล่มนี้”
หมอรุทธ์ตกใจ
“หา คุณเนตรเป็นยังไงบ้าง เธอปลอดภัยดีใช่ไหมครับ”
“คุณหมอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือครับว่าน้องสาวผมปลอดภัยหรือไม่”
“คุณหมายความว่าไง”
“เราพบรอยนิ้วมือของคุณอยู่บนมีดเล่มนี้ คุณเป็นผู้ต้องหาพยายามฆ่าน้องสาวผม”
หมอรุทธ์ตกใจ
“คุณอย่ามากล่าวหาผม ผมไม่รู้เรื่อง”
“แล้วเรื่องพบพิษหอยเต้าปูนอยู่ในคอนเทคเลนส์ของคุณใบหม่อนจนเธอต้องเสียชีวิตบนเวที คุณไม่รู้เรื่องด้วยใช่ไหม”
“ใช่ ผมไม่รู้เรื่อง”
“แต่คุณเลี้ยงมันไว้ที่ห้องใต้ดิน”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเลี้ยงอะไรในห้องใต้ดินบ้านผม คุณแอบเข้ามาในบ้านผมตั้งแต่เมื่อไหร่...ผมเลี้ยงมันไว้ แต่ผมไม่เคยรีดพิษมันมาฆ่าใคร เอ๊ะ”
หมอรุทธ์ลุกขึ้น แต่ยืนนิ่งชี้หน้าณัฐเดช พยายามอ้าปากพูดแต่ไม่มีเสียงออก หมอรุทธ์ยกมือสั่นเทาขึ้นจับคอตนเองไว้ ดวงตาเหลือบมองจานอาหาร ท่าทางแปลกของหมอรุทธ์ทำให้หมอวรวรรธเอะใจ แล้วประคองร่างเจ้าของบ้านไว้ จู่ๆ หมอรุทธ์ก็ล้มทั้งยืน มือปัดไปโดนจานราดหน้าหล่นพื้นแตกกระจาย
“หมอ”
ณัฐเดช ลาภปราดเข้าไปดูหมอรุทธ์
“คุณเป็นอะไร”
หมอวรวรรธบีบกรามหมอรุทธ์ ส่องดูในปาก
“ไม่มีรอยไหม้ เขากินพิษเข้าไป เขาหายใจไม่ออก นี่นาย ไข่ นายเก็บไข่ไก่ไว้ที่ไหน ตู้เย็นอยู่ไหน ไปเอามาเร็ว เอามาให้หมด”
“ครับๆ” ลาภรีบออกไป
“เอาไข่มาทำอะไร” ณัฐเดชถามอย่างแปลกใจ
“ผมจะกรอกไข่ขาวให้เขากิน เขาจะได้อาเจียนพิษออกมา พี่ณัฐโทรตามรถพยาบาลด่วนเลย” ณัฐเดชลุกขึ้นกดโทรศัพท์ “คุณยังหายใจไม่ออกใช่มั้ย” หมอรุทธ์พยักหน้า น้ำตาเขาไหลอย่างทรมาน “ผมจะแหย่ช้อนเข้าไปล้วงคอให้คุณอาเจียนนะ”
ระหว่างนั้นหมอรุทธ์หันไปเห็นกองราดหน้าบนพื้น แล้วมองขึ้นไปเห็นลาภกำลังเดินไปถึงประตูไปสู่ครัว หมอรุทธ์พยายามส่งเสียงพูด
“มัน มัน...”
ลาภมองมาที่หมอรุทธ์ ยิ้มสมใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือลาภและก่อนหน้านี้ลาภที่ใส่ถุงมือ บีบพิษ ใส่ ลงไปในชามอาหารของหมอรุทธ์ ลาภคนๆๆในจาน ให้อาหารเข้ากันแล้วยกออกไปด้วยหน้าตาสาใจ

กรรัมภา กรรณา ก๊องเดินเร็วๆ มุ่งหน้าไปยังห้องฉุกเฉิน
“อย่าเพิ่งตายนะคะหมอรุทธ์ พลีส” กรรัมภาคร่ำครวญ
“รู้ว่ามันเป็นฆาตกร ยังจะอาลัยอาวรณ์มันอีก”
“ใช่ ต้องโดนจับลงบ่อหอยเม่น ให้หนามหอยทิ่มจนขาดใจตาย”
“นี่ ไม่รู้จักการให้อภัยเหรอยะ อโหสิกรรมน่ะ”
กรรณานึกขึ้นได้ กางมือให้กรรัมภากับก๊องหยุดเดิน
“เฮ้ย เรามากันกี่คน”
“สี่”
“แล้วหายไปไหนคนหนึ่ง”
กรรัมภากับก๊องหันขวับกลับไปมองข้างหลัง เห็นเนตรศิตางศุ์เดินหรี่ตา เดินเอามือเกาะกำแพงเหมือนคนตาบอด กรรณา กรรัมภา ก๊องเดินย้อนกลับไปหาเนตรศิตางศุ์
“เออ ยัยเนตรลืมเอาแว่นมานี่นา”
“เนตรไม่อยากเห็นผี เนตรกลัว พวกเธอเดินไปกันก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวเนตรตามไป”
“เพื่อนกัน ทิ้งกันได้ไง”
“แต่ถ้ายัยเนตรเดินอย่างนี้ ชาติหน้าก็ไม่ถึง”
ก๊องคิด แล้วหันไปเห็นอะไรบางอย่างก็ยิ้มมีแผน”
“งั้นก็ไม่ต้องให้พี่เนตรเดินสิ

กรรัมภา กรรณา เนตรศิตางศุ์แปลกใจ

 
ณัฐเดช หมอวรวรรธ ลาภยืนคอยอยู่หน้าห้องฉุกเฉินทั้งหมดกำลังเครียด ณัฐเดชเดินไปเดินมา หมอวรวรรธยืนมองเข้าไปในห้อง ส่วนลาภยืนห่างออกไป ยืนก้มหน้าท่าทางสงบเสงี่ยมปาณัทเพิ่งเดินมายืนข้างๆ ณัฐเดช
 

“สวัสดีครับคุณปาณัท”
“ผมไม่แปลกใจเลยถ้าหมอรุทร์เป็นคนทำร้ายคุณเนตรและฆ่าใบหม่อน”
“ทำไมคุณคิดแบบนั้น”
“จริงๆ ผมสงสัยเขาตั้งแต่แรกแล้ว หมอรุทธ์ชอบใบหม่อน แต่เธอเลือกผม”
“เขาไม่พอใจจนต้องฆ่าเธอเหรอ”
“เขาโกรธเธอมาก เขาพยายามทำให้เธอสวยที่สุดในจักรวาล”
“แต่คุณก็ยังคบเขา”
ระหว่างปาณัทพูด ลาภคอยแอบฟังอย่างพินิจพิจารณาตลอด
“บางครั้งนักธุรกิจแบบผมก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์เป็นหลัก เขาเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ไม่มีเขาธุรกิจผมคงแย่ ไอ้ฆาตกร”
“อะ อา หมอรุทธ์เป็นแค่ผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งเท่านั้นนะครับ”
ทันใดกรรัมภากับกรรณาเดินเข้ามา ก๊องเข็นรถให้เนตรศิตางศุ์นั่งซึ่งเธอนั่งหลับตาปี๋มาตลอดทางณัฐเดชกับหมอวรวรรธหันไปเห็นเนตรศิตางศุ์ก็ตกใจ
“เนตร”
ทั้งสองปราดเข้าไปหาเนตรศิตางศุ์อย่างห่วงใย
“เนตรเป็นอะไร”
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
ณัฐเดชมองหมอวรวรรธเปรยๆ
“น้องสาวชั้น ชั้นดูแลเองได้”
หมอวรวรรธจ๋อย ยอมเดินห่างออกไป
“เนตรไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เนตรลืมเอาแว่นมาก็เลยไม่อยากลืมตาค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงเนตรค่ะเนตรหลับตาคุยได้ สบายมาก” ณัฐเดชโยกหัวเนตรศิตางศุ์
“เรานี่นะ”
ลาภค่อยๆ หลีกตัวถอยออกมาแล้วแอบมองเนตรศิตางศุ์อย่างเคียดแค้น
“ใช่ มันยังไม่จบ”
“กำจัดนังนี่ซะ”
“ใช่”
“พร้อมๆ กับวิญญาณของใบหม่อน”
จิตสำนึกของลาภบอกกันเอง

“พี่ณัฐ สรุปหมอรุทธ์เป็นอะไรคะ” เนตรศิตางศุ์ถามพี่ชาย
“กินพิษเข้าไป”
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องอึ้ง
“กินพิษ”
“กินทำไมอะ”
“หิวมั้ง ถามได้ เขาคงกะจะฆ่าตัวตายหนีความผิดน่ะสิ”
“แต่พี่ว่าไม่ใช่ เขาไม่น่าจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนพิษ”
“มันก็ไม่แน่หรอกพี่ณัฐ คนอย่างหมอรุทธ์ทำอะไรที่เราคาดไม่ถึงได้เสมอ” กรรณาโอบไหล่กรรัมภาแซว “ ถามแก้มดู เรื่องนี้แก้มรู้ดี”
“ไม่ต้องมาตอกย้ำชั้นหรอกย่ะ”
กรรัมภาสะบัดมือกรรณาออก แต่แรงไปหน่อยมือกรรณาปัดไปโดนหน้าหมอวรวรรธเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย”
“ว้าย หมอ แก้มขอโทษค่ะ”
เนตรศิตางศุ์ตกใจ ลืมตาขึ้น
“หมอเป็นอะไรคะ”
“แหม พี่เนตร เป็นห่วงหมอมากกว่ากลัวผีอีกนะ” ก๊องแซวแต่พอหันไปเห็นสายตาดุของณัฐเดชที่มองมาก็สะดุ้ง “อุ้ย”
หมอวรวรรธยิ้มหวานให้เนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์ยิ้มเขิน ณัฐเดชเห็นก็กระแอมขัดจังหวะ ณัฐเดชยังทำใจเรื่องน้องไม่ได้ แต่ก็เบาลงเยอะ
“มานี่เลยเนตร ก่อนที่วันนี้จะมีหมอเข้าห้องฉุกเฉินเพิ่มอีกคน” เสียงณับเดชไม่เข้มเหมือนก่อน
ณัฐเดชเข็นรถพาเนตรศิตางศุ์ให้ห่างหมอวรวรรธ ตั้งใจให้เนตรศิตางศุ์หันหลังให้หมอวรวรรธเนตรศิตางศุ์เลยหันไปทางลาภพอดี เนตรศิตางศุ์มองลาภแล้วชะงักงัน เพราะเห็นวิญญาณวาโยร้องไห้สะอึกสะอื้นยืนอยู่ข้างๆ ลาภ
“คุณวาโย”
เนตรศิตางศุ์ตกใจ ลาภมองเนตรศิตางศุ์อย่างคาดไม่ถึง
“คุณวาโยอยู่ที่นี่เหรอ” กรรัมภาถาม เนตรศิตางศุ์พยักหน้ารับ
“ท่าทางคุณวาโยจะเป็นห่วงหมอรุทธ์ เฮ้อ...หมอรุทธ์จะรู้บ้างไหม ว่าไม่มีใครรักเขาเท่าคุณวาโยอีกแล้ว”
ลาภมองเนตรศิตางศุ์อย่างไม่เข้าใจ...ทำไมเนตรศิตางศุ์ถึงรู้จักวาโย พยาบาลออกจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนหันไป
“หมอรุทธ์เป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังไม่พ้นขีดอันตรายเลยค่ะ คุณหมอพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถอยู่ค่ะ”
วาโยร้องไห้โฮ เนตรศิตางศุ์หันไปเห็นวาโยชี้ไปที่ลาภ ขยับปากพูดแต่เนตรศิตางศุ์ไม่ได้ยินเสียง
“มันฆ่าเขา มันฆ่าเขา”
เนตรศิตางศุ์พยายามจะอ่านปากวาโย
“ฆ่า”
เนตรศิตางศุ์มองลาภอึ้งๆ ลาภเห็นสายตาของเนตรศิตางศุ์ ทั้งสองสบตากัน ต่างคนต่างไม่ไว้ใจซึ่งและกัน
ลาภรีบหันหลังเดินออกไปเงียบๆ เนตรศิตางศุ์มองตามลาภ ลาภเหลียวหลังกลับมาก็ยังเห็นเนตรศิตางศุ์มองเขา ลาภรีบหันกลับเดินไป หมอวรวรรธหันไปเห็นสายตาของเนตรศิตางศุ์
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“กรรณ เธอได้ยินอะไรบ้างหรือเปล่า”
กรรณาเอาหูฟังออก
“เยอะไปหมดเลย ไม่รู้เสียงใคร เสียงอะไร ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้ความ...ทำไมเหรอเนตร”
“เปล่าจ้า”
เนตรศิตางศุ์ลังเล

สุคนธรสกำลังเดินทางไปพัทยา เธอคุยโทรศัพท์กับกรรัมภาขณะที่ไตรรัตน์ขับรถ ญาณินนั่งหลับกับติณห์ส่วนติณห์มีผ้าพันแผลห้อยแขนอยู่ด้วย
“ใกล้ถึงแล้ว ทางนั้นเป็นไงบ้าง”
“หมอรุทธ์ยังไม่ตาย แต่อาการหนัก”
“เออ ดี แค่นี้นะ จะถึงพัทยาแล้ว แล้วเจอกัน”
กรรัมภาวางสาย
“ชั้นว่าจะไปหาซื้ออะไรกันสักหน่อย หิว” กรรัมภาบอกกับเพื่อน
“เออ”
“เนตรไปด้วย พี่ณัฐ คุณปาณัท ทานอะไรไหมคะ” เนตรศิตางศุ์ถามโดยไม่ลืมตา
“ไม่ล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“หมอ”
“หมอวรรธก็ไม่หิวเหมือนกัน เนตรไปเถอะ อย่าอยู่แถวนี้นานเลย” ณัฐเดชชิงตอบแทนแล้วเหน็บหมอวรวรรธ “อากาศไม่ค่อยดี”
หมอวรวรรธเซ็ง กรรัมภามองหมอวรวรรธอย่างสงสารชูมือบอกให้สู้ๆ แล้วออกไป
“พี่กรรณซื้ออะไรมาฝากน้องบ้างนะ” ก๊องบอก
“ทำไมไม่ไปเอง”
“เปลือง พี่ซื้อให้แหละดีแล้ว”

กรรณาเข็นรถเข็นเนตรศิตางศุ์ออกไปพร้อมกรรัมภา

 
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณามาตามทางเดิน เนตรศิตางศุ์ก้มหน้างุดไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเห็นผี พอถึงหน้าห้องน้ำกรรัมภาก็หยุด
 

“เดี๋ยวชั้นเข้าห้องน้ำแปบนะ ปวดฉิ่งฉ่อง”
กรรัมภาเข้าไปในห้องน้ำ
“เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ปวด เรื่องมากจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆ ชั้นเข้าด้วยเลยดีกว่า แกเข้าไหม”
กรรณาถามเนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์พยักหน้ากำลังจะลุกตามกรรณาเข้าไปในห้องน้ำ แต่สายตาเนตรศิตางศุ์เห็นขาวิญญาณผู้หญิงเดินผ่านไป ซีดเซียวน่ากลัว เนตรศิตางศุ์ชะงัก
“เนตรเปลี่ยนใจแล้ว เนตรรอตรงนี้ดีกว่า”
“ชั้นจะรีบออกมานะ”
เนตรศิตางศุ์พยักหน้า กรรณาเร่งเสียงหูฟังดังสนั่นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เนตรศิตางศุ์ก้มหน้าหลับตา ตัวสั่นกลัวๆ
“ไม่น่าลืมแว่นเลยเรา” จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งจับที่เข็นรถเข็น เนตรศิตางศุ์ตกใจ “ออกมาแล้วเหรอ...เร็วจัง”
รถเข็นเนตรศิตางศุ์โดนเข็นออกไปจากหน้าห้องน้ำ
“ยัยแก้มแน่เลย ใช่มั้ย”
ลาภเป็นคนเข็นรถเข็นเนตรศิตางศุ์ออกไป โดยที่เนตรศิตางศุ์ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นวาโยก็โผล่มาดักหน้ารถเข็นเนตรศิตางศุ์ วาโยมีท่าทางร้อนรน โบกมือ พยายามห้ามเนตรศิตางศุ์
“กลับไป อย่าไปหลงเชื่อมัน”
เนตรศิตางศุ์นั่งหลับตาจึงไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงวาโย วาโยมีสีหน้าเป็นห่วงและตกใจที่ไม่สามารถเตือนเนตรศิตางศุ์ได้

กรรณาเดินออกมาจากในห้องน้ำ กรรัมภาตามออกมาอย่างหงุดหงิด
“ปาร์คจุนจีไม่ได้อยู่แถวนี้ ไม่ต้องสวยมากหรอก”
“อยู่ไม่อยู่ ก็ต้องสวยเสมอย่ะ ยัยกรรณา”
กรรณามองหาเนตรศิตางศุ์
“เนตรล่ะ”
“เนตร...ยัยเนตร...”
ทั้งสองพยายามตะโกนเบาๆ เรียกหาเนตรศิตางศุ์ มองซ้ายขวาหาเนตรศิตางศุ์แต่ไม่พบ

ณัฐเดช กรรัมภา กรรณา กำลังล้อมดูกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าไม่สบายใจ โดยเฉพาะณัฐเดชที่ร้อนรนเป็นกังวลมากเพราะเป็นห่วงเนตรศิตางศุ์ เจ้าหน้าที่นั่งอยู่หน้าจอคอยควบคุมให้ ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณทางเดินในโรงพยาบาล แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
“แถวหน้าห้องน้ำไม่มีกล้องวงจรปิดเหรอครับ”
“กล้องตรงนั้นเสียอยู่ครับ”
“เสีย”
ณัฐเดชหงุดหงิด กรรัมภาจับแขนห้าม
“ใจเย็นๆ นะคะพี่ณัฐ”
ณัฐเดชพยักหน้า พยายามข่มใจให้สงบ
“ผมขอดูภาพจากกล้องงทั้งหมดตั้งแต่หน้าห้องน้ำไล่ไปจนถึงลานจอดรถ”
เจ้าหน้าที่เปิดภาพให้ เพื่อนๆ เซ็ง
“อย่าเป็นอะไรนะยัยเนตร ถ้าแกปลอดภัย ชั้นสัญญาว่าจะกินเมนูพิสดารทุกอย่างที่แกทำ”
ณัฐเดชมองภาพบนหน้าจอ เห็นอะไรบางอย่าง ภาพบนหน้าจอเป็นภาพบริเวณลานจอดรถเห็นด้านหลังของลาภประคองเนตรศิตางศุ์ในสภาพอ่อนแรงเดินผ่านกล้องไป
“หยุดภาพ”
เจ้าหน้าที่กดปุ่มหยุดภาพ สาวๆ มุงดู เจ้าหน้าที่กดซูมภาพซูมเข้าไปใกล้ทำให้เห็นตัวบุคคลชัดเจนขึ้น ณัฐเดช กรรณา กรรัมภาถึงกับตะลึง
“นายลาภ”

ณัฐเดชเปิดประตูพรวดออกมาจากในห้องเกือบชนหมอวรวรรธที่ยืนรอฟังข่าวอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ปาณัท ก๊องปรี่เข้าไปหา แต่ณัฐเดชไม่สนใจใครทั้งนั้นเขาสั่งงานทางโทรศัพท์มือถือ
“ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับรถผู้ต้องสงสัยเป็นชายใส่เสื้อสีดำลักพาตัวผู้หญิง สกัดทุกเส้นทางได้ไหม ต้องได้สิวะ”

ไตรรัตน์ขับรถมาตามถนนอย่างเร็ว ขณะที่ติณห์คุยโทรศัพท์
“ชั้นถึงคลินิกหมอรุทธ์เมื่อไหร่ จะโทบอกทันที โอเคนะ” ติณห์วางหูจากณัฐเดช
“นายลาภมันเป็นใคร อะไรยังไง คุณรู้ไหม สุคนธรส”
“กลับรถก่อนดีกว่าคุณ คลินิกไปอีกทาง”
“จับให้แน่นๆ นะทุกคน”

ไตรรัตน์กลับรถไปคลีนิกหมอรุทธ์อย่างรวดเร็ว
 
จบตอนที่17
 
อ่านต่อตอนที่ 18 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น