xs
xsm
sm
md
lg

แรงเงา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แรงเงา ตอนที่ 1

บริเวณบึงบัวกว้างใหญ่แห่งนั้น บนเรือลำเล็กๆ ลำหนึ่งที่ถูกพายแล่นมา มีเด็กหญิงฝาแฝดอายุประมาณ 7-8 ขวบ คนหัวเรือนั้นเด็กหญิงผิวขาวใสแก้มอิ่ม ผมยาวตรงดำมันขลับ บนศีรษะสวมมงกุฎดอกไม้ที่ทำจากดอกไม้สีขาวหลายดอกเอาก้านกิ่งและใบสีเขียวสดขดเป็นวง

ส่วนเด็กหญิงคนท้ายเรือที่กำลังพายอย่างแข็งแรง ผิวคล้ำใบหน้ามอมแมม รูปร่างผอมเกร็ง ผมหยิกตัดสั้นแค่คอ มีพลาสเตอร์แปะตามแขนขา และกำลังหน้าหงิกงออย่างไม่พอใจจนดูแทบไม่ออกว่าเป็นเด็กฝาแฝด
“ไปทางนู้นอีกซี”
มุตตา เด็กหญิงที่สวมมงกุฎดอกบัวบนศีรษะบอก
“เฮอะ”
มุนินทร์ แฝดผู้พี่ที่กำลังพายเรือแค่นเสียงแดกดัน แต่ก็พายไปให้ หัวเรือเข้าไปในกอบัวใกล้ๆ มุตตาเด็ดฝักบัว 2-3 ก้านมาวางกลางเรือที่มีดอกบัว ฝักบัวกองอยู่หลายก้าน
“พอแล้ว ไปทางนู้นอีก” มุตตาบอก
“ไม่ไป”
“ต้องไปซี พ่อสั่งแล้วนะว่าต้องพายให้ตานั่ง”
มุนินทร์แลบลิ้นใส่ “ไม่สน”
“จะฟ้องพ่อ” มุตตาว่า
“ไปก็ได้ แต่ต้องให้ฉันใส่มงกุฎก่อน” มุนินทร์มีข้อแลกเปลี่ยน
มุตตาเอามือแตะมงกุฎดอกบัวบนผมด้วยท่าทางหวงแหน ก่อนจะบอก
“ไม่เอา”
“งก”
“ไม่งก ของตา แม่ทำให้ตาคนเดียว”
มุนินทร์กัดริมฝีปาก ตาวาวขึ้น เถียง “ไม่จริง แม่ให้แบ่งกันใส่”
“ใครบอก แม่บอกให้ตาคนเดียว ไม่ให้ตัว เพราะตัวดื้อ เด็กดื้อ ไม่มีใครรักหรอก” มุตตาลอยหน้าลอยตาพูด มุนินทร์วางพายลงอย่างแรง ปากเม้ม ตาวาวจ้า
“ไม่จริง”
“จริง”
“เอามา”
มุนินทร์เข้ามาแย่งยื้อมงกุฎดอกไม้ มุตตาดิ้นรนไม่ยอม มุนินทร์สะบัดสุดแรงทำให้มุตตาเสียหลักตกน้ำดังตูม มุตตาร้องวี๊ดก่อนที่ร่างจะจมหายไป เหลือเพียงมงกุฎดอกไม้ลอยอยู่บนผิวน้ำ มุนินทร์ยืนเท้าสะเอวยิ้มอย่างสาแก่ใจ
“ดี สม”
มุนินทร์มองลงไปในน้ำ เห็นแต่ฟองอากาศผุดพรายก็ชะงัก หน้าเสีย

เวลานั้น มุตตาตะเกียกตะกายอยู่ใต้น้ำ ดวงตาเบิกกว้าง แขนขากวักไกว แต่ร่างกลับจมดิ่งลง เสื้อผ้าที่ใส่โบกไหว ผมยาวแผ่สยายไป ฟองอากาศมากมายผุดพรายขึ้น

ร่างมุตตาในวัยเด็กกลับกลายเป็นสาวผมยาวในชุดนอนบางพลิ้ว ร่างเธอจมดิ่งลงช้าๆ ผมยาวสยาย อาการดิ้นรนหายไป ดวงตาเบิกกว้างปราศจากชีวิตอีกต่อไป

มุตตาผวาลุกขึ้นมาบนเตียง ใจสั่นระทึกจากความฝัน แล้วค่อยๆ สงบลง หันไปเปิดโคมไฟหัวเตียงเผยให้เห็นห้องนอนกว้างของบ้านที่ออกแนวบ้านปีกไม้แบบฝรั่งชนบท
มุตตาเป็นสาวสวย ใบหน้างดงาม แต่ดวงตากลับมีแววเศร้าบางอย่าง มุตตาลุกขึ้นจากเตียงมานั่งหน้ากระจกเงา มองดูเงาสะท้อนในกระจกแล้วทอดสายตามองดูไซด์บอร์ดเตี้ยข้างๆ ที่มีรูปวัยเด็กของตัวเองมากมาย ประดับในกรอบรูปงดงาม อีกด้านของห้องเป็นชั้นหนังสือ โทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดี บรรดาหนังสือในห้องล้วนออกแนวหนังสือพาฝันสำหรับผู้หญิง กับทั้งมีนิยายโรแมนซ์มากมายวางอยู่

วันต่อมา นางพิณวัย 50 ปี หน้าตามีเค้าสวยอยู่ แต่งตัวงดงาม แต่ก็เห็นชัดว่าเป็นชาวบ้านที่เพิ่งจะร่ำรวยขึ้นมา ท่าทางคมเค็มปากจัดพอตัวนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ถัดไปคือนายแปลก สามีนางพิณที่วัยไล่เลี่ยกัน ท่าทางใจเย็น นั่งอยู่บนโซฟากำลังดูข่าวทางโทรทัศน์
มุตตาเดินมาจากนอกตัวบ้านพลางถอดหมวกออก
“ตา เช็คคอมพิ้วซี พี่เขาส่งอีแมวมาหรือยัง” พิณบอกลูกสาว
“เขาเรียกอีเมล์” แปลก แย้ง
“วุ้ยเหมือนกันแหละ ไง พี่เขาบอกว่าอะไร”
มุตตาคลิกเปิดอ่านอีเมล์ แล้วสรุปความให้แม่ฟัง
“บอกว่าทำธีซีสเสร็จแล้ว กำลังรอสอบดีเฟนซ์ค่ะ”
“หา นั่นภาษาคนหรือ ทำไมฟังไม่รู้เรื่อง”
“แปลว่ารายงานใหญ่เสร็จแล้ว รอสอบ ถามตอบกับอาจารย์ค่ะ”
“งั้นอีกหน่อยก็กลับมาแล้วซี อุ๊ยดีใจจัง”
“ไม่รู้ซีคะ”
มุตตาตอบอย่างไม่พอใจนิดๆ แปลกยิ้มนิดๆ
“ยายนินน่ะมันหัวดี เรียนอะไรก็ได้ทุน พ่อแม่ไม่เคยต้องควักเนื้อเลย”
“ใช่ ไม่เหมือนแกนะยายตา แกน่ะกว่าจะจบ ต๊าย หมดเงินไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร”
“ยังไงยายตาก็เรียนจบน่ะ”
“เรียนมหาวิ'ลัยเอกชนแพงจะตาย ดีนะที่ยายนินหาเงินเก่ง ไม่งั้นแกก็ไม่จบหรอกนี่ถ้าไม่ได้พี่ แกก็คงไม่มีเงินมาทำไร่ดอกไม้ ต้องดักดานอยู่ร้านกาแฟนั่นไปจนตาย”
“หนูรู้ค่ะ ว่าบุญคุณเขาท่วมหัวหนู”
มุตตาหลุดปากพูดออกไป พิณตาเขียว
“ต๊าย เขาเขอวอะไร เรียกพี่นินเดี๋ยวนี้นะ คงอิจฉาพี่เขาน่ะซี อยากเป็นอย่างเขาก็ต้องรู้จักทะเยอทะยานซียะ ไม่ใช่มาหมกปลาสลิดอยู่ท้ายไร่อย่างนี้”
มุตตาลุกขึ้นเงียบๆ เดินเข้าห้องไป
“แกนี่”
“ต๊าย ว่าอะไรนิดอะไรหน่อย ก็มาเดินกระแทกตีนรดหัวแม่”
“นี่ ลูกมันไม่ได้ทำอะไรอย่างแกพูดซักหน่อย”
“แต่เรื่องมันอิจฉายายนินน่ะเรื่องจริงนะยะ”
“แกนี่ แต่ก่อนก็เห่อแต่ยายตา หาเรื่องยายนินไม่เว้นแต่ละวัน” พิณอึ้งไป “มาตอนนี้ก็เห่อแต่ยายนิน ยายตาเลยกลายเป็นหมาหัวเน่า”
“ฉันก็รักลูกเท่ากันน่ะแหละ”
“แกแน่ใจหรือ”
“ฉันก็แค่สอนให้มันดูอย่างพี่อย่างเชื้อ”
“คนเราไม่เหมือนกัน มีกรรมมาต่างกัน จะให้เหมือนกันไม่ได้หรอก”

พิณค้อนขวับ

มุตตานอนอ่านนิยายอยู่บนเตียง หน้าปกเห็นรูปหนุ่มหล่อร้ายกำลังก้มลงจูบสาวน้อยที่แหงนเงยผ้าหลุดลุ่ย ชื่อเรื่องบอกชัดว่าเป็นโรแมนซ์บาดจิต

มุตตาไม่สบายใจจนไม่มีสมาธิ เธอปิดหนังสือลง แล้วนอนหงายหน้ามองดูเพดานห้องอย่างครุ่นคิด ที่ขื่อใหญ่บนเพดาน โมบายสีสวยหมุนวงช้าๆ ตามแรงลม ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง

มุตตาถือขวดน้ำเดินมาตามทางเดินชั้นบน ผ่านหน้าห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มอยู่ มุตตาเยี่ยมหน้าเข้าไปซึ่งห้องนี้เป็นห้องพระ และแปลกนั่งคุกเข่าเพิ่งสวดมนต์เสร็จกำลังกรวดน้ำ มุตตาเยี่ยมหน้ามาดู
“ขออุทิศบุญกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ท่านอยู่ภพภูมิใดขอให้ได้รับผลบุญ และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย” แปลกเงยหน้าขึ้น มุตตาเดินเข้ามานั่งข้างพ่อ “มาสวดมนต์หรือลูก”
“ค่ะ”
“สวดแล้วอย่าลืมแผ่เมตตานะลูก อ้อ ก่อนแผ่เมตตาให้ขออโหสิกรรมซะก่อน”
“อโหสิกรรมกับใครคะ”
“ก็คนที่เขาทำไม่ดีกับเรา คนที่เราทำไม่ดีกับเขาหรือให้เจ้ากรรมนายเวรน่ะลูก”
“เจ้ากรรมนายเวรน่ะ มีจริงหรือคะ”
“กรรมมีจริง ผลแห่งกรรมมีจริง เจ้ากรรมนายเวรก็น่าจะมีจริงเหมือนกันนะลูก”
มุตตาทำหน้ากลัว
“เจ้ากรรมนายเวรนี่คือผีที่ตามอาฆาตเราใช่ไหมคะ น่ากลัวจัง”
“ที่น่ากลัวจริงๆ คือเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคนต่างหากลูก” มุตตานิ่งฟัง

เจนภพ หนุ่มใหญ่วัย 40 ปี แต่ดูแลตัวเองจนดูเหมือนอ่อนวัยกว่านั้นเป็น 10 ปี ใบหน้าคมสันหล่อเหลา ดวงตาเป็นประกาย มีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด เขายืนอยู่บนโพเดียมทางด้านหนึ่งของเวที โดยจอฉายภาพบนเวทีก็ฉายภาพใบหน้าขนาดใหญ่ไปด้วย
“การสัมมนาของกองเราในครั้งนี้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงความรู้ แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของบุคลากรของกองเรา”
ทางด้านล่างเป็นแถวเก้าอี้เรียงรายของผู้เข้าร่วมการสัมมนา บรรดาข้าราชการกองในชุดลำลองนั่งอยู่เป็นทิวแถว วีกิจ แจงจิต อรพิม ทิพอาภา ปริม ประสิทธิ์ชัยนั่งอยู่ด้วย ทุกคนมองดูเจนภพอย่างยอมรับนับถือทั้งภูมิรู้และเสน่ห์ส่วนตัว แต่บรรดาข้าราชการหญิงหลายนางกลับมีอาการเคลิบเคลิ้มเกินงาม โดยเฉพาะที่เก้าอี้ทางด้านหน้าสุด มีข้าราชการสาว ไม่สะสวยนัก สวมแว่น เกล้ามวย แต่งชุดขาวล้วนราวแม่ชี มองดูเจนภพนิ่ง ปากเผยอ เธอชื่อวิมาลา
เจนภพมองมายังวิมาลา ตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง วิมาลาพลันขยับขาเปลี่ยนข้างที่ไขว่ห้าง เจนภพยิ้มมุมปาก วิมาลาเอาปากกามากัดเล่นดูน่าสยองใจ เจนภพมอง แจงจิตเลขาสาวใหญ่ไร้ความงามของเจนภพ เหล่ดูท่าทีของทั้งคู่ เริ่มสังหรณ์ใจ

รถยุโรปหรูแล่นมาตามถนนเลียบหน้าผา ต่ำลงไปชายทะเล รถนั้นแล่นเร็วปรู๊ดปร๊าด นพนภาอยู่หลังพวงมาลัยกำลังขับรถอย่างเร็ว เนตรนภิศนั่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆ นพนภาเป็นสาวใหญ่วัย 38 ปี ดูคมเข้มคล่องแคล่ว เนตรนภิศเด็กกว่าพี่สาวเพียง 2 ปี ดูสวยหวาน อ่อนๆ แต่ดูไม่จริงใจบางอย่าง
“ทำไมขับเร็วอย่างนี้ล่ะคะ พี่นภา”
“ฉันจะได้ไปทันกินข้าวกลางวันกับผัวฉันน่ะซี”
“เขาเลิกสัมมนากันเย็นๆ ไม่ใช่หรือคะ เรารีบไปตั้งแต่เที่ยงก็ต้องไปแขวนอยู่ทั้งวันซีคะ”
นพนภาถลึงตาใส่ เนตรนภิศคอหด
“แขวนอะไร ระหว่างรอก็ไปช็อปปิ้งก่อนก็ได้นี่ยะ นังนภิศ แกไม่น่าโง่เลย”
“ก็เวลาพี่นภาเป็นเงินเป็นทองไม่ใช่หรือคะ หนูก็กลัวพี่เสียเวลาไปเปล่าๆ”
“เสียเวลาก็ดีกว่าเสียผัว เขาเรียกใช้เวลาคุณภาพย่ะ ผัวเมียกันมันต้องเติมหวานเป็นระยะ แกเองน่ะแหละ ไม่เห็นจะดูแลผัวแกเลย”
เนตรนภิศยิ้มภาคภูมิใจ
“ก็คุณอมรน่ะสามีในโอวาทน่ะซีคะ เรื่องเจ้าชู้น่ะไม่มีเลย ไม่เหมือนพี่ภพผัวพี่”
“ไม่จริงย่ะ ภพไม่มีเรื่องกะอีพวกดอกส้มดอกชมพูมาเกือบปีแล้ว”
“ก็เพราะไม่มีโอกาสน่ะซีคะ เพราะพี่นภาวางสายสืบไว้ตั้งกี่คน ยิ่งตอนนี้ก็เพิ่มตากิจเข้าไปอีก แต่ถ้าพี่นภาเผลอ หรือสายลับของพี่ทำงานหย่อนยานล่ะก็...พี่ภพต้องก่อวีรกามขึ้นมาอีกแน่ๆ ค่ะ”
เนตรนภิศพูดไม่มีเบรก นพนภายิ่งคิดยิ่งเห็นจริงจึงโกรธจนพาล
“นังนภิศ หุบปาก ไม่งั้นฉันจะจอดรถตบแกเดี๋ยวนี้แหละ” เนตรนภิศหน้าเผือดตัวลีบลงครึ่งหนึ่ง นพนภาตาวาว ยิ่งเหยียบคันเร่งหนักขึ้น “แกอย่ามาเสี้ยม ฉันเชื่อใจผัวฉัน”

หลังจากสัมมนาเสร็จ เจนภพกลับเข้าห้องพักขณะที่เจนภพสวมเสื้อคลุมอาบน้ำก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เจนภพเดินไปเปิดประตู วิมาลาเข้ามา
“ผ.อ.คะ วิมีงานมาให้เซ็นค่ะ”
วิมาลาถอดแว่นโยนไป แล้วคลี่ผมมวยสะบัดไปมา มองเจนภพตาเยิ้ม เจนภพยิ้ม
นพนภาเดินฉับๆ เข้ามาที่ล็อบบี้ของโรงแรม เห็นวีกิจอยู่กับประสิทธิ์ชัย
“ตากิจ ตาวีกิจ”
วีกิจหันมา ประสิทธิ์ชัยยกมือไหว้นพนภา นพนภารับไหว้
“อ้าว อานภา มาได้ยังไงครับนี่”
“ก็มารับอาภพของเธอน่ะซี นัดกันตอนเย็นๆ แต่อาเสร็จธุระเร็วก็เลยมาก่อนนี่เธอสองคนทำไมไม่เข้าสัมมนา มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“ปิดสัมมนาไปตั้งแต่เช้าแล้วฮะ ตอนนี้เป็นช่วงฟรีไทม์ฮะ”
“เอ๊ะ ทำไมภพบอกเลิกสัมมนาเย็นๆ”
แจงจิต อรพิม ทิพอาภา ปริมเดินมาสมทบ ทั้งสี่นางไหว้นพนภา นพนภาไม่รับไหว้มองแจงจิตตาเขียว
“ฮะ คุณแจงจิต”
“ตามกำหนดการน่ะเลิกเย็นค่ะ แต่เป็นที่รู้กันว่าสัมมนาวันสุดท้าย เป็นวันช็อปปิ้งค่ะ” แจงจิตบอก
“เออดี แค่เช้าชามเย็นชามยังไม่พอ” บรรดาข้าราชการทำหน้าเรี่ยไปตามกัน เนตรนภิศเพิ่งยุรยาตรมาสบทบ
“แล้วนี่ภพอยู่ไหน”
“เมื่อกี้หนูเห็นกลับขึ้นไปที่ห้องพักค่ะ”
“คง คงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามังคะ”
“แล้วหล่อนสองคนสาระแนรู้ได้ยังไง คอยตามดูก้นผัวฉันอยู่หรือ”
อรพิมสะดุ้ง ทิพอาภาหน้าซีดจะเป็นลม
“ไม่ได้ตามดูค่ะ”
“แต่มันเห็นเองค่ะ”
สองสาวบอก
“พี่นภาขา อย่ามาเสียเวลาอยู่เลยค่ะ ขึ้นไปดูเถอะค่ะ เผื่อพี่ภพจะกินข้าวต้มกลางวัน โดยไม่รอพี่นภาอยู่”

นพนภาตาวาววับ เนตรนภิศหุบปากทันที บรรดาคนอื่นๆ เริ่มกลัวแทน

เจนภพนอนเปลือยอกอยู่บนเตียง วิมาลานอนซบอยู่กับอกกว้าง พลางเอานิ้วเขี่ยไปมา เจนภพขยับตัวอย่างจั๊กจี้ พลางหัวเราะเบาๆ

“ผ.อ.ขา”
“อะไรหรือ”
“วิเบื่อเหลือเกินค่ะที่เราต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้”
เจนภพยิ้มไม่สนใจนัก เพราะทุกนางก็พูดแบบนี้หมด
“แล้ววิจะให้ทำยังไงล่ะจ๊ะ”
“เราก็ไปไหนต่อไหนกันบ้างซีคะ ไปกินข้าว ไปฟังเพลงบ้าง ไม่ใช่วันๆ ก็เห็นแต่เพดานห้องกับพรมปูพื้นแบบนี้”
“โธ่ อย่าเพิ่งคิดมากซีจ๊ะ วิก็รู้ว่าหูตาของนภาเขามีมากขนาดไหน”

นพนภากดมือถือรัว เนตรนภิศแอบสะใจ
“บ้าจริง ทำไมภพต้องปิดมือถือด้วยนะ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ พี่นภาจะโทรไปให้รู้ตัวก่อนทำไม”
นพนภาเห็นด้วยแล้วยิ่งโกรธ เลยค้อนเนตรนภิศตาคว่ำ

วิมาลาลุกขึ้นนั่งบนเตียง เอียงตัวมองเจนภพ
“ผ.อ.ขา”
“อะไรอีกล่ะจ๊ะ”
“วิไม่อยากแต่งตัวแบบนี้อีกแล้ว วิไม่อยากใส่แว่น ไม่อยากเกล้ามวย ไม่อยากแต่งตัวเป็นแม่ชีแบบนี้อีกแล้ว”
“ไม่เหมือนแม่ชีซักหน่อย เหมือนบรรณารักษ์ในหนังเอวีต่างหาก”
“แหม ผ.อ. วิอยากใส่บิ๊กอาย อยาก...ว๊าย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น วิมาลาสะดุ้ง
“คงรูมเซอร์วิสน่ะ ดี กินอะไรกันก่อน” เจนภพลุกขึ้นจากเตียง “เดี๋ยวจะได้เซ็นงานกันอีกรอบ”
วิมาลาหัวเราะระริก เจนภพมองดูตาแมวแล้วตาเหลือก เอามือปิดปากไม่ให้ร้อง
“อะไรคะ”
“นพนภา”
เจนภพกระซิบบอก วิมาลากระโจนพรวดขึ้นยืนเก้กังบนเตียง เจนภพมองหาทางทำลายร่องรอย

นพนภาตบประตูเปรี้ยงๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด เนตรนภิศลอบยิ้มสะใจ
“ภพๆ ทำไมไม่เปิดประตู ภพ”
“คงกำลังติดพันกระสันรัดมั้งคะ”
“นังนภิศ”
ประตูเปิดออก เจนภพสวมเสื้อกางเกงเรียบร้อย ตาปรือ หาวหวอดมาเปิด
“อ้าว นภา ทำไมมาแต่วันแบบนี้”
“จะมาดูคุณสัมมนาไงคะ นี่มัวทำอะไรอยู่”
“ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็เผลอหลับไป คุณมาเร็วก็ดีแล้วไปกินข้าวกันเถอะผมหิวแล้ว”
เจนภพตีบทแตก นพนภามีอาการเชื่อ
“ไปก็ไปซีคะ” เจนภพโล่งอกวูบเดินออกจากประตู นพนภาเห็นอาการโล่งใจนั้น “เดี๋ยวค่ะ”
“อะไร”
“ฉันปวดฉี่ ขอเข้าไปฉี่ก่อน”
“โธ่ ไปฉี่ข้างล่างก็ได้ ที่ห้องอาหารก็ได้”
ทันใดนพนภาก็ปาดเจนภพเซไป ก้าวเข้าไปในห้อง

นพนภาก้าวพรวดเข้ามาในห้อง เจนภพ เนตรนภิศตามเข้ามา นพนภามองดูห้องด้วยสายตาเหยี่ยว สภาพห้องดูเรียบร้อยแม้แต่ที่นอนก็คลุมดิบดี
“อะไรอีกล่ะคุณ”
“เปล่า แค่ฉันกลัวนังนภิศจะฉี่ราด ไปซี”
เนตรนภิศจัดแจงไปห้องน้ำ นพนภาเดินดูเตียง
“ไหนบอกเผลอหลับ ทำไมคลุมเตียงเรียบร้อย”
“ก็นอนบนผ้าคลุมน่ะซี” นพนภากระชากผ้าคลุมเตียงออก ขึ้นไปนั่งคุกเข่าดูเจนภพประชด “ทำไม ไม่ดมดูเลยล่ะคุณ”
“ไม่ต้องมาท้าฉัน”
นพนภาก้าวลงจากเตียงไปเดินดูรอบๆ เปิดตามตู้เสื้อผ้า เจนภพใจหาย นพนภาดูท่าที ยิ้มเยาะ กระชากตู้เปิดออกเห็นตู้ว่างเปล่า นพนภาผิดหวัง เจนภพแอบยิ้มนิดๆ เนตรนภิศเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ในห้องน้ำก็ไม่มีค่ะ พี่นภา”
“ไหนบอกว่าจะมาฉี่ ไม่มีอะไร”
“ไม่มีทิชชู่ไงคะ”
นพนภามีท่าทีผ่อนคลายลง
“เอาเถอะ แกก็สะบัดๆ เอา อุ๊ย ฉันก็หิวข้าวเหมือนกัน ไปกันเถอะภพ”
นพนภาเข้ามากอดแขนเจนภพมองอย่างรักใคร่ เจนภพยิ่งโล่งใจทำงอนกลบเกลื่อน
“เอ้า ไม่พิสูจน์หลักฐานกันแล้วหรือ”
“แหม...เอ๊ะ” นพนภามองดูซอกคอเจนภพ “นี่อะไร เหมือนรอยเล็บ”
เจนภพตะปบคอ
“เมื่อวานแรลลี่หาอาร์ซี โดนกิ่งไม้มันเกี่ยวน่ะ”
นพนภาตาขวางขึ้นมาใหม่
“หาอาร์ซีเหรอ นี่แน่ะ”
นพนภาฉีกเสื้อเจนภพควากกระชากทึ้ง เจนภพร้องเฮ้ย เสื้อขาดแคว่ก กระดุมกระจาย
“นี่คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
นพนภาดูตามอก หลัง ซอกคอ เจนภพเบี่ยงไปเบี่ยงมา
“เออ ใครมีผัวแบบคุณก็ต้องบ้าทั้งนั้นแหละ”
“ไม่ต้องหาแล้วค่ะพี่นภา” เนตรนภิศบอก
“ทำไม”
“หนูเจออาร์ซีแล้วซีคะ”
เนตรนภิศชูบราเซียร์ลูกไม้สีแดงฉาดฉานขึ้น เจนภพผงะ
“อ๊าย อีหน้าด้าน นี่แรลลี่กันไปกี่ด่านแล้วล่ะ”
นพนภาวิ่งหารอบห้องแล้วนึกออก รูดประตูกระจกบานเลื่อนออกไปที่ระเบียง

นพนภาก้าวออกไปลมพัดกรูเกรียวมาจนผมปลิว นพนภากวาดตามองไม่เห็นใคร เจนภพหน้าซีดก้าวตามมา เนตรนภิศตามติด
“ไหน มันอยู่ไหน”
“ก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่มีใคร”
“ฉันไม่เชื่อ”

ตรงทางที่เชื่อมไปยังระเบียงห้องต่างๆ วิมาลายืนเขย่งตัวลีบเล็กแนบตัวตึก

ตรงบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรม มีแขกไทยและเทศพอประมาณ ที่เก้าอี้ริมสระ แหม่มนางหนึ่งนอนคว่ำให้หมอนวดนวดกำลังพลิกตัวมานอนหงายมองขึ้นไป

“โอว์ มายก็อด” แหม่มร้องออกมาอย่างตกใจ
“อะไรคะ แหม่ม”
“มีคนจะกระโดดตึก”
หมอนวดร้องอุทาน แหม่มลุกขึ้นชูไม้ชูมือ ครู่เดียว รปภ. 2 นายก็วิ่งมา คนทั้งสระว่ายน้ำร้องฮือฮามาชี้ชวนกัน

นพนภาเต้นเร่าๆ อยู่ตรงระเบียงห้องพัก
“เอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน”
เนตรนภิศชูบราเซียร์
“อย่างนี้มัน 39 คัพดีเลยนะคะ”
“ไหน อีคัพดีอยู่ที่ไหน”
“ไม่มี”
เสียงเอะอะข้างล่างดังขึ้นมา นพนภาชะโงกลงไปดู เนตรนภิศชะโงกตาม คนข้างล่างชี้โบ๊ชี้เบ๊ขึ้นมา นพนภาหันขวับไปดูเห็นแนวคอนกรีตมีอกในเสื้อยื่นมาพ้นแนวคอนกรีต
“อีคัพดี” วิมาลาสะดุ้งเฮือก พยายามหดอกแต่นมไม่เป็นใจ “นังหน้าด้าน ไม่ต้องมาหดนม มานี่นะ”
“ไปก็โง่ซี”
วิมาลาบอก เจนภพหมดแรง นพนภาหันไปฟาดเจนภพผัวะๆ เจนภพปัดป้อง
“พี่นภามันหนีแล้วค่ะ” เนตรนภิศบอกเมื่อเห็นวิมาลาคุกเข่าลงคลานสี่ตีนไปยังห้องข้างๆ
“แก”
ทันใดนพนภาก็ไต่พรวดตามไป เจนภพอึ้งไปคว้าไม่ทัน
“เฮ้ย นภา”
“ว้าย พี่นภา”
นพนภาคลานตามวิมาลาไป แล้วสลัดรองเท้าออก รองเท้าตกลงไป
รองเท้าเนตรนภาตกลงมากลางสระว่ายน้ำ บรรดาไทยฝรั่งมุงร้องกันเอ็ดอึง รปภ.เป่านกหวีดปริ๊ดๆ วิ่งวุ่น บางคนเอากล้อง เอามือถือมาถ่าย

ที่ระเบียงห้องพักของโรงแรม ลมพัดมากรูเกรียว วิมาลาคลานกระดืบไป นพนภาคลานตามอย่างไม่ย่อท้อ
“แกจะหนีไปไหน นี่แน่ะ”
นพนภาคว้าข้อเท้าวิมาลาไว้
“ปล่อยนะ”
วิมาลาสะบัดสุดแรง นพนภาตัวเอียงวูบ มือคว้ากระถางไม้ประดับ
“เฮ้ย”
“วี๊ด พี่นภา”
เจนภพกับเนตรนภิศร้องอย่างตกใจ คนข้างล่างร้องกันสุดเสียง กระถางต้นไม้ตกมาแตก ดินกระจายเต็บขอบสระ
นพนภาทรงตัวได้ใหม่ หน้าซีดกลัวตายแล้วยิ่งโกรธ
“อีคัพดี แกจะฆ่าฉันเหรอ”
วิมาลาไต่ไปถึงระเบียงอีกห้อง กระโดดลงไป นพนภาไต่ตามติด

ห้องพักหรูอีกห้อง นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น 2 ผัวเมีย สวมปิจามานอนบนเตียง ดูทีวีจอยักษ์ภาพในจอกำลังมีมวยไทย
“ไทย บ็อกซิ่ง”
“ไฮ้”
ทันใดวิมาลาวิ่งถลามาหน้าทีวี นพนภาตามมาจิกหัว วิมาลาร้องวี๊ดหมุนคว้างมา นพนภาตบผัวะวิมาลาปัดป้อง สองผัวเมียชาวญี่ปุ่นงุนงงเป็นไก่ตาแตก สองผัวเมียเขม้นมองแล้วหันมามองหน้ากัน นพนภาตบผัวะ วิมาลาล้มลงที่พื้น นพนภาขึ้นคร่อม
“แก อีหน้าด้าน แกเป็นใคร อีคัพดี” วิมาลาร้องลั่น ยกมือป้องหน้า นพนภายุดมือไว้เพิ่งได้เห็นหน้าชัดๆ “แก อี อีวิมาลา ต๊ายอีเคร่งศีล”
วิมาลาได้จังหวะยันนพนภาถลาล้ม วิ่งตะกายหนีออกไป นพนภาลุกวิ่งตาม สองผัวเมียชะเง้อมองตาม แล้วมองหน้ากันงงๆ

ที่ล็อบบี้โรงแรม ทัวร์นักท่องเที่ยวกำลังเข้าเช็คอิน ไกด์ทัวร์ชี้ชวนให้ชมภาพจิตรกรรมฝาผนัง
“นี่คือภาพความเป็นอยู่อย่างไทย แสดงถึงวิถีชีวิตอันร่มเย็น รักสงบ ปรองดอง ไร้ความขัดแย้ง แหก”
ไกด์ร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นวิมาลาวิ่งเสื้อขาดออกมาจากลิฟต์ นพนภาตามติดจิกผม วิมาลาฮึดสู้หันไปตบ สองนางจิกหัวซึ่งกันและกัน ดึงทึ้งเสื้อผ้าขาดแควกลงไปดิ้นกลิ้งเกลือกกันที่พื้น ผ้าเปิดชะเวิกชะวากนักท่องเที่ยวฮือฮา คว้ากล้องมาถ่าย มีตั้งแต่มือถือ กล้องปัญญาอ่อน ไปจนถึงกล้องดีวีดีไฮเอนด์ วีกิจ ประสิทธิ์ชัย แจงจิต อรพิม ทิพอาภา ปริมวิ่งมาดู
“อานภา”
“ตบกับใครวะ”
“หน้าคุ้นๆ”
“ว้าย ใช่หรือ นี่มัน”
“ใช่ย่ะ แม่วิมาลา”
“ว้าย แกถือศีลแปดไม่ใช่หรือคะ”
ประตูลิฟต์อีกตัวเปิดออก เจนภพกับเนตรนภิศตามมา
“หยุดนะ พอดี” เจนภพร้องห้ามแต่นพนภาไม่ยอมหยุด
“อีแม่ชีทุศีล แกแตกไปกี่รอบแล้วล่ะ ศีลน่ะ”
“พี่นภาหนูช่วยค่ะ”
เนตรนภิศทะเล่อทะล่าเข้าไป วิมาลาตบผัวะเนตรนภิศล้มคว่ำ นพนภาเข้าจิกผมต่อ เจนภพหันมาเห็น
วีกิจ
“เฮ้ย นายกิจช่วยหน่อย”
“ฮะ อาภพ”
เจนภพเข้าล็อคนพนภา วีกิจเข้าล็อควิมาลาดึงห่างจากกัน สองนางดิ้นเร่าๆ ยื่นเท้าถีบกันพัลวัน
“ปล่อยฉัน ฉันจะตบมัน”
“หล่อนมีมือคนเดียวหรือยะ”

บรรดานักท่องเที่ยวยังคงถ่ายรูปกันอย่างเมามัน
 
อ่ า น ต่ อ ห น้ า  2

แรงเงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เย็นวันเดียวกันนั้น ประตูรั้วบ้านเปิดออกด้วยรีโมทคอนโทรล รถเก๋งขนาดกลางไม่ใหม่นักของวีกิจแล่นเข้ามาตามถนนผ่านบ้านหลังใหญ่หรูหราของเจนภพ เลยไปยังบ้านไม้ขนาดเล็ก ดูงดงามร่มรื่นที่ปลูกเยื้องไปทางด้านหลัง

บ้านของเจนภพ เป็นบ้านที่สร้างใหม่แทนหลังเก่า
ส่วนบ้านเล็กนั้นอายุราว 40 ปีมาแล้ว รถของวีกิจจอดลง วีกิจลงมาจากรถ สร้อยคำมารดาของวีกิจ อายุราว 48 ปี สะสวย ดูอ่อนโยน แต่เป็นคนแกร่งและเข้มแข็งพอสมควร
“ผมกลับมาแล้วฮะ”
“จ้ะ หิวหรือยังลูก”
“ยังเลยฮะ”
“ไปทะเลทั้งที มีอะไรมาฝากแม่บ้าง”
“มีเยอะแยะเลยฮะ”
วีกิจเปิดท้ายรถขนของ สร้อยคำช่วยถือถุงพวกของแห้ง ข้าวหลาม ขนมจาก เข้าบ้าน

วีกิจนั่งแผ่ลงบนโซฟา บัวสาวใช้เก่าแก่เอาน้ำเย็นมาให้ สร้อยคำนั่งลงห่างออกมา บัวขนของฝากไปยังห้องครัว วีกิจจิบน้ำ
“เป็นยังไงลูก สัมมนา”
“มันก็แค่ยกกองไปเที่ยวให้เปลืองงบหลวงเท่านั้นแหละครับ”
“ไม่มีเรื่องอะไรตื่นเต้นบ้างเลยหรือ”
“ไม่มีนี่ฮะ”
“อ้าว ก็แม่ได้ข่าวว่าอานภาไปจัดรีวิวปิดสัมมนาให้อาภพของแกซะโลกลือเลยไม่ใช่หรือ”
วีกิจเกือบสำลัก
“นี่แม่รู้ได้ยังไงฮะนี่”
“แม่รู้ก็แล้วกัน ไหนเล่ารายละเอียดมาซิ แม่มือที่ 3 เป็นใคร”
บัวคว้าไม้ปัดฝุ่นมาปัดใกล้ๆ ทันที สร้อยคำกับวีกิจมองดู
“นี่ บัว จะมาฟังก็มา ไม่ต้องมาทำขยันตอนนี้”
“ค่ะ คุณสร้อย”
บัวยิ้มเอียงอายมานั่งปุบลง
“ชื่อวิมาลาครับ อยู่แผนกเดียวกับผม แก่กว่าผมซัก 2-3 ปี ใส่แว่น เกล้ามวยหน้าตาจืดๆ แต่งตัวเชยๆ”
“นี่ไม่ใช่อะไรที่อาภพของแกจะชอบเลยนะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ แกยังธรรมะธรรมโมถือศีลแปด เดี๋ยวก็ปฏิบัติธรรม เดี๋ยวก็แจกซองเรี่ยไร”
“ศีลแปดอะไร แปดเปื้อนหรือ”
“ทั้งหมดที่เราเห็นน่ะ เป็นแค่สร้างภาพฮะ ที่จริงแกเป็นคนเซ็กซี่เชียวล่ะอกภูเขา เอวคอด สะโพกผาย” บัวตบเข่าฉาด
“นี่มันดาวโป๊นี่คะ”
“ความจริงก็คืออาภพคบกับเขามาเกือบปีแล้ว เรื่องแต่งตัวเรื่องเคร่งศีล อาภพเป็นคนวางแผนเอง”
“ต๊าย มันจะทุ่มเทอะไรปานนั้น”
“ไม่ใช่แค่อานภาโดนหลอกนะครับ คนทั้งกองไม่มีใครระแคะระคายเลย”
สร้อยคำสังเวชใจจนหัวเราะออกมา
“เฮ้อ นี่มันคู่เวรคู่กรรมจริงๆ ผัวก็เจ้าชู้เกินมนุษย์ เมียก็หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้”
“มันอยู่ในดีเอ็นเอเลยมั้งครับ”
“ต๊าย ถ้าจริง แกก็ไว้ใจไม่ได้ล่ะซี ดีเอ็นเออากะหลานมันคงไม่ต่างกันนักหรอก”
“โธ่ ผมออกจะเป็นคนดี”
“ถ้าดีจริง ทำไมแกถึงไม่มีแฟนซะที”
วีกิจทำท่าหล่อ สร้อยคำค้อน บัวหัวเราะคิก
“โธ่ ผมหล่อเลือกได้ต่างหากฮะ”
“จ้า เลือกไปเถอะ เลือกให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
วีกิจไม่ตอบ

วันต่อมาที่บ้านรินลดาซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่ดูหรูแต่ไม่มีรสนิยมเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ที่สนามหญ้ามีการตั้งโต๊ะกินเลี้ยงหลายโต๊ะ บรรดาแขกก็คือเพื่อนบ้าน ลัดดาเจ้าของบ้านแต่งตัวสวยสวมทองเต็มตัว คุยออกรสกับอยู่กับพิณ แปลก และแขกรุ่นราวคราวเดียว
“ต๊าย ฉันละปลื้มแทนแม่ลัดดาจริงๆ ที่มีอวชาตบุตร”
“เฮ้ย เขาเรียกอภิชาตบุตร”
“เออ นั่นแหละ เหมือนกัน”
“นังรินน่ะมันหัวไม่ดีเลยไม่ได้เรียนต่อ ยังดีที่มันขยัน หนักเอาเบาสู้”
“อะไรก็ไม่เท่าเก็บเงินเก่ง แค่ 5-6 ปี สร้างบ้านใหม่ให้แม่ได้แล้ว”
“ก็ยังต้องผ่อนเขาอยู่น่ะพี่แปลก เฮ้อ สร้างบ้านใหญ่โต แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันพี่น่ะยังดี ยังมียายตาอยู่เป็นเพื่อน”
“อือ นี่รู้หรือยัง ยายนินจบปริญญาโทแล้วนะ จบแล้วก็ได้งานเลย อุ๊ยเงินเดือนเป็นแสน”
พิณรีบอวด แปลกถึงกับเซ็ง มุตตายืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์น้ำได้ยินการสนทนา หน้าหม่นลง เดินไปยังศาลากลางสวน
ที่ศาลากลางสวน มีชายหนุ่มสวมแว่น หน้าตาดูดียืนจิบน้ำอยู่ มุตตาเดินมา
“หมอบี มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“หลบมาโทรศัพท์น่ะ นี่เห็นว่าไอ้นินจะกลับมาแล้วหรือ”
“ไม่รู้ซี เขาไม่ค่อยบอกอะไรตาหรอก”
“นี่ยังทะเลาะกันอยู่เหมือนเดิมซีนะ”
หมอบีขบขัน แต่มุตตายิ่งหม่นลง
“เปล่าซักหน่อย”
“เออ ตา เดือนหน้าเราจะไปอังกฤษแล้วนะ”
“ต่อโทเหรอหมอ”
“เปล่าหรอก แค่เซอร์ทิฟิเคตน่ะ”
“อิจฉาจังเลย”
“มาอิจฉาอะไร ไม่ได้ไปเที่ยว ไปเรียนหนักจะตาย ยิ่งภาษาเราก็ไม่ดีเหมือนไอ้นินมันด้วย”
รินลดาเดินเข้ามา ดูสวยเฉี่ยวไปทั้งตัว แต่ดวงตามีแววเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต
“สองคนนี่มาทำอะไรตรงนี้ ถ่านไฟเก่าคุหรือไง”
“บ้า รินพูดอะไร”
มุตตามีแววหม่นหมองวูบหนึ่ง แต่หมอบีหัวเราะอย่างไม่มีอะไรในใจแล้ว
“ถ่านไฟเก่าอะไร เราไม่ใช่สเป็คตาหรอก”
“เรากำลังนินทาเธอต่างหาก”
“นินทาอะไรริน”
“นินทาว่ารินสวยขึ้นน่ะซี แถมยังรวยด้วย กลายเป็นไฮโซไปแล้ว”
“ไฮโซที่นี่น่ะซี พอกลับกรุงเทพก็เป็นขี้ข้าเขาอยู่ดี”
รินลดามีแววหม่นหมองขมขื่นบางอย่างแต่มุตตาไม่เห็นเพราะมัวแต่สงสารตัวเอง

“แต่ยังไงก็ยังมีอิสระ ไม่ต้องติดแหงกอยู่ที่นี่”

คืนนั้นเมื่อกลับมาบ้าน มุตตาถือซองจดหมายปึกหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอน ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วแยกจดหมายดู

ซองแรกๆ เป็นพวกจดหมายขยะพวกใบ้หวย ขายของ โบร์ชัวร์ห้างสรรพสินค้า จนมาถึงซองสุดท้าย
เป็นซองจดหมายราชการ มุตตารีบคลี่ออกอ่านอย่างตื่นเต้น
มุตตาถือจดหมายสีหน้าตื่นเต้นก้าวจากด้านในมายังห้องโถงแล้วชะงักเมื่อเห็นแม่นั่งบ่นอยู่ที่โซฟา ส่วนแปลกอยู่หน้าทีวีกำลังเซ็งเมีย
“หมั่นไส้นังดาทำอวดร่ำอวดรวย ขึ้นบ้านใหม่เชิญคนมาครึ่งค่อนตำบล เชอะบ้านกะเร้อกะรัง สวยซะที่ไหน”
“อ้าว เมื่อกลางวันแกยังบอกเขามีบุญ มีลูกดีไม่ใช่หรือ”
“ดีอะไร ก็แค่นังพริตตี้ กะอะไรเตอร์ๆ”
“พรีเซ็นเตอร์”
“เออนั่นแหละ ยายนินน่ะดีเลิศประเสริฐกว่าตั้งแยะ ฉันยังไม่พูดซักคำ”
“แกแน่ใจนะว่าไม่ได้พูด”
มุตตาอึ้งไปนิดหนึ่ง
“อ้อมาแล้วหรือ มานี่ซิ มีธุระจะคุยกับแก” มุตตาเดินมานั่ง “แกดูนังรินซิจบแค่มอหก แต่มันรู้จักใช้หน้าตาหาเงินได้เป็นล้าน ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้สวยสะอะไร แต่ก่อนมีประกวดอะไรมันแพ้แกทุกที” มุตตาก้มหน้า แปลกมองลูกอย่างสงสาร “ดูซิเพราะมันไปประกวดมันถึงเข้าตากรรมการ ได้ดิบได้ดีอยู่ทุกวันนี้ แต่แกเขาชวนให้ประกวดอะไรก็ไม่เอา มัวแต่สนิมสร้อย จะไปประกวดตอนนี้ก็แก่เกินแกงแล้ว”
“อะไร ยายตาเพิ่ง 24”
“นั่นแหละ ตอนนี้เขารับตั้งแต่ 15 ฮึ เสียโอกาสเปล่าๆ”
“ก็หนูไม่ชอบนี่จ๊ะ”
“แล้วทำไมแต่ก่อนแกชอบ”
“ก็ตอนนั้นหนูยังเด็ก”
“พอโตก็เลยอายนมอายต้ม โธ่มีดีไม่รู้จักใช้”
“นี่น่ะหรือคะ ธุระที่แม่จะพูดกับหนู”
“ฮึ วันนี้พี่นินเขาโทรมาหาฉันกะพ่อแกว่าไร่ดอกไม้อยู่ตัวแล้ว เราน่าจะซื้อที่อีก 10 ไร่ ลองทำไร่ทานตะวันดู พี่เขาให้แกไปขอข้อมูลเกษตรจังหวัดดู”
มุตตาดวงตาแข็งกร้าวขึ้น พูดเสียงแข็งกว่าปกติ
“ตกลงพี่นินจะให้หนูหมกอยู่ในไร่ตลอดไปเลยใช่ไหมคะ”
“ว้าย หมกอะไร”
“ยายตา”
“หนูเพิ่งได้จดหมายจาก ก.พ. ค่ะ ว่ามีตำแหน่งว่างให้หนูไปรายงานตัวที่กรุงเทพ”
“อ้าวหรือ ดีจังลูก”
“งานราชการหรือ เงินดาวเงินเดือนจะกี่สตางค์กัน”
“แต่มันก็มีเลื่อนตำแหน่ง มีขึ้นเงินเดือนนี่คะ”
“แล้วทางไร่นี่จะทำยังไง”
“แม่ก็พูดเองไม่ใช่หรือคะว่าไร่เราอยู่ตัวแล้ว พ่อกับแม่แค่คอยดูๆ กับคุมบัญชีก็พอ”
“อยู่กรุงเทพ อยู่ยังไงคนเดียว”
“ใครเขาก็อยู่ได้นี่คะ พี่นินยังอยู่อเมริกาคนเดียวได้”
“ยายนินกะแก เหมือนกันที่ไหนล่ะ”
“หนูรู้ค่ะ ตอนเรียนมหาลัยหนูอยู่หอก็อยู่ได้นี่คะ”
“นั่นมันยังมีเพื่อน มียายนินคอยดูแลอีกคน”
“พี่นินน่ะหรือคะดูแลหนู เขาแค่เอาเงินมาฟาดหัวหนูทุกเดือนแค่นั้นแหละค่ะ”
“ยายตา”
“ไม่ว่ายังไงหนูก็จะไปค่ะ”
มุตตาพูดเรียบๆ แต่แววตาดูมุ่งมั่น ต่อต้าน ดื้อดึง

พิณกับแปลกยอมให้มุตตาเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ทั้งคู่มาส่งมุตตาที่กรุงเทพซึ่งมุตตาเข้าพักที่หอพักหญิงแห่งหนึ่ง ห้องในหอพักขนาดไม่ใหญ่นักบนเตียงมีเพียงที่นอนกับผ้ารองเปื้อน พิณนั่งอยู่บนเตียงมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบและมีพวกถุง 2-3 ใบ แปลกเดินวนดูรอบห้อง มุตตานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งมองดูตัวเอง
“แกจะเดินไปถึงไหน ฉันเวียนหัว” พิณต่อว่าสามี
“มียาม มีเหล็กดัด มีทีวีวงจรปิด”
“แล้วที่ข้างล่างมันมีอะไรการ์ด การ์ดนะ”
“คีย์การ์ดค่ะ”
“หอพักหญิงนี่ดีอยู่อย่าง ไม่มีผู้ชายมายุ่มย่าม เข้าได้แค่ชั้นล่าง”
“เป็นไงลูก” แปลกหันไปถามมุตตา
“หนูชอบจ้ะ แพงไปนิดแต่ก็สะดวกปลอดภัยดี แต่ยังไงหนูก็จะระวังตัวค่ะ” แปลกยิ้ม
“ระวังแค่ภายนอกมันไม่พอหรอกลูก ต้องระวังภายในด้วย”
“อะไรหรือคะ”
“แกพูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง” พิณไม่เข้าใจที่แปลกพูดเหมือนกัน
“ใจไงลูก เราต้องระวังใจเราด้วย”
มุตตาพยักหน้ารับไม่ได้ใส่ใจนัก ก้าวเดินไปที่ระเบียงมองออกไปเห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ภายนอกลมแรงพัดมาจนผมปลิวไสว

มุตตารู้สึกเป็นอิสระอย่างยิ่ง

เช้าวันต่อมาที่หอพักหญิง ฤดีเจ้าของหอพักนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์กับศรี สาวใช้ ซึ่งกำลังปัดกวาดเช็ดถูล็อบบี้อยู่

“อ้าว เช็ดให้มันเกลี้ยงๆ นังศรี อย่าให้ใครเขาเอาไปพูดว่าหอเราไม่สะอาด”
“อุ๊ย หอคุณฤดีน่ะสะอาดจนดมได้ค่ะ แต่ลูกหอซีคะไม่รู้ว่าสะอาดหรือเปล่า”
“เอ้า พอพูดถึงก็ส่งกลิ่นคาวมาเชียว”
พร สาววัย 30 แต่งตัวแบบทำงานกลางคืนแหวกบนเปิดล่างเดินเซมาจากข้างนอก
“นี่แม่พรกลับอะไรเอาป่านนี้ยะ งานรีเซฟชั่นนี่เขาเซฟกันจนถึงเช้าเลยหรือจ๊ะ”
“แหม ป้า ไม่คิดว่าฉันเพิ่งออกไปตักบาตรบ้างเหรอ”
“วุ้ย ถ้าหล่อนออกไปตักบาตรชุดนี้น่ะ ได้บาปมากกว่าบุญแน่ย่ะ”
พรทิ้งตัวนั่งแผ่บนโซฟา ศรีนั่งลงข้าง ฤดีถลึงตาใส่ศรีค้อนลุกขึ้น
“แล้วนี่พี่พรไปทำอะไรมา”
“งานพิเศษ”
ฤดีกับศรีมองหน้ากัน ฤดีตบอกผาง
“งานพิเศษ ว้าย”
“ฟังให้ดีๆ นะป้า งานพิเศษไม่ใช่อาชีพพิเศษ ก็ไอ้เสี่ยเจ้าของผับน่ะซีมันจัดงานวันเกิดพอตีหนึ่งมันก็ปิดไฟ ปิดประตูหลอกตำรวจ แต่ข้างในฉลองกันจนสว่างคาตาฉันถึงกลับมาป่านนี้แหละ”
“โล่งอกไป”
มุตตาแต่งตัวเรียบร้อย หน้าสดใสเดินออกมาจากด้านใน
“สวยจริงหนู ไปทำงานหรือคะ” ฤดีทักมุตตา
“ค่ะ ไปทำงานวันแรกก็เลยออกเร็วหน่อย”
“ดีจริง โชคดีนะคะหนู”
“ขอบคุณค่ะ หนูไปก่อนนะคะ”
มุตตาเดินออกไป ทั้งสามนางมองตาม
“สวยจังเลยหนูช๊อบชอบ” ศรีบอก
“สวยน่ะสวยหรอก แต่จืด” พรบอก
“ใครเขาจะเปรี้ยวเหมือนเธอล่ะยะ ไปขึ้นห้องไปซะที มานั่งแผ่อยู่ เดี๋ยวใครคิดว่าหอฉันเป็นที่อย่างว่า”
“อ้าวดีนะป้า จะได้เป็นหอทูอินวันไง มีทั้งรายเดือน รายคืน”
พรลุกขึ้น บิดสะโพกไปด้านใน ฤดีค้อน ศรีหัวเราะคิกคัก

ถนนหน้ากระทรวง รถวีกิจแล่นมาใกล้ประตูทางเข้าแล้วจอดลงที่ทางม้าลายหยุดให้คนข้าม วีกิจมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส มองไปเห็นรถตู้จอดลงที่ป้ายรถประจำทาง มุตตาลงจากรถวีกิจมองอย่างสนใจ
มุตตามองดูตึกกระทรวงตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจแล้วเดินเข้าประตูทางเข้า วีกิจมองตามไม่ได้ดูว่าไฟของทางม้าลายเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถข้างหลังบีบแตรไล่ วีกิจสะดุ้งรีบออกรถเลี้ยวเข้ากระทรวง วีกิจมองหามุตตาแต่ไม่เจอ
แผนกของวีกิจมีโต๊ะเรียงรายเป็นทิวแถว วีกิจกับประสิทธิ์ชัยเดินเข้ามาที่โต๊ะของตัวเอง
“เห็นแว๊บๆ สวยดี พอเลี้ยวรถตามก็ไม่เจอแล้ว สงสัยมาติดต่อราชการ”
“หรือไม่ก็ปวดท้องกระทันหัน เลยมาขออาศัยส้วมกองเรา”
“ไอ้บ้า”
วีกิจ ประสิทธิ์ชัยนั่งลง ปริมเดินตามมาพูดต่อ
“อู๊ยจริงค่ะ ยิ่งตอนเช้าๆ นี่ฉันจะเข้าห้องน้ำ ต๊ายไม่ว่างซักห้องต้องรอพอเปิดออกมาก็เป็นอีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จักซักคน”
ปริมมานั่งโต๊ะ วีกิจ ประสิทธิ์ชัยอ่อนใจ เมื่อรู้ว่าปริมเดินตามฟังการคุยทั้งหมด
“อ้อ หรือฮะ”
“ทีหลังต้องติดป้าย สถานที่ราชการ ห้าม”
บังตาเปิดออก มุตตาโผล่เข้ามา ประสิทธิ์ชัยชะงัก วีกิจยิ้มดีใจ
“ขอโทษค่ะ ดิฉันหาฝ่ายบุคคลไม่เจอค่ะ”
“อ้อ อยู่ทางปีกซ้ายของตึกครับ” ประสิทธิ์ชัยบอก วีกิจลุกพรวดขึ้น
“เดี๋ยวผมพาไปเองครับ”
วีกิจกุลีกุจอพามุตตาออกไป มุตตายิ้มรับขอบใจ ประสิทธิ์ชัยงงและขบขันกับท่าทีวีกิจ ปริมตาขวาง
“ต๊าย ทำไมต้องพามันไปด้วย”

มุตตาเดินมากับวีกิจ วีกิจชวนคุย
“คุณคงเพิ่งมาทำงานใหม่”
“ค่ะ เพิ่งบรรจุ”
“อ๋อ ผมชื่อวีกิจฮะ ทำงานที่นี่มา 2 ปีแล้ว”
“ฉันชื่อมุตตาค่ะ”
“ชื่อแปลกจัง แต่ก็เพราะดีนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งคู่เดินมาถึงฝ่ายบุคคล
“ถึงแล้วฮะ จะให้ผมพาเข้าไปไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันจะเข้าไปเอง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
มุตตาผลักบังตาเดินเข้าไป วีกิจชะเง้อมองนิดหนึ่งแล้วยิ้มเดินกลับ

มุตตาวางแฟ้มเอกสารและกระเป๋าถือลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แจงจิตมองอย่างพิจารณา
“นี่โต๊ะเธอ นี่กุญแจโต๊ะ” แจงจิตบอก
“ขอบคุณค่ะ พี่แจงจิต”
“เดี๋ยวคอมก็ใส่ยูสเซอร์เนมใส่พาสเวิร์ดให้เรียบร้อย”
“ค่ะ”
“มีอะไรก็ถามฉันได้ ไปล่ะนะ”
แจงจิตเดินไปโต๊ะตัวเอง มุตตานั่งลงเห็นอรพิมและทิพอาภาโต๊ะข้างๆ มองตาแป๋ว ทางด้านหลังยังมีพนักงานสองคนกำลังซีร็อกซ์งานอยู่
“ชื่อมุตตาเหรอ ฉันชื่ออรพิม นังซีดเกาหลีนี่ชื่อทิพอาภา”
“นังบ้า” มุตตาสะดุ้ง “อุ๊ย ขอโทษค่ะ ฉันว่านังนี่”
“สวัสดีค่ะ”
“งานส่วนของเธอตอนนี้ฉันทำแทนอยู่ เดี๋ยวฉันจะสอนงานให้เอง เธอดูแฟ้มนี่ไปก่อน” อรพิมเอาแฟ้มมาให้
“ค่ะ” มุตตาเปิดลิ้นชักจะเอากระเป๋าใส่แล้วชะงัก ดึงถุงมา ดึงสะไบโครเชต์ออกมาดู “เอ๊ะ ชุดปฏิบัติธรรม”
“ต๊าย ยายวิมาลาทิ้งซากอารยธรรมไว้”
อรพิมคว้าชุดขาวซิ่นขาวมาดู ทาบตัว ทิพอาภาทั้งขำทั้งสังเวช มุตตาเจอของอีก
“ซองผ้าป่าเยอะเลยค่ะ”
“ทิ้งขยะไปเถอะจ้ะ เจ้าของเก่าเขาไปดี ลาออกไปเรียบร้อยแล้ว”
“ทำไมถึงลาออกซะล่ะคะ”
“เห็นว่าไปทำเกษตรพอเพียงค่ะ ปลูกต้นงิ้วขาย”
อรพิม ทิพอาภาหัวเราะคิกคัก มุตตางง แจงจิตเท้าสะเอวตะโกนมา
“เอ้าๆ แม่คุณ แม่ทูนหัว เห็นแก่ภาษีราษฎรเถอะนะจ๊ะ”

อรพิม และทิพอาภาสะดุ้ง รีบพิมพ์งานทันที มุตตายิ้มรีบอ่านแฟ้มอย่างตั้งใจ

ช่วงพักกลางวัน มุตตา อรพิม ทิพอาภา วีกิจ และประสิทธิ์ชัย นั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกัน และเริ่มมีการพูดคุยทำความรู้จักมากขึ้น แต่มุตตายังดูระวังตัว

“ที่เพชรบูรณ์มีการทำไร่ดอกไม้ด้วยหรือฮะ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ค่ะ”
“เอาไว้ลองวีคเอนด์ เราจัดทัวร์ไปเที่ยวกันบ้างดีไหม”
“จัดทัวร์ทั้งทีไปทำไมแค่เพชรบูรณ์ ไปฮ่องกงกันดีกว่า”
“ใช่ ใช่ ไปมาเก๊าด้วย”
“แต่ฉันอยากไปเกาหลีมากกว่า”
“โถ นังกิมจิขึ้นสมอง”
“นังบ้า”
“โธ่ ผมชวนเที่ยวแบบประหยัด นี่ใจคอจะไปเมืองนอกกันเลยหรือไม่ไหวล่ะฮะ”
“นี่ คุณกิจ คุณอย่ามาทำเป็นคนเบี้ยน้อยหอยเล็ก บ้านคุณน่ะรวยจะตาย”
“ใช่ เส้นก็ใหญ่”
มุตตามอง ประสิทธิ์ชัยอธิบายเพิ่มเติม
“นายกิจมันเป็นหลานแท้ๆ กะ ผ.อ. เจนภพเจ้านายเราไงครับ”
“โธ่ อาภพกับผมน่ะ คนละคนกันนะครับ เงินก็คนละกระเป๋า”
มุตตายิ้มนิดๆ ทิพอาภาอธิบายให้มุตตาฟัง
“ตอนนี้ ผ.อ. เราไปดูงานที่ญี่ปุ่น 2 อาทิตย์”
“สงสัยป่านนี้คลี่กิโมโนเพลินไปแล้ว”
“นังบ้า พูดอะไร”
“คงไม่มีโอกาสหรอกฮะ อานภาตามไปคุมแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย”
ทิพอาภามองไปแล้วกระซิบกับอรพิม
“ว๊าย ยายปริมตรงดิ่งมาแล้ว”
ปริมถือถาดอาหารเดินยิ้มมา เหลือที่ว่างตรงข้ามวีกิจพอดี
“ขอนั่งด้วยคนนะคะ คุณกิจ”
อรพิมเอากระเป๋าข้ามมาวางปุบ
“ต๊าย อยากให้นั่งหรอกแต่มีคนนั่งแล้ว”
“ใคร”
อรพิมอึกอักนิดหนึ่งแล้วมองไป ลุกพรวดขึ้น
“พี่แจงจิตขา ทางนี้เลยค่ะจองที่ไว้ให้แล้ว”
อรพิมไปดึงแจงจิตที่ถือถาดมา จัดแจงดึงถาดวางโครมใส่หน้าปริม
“เชอะ”
ปริมสะบัดไป อรพิมยิ้มย่อง แจงจิตนั่งลงยังที่ว่าง
“เอ้า พ่อคุณ แม่คุณ กินกันทำเวลาหน่อย จะบ่ายอยู่แล้ว”
ทุกคนค้อนแจงจิต อรพิมเปรยว่า รู้งี้ให้ปริมนั่งดีกว่า วีกิจยิ้มให้มุตตา มุตตามองเลยไปเห็นปริมนั่งโต๊ะห่างไป มองตาเขียวมา

เย็นวันนั้นหลังจากเลิกงาน วีกิจกับประสิทธิ์ชัยเดินมาด้วยกันในลานจอดรถ
“ขอเบอร์หรือยังวะ”
“เร็วเกินไปเว๊ย ให้มันค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า”
“มัวแต่ฟอร์มแบบนี้ เดี๋ยวข้าปาดหน้าซะเลยนี่”
ประสิทธิ์ชัยพูดเล่น แต่วีกิจชะงัก
“อย่านะไอ้สิทธิ์ คุณตาน่ะเด็กดี เอ็งจะไปทำเล่นๆ ไม่ได้นะ”
“เอ้า ข้าอาจจะเอาจริงก็ได้นะ”
“หน้าอย่างเอ็งน่ะหรือจะจริงกับใคร”
“ดูเอ็งทำหน้าเข้า แค่พูดเล่นโว๊ย ถึงข้าจะเชี่ยยังไงก็ไม่แย่งของของเพื่อนโว๊ย”
“เออ”
“เฮ้ย ไปหาเบียร์กินกันก่อนไหมวะ”
“ไม่ล่ะ วันนี้บอกแม่ไว้ว่าจะกลับเร็ว”
“โธ่เอ๋ย ไอ้ลูกแหง่”
วีกิจไม่รู้สึกอะไรขึ้นรถ ประสิทธิ์ชัยขึ้นรถบีเอ็มที่จอดอยู่ข้างๆ

คืนนั้น ภายในห้องพัก มุตตาสวมชุดนอนบางเบาเดินมาหยิบถุงหนังสือที่โต๊ะเครื่องแป้ง มุตตาหยิบแม็กกาซีนแฟชั่นผู้หญิงมา มีหนังสือนิยายโรแมนซ์ 2 เล่ม หนังสือพวกอ่านใจชาย ผู้ชายสิบสองราศี มุตตาหยิบหนังสืออ่านใจชายมานอนอ่านที่เตียง

ดวงหน้าสวยหวานสดใสของมุตตา เคลิบเคลิ้มไปกับตัวหนังสือหนังสือที่กล่าวเพียงด้านงดงามของชีวิต

อ่ า น ต่ อ ห น้ า  3

แรงเงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในวันต่อมา หลังจากเลิกงาน มุตตาและวีกิจเดินดูของที่ศูนย์การค้าด้วยกัน มุตตาสนิทกับวีกิจมากขึ้นแต่ยังมีระยะห่าง วีกิจเองก็มีท่าทีแบบเพื่อนมากกว่ามาจีบ

ครู่หนึ่งมุตตาก้าวออกจากร้านเสื้อ วีกิจช่วยถือถุง ทั้งคู่ผ่านร้านกิฟท์ช็อป มุตตาปลาบปลื้มของโชว์ที่วินโดว์จึงรีบเดินเข้าร้าน วีกิจมองอย่างเอ็นดู
ที่ร้านอาหารเล็กๆ ในศูนย์การค้า มุตตาและวีกิจนั่งอยู่ที่โต๊ะติดหน้าร้าน วีกิจสั่งอาหาร พนักงานรับออร์เดอร์เดินไป มุตตาเอามือถือมาถ่ายรูปมุมต่างๆ ของร้าน
“เขาแต่งร้านน่ารักจังค่ะ”
“ผมกะอยู่แล้วว่าคุณตาคงชอบ”
“คุณกิจมาที่นี่บ่อยหรือคะ”
“ไม่บ่อยหรอกฮะ อย่างเก่งก็เดือนละครั้ง ปกติก็กลับบ้านกินข้าวฝีมือแม่”
พนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟให้วีกิจ น้ำปั่นสำหรับมุตตา วีกิจจิบกาแฟ
“กาแฟที่นี่อร่อยมากเลย คุณตาน่าจะลอง”
“ฉันไม่กินกาแฟค่ะ กินแล้วจะใจสั่น นอนไม่ได้เลย”
“อ้าว หรือฮะ”
“แต่ฉันชงกาแฟเก่งนะคะ บ้านฉันแต่ก่อนอยู่ในตลาดค่ะ เป็นร้านกาแฟ แต่ไม่ใช่ร้านกาแฟแฟชั่นแบบสมัยนี้นะคะ”
“อ๋อ กาแฟโบราณ แบบที่เป็นถุงๆ ใช่ไหมฮะ”
“ค่ะ” พนักงานเอาของกินเล่นจานแรกมาเสิร์ฟเป็นถุงทองประดับจานด้วยพริกที่จัดเป็นดอกไม้ “น่ากินจัง เอเขาผูกปากถุงด้วยอะไรคะนี่”
“น่าจะเป็นใบกุยช่ายฮะ เขาเอาไปลวกน้ำร้อนก่อน”
มุตตายิ้มอย่างทึ่ง แล้วถามลองภูมิวีกิจ
“แล้วพริกนี่ละคะทำยังไง”
“ก็กรีดแล้วเอาไปแช่น้ำไงฮะ”
“คุณกิจนี่เก่งจัง”
“ได้ดีเพราะแม่นะฮะ ผมเป็นลูกมือช่วยแม่ผมทำกับข้าวบ่อยๆ ก็เลยซึมซับมาเยอะฮะ”
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“พ่อผมตายตั้งแต่ผม 10 ขวบเอง แม่เลี้ยงผมมาตัวคนเดียว แม่ผมน่ะซูเปอร์มอมตัวจริงฮะ”
วีกิจตาพราวเมื่อพูดถึงแม่ มุตตายิ้ม
“ดูคุณสนิทกับคุณแม่จังเลย น่าอิจฉาจัง”
“อ้าว แล้วคุณตาไม่สนิทกับคุณแม่คุณหรือครับ”
“ฉันไม่ใช่ลูกคนโปรดค่ะ แม่ค่อนบ่อยๆ ว่าตาน่ะ ไม่ได้ดังใจซะอย่าง”
วีกิจยิ้มปลอบใจ อาหารทยอยมาอีก วีกิจเอาตั๋วหนังมาดู
“ลงมือเถอะฮะ เดี๋ยวไม่ทันหนังฉาย”
ที่หน้าร้านปริมเดินมากับเพื่อนข้าราชการ เห็นมุตตากับวีกิจก็ชะงักมองอย่างริษยา

คืนนั้นวีกิจขับรถมาส่งมุตตาที่หอพัก มุตตาเชิญวีกิจให้นั่งลงบนโซฟารับแขก ฤดีนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ ศรียิ้มแย้มถือน้ำส้มมาต้อนรับ ฤดีเขม้นมอง
“น้ำนางเอกค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
วีกิจจิบน้ำส้ม ค้อมหัวขอบคุณศรี ศรีปลาบปลื้มประโลมใจ
“หอพักอยู่ลึกเหมือนกันนะครับ”
“ค่ะ”
“นี่ดึกแล้ว ผมว่าคุณตาพักก่อนดีกว่า ผมกลับก่อนนะฮะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้าผมมารับคุณ โมงนึงดีไหมครับ”
มุตตาลังเลนิดหน่อย
“ได้ค่ะ โมงนึง”
มุตตาส่งวีกิจที่ประตู พรแต่งชะเวิกชะวากสวนเข้ามา มองวีกิจเพลิน
“ใครน่ะตา ล้อหล่อ”
“เพื่อนที่ที่ทำงานค่ะ พี่พร ตาขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ”
มุตตาเข้าประตูชั้นในไป พรเข้าไปเกาะเคาน์เตอร์
“เห็นไหม เริ่มมีผู้ชายมารับมาส่งแล้ว”
“ล้อหล่อ หนูช๊อบชอบ” ศรีบอก
“เอ้า แม่คุณ วันนี้ทำไมกลับมาแต่หัววันจ๊ะ” ฤดีถามพร
“อ้าวป้า ไม่รู้หรอกเหรอว่าเดี๋ยวนี้ ฉันทำงานเป็นกะแล้ว” ฤดีตาเหลือก
“ทำเป็นกะ กะอะไร อย่าบอกนะว่า กะ...”
“วุ๊ยป้า ตอนนี้ฉันทำกะกลางวัน เลิกทำกะกลางคืนแล้ว”
“แล้วไป” ศรีหัวเราะกิ๊ก “อ้อ...นังศรี ที่สาระแนเอาน้ำส้มไปรับแขกน่ะ ฉันจะหักค่าน้ำส้มจากเงินเดือนแกนะ”

ศรีเชิดหน้า

วันต่อมา วีกิจเดินคุยมากับมุตตาอย่างสนิทสนม แล้วชะงักเมื่อเห็นที่หน้าห้องทำงานวีกิจ ประสิทธิ์ชัยนั่งคอตกอยู่ มุตตากระซิบถามวีกิจ

“คุณสิทธิ์เป็นอะไรไปคะ”
“ช่างมันเถอะครับ มันเป็นอย่างงี้บ่อยๆ”
ประสิทธิ์ชัยเงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ มีงานค้างไว้ค่ะ”
มุตตาเดินต่อไป วีกิจนั่งลงข้างประสิทธิ์ชัย
“ไง คราวนี้เรื่องอะไร”
“น้องกิฟท์บอกเลิกกับข้าเมื่อคืนนี้ว่ะ”
“แล้วเอ็งไปทำอะไรเข้า”
“เมื่อคืนน้องกิฟท์เอามือถือข้าไปเช็ก เจอรูปที่ข้าถ่ายกับน้องหลินก็เลยเล่นข้าใหญ่เลย”
“ก็เสือกถ่ายเอาไว้เอง”
“ข้าก็ว่าข้าลบหมดแล้ว กำลังเคลียร์จะสำเร็จ น้องดันโทรมาพอดี”
“น้องหลินโทรมา”
“ไม่ใช่น้องหลินโว๊ย คุณน้องโทรมา น้องกิฟท์รับแล้วด่ากันเช็ด ลงท้ายก็ขอเลิกกับข้า”
“เออดีแล้ว สมน้ำหน้า”
“อกหักโว๊ย ต้องหลบไปเลียแผลใจ ไอ้กิจลองวีคเอนด์นี้ไประยองกันเถอะวะ”
“ไปกะเอ็ง 2 คนน่ะหรือ ไม่เอาหรอก”
“ข้ารู้แล้วชวนคุณตาไปด้วย”
“ใครเขาจะยอมไปวะ”
“มันจะยากอะไร ก็ชวนคุณทิพกะยายแจ๊ดแจ๋ไปด้วย คอนโดข้ามีห้องนอนตั้ง 2 ห้อง ไม่มีอะไรน่าเกลียดหรอก ระยองเดี๋ยวนี้ขับรถ 2 ชั่วโมงก็ถึง” ปริมถลามานั่งลง
“จะไปเที่ยวกันหรือคะ ไปเมื่อไร ไปด้วยคนซีคะ”
“เที่ยวอะไรครับ ไม่มี มีแต่งานค้างอยู่เต็มตะกร้า ขอตัวก่อนครับ”
“ผมต้องไปเช็กเมล์ก่อน”
วีกิจ ประสิทธิ์ชัยลุกหนีไป ปริมค้อน

เมื่อถึงวันหยุด วีกิจ ประสิทธิ์ชัย พากันไปเที่ยวชายทะเลโดยชวน อรพิม ทิพอาภาและมุตตาไปเที่ยวด้วย พอตกเย็นมีการปิ้งอาหารทะเลกินกัน อรพิม ทิพอาภา วีกิจช่วยกันปิ้ง ระหว่างนั้นมุตตาลุกขึ้นเดินแยกจากกลุ่มไป วีกิจมองหาแล้วลุกตามไป
มุตตาเดินออกมายืนเหม่อมองทะเล วีกิจก้าวมามองดูมุตตา มุตตาหันมามองดูเศร้าสร้อย วีกิจก้าวไปหา
“ทะเลสวยจังฮะ”
“เศร้าต่างหากคะ เหมือนท้องฟ้ากำลังร้องไห้”
“มีฝนตกในทะเลต่างหากฮะ ไม่ยักรู้ว่าคุณตาจะโรแมนติกแบบนี้”
“ไม่เคยมีใครบอกว่าตาโรแมนติกซักคน มีคุณกิจเป็นคนแรก”
“ดีใจจัง”
“ทำไมคะ”
“ก็คุณตาเลิกเรียกตัวเองว่าฉันหรือดิฉันแล้วน่ะซีฮะ”
มุตตาและวีกิจเดินไปตามชายหาดด้วยกัน
“รู้ไหมคะ ว่าตาไม่ค่อยได้มาเที่ยวแบบนี้เลย”
“จริงหรือฮะ”
“บ้านตาไม่ได้ร่ำรวยอะไร ยิ่งแต่ก่อนยิ่งแย่กว่านี้ด้วยซ้ำที่เราลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะพี่สาวตาไปทำงานที่อเมริกา เขาส่งเงินมาให้ตาเรียน ซื้อไร่ดอกไม้ให้พ่อ”
“คุณตามีพี่น้องกี่คนฮะ”
“มีพี่สาวคนเดียวค่ะ”
“คงจะสวยเหมือนคุณตา”
มุตตามีแววรำพึง ขมขื่น ริษยาปนกัน
“ไม่ค่ะ เขาไม่เหมือนตาเลยจนนิดเดียว เขาเก่ง เขาฉลาด เขาดีไปหมดทุกอย่างนี่เขาจบโทแล้วนะคะ อาจจะต่อปริญญาเอกด้วยซ้ำ”
“คนเราจะให้เก่งเหมือนกันได้ยังไงล่ะครับ คนเราก็ต้องมีดีมีแย่อะไรกันทุกคน คุณตาอาจมีอะไรหลายอย่างที่พี่สาวคุณตาไม่มีก็ได้”
“ขอบคุณค่ะที่ทำให้ตาสบายใจขึ้น”

ในขณะที่วีกิจ มุตตาเดินกลับไปรวมกลุ่ม ผ่านปราสาททรายที่ก่อไว้เมื่อกลางวัน คลื่นใหญ่โถมมา ปราสาททรายพลันทลายลง

คืนนั้น เมื่อกลับจากทะเล รถวีกิจแล่นเข้าประตูบ้าน ผ่านหน้าบ้านเจนภพที่เปิดไฟสว่างไสวเห็นพนักงานทำความสะอาดและคนสวนหลายคนพลุกพล่าน
 
วีกิจมองดูอย่างงงๆ แล้วขับรถเลยไปยังบ้านเล็ก จอดรถเรียบร้อยแล้วลงมามองไปยังบ้านเจนภพอีก
สร้อยคำเดินออกมากับบัว วีกิจเปิดท้ายรถให้บัวขนกระเป๋ากับของฝาก
“อาภพกับอานภากลับมาแล้วหรือฮะ” วีกิจถามแม่
“กลับมาตั้งแต่เย็น”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นฮะ ถึงได้มีมหกรรมขนาดนั้น”
“จะอะไร แม่นภากลับมานั่งลงก้นไม่ทันร้อน ก็มีหนังสืออะไรไม่รู้โทรมาคอนเฟิร์มเรื่องจะมาสัมภาษณ์พรุ่งนี้ แม่นภาก็เลยลุกขึ้นเต้น จ้างคนมาทำบ้านทำสวนกันกลางดึก”
วีกิจหัวเราะ สร้อยคำค้อนไปทางบ้านใหญ่
“สงสัยอานภาจะลืม”
“ก็ใช่น่ะซีจ๊ะ ก็ทีแรกนายภพเขาต้องไปญี่ปุ่นคนเดียว แต่เกิดเรื่องแม่อุบาสิกาศีลแตกนั่น แม่นภาก็เลยตาม
ไปคุมประพฤติจนลืมนัด”
“พรุ่งนี้ก็มีรายการสร้างภาพอีกแล้วซีฮะ”
“ว่าแต่เราเถอะ พรุ่งนี้จะไปช่วยสร้างภาพกับเขาด้วยไหม”
“ให้อาภพกับอานภาเป็นพระเอกนางเอกไปเถอะฮะ ผมไปเดี๋ยวไปแย่งซีนเปล่าๆ”
“หล่อจริ๊ง ลูกชายฉัน ทำไมเดี๋ยวนี้ช่างพูดเหลือเกิน”
วีกิจไม่ตอบแต่ในใจรู้ว่าเพราะอะไร

วันต่อมารถทีมงานหนังสือแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเจนภพ ภายในห้องโถงบ้านเจนภพตกแต่งหรูหราด้วยข้าวของมีค่าจนดูแน่นไปหมด ยิ่งในวันนี้มีแจกันดอกไม้อลังการมาตกแต่งเพิ่มตามจุดต่างๆ อีกหลายจุด ที่ชุดรับแขกหลุยส์เจนภพและนพนภานั่งยิ้มสุขุม ที่พื้น ต้อง ลูกสาวคนโตวัย 16 หน้าตาสะสวย ฉลาดและรั้น ตอนนี้สวมประโปรงยาวเสื้อลูกไม้จนดูหวานไปทั้งตัว ต่อ ลูกชายวัย 15 หน้าตาหล่อเหลา ตัวสูงใหญ่แบบนักกีฬา แต่กลับมีกลิ่นอายหญิงหลายอย่างในตัว และต้อม ลูกหลงวัยเพียง 7 ปี ตอนนี้ดูน่ารัก สงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่จา ทั้งห้านั่งโพสต์ท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป
“ครอบครัวเรามี 5 คนพ่อแม่ลูกค่ะ คุณเจนภพเป็นผู้อำนวยการกองเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ค่ะ ส่วนดิฉันก็ทำธุรกิจด้านอสังหาเล็กๆ น้อยๆ แค่พอค่ากับข้าวค่ะ”
นพนภาให้สัมภาษณ์กับทีมงาน ที่มุมหนึ่งคุณนภางค์ มารดานพนภายืนดูกับเนตรนภิศ
“คงกินฟัวร์กราส์กับคาร์เวียร์ทุกมื้อนะคะ” เนตรนภิศกระซิบกับผู้เป็นแม่
“เงียบๆ ยายนภิศ”

เวลาผ่านไป เจนภพ นพนภา แต่งตัวลำลองแต่ก็หรูหราเหมือนเดิมยืนตระกองกอดกัน
“ดิฉันมีปมด้อยเรื่องเรียนมาน้อยค่ะ เพราะตอนดิฉันเรียนมหาลัยได้แค่ 2 ปี คุณพ่อก็เสีย ดิฉันก็เลยต้องลาออกมาช่วยคุณแม่ดูแลธุรกิจของบ้าน”
ที่มุมหนึ่ง แต้ว สาวใช้ นั่งดูกับยายแหวง แม่ครัว แต้วกระซิบกับยายแหวง
“ที่ต้องออกเพราะท้องคุณต้องไม่ใช่หรือป้า”
“แต่ที่คุณผู้ชายตายน่ะจริงนะนังแต้ว พอรู้ว่าคุณนภาท้องก็เลยเส้นโลหิตแตกจนคุณต้องคลอดน่ะถึงได้ตาย”
เจนภพตระกองกอดจากด้านหลัง นพนภาเอนตัวแหงนหน้าขึ้นสบตาหวาน

ที่ศาลากลางสวนล้อมด้วยไม้ดอกนานาพรรณ ที่โต๊ะกลาง ต้องในชุดผ้าบางพลิ้วมีลายปั สวมที่คาดผมประดับคริสตัล กำลังประจงจัดแจกันดอกไม้ ใบหน้าหวานละมุน จัดดอกไม้ดูราวมืออาชีพ เสียงนพนภาดังขึ้น
“ยายต้องลูกสาวคนโตค่ะ เรียนเก่งเหมือนคุณภพค่ะ ตอนจบ ม.3 ได้เกรด 4 เต็มค่ะ เรื่องการบ้านการเรือนน่ะอย่าให้พูดเลยค่ะ”
เนตรนภิศอยู่กับนภางค์ ยืนดูอยู่อีกมึมหนึ่ง
“แต่พอขึ้น ม.4 เกรดตกเป็น 1.5 ไม่ยักกะพูดนะคะ”
“แม่นภาเข้าใจพูดต่างหากย่ะ เขาเรียกพูดจริงครึ่งเดียวไม่ถือว่าตอแหล”

เจนภพและต่อในชุดกีฬา ดูเป็นสปอร์ตแมนทั้งหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อย ทั้งคู่กำลังออกกำลังอยู่ในห้องยิม
เหงื่อท่วมตัวทั้งคู่
“ส่วนตาต่อชอบเล่นกีฬาเหมือนพ่อค่ะ เป็นนักกีฬาโรงเรียน รูปหล่อเสียจนสาวๆ กดไลค์ให้เป็นพันๆ แต่ต่อเขาขี้อายค่ะ ยังไม่กล้าจีบสาวคนไหนเลย”
แต้วเปรยกับยายแหวงอยู่อีกมุมหนึ่ง
“จีบไม่เป็นละมั้ง เพราะที่คุยอยู่มีแต่เพื่อนชาย”
เจนภพโอบไหล่ลูกชายรักกันปานจะดม
“พ่อกับลูกเป็นคู่หูกัน สนิทกันที่สุดค่ะ”

ต่อยิ้มกอดพ่อ เหงื่อลูกผู้ชายไหลจากหน้าผากเป็นทาง

ต้อมนั่งยิ้มหวานอยู่ในห้องนั่งเล่นตรงหน้ามีชุดเลโก้ต่อเป็นอภิมหาปราสาท นพนภายืนยิ้มกับสาวที่มาสัมภาษณ์ ช่างภาพถ่ายภาพต้อม

“แล้วนี่ ยายต้อมนี่ลูกหลงค่ะ ทั้งตาต่อ ยายต้อง อยากได้น้องเล็กๆ ก็เลยรักมาก ยายต้อมนี่เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ โตขึ้นอาจเป็นสถาปนิกเอกก็ได้นะคะ”
แต้วถือถาดขนมมาเสิร์ฟเพิ่ม
“หรือไม่ก็มือระเบิดค่ะ”
แต้วบอก นพนภาสะดุ้ง ผู้สัมภาษณ์ได้ยินแว่วๆ นพนภาถลึงตา แต้วทำหน้าซื่อ
“แต่แกเงียบจังนะคะ เหมือนๆ ถูกวางยา”
“กินยาหวัดเข้าไปน่ะค่ะ”
“แหม น่ารักทุกคนเลยนะคะ”
“สมัยนี้มีแต่คนตั้งชื่อลูกเป็นฝรั่ง เกาหลี ญี่ปุ่น ชื่อพริ้งกี้ จองฮี โชโมะ อะไรก็ไม่รู้นะคะ ดิฉันรักความเป็นไทยค่ะ ก็เลยเป็นตระกูล ต. ต้อง ต่อ ต้อม”
“แล้วก็แต้ว”
แต้วพูดต่อ สาวสัมภาษณ์สะดุ้ง นพนภาถลึงตา แต้วยิ้มแห้งๆ
“เป็นแนนนี่ แปลเป็นไทยว่าขี้ข้าค่ะ”

เจนภพ นพนภา นภางค์และเนตรนภิศนั่งอยู่ด้วยกัน นักข่าวสัมภาษณ์นภางค์ ต้องนั่งอยู่กับต่อ แต้วนั่งอยู่ที่พื้นกับยายแหวง
“ค่ะ ตอนที่เขารักกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลก็เห็นว่าสมกันเหลือเกินค่ะ ทั้งฐานะและชาติตระกูล” นภางค์พูดช้าๆ แบบผู้ดีเก่า ต่อเปรยขึ้น
“ตระกูลพ่อน่ะเหรอ ขุนนางเก่าแต่ช่วยกันผลาญจนหมดตัว ต้องมาพึ่งเงินของแม่”
“ทางแม่ก็ตระกูลพ่อค้าขี้โกง ขากถุยมาตั้งแต่ตา ไม่เห็นมีเกียรติตรงไหนแกอย่ามาเข้าข้างหน่อยเลย” ต้องบอก นภางค์จึงรีบพูดต่อ
“ยายเนตรนภิศ เขาก็มีครอบครัวอบอุ่นค่ะ คุณอมร สามี ทำธุรกิจส่งออกมั่นคงมาก เสียดายอย่างเดียว ยังไม่มีหลานให้อุ้มเท่านั้นเอง”
“แหม พูดยังกะเป็นเจ้าของบริษัท ที่แท้คุณอมรน่ะ ลูกจ้างกินเงินเดือนไม่ถึงห้าหมื่น” ยายแหวงคุยกับแต้ว
“แถมยายคุณนภิศ ไม่ทำงาน ผลาญเงินผัวไปวันๆ ชักหน้าไม่ถึงหลัง”

เมื่อสัมภาษณ์เสร็จแล้วนพนภากับแต้วมายืนส่งทีมงานหนังสือ รถคณะหนังสือแล่นออกไป นพนภายิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้าบ้านไป แต้วเดินตามเซ็งๆ
นพนภาและแต้วเดินเข้าบ้านก็ชะงักกึก เมื่อเห็นต้องยืนเด่นกำลังถอดกระโปรงบานพลิ้วออก
“ว้าย / คุณต้อง / นังต้อง แกทำอะไร”
นภนภากับแต้วร้องถามออกมาพร้อมกัน
“ก็แก้ผ้าน่ะซีคะ ชุดปาล์มมี่นี่อย่าเอามาให้หนูใส่อีกนะคะ”
กระโปรงลงไปกองเป็นวงที่พื้นเห็นกางเกงยีนส์สั้นจู๋ ต้องกระชากเสื้อผางออกเห็นเสื้อยืดตัวเล็กข้างในแล้วคว้าโทรศัพท์มา
“เออเสร็จแล้ว รอด้วย”
“แกจะไปไหน ไปเล่นสงกรานต์สีลมหรือ”
“อุ๊ยตาย ตลกจัง ต้องหัวเราะไหมนี่...เออไปเดี๋ยวนี้”
ต้องเดินผ่านกระจกเงาแบบเต็มตัวแล้วร้องลั่น
“ว้าย มงกุฎเคท มิดเดิลตัน”
ต้องกระชากที่คาดผมเพชรออก เอามือขยำผมให้ยุ่งเซ็กซี่แล้วปาที่คาดผมไปที่โซฟาแล้วออกไป
ที่โซฟา ต่อกำลังส่องกระจกอยู่ ใช้สำลีล้างเมคอัพออก นพนภามานั่งกับต่อ แต้วเก็บเสื้อผ้าบนพื้นไป
“แม่ฮะ ช่างแต่งหน้ามันแต่งให้ต่อ น่าเกลียดมากเลย ล้างออกแล้วยังคันอยู่เลยครับ”
“สงสัยจะแพ้น่ะลูก”
“แต่งหน้าผมซะเยิ้มเหมือน...”
“เหมือนอะไรลูก”
“เหมือนเกย์เก้งเหรอคะ”
“พี่แต้ว อย่ายุ่ง เหมือนลิเกครับแม่”
“ก็หน้าเราหวานไง”
แต้วมองไปแล้วตาเหลือก
“ว้าย คุณผู้หญิง”
“อะไรอีกล่ะนังนี่”
“ยาคุณต้อมหมดฤทธิ์แล้วค่ะ”
นพนภาลุกพรวดขึ้น แต้วเข้าไปตรงบริเวณเลโก้อลังการ ต้อมมีท่าทางตื่นจากภวังค์แล้วร้องลั่นลุกขึ้นเข้าทลายเลโก้อย่างบ้าคลั่งคล้ายก็อตซิลล่า เลโก้กระจายเกลื่อน ต้อมเตะซ้ำ เลโก้ที่เหลือทลายย่อยยับลง
“ยายต้อม อย่าลูก”
ต้อมวิ่งไปวิ่งมา แล้วขึ้นไปยืนขย่มโซฟา ต่อมองตาเขียว
“อีเด็กไฮเปอร์ หยุดนะ”
ต้อมร้องวี๊ดยาววิ่งไปรอบๆ ห้อง นพนภาเดินตาม แต้วหน้าหงิก
“นี่หนูไม่เก็บนะคะ หนูจะไปช่วยยายแหวงทำกับข้าว”
ต้อมวิ่งร้องมากอดขาเจนภพ นพนภาหมดเรี่ยวแรงวิ่งตามมา
“คุณพ่อขา”
“ไงลูก ทำไมซนนักฮึเรา”
“ไม่ได้ซนซักหน่อย”
“นี่คุณจะไปไหนคะ”
“ไอ้สรรค์นัดไปออกรอบ จะได้เอาของฝากไปให้มันด้วย”
“ฮึ อย่ามาอ้างเลย นัดคุณสรรค์หรือนัดนังแคดดี้ กะจะตีกันกี่หลุมล่ะ อย่าให้รู้นะว่าตีหลุมที่สิบเก้า”
เจนภพเซ็งแต่ยังอารมณ์ดีอยู่
“หลุมที่สิบเก้า ฮิ ฮิ ฮิ”
เจนภพกับนพนภาสะดุ้ง ต้อมเริ่มกางแขนทำเครื่องบินร่อนหายไป แต้วเดินมา
“พูดอะไรน่ะ คุณ”
“ก็พูดแทงใจดำไงคะ”
“แทงใจดำอะไร คุณแอ๋วก็ไปด้วย นี่ของฝากคุณแอ๋วอยู่ไหนล่ะ จะได้เอาไปเลย”
“อ้อเหรอ เดี๋ยวจะหยิบให้ นังแต้ว”
“อะไรอีกคะ”
“นังนี่ ขึ้นไปห้องฉัน เอาถุงของฝากลาแมร์มาที”
“ครฝากด่าแม่คะ”
“เดี๋ยวต่อไปหยิบให้เองฮะ”
ต่อลุกขึ้นวิ่งปราดไป
“แกนะแก อะไรก็ไม่รู้ซักอย่าง”
“ถึงต้องมาเป็นคนใช้ไงคะ”
แต้วสะบัดไป นพนภาอ่อนใจนั่งลงบนโซฟา เจนภพนั่งลงด้วยลูบไล้แขนอย่างเอาใจ
“โอย อ่อนใจเหลือเกิน”
“โธ่เอ๋ยนภากลับมาแทนที่จะได้พักผ่อน ต้องมาสัมภาษณ์อะไรก็ไม่รู้”
“คุณก็รู้ว่ามีสื่อให้ออก มันไม่ได้ดีแค่ธุรกิจฉัน มันดีกับตำแหน่งแห่งหนคุณด้วย”
“ผมรู้จ้ะว่าคุณทำทุกอย่าง เพื่อผม เพื่อลูกๆ คุณคือเมียที่ประเสริฐที่สุด”
นพนภายิ้มออก เจนภพก้มลงจูบ ต่อถือถุงเครื่องสำอางมาชะงักกึกมีอาการรังเกียจ ต้อมมายืนปิดตาดูร้องอี๋ย์ นพนภารีบผละออกค้อนเจนภพตาเชื่อม

“ภพ อะไรก็ไม่รู้”

แรงเงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่ศาลากลางสวนสวน ยามบ่าย ซึ่งมีของว่างวางไว้ นภางค์กับเนตรนภิศกำลังกินของว่างจิบน้ำชาอยู่ นพนภาเดินหน้าผ่องเข้ามาหา

“ไง แม่นภา ผัวแกไปแรดแล้วหรือ”
“ตัวติดกันมา 2 อาทิตย์ ก็เลยปล่อยๆ บ้างค่ะ”
นพนภานั่งลง เนตรนภิศยิ้มประจบ
“เป็นยังไงบ้างคะ ญี่ปุ่น”
“ร้อนย่ะ ร้อนยังกะเมืองไทย ไอ้เราก็คิดว่ามันจะหนาว”
“ร้อนหรือ ทำไมหน้าตาอิ่มเอิบได้น้ำเนื้ออย่างนี้ล่ะหรือว่ากินของดิบกันตลอดทริป”
นพนภาตาวาว
“อุ๊ยคุณแม่ขา ยังกะเซกกั้นฮันนีมูน ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้”
“ก็ใช่ซียะ ก็เพิ่งเกิดเรื่องกับนังอุบาสิกาเคร่งศีลนั่นมาหยกๆ ก็ต้องมาทำดีกับแกซี”
“อย่าพูดถึงมันค่ะ หนูเคยใส่ซองกะมันตั้งสามพัน นี่ภพสาบานกับพระพุทธรูปไดบุตสุเลยนะคะว่าจะเลิกนิสัยเดิมๆ จะไม่มีอีดอกส้มดอกชมพู ให้หนูต้องเดือดร้อนอีก”
“โถ แม่นภา แม่คนซื่อ ผัวแกมันสาบานมาจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่รับแล้ว”
“แต่คราวนี้อาจจะจริงก็ได้ค่ะ อีกอย่างภพอาจจะรู้ตัวว่าแก่แล้ว” นภางค์ส่ายหน้า
“พี่ภพน่ะหรือคะแก่ แก่อะไรกัน ทั้งดูหนุ่มทั้งเซ็กซี่ ดูเด็กกว่าพี่นภา” เนตรนภิศพูดไปก็นึกได้ชะงักคำพูด แต่นพนภาตาวาวคว้าของว่างปาใส่เนตรนภิศ เนตรนภิศหลบโดนเพียงเฉียดๆ “ว้ายพี่นภา อย่าทำหนู คุณแม่คะ”
“ดู๊ สองคนนี่ แกคิดว่าแกเป็นเด็กประถมหรือ ตีกันเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิดจะสี่สิบกันทั้งคู่แล้วนะยะ”
“อุ๊ย ยังค่ะ ยังอีกนาน นังนภิศนี่แกเหล่ผัวฉันอยู่หรือ”
“พี่นภา หนูไม่ใช่น้องเมียในตำนานนะคะ ผัวหนูทั้งหล่อทั้งแสนดีอย่างพี่ภพหนูไม่รับประทานหรอกค่ะ”
“นังนภิศ”
“นี่ก็จริงของมันนะลูก ยายนภิศน่ะไม่มีงานมีการทำอะไรก็เจ๊ง สู้แกไม่ได้ซักอย่างก็มีแต่นายอมรนี่แหละที่ดีกว่าผัวแก”
นพนภาเม้มปาก เนตรนภิศลอบยิ้ม
“กะอีแค่มนุษย์เงินเดือน เชอะ”
“แต่ก็หลายหมื่นอยู่นะคะ”
“อุ๊ย รวยตายแล้ว งั้นอย่าเอาเลยของฝากจากญี่ปุ่น”
“พี่นภา คุณแม่ขา ดูซีคะ พี่นภาพาลหนู”
นภางค์ทำท่าจะเป็นลม

บ้านสรรค์เป็นบ้านนักธุรกิจที่ร่ำรวยหรูหราพอประมาณ ที่สนามหญ้าตั้งเก้าอี้นอนไว้ สรรค์และเจนภพนอนเล่น มีเบียร์กับกับแกล้ม 2-3 อย่าง
“ไปญี่ปุ่นคราวนี้ คลี่กิโมโนไปกี่ผืนวะ” สรรค์ถามเจนภพ
“คลี่บ้าอะไรวะ ไอ้สรรค์ ตลอดทริปนภาประกบข้าแจ มีแยกกันหนเดียวตอนเข้าออนเซ็นเท่านั้น” สรรค์ตาลุก
“ออนเซ็นรวมหรือเปล่าวะ”
“รวม” สรรค์ยิ่งตื่นเต้น “ผู้ชาย กะเทย เกย์รุก เกย์รับ อาบรวมกันหมด ข้าเห็นท่าไม่ดีเลยต้องรีบหนีออกมา”
“แต่ก่อนมีแค่ผู้หญิงมาให้ท่า เดี๋ยวนี้เอ็งขยายกิจการไปถึงเกย์แล้วหรือวะนี่เอ็งมันทำบุญอะไรมา”
“อย่างงี้มันไม่ใช่บุญแล้วไอ้สรรค์”
“เบียร์ ใครอยู่แถวนั้นเอามาเพิ่มได้แล้ว”
สาวใช้บ้านสรรค์เดินผมเกรียนตั้ง ใส่เสื้อกล้ามทอม ยีนส์หลวมหลุดตูด เดินข้อกางอวดรอยสักมา แล้วมาคุกเข่าลง
“เบียร์ฮะ”
เจนภพทำตาปริบๆ สาวใช้ทอมรินเบียร์คล่องแคล่ว
“คนใหม่หรือ”
“เออ ยายแอ๋ว เป็นคนกำหนดสเป็คเอง”
เจนภพมองดู เห็นว่าสาวทอมหน้าตาหมดจดถึงขั้นสวย ดวงตาก็ส่งประกายบางอย่าง
“หน้าตาดี จะให้ชมว่าสวยหรือหล่อนี่”
สาวทอมแทนที่จะฮึดฮัดกลับสบตาเจนภพแล้วหน้าแดงวูบ หลบตา พูดอุบอิบ สรรค์อึ้ง
“หล่อซีฮะ”
ทอมเก็บขวดเปล่า จานกับแกล้มที่หมดไป แถมยังมองเจนภพอีกคำรบ สรรค์อ้าปากค้าง
“ไอ้ภพ อย่างงี้เอ็งไปขึ้นป้ายหน้าบ้านเลยนะว่าที่นี่รับแก้ทอม”
“ไอ้บ้า เออ เกือบลืม นี่ของฝาก”
เจนภพหยิบถุงข้างตัวมาส่งให้ สรรค์เอาดีวีดีมาดูหน้าปกแล้วยิ้มแป้น
“ดีๆ มิยาบิ”
มีมือดึงกล่องดีวีดีไป สรรค์สะดุ้งเฮือก แอ๋วเมียของสรรค์รูปร่างอวบใหญ่ ตาดุ แต่มีอารมณ์ขัน ไม่ซีเรียส พลิกดูแผ่นดีวีดี
“นี่มันอะไร”
“สารคดีจ้ะ เรื่องการทารุณกรรมในเด็กและสตรี”
“มิน่า กุญแจมือ แส้เฆี่ยน เทียนลนมีหมด ดีเดี๋ยวคืนนี้จะได้ดูสารคดีด้วยกัน”
สรรค์หน้าเซ็ง เจนภพหัวเราะ แล้วส่งถุงเครื่องสำอางให้ให้แอ๋ว
“เอ้า คุณแอ๋ว ของฝากคุณ”
“ขอบคุณค่ะ ไงคะ คุณภพหมู่นี้เลิกฝักใฝ่ในทางธรรมแล้วหรือคะ”
“อะไรนะฮะ”
“ก็ยัยอุบาสิกานั่นไงเล่า”
“โธ่ คุณแอ๋ว ไม่มีแล้วครับ เขาลาออกไปไหนต่อไหนแล้ว”

“แอ๋วกลัวว่าเก่าไป ก็มีใหม่มาอีกน่ะซีคะ”

วันต่อมามุตตานั่งรถมากับวีกิจ ดวงหน้าเธอเปล่งปลั่งสดใสแต่งตัวงดงามเป็นพิเศษ แต่ก็ยังรักษาระยะห่างจากวีกิจระดับหนึ่ง วีกิจเองก็สดชื่นพูดคุยกับมุตตามาตลอดทาง

รถวีกิจแล่นเข้ามาในลานจอดที่ค่อนข้างแน่นแล้วทำให้ต้องชะลอหาที่จอด รถวีกิจแล่นผ่านที่จอดรถมีหลังคาสำหรับผู้ใหญ่ในกระทรวง ผ่านรถเมอซีเดสสีดำคันยาว ในรถเบนซ์เจนภพกำลังเรียงเอกสารอยู่เจนภพมองไปที่รถวีกิจเห็นมุตตากำลังยิ้มแย้มกับวีกิจ ดูงดงามสว่างกระจ่าง เจนภพตกตะลึงจังงังราวต้องมนต์
มุตตาและวีกิจเดินมาด้วยกัน มุตตาดูสดใส ท่าทางดูรื่นเริง วีกิจเหลือบมองแล้วยิ้ม
“วันนี้คุณตาดูสดใสจัง”
“เพราะได้ไปชาร์จแบตมามั้งคะ”
“ว้า ไปก็ไปด้วยกัน แล้วทำไมผมยังไฟหมดอยู่ล่ะครับ”
มุตตายิ้มกล้าพูดเล่นกว่าที่เคย
“สงสัยแบตคุณกิจมีปัญหา จนไฟไม่เข้าแล้วมังคะ”
“โอ๊ย เสียคนเลย”
“ขอโทษค่ะ”
วีกิจแกล้งอุทธรณ์ มุตตากลัวจะโกรธ วีกิจหัวเราะ
“โธ่ คุณตาต้องมาขอโทษอะไร เคยได้ยินคุณอรกัดผมไหมฮะ แร๊งจนแทบไปเกิดใหม่เลย” ทั้งคู่เดินผ่านรถเจนภพ วีกิจมอง “อ้าว รถอาภพ วันนี้อาภพมาทำงานแล้วนะฮะ”
มุตตาหยุดมอง รถหรูติดฟิล์มดำมืดทะมึน

มุตตาและวีกิจเดินเข้าตึกมาด้วยกัน
“อาภพของคุณกิจเป็นยังไงบ้างคะ”
“อาภพดุมากเลยนะฮะ ทั้งเฮี้ยบ ทั้งเจ้าระเบียบ โวยวาย เอะอะเอ็ดตะโรลูกน้องทุกวัน ผมถึงต้องไปอยู่อีกฝ่ายไงฮะ” มุตตาเชื่อ
“ตายจริง ตาอยู่หน้าห้องด้วย”
“ยิ่งคุณตายังมาทำงานใหม่นี่ ยิ่งต้องระวังให้ดีเลยนะฮะ”
“แล้วตาจะทำยังไงดีคะ คุณกิจ”
มุตตากลัวจริงๆ วีกิจทำหน้าขึงขังได้อีกเดี๋ยวก็หัวเราะออกมา
“คุณตา ผมล้อเล่น อาภพใจดีจะตายไปฮะ”
“คุณกิจน่ะ”
“อาภพใจดี ใจเย็น ทำงานเก่ง ลูกน้องรักทุกคน เสียอยู่เรื่องเดียวล่ะฮะ”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
วีกิจมองมุตตาแล้วตัดสินใจไม่พูด
“นี่คุณตาไม่เคยได้ยินข่าวซุบซิบในกองเราเลยหรือฮะ”
“ไม่เห็นมีนี่คะ”
“ผมลืมไป แก๊งค์คุณตาน่ะไม่มีใครชอบซุบซิบนินทาเลย ไม่เหมือนที่แผนกผม โอว์” มุตตายิ้ม

มุตตานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ร่างสูงสง่าในสูทสีเข้มก้าวเข้ามา มุตตาเงยหน้าขึ้นมองแล้วอึ้งเมื่อเห็นเจนภพในชุดสูทเข้ารูปสวมแว่นกันแดดดูราวนายแบบหนุ่ม
“สวัสดี”
“เอ้อ สวัสดีค่ะ มาติดต่อธุระหรือคะ นี่ยังไม่ถึงเวลาราชการ คุณต้องรอก่อนนะคะ”
“แล้วทำไมคุณถึงมาแต่เช้าละครับ”
“ดิฉันมาเตรียมความเรียบร้อยน่ะค่ะ ผ.อ.จะมาวันนี้”
“อ๋อ ยังงั้นหรือฮะ”
เจนภพกลั้นยิ้มถอดแว่นกันแดดออก มุตตามองเริ่มคลับคล้ายคลับคลากับรูปที่บอร์ดลำดับบังคับบัญชา แจงจิต อรพิม ทิพอาภาเดินพูดเซ็งแซ่เข้ามา
“เร็วย่ะ รีบทำบิซี่”
“นังสร้างภาพ”
“ไม่ทันแล้วย่ะ”
เจนภพหันไป แจงจิต อรพิม ทิพอาภาย่อตัวไหว้ เจนภพรับไหว้ วางแว่นกันแดดลง
“ว๊าย ผ.อ.ขา ทำไมรีบมาคะ เลยมาสร้างภาพ เอ๊ย รับหน้าไม่ทันเลย”
มุตตาลุกขึ้นยืนช้า เบิกตากว้างหน้าแดง เจนภพหันมายิ้มอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไร คุณมุตตาสร้างภาพพจน์ที่ดีแทนพวกคุณไปแล้ว” มุตตารีบไหว้ เจนภพรับไหว้ “สวัสดีอีกครั้ง ไงคุณแจงจิต ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยค่ะ เอกสารการประชุมวันนี้พร้อมแล้วค่ะ”
“ผ.อ.ขา ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นญี่ปุ่นน่ะซี จะให้เป็นยังไงล่ะ”
“แหม ผ.อ. นี่แหละ”
“มีของฝากมาฝากคนละนิดละหน่อย ของคุณก็มีนะมุตตา”
“เอ้อ ขอบพระคุณค่ะ”
“ไปคุณแจง อัพเดทกับผมหน่อย”
เจนภพเดินไปเข้าห้อง แจงจิตเดินไปเอาเอกสารที่โต๊ะ มุตตาทรุดนั่งลง
“ตาย พูดอะไรโง่ๆ ไปตั้งเยอะ ผ.อ.เองก็ไม่บอกว่าเป็นใคร”
“อ้าว จำไม่ได้หรือ รูปบนบอร์ดก็มี”
“ก็ ผ.อ.ใส่แว่น แล้วก็หนุ่มกว่าในรูปตั้งเยอะ”
“ใช่ อายุตั้ง 40 แล้ว แต่ยังวัยรุ่นอยู่เลย”
“ไม่เหมือนพี่แจงจิต 40 แต่เหมือนแซยิดแล้ว”
“นี่ฉันได้ยินนะยะ เอ้าเตรียมทำงาน คิดถึงประชาชนผู้เสียภาษีเข้าไว้”

แจงจิตเดินเข้าห้องเจนภพ มุตตามองดูแว่นกันแดดบนโต๊ะตัวเอง

เจนภพกำลังตรวจและเซ็นหนังสืออนุมัติ มีเสียงเคาะประตูเบาๆ เจนภพเงยหน้าขึ้น

“เชิญ” มุตตาเข้ามาถือแว่นกันแดดมาด้วย “มีอะไรหรือ”
“เอ้อ ผ.อ. ลืมแว่นกันแดดไว้บนโต๊ะดิฉันค่ะ”
มุตตาวางแว่นให้อย่างขลาดๆ เจนภพยิ้ม
“นี่คุณมุตตาคงเห็นผมเป็นตาแก่หลงๆ ลืมๆ ไปแล้ว”
“เปล่านะคะ ผ.อ. ไม่มีใครกล้าคิดอย่างงั้นหรอกค่ะ”
“งั้นถือว่าเป็นคำชม ได้ไหมนี่ เชิญนั่งก่อนซี”
เจนภพชี้ให้มุตตานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน มุตตานั่งลง เจนภพมองแบบผู้ใหญ่ใจดี ไม่มีแววเจ้าชู้โลมเลียม
“บ้านคุณมุตตาอยู่เพชรบูรณ์หรือครับ”
“ค่ะ ที่บ้านดิฉันทำไร่ดอกไม้ค่ะ”
“แล้วทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการล่ะฮะ”
“ดิฉันอยากใช้วิชาที่เรียนมาน่ะค่ะ แล้วงานราชการก็มั่นคงดี” เจนภพยิ้ม
“ผมคิดว่าคุณมุตตาจะตอบว่า อยากทำงานเพื่อประชาชน แล้วอยากตอบแทนประเทศชาติซะอีก”
“ดิฉันไม่ใช่นักการเมืองซักหน่อย”
มุตตาแย้งอย่างเขินๆ เจนภพหัวเราะ หยิบถุงช็อปปิ้งใบใหญ่ขึ้นมาแล้วหยิบถุงของฝากเล็กๆ ออกมา
“ของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากญี่ปุ่นครับ”
มุตตาไหว้ก่อนจะรับมา ไม่กล้าเปิดดู
“ขอบพระคุณค่ะ”
“ผมเองก็ขอบคุณ คุณมุตตา”
“คะ”
“ที่เอาแว่นมาให้ผม และที่คุณมุตตามาทำงานที่นี่” เจนภพเริ่มหยอดแบบไม่ออกนอกหน้า มุตตายิ้มเก้อเขิน
“เดี๋ยวคุณมุตตาช่วยเรียกทุกคนมารับของฝากหน่อยนะครับ”
“ค่ะ ผ.อ. คะ เรียกดิฉันว่าตาเถอะค่ะ อย่าเรียกเต็มยศเลย”
“ได้ครับ ถ้าคุณจะเลิกเรียกตัวเองว่าดิฉัน”
มุตตารับคำลุกขึ้นเดินออกไป เจนภพมองตาม ประตูปิดลง เจนภพหยิบแว่นตามาใส่กลักแว่นยิ้มๆ

อรพิมตาเบิกโพลง
“ของฝาก”
อรพิมลุกพรวดวิ่งไปห้องเจนภพ
“นังละโมบ”
ทิพอาภาวิ่งต้วมเตี้ยมตาม อีก 2 นางโต๊ะข้างในวิ่งตามติด แจงจิตอ่อนใจลุกตาม
“เรื่องงานไม่เห็นมันวิ่งเร็วแบบนี้”
มุตตาอมยิ้มเปิดถุงออกดูเห็นเป็นเชือกผูกผม แต่งด้วยดอกไม้บอบบาง เกลียวเชือกสีสันงดงาม มุตตาพอใจมากหยิบมาพันนิ้วเล่น
เย็นวันเดียวกันนั้นหลังจากเลิกงานมุตตาและวีกิจเดินเคียงคู่กันมาพูดคุยกันแบบสนิทสนม ผ่านรถของเจนภพ ภายในรถติดฟิล์มมืดจนมองไม่เห็น เจนภพนั่งอยู่ในรถมองดูความสนิทสนมของทั้งคู่ รถวีกิจเคลื่อนออกไป เจนภพมองตาม

วีกิจส่งมุตตาที่หอพักแล้วตรงกลับบ้านเลย ระหว่างอยู่ที่บ้านวีกิจมีท่าทีผ่อนคลาย ปลดไทเอาชายเสื้อออกนอกกางเกงและกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ เจนภพถือถุงของฝากมาวางลงบนโต๊ะสนาม
“อ้าว แปลกจัง วันนี้อาภพอยู่บ้าน ไม่ไปสังสรรค์ที่ไหนหรือฮะ”
“จะสังสรรค์อะไรกันได้ทุกวัน มันก็ต้องมีเบื่อบ้างซี”
“เว้นอยู่อย่างเดียวใช่ไหมฮะ ที่ไม่มีวันเบื่อ”
เจนภพหัวเราะตบไหล่วีกิจ วีกิจหัวเราะด้วย
“อ้อ วันนี้ฉันเห็นแกขับรถไปส่งสาว ชื่ออะไรนะ”
“มุตตาครับ”
“ทั้งรับทั้งส่งเลยหรือ นายกิจ”
“ไม่ทุกวันหรอกฮะ บางครั้งเขาก็ไปกับกลุ่มคุณอร”
“ท่าทางเป็นเด็กดี”
“ฮะ เหมือนสาวไทยเมื่อ 20 ปีก่อน”
สร้อยคำกับบัวเดินออกมา ถือจานของว่างมาวางลง
“อ้าว คุณภพ กินของว่างด้วยกันไหมคะ”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณฮะ พี่สร้อยนี่ของฝากฮะ”
“ต๊าย ขอบคุณค่ะ” สร้อยคำนั่งลงเปิดถุงดูของฝากอย่างปลาบปลื้ม “นี่คุยอะไรกันอยู่คะ”
“คุยเรื่องแฟนนายกิจเขาอยู่ครับ”
“โธ่ ไม่ใช่ครับ”
“นายกิจเขาจีบสาวที่ทำงาน นี่ใจคอแกจะไม่เล่าให้พี่สร้อยฟังเลยหรือ”
“ตากิจ มานั่งลงเดี๋ยวนี้”
วีกิจนั่งลงมองเจนภพค้อนๆ เจนภพอมยิ้ม วีกิจจิ้มสาคูเข้าปาก
“โอ้โฮ อร่อย นี่แม่ทำเองหรือเปล่านี่”
“อย่ามาลูกเล่น เล่ามาเดี๋ยวนี้ ใคร ชื่ออะไร”
“โธ่แม่ แค่เพื่อนที่ทำงาน เขาเพิ่งเข้ามาใหม่แล้วสนิทกันก็แค่นั้นเอง”
“สนิทแบบไหน”
“โธ่ ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหนเลยฮะ”
“แกชอบเขาเข้าแล้วล่ะซี”
“ครับ แต่เขาชอบผมหรือเปล่าก็ไม่รู้”

เจนภพยืนฟังเก็บข้อมูล พลางยิ้มในหน้า

วันต่อมา มุตตาแต่งตัวแต่งหน้าเรียบร้อยแล้วนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูกระจกเงาอย่างพอใจ แล้วหยิบเชือกผูกผมออกมา แล้วผูกผมเป็นหางม้าทิ้งปลายเชือกลง มือถือดังขึ้นมุตตารับขึ้นมา

“ฮัลโหล”
“ผมมาถึงแล้วนะฮะ”
“อ้าวหรือคะ ขอโทษค่ะ ตาจะลงไปเดี๋ยวนี้”
มุตตากดวางหู มีอาการเบื่อบางอย่าง

รถเจนภพแล่นมาตามถนนใกล้กระทรวง เป็นย่านร้านค้าเล็กๆ เรียงราย และขณะนั้นมุตตากำลังยืนดูดอกไม้อยู่ที่ร้านดอกไม้ พอเจนภพเห็นจึงเลี้ยวรถเข้าจอดเทียบทางเท้า มุตตายืนดูดอกไม้เพลินอยู่ เจนภพก้าวมาทางเบื้องหลังมองดูเชือกผูกผมมุตตาแล้วยิ้ม มุตตารู้สึกตัวหันมา
“อ้าว ผ.อ.”
“อ้าว ตาเองหรือ บังเอิญจริงมากินข้าวแถวนี้หรือครับ”
“ค่ะ”
“มากับใครครับ นายกิจหรือ”
“เปล่าค่ะ มากับพี่แจง อร แล้วก็ทิพค่ะ แต่สามคนนั่นเกิดอยากทำสปาเท้าขึ้นมาตาก็เลยมาเดินเล่น นี่ ผ.อ. มาทำอะไรคะ”
“มาขอความช่วยเหลือจากคุณตาครับ”
มุตตางุนงง เจนภพยิ้ม

มุตตาและเจนภพก้าวเข้ามาในร้านดอกไม้ มุตตาขัดเขินแต่ข่มไว้ เจนภพทำปกติไม่กรุ้มกริ่ม เจ้าของร้านฉีกยิ้มรับ
“ช่วยผมทีเถอะครับ เพื่อนผมขาหักเข้าโรงพยาบาล ผมจะส่งดอกไม้ไปเยี่ยมแต่ไม่รู้จะเอายังไงดี”
“เพื่อนผู้ชายหรือคะ”
“ครับ ชื่อสรรค์ สนิทกันมาก”
“เอาคาร์เนชั่นดีไหมคะ”
“ผมให้คุณเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน”
“แล้วเขียนการ์ดว่าอะไรดีคะ”
“คุณช่วยคิดทีเถอะครับ”
มุตตาเดินไปเลือกดูดอกไม้ สั่งการกับเจ้าของร้าน เจนภพมอง แววตาปกติเปลี่ยนไป มุตตาเดินกลับมา เจนภพเปลี่ยนสายตาเป็นปกติทันที
“เดี๋ยวก็เรียบร้อยค่ะ อ้อ คุณพี่เขาแนะนำว่าถ้าเป็นเพื่อนสนิทก็ให้เขียนการ์ดตลกๆ จะดีกว่า”
“โอว์ ดีครับ” มุตตาขัดเขินหันไปดูลิลลี่ดอกใหญ่ เจนภพตามมา “ชอบหรือฮะ”
“ค่ะ ที่นี่ดอกใหญ่มากเลยค่ะ ปกติจะไม่ใหญ่ขนาดนี้”
“เห็นว่าทางเหนือก็ปลูกได้แล้วนี่ฮะ”
“ต้องหนาวจริงๆ ค่ะถึงจะปลูกได้ ที่ไร่ตาก็เคยพยายามปลูก แต่มันไม่ขึ้น”
เจ้าของร้านบรรจงติดการ์ดลงที่แจกัน มุตตาเดินดูดอกไม้ในตู้ มีช่อดอกไม้ลิลลี่ยื่นมาตรงหน้า
“อะไรคะ ผ.อ.”
“นี่แทนคำขอบคุณที่คุณตากรุณาผมไงครับ”
มุตตาไหว้ขอบคุณก่อนจะรับช่อดอกไม้มา

ตรงทางเดินในกระทรวง อรพิมเดินกระย่องกระแย่งมา ทิพอาภา แจงจิตเดินมา มุตตาเดินถือดอกไม้ตาม
“ต๊ายตอนแรกที่ปลามันตอดมันก็เพลินดี แต่ทำไมตอนนี้มันแสบๆ”
“ฉันว่ามันดูสกปรกจะตาย เท้าใครต่อเท้าใครก็ไม่รู้”
“อู๊ยแสบเสิบอะไร สบายเท้าจะตาย ดูซิฉันว่าเท้าฉันขาวผ่องขึ้นมายังกะเท้าเด็ก”
อรพิมทำหน้าดูหมิ่นดูแคลน
“คราวหลังพี่แจงก็จุ่มหน้าลงไปด้วยเลยซีคะ จะได้หน้าเด็ก”
“ว้าย นังบ้า ว่าพี่ว่าเชื้อ”
“ย่ะ ไม่เหมือนหล่อน จุ่มหน้าลงไปปิรันย่าก็กัดไม่เข้า เอ้าไปเร็วๆ ได้เวลาทำงานแล้ว”
แจงจิตเดินไป อรพิมนิ่งคิด
“พี่แจงจิตว่าอะไรฉัน”
“รู้แล้ว พี่แจงด่าว่าหล่อนหน้าด้าน”
อรพิมร้องวี๊ดรีบตามไป ทิพอาภาเดินตาม มุตตาอมยิ้มเดินผ่านแผนกวีกิจ วีกิจกับประสิทธิ์ชัยโผล่มาพอดี
“โอ้โฮ สวยจังเลย”
“คนหรือดอกไม้คะ”
“ผมน่ะชมดอกไม้ แต่นายกิจคงชมคน”
มุตตาเริ่มไม่ชอบการแซว ยิ้มเย็นชาขึ้น วีกิจไม่ทันสังเกต
“สวยทั้งคนทั้งดอกไม้ต่างหากฮะ เอ ใครซื้อให้เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรหรือฮะ”
“ไม่มีโอกาสพิเศษอะไรหรอกค่ะ แล้วก็ผู้หญิงจะซื้อดอกไม้ให้ตัวเองไม่ได้หรือคะ”
“แล้วไป ผมคิดว่ามีหนุ่มที่ไหนแอบมาให้ดอกไม้คุณตาซะอีก”
มุตตาไม่ต่อความ
“ขอตัวนะคะ”
มุตตาเดินต่อไป วีกิจเข้าห้องไป ปริมเดินซับหน้ามาสวนกับมุตตาปริมเชิดรีบขยำกระดาษซับทิ้ง มุตตาทำเฉย ปริมเดินมาถึงประสิทธิ์ชัยแล้วทำหน้าเบ้
“เชอะ อะไรมันจะดอกขนาดนั้น”
“หา ใคร อะไรดอกครับ”
“ก็ดอกลิลลี่แม่มุตตาน่ะซีคะ ดอกใหญ่เกิน ต๊ายกลัวใครจะไม่รู้ว่ามีคนให้ดอกไม้เที่ยวเดินอวดดอก ซะทั่ว”
ประสิทธิ์ชัยยิ้มจงใจแต่งเรื่อง
“โธ่จะมีใครให้ฮะ ถ้าไม่ใช่นายวีกิจ”
ปริมหน้าเผือดลงแล้วยักไหล่ทำไม่แยแส เดินเชิดเข้าห้องไป ประสิทธิ์ชัยยักคิ้วมองตาม

คืนนั้นระหว่างอยู่ที่ห้อง มุตตาใส่ชุดนอนดูหวานใสอยู่ที่โต๊ะกินข้าวตัวเล็ก กำลังเอาดอกลิลลี่ปักใส่แจกันแก้วอย่างบรรจง แล้วถือแจกันมาวางที่โต๊ะเครื่องแป้ง แกะเชือกดอกไม้จากผมวางลงอย่างทะนุถนอม มุตตามองดูเงาตัวเองในกระจกอย่างมีความสุข
อีกด้านที่บ้านเจนภพ รถเบนซ์เจนภพแล่นมาจอดในโรงรถ นายชมคนรถมาต้อนรับ เจนภพทักทายสั่งงานนิดหน่อยก่อนเดินเข้าบ้าน
เจนภพเดินเข้าห้องโถงมา เห็นห้องโถงว่างเปล่า
“หือม์ หายไปไหนกันหมด”
แต้วกับยายแหวงเดินมา แต่งตัวเหมือนจะไปเที่ยว ทั้งสองหูตาพราว
“คุณนภางค์ คุณแม่คุณผู้หญิงมารับคุณหนู 3 คนไปค้างบ้านคุณยายค่ะ บอกจะอวดโฮมเธียเตอร์ใหม่”
“พิลึกจริง แล้วนี่ 2 คนจะไปไหน”
“ไปงานวัดค่ะ มีงานฝังลูกนิมิต ฮิ ฮิ”
“มีมหรสพโต้รุ่งเลยนะคะ”
เจนภพงงนิดหน่อย หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
“มีตังค์ไปเที่ยวหรือเปล่า”
“วุ้ย คุณผู้ชายใจดีจัง”
“นังแต้วหยุด ไม่ต้องค่ะภพ ฉันให้ไปแล้ว”
เจนภพหันไปเห็นนพนภาแต่งชุดราตรีปักเลื่อมหรูพอประมาณลงบันไดมา นพนภาตาเขียวกับแต้ว
“แกนะนังแต้ว จะหากินสองทางเลยใช่ไหม ไปได้แล้ว”
“ค่ะ ฝังลูกนิมิตกันให้เพลินนะคะ”
“อีแต้ว พูดอะไร”
นพนภามีท่าทางพิลึกคล้ายโกรธแต้ว คล้ายรัญจวนใจ ยายแหวงรีบลากแต้วไป
“นี่คุณจะไปงานที่ไหน” เจนภพถามภรรยา
“เปล่าหรอกค่ะ แค่อยากแต่งตัวเล่นๆ เท่านั้น”
“อ้าวหรือ คิดว่ามีงานสำคัญอะไรซะอีก”
นพนภามีแววเซ็ง แต่ไม่อยากอารมณ์เสีย
“แต่จะว่าไปวันนี้ก็สำคัญนะคะ ภพ”
“วันอะไร วันฉลองโฮมเธียเตอร์คุณแม่หรือ” นพนภาค้อน เดินไปที่ผนัง “แล้วนี่ยังไง ไปกันหมดบ้าน แล้วอาหารการกินจะยังไง คุณจะสั่งพิซซ่าหรือ”
“ฉันเตรียมเอาไว้แล้วล่ะ”
นพนภาเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร ซึ่งอาหารถูกจัดวางไว้อย่างหรูหรา แก้วเจียระไน ไวน์ชั้นเลิศ เทียนไขสว่างพราวทั้งโต๊ะ เจนภพงงไปเลย
“นี่เกิดนึกอะไรขึ้นมานี่คุณ”
มือถือเจนภพดังขึ้น
“ว้า เพิ่งถึงบ้าน ยายแจงจิตมีเรื่องอะไรอีกแล้ว”
“ช่างมันเถอะค่ะ มากินข้าวดีกว่า”
“ขอคุยนิดเดียวคุณ เผื่อมีเรื่องคอขาดบาดตาย วันนี้ผมไม่ได้เข้ากระทรวงด้วย”
เจนภพเดินออกจากห้องไป นพนภาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“อยู่กันมา 18 ปี ไม่เคยจำใส่กะโหลกเลย”

แจงจิตยืนอยู่ในห้องทำงานเจนภพ มือถือกล่องของขวัญขณะคุยโทรศัพท์กับเจนภพ
“ผ.อ.ขา ทำไมไม่เอาของขวัญกลับบ้าน”
“ผมไม่ได้เข้ากระทรวง แล้วของขวัญอะไร”
“ของขวัญที่ดิฉันซื้อให้ครบรอบวันแต่งงาน 18 ปีของ ผ.อ.ไงคะ”
“หา วันนี้วันครบรอบแต่งงานเหรอ ลืม เข้าใจแล้ว ทำไมคุณนพจัดดินเนอร์ให้ผม เอ ทำไงดี”
“จะเอาไปให้ที่บ้านไหมคะ”
“ไม่ทันแล้ว”
“งั้นก็ต้องหาของขวัญใหม่ให้แล้วล่ะค่ะ”
“ได้ ขอบคุณมากคุณแจง เท่านี้นะ
เจนภพเลิกสาย
“เดี๋ยวก็โดนเมียแหกอีกจนได้”

ขณะนั้นนพนภานั่งเซ็งบนโซฟาเจนภพก้าวมาหลังโซฟา นพนภาถามเสียงขุ่น
“เสร็จธุระกับแม่เลขาหน้าปลาแห้งแล้วหรือ วุ๊ย อะไรภพ” นพนภาอุทานเมื่อเจนภพก้มลงจูบซอกคอ
“เสร็จแล้ว แต่อยากเริ่มธุระกับคุณ”
เจนภพก้าวอ้อมมา นพนภาลุก เจนภพส่งแจกันดอกคาร์เนชั่นให้
“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานจ้ะ”
นพนภารับแจกันมา ปลาบปลื้มน้ำตาคลอ
“ภพ ต๊าย คุณจำได้แล้วมาทำลูกเล่นไม่รู้เรื่องกับฉัน”
“ก็คุณอยากจะเซอร์ไพรส์ผม ผมก็เซอร์ไพรส์กลับบ้างซี”
“อยู่กับคุณมา 18 ปี เคยเซอร์ไพรส์ฉันด้วยดอกไม้ที่ไหนเห็นแต่เซอร์ไพรส์ฉันด้วยพวกนังดอกส้ม”
“โธ่ ผมพอแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้ว อย่าพูดให้เสียบรรยากาศเลย”
เจนภพประคองนพนภานั่ง นพนภาปลาบปลื้มดอกไม้ แล้วพลิกการ์ด
“สวยจังเลย ไหนเขียนว่าอะไร...ขอให้ช่วงล่างกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ว้าย อะไร”
เจนภพใจหายวาบกระชากการ์ดมาดู
“ทางร้านคงติดการ์ดสลับกับคนอื่นน่ะ ผมบอกให้เขาเขียนว่า คุณคือลมหายใจของผม”
“หวานอย่างนี้ทำให้ฉันไปไหนไม่รอด”
เจนภพเริ่มคลอเคลีย
“คุณไม่รอดอยู่แล้วล่ะ”
“วันนี้ฉันเอาเงินเข้าบัญชีให้คุณแล้วนะ คุณทำตัวดีฉันเลยเพิ่มให้อีกหมื่น คุณใช้เงินทำอะไรไม่ว่า ขออย่างเดียว อย่าเอาเงินไปปรนเปรอนังคนไหนก็แล้วกัน”
“นังคนไหนอะไรอีกล่ะ ไม่มีแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อหรอก”
“เดี๋ยวผมจะทำให้คุณเชื่อให้ได้”
เจนภพประจงจูบนพนภาอย่างละมุนละไม นพนภาเพริดไปกับลีลารัก...ของขวัญแต่งงานของสามี

อีกด้านหนึ่งที่งานวัด พลุระเบิดเต็มฟ้า แต้วกับยายแหวงแหงนดูพลุ แสงสีทาบลงบนหน้า แต้วกัดลูกชิ้นจัมโบ้หงับ
“วุ้ยได้ฤกษ์ฝังลูกนิมิตแล้วป้า”

ยายแหวงหัวเราะจนนมกระเพื่อม

อ่ า น ต่ อ ต อ น ที่  2 พรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น