ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3
วิไลลักษณ์ยิ้มหน้าบาน ขณะยกมือไหว้ย่าแดงผู้เป็นแม่ โดยมีเวทางค์และวิยะดายกมือไหว้ตาม
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ” ย่าแดงถาม
“ก็ลมแห่งความคิดถึงสิคะคุณแม่”
ย่าแดงยิ้ม “เออ..พัดมาสองเดือนหนนะ”
วิไลลักษณ์รู้ว่าแม่เหน็บ
“แหม...คุณแม่ขา วิไลน่ะอยากมาหาคุณแม่ทุกวันจะตายไปค่ะ แต่คุณพี่สิคะงานล้นพ้นตัว วันนี้ก็ต้องไปตีกอล์ฟกับพวกนักธุรกิจจากไต้หวัน ดีนะคะที่วิไลไม่ต้องไปด้วย”
“ขี้เกียจหรือว่ากลัวแดดล่ะ”
“ก็...ทั้ง 2 อย่างค่ะ แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือวิไลอยากมาเยี่ยมคุณแม่ค่ะ ตาเวกับยัยวิก็คิดถึงคุณย่าเหลื๊อเกิน คะยั้นคะยอให้แม่พามาตั้งแต่กลับถึงบ้านน่ะค่ะ”
เวทางค์เข้ามากอด
“ใช่ครับ ผมคิดถึงคุณย่าที่สุดในโลกเลยครับ”
วิยะดาเข้ามากอดอีกด้าน
“วิคิดถึงคุณย่ามากกว่าพี่เวค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ อุตส่าห์คิดถึงคนแก่ แล้วนี่เราสองคน เรียนเป็นยังไงกันบ้าง”
เวทางค์ วิยะดา หันมาสบตาวิไลลักษณ์ อย่างขอความเห็นว่าจะตอบว่าอะไรดี วิไลลักษณ์ออกตัวแทน
“ก็...เอ่อ...ดีค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เรียนหนังสือเก่งๆ โรงเรียนเขาก็มีทุนให้ ไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อแม่อย่างแม่ณีเขาก็ได้ทุนเรียนดีมาตั้งแต่ม.3 ย่าไม่ได้ออกอะไรช่วยหรอก นอกจากตำราเรียนนิดๆหน่อยๆ ปีละไม่กี่พัน แล้วเราสองคนล่ะ”
เวทางค์โวทันที
“โอ๊ย...ของผมปีละเป็นล้านครับคุณย่า”
“หา! ทำไมแพงอย่างนั้นล่ะ”
วิไลลักษณ์รีบพูดแก้
“อู๊ย...ตาเวล่ะก็...เวอร์ไปได้ แต่...มันก็...หย่อนล้านไม่เท่าไหร่นะคะคุณแม่ ไหนจะค่าเรียน ค่าเช่าคอนโดฯ ค่าน้ำมัน ค่ากินอยู่ แถมยังค่าตำราแล้วก็อุปกรณ์การเรียน อีกอย่างค่าครองชีพในกรุงเทพฯก็สูงกว่าที่นี่ตั้งเยอะนะคะ”
“ถ้าพี่เวไม่ดื่มไม่เที่ยวก็อาจจะประหยัดมากกว่านี้ค่ะคุณย่า” วิยะดาว่าพี่ชาย
“แล้วเราล่ะยายวิ ช้อปของแบรนด์เนมตลอด”
วิไลลักษณ์รีบตัดบท ก่อนที่ลูกทั้งสองจะสาวไส้กันเอง
“เอ่อ...จริงสิคะคุณแม่ นี่ยายณีไปไหนซะล่ะคะ”
“เอาปิ่นโตไปส่งพ่ออาทิจ ลูกชายเจ้าประวิทย์...พี่ชายของประเวทย์นั่นล่ะ”
“พี่ชายคุณพี่” วิไลลักษณ์คิดๆๆ “อ๋อ..คนที่ว่าหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็กๆ ใช่มั้ยคะ”
ย่าแดงพยักหน้า
“พอดีลูกเขาเรียนจบเกษตรมาแล้วก็อยากทำไร่ทำสวน พ่อเขาก็เลยส่งมาอยู่ที่นี่”
“ถ้างั้นเขาก็ต้องเป็นหลานคุณย่าเหมือนวิสิคะ” วิยะดาหยอดถาม “หล่อมั้ยคะคุณย่า”
“ไม่รู้สินะ เด็กๆสมัยนี้เขาดูคนหล่อคนสวยกันที่ตรงไหนล่ะ รุ่นย่าดูที่มารยาทกับความวิริยะอุตสาหะ ถ้ามี 2 อย่างนี้ คนๆนั้นก็ดูหล่อและสวยในสายตาของย่า”
วิไลลักษณ์โว
“เรียกมาให้รู้จักหน่อยสิคะคุณแม่ เขาจะได้รู้ว่าเขามีคุณอาเป็นผู้ว่าฯ เผื่อวันหน้าวันหลังพ่อเขามีปัญหาอะไร จะได้มาพึ่งพาคุณอาเขาได้”
ย่าแดงมองวิไลลักษณ์อย่างเพลียๆ แม่นิสัยอย่างไร...ลูกออกมาก็เป็นอย่างนั้น
ที่ลานกินข้าวคนงาน...อาทิจกำพริกแห้ง กระเทียมใส่ครกแล้วตำ ชายหนุ่มหั่นมะเขือขื่น มะกอก มะนาว และเด็ดปูเค็มตามลงไปอย่างคนที่ช่ำชองและเชี่ยวชาญ ต๊อดเว้าลาวใส่
“นี่ครับปลาร้า มาเป็นไห ต้มสุกแล้ว ไม่ต้องกลัวครับนาย”
ไพฑูร อึ่ง พัน ซึ่งยืนอยู่แถวนั้นหันมามองหน้ากัน
“เจอตำปูปลาร้าเข้าหน่อย ลาวแตกเชียวนะ ไหน..บอกเป็นคนกรุงเทพฯไง” พันแหย่
ต๊อดหันมาค้อน
“นี่ไอ้พัน เอ็งก็ดูหน้าข้าสิว่ามันบ้านขนาดไหน ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นลูกครึ่ง เอ็งก็เชื่องั้นสิ”
“เชื่อ...ครึ่งคนครึ่งอีเห็น” อึ่งเสริม
ต๊อดไล่เตะพันกับอึ่งที่พากันหัวเราะใส่ อึ่ง พันวิ่งไปหลบหลังอาทิจ ไพฑูรรำคาญ
“ได้เวลาเข้างานแล้ว มาวิ่งเล่นเป็นเด็กๆอยู่ได้ เอ้า...แล้วจะมายืนออกันอยู่ทำไมวะ ไปทำงานได้แล้ว...ไป”
ไพฑูรไล่ต๊อด อึ่ง พัน และคนงานเดินออกไป อาทิจเปิดไหปลาร้า คนงานทุกคนชะงักกึก รวมทั้งดรุณีและแก้วซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ต่างก็หันมามองอาทิจเป็นตาเดียว อาทิจเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองทุกคน
“ขอโทษนะ กลิ่นแรงไปนิด”
ต๊อด อึ่ง พัน พุ่งมาหาอาทิจเป็นทีมแรก
“ต๊อดขอครกนึงนะนาย เอาครกใหญ่ๆน้า จะกินกับไอ้อึ่งไอ้พันมัน”
ไพฑูรจ้ำตามมา หน้าตาขึงขังเหมือนจะเอาเรื่อง อึ่งหันมาเห็นรีบบอก
“อย่านะพี่ฑูร อีก 10 นาที ถึงจะได้เวลาเข้างาน อย่ามาไล่กันซะให้ยาก”
ไพฑูรไม่สนใจอึ่ง หันไปพูดกับอาทิจอายๆ
“ขอแบบนี้สักจานได้มั้ยครับ อยากชิมบ้าง”
คนงานงง
“อ้าว...พี่ฑูร ไหงงั้นล่ะ พวกเราก็อยากชิมฝีมือคุณอาทิจเหมือนกันนะ”
“ได้กินทุกคนนั่นแหละ รอแป๊บนึง มันตำได้ทีล่ะครก” อิทิจบอก
แก้วแจ้นมาปกป้องอาทิจทันที ด้วยการจวกใส่ทุกคน
“พวกแกนี่มันทุเรศสิ้นดี ตาฑูร...แกก็เป็นกับเขาด้วยนะ แทนที่จะรอให้คุณอาทิจกินข้าวเสร็จก่อน มายืนสั่งกันเป็นร้านขายไก่ย่างส้มตำไปได้...เดี๋ยวคุณอาทิจกินข้าวเสร็จแล้ว น้าแก้วขอแซ่บๆสักจานนะคะ”
“นั่น..แซงคิวเฉยเลยแม่แก้ว” ไพฑูรโวย
“เรียงตามอาวุโส..ผิดเหรอ”
“คุณณี...ลองสักจานมั้ยครับ คุณณีอายุน้อยสุด ได้จานสุดท้าย...แฟนหล่อ” ต๊อดแซว
คนงานทุกคนหัวเราะชอบใจ เฮเจี๊ยวจ้าว ดรุณีอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เห็นอาทิจแก้ลำ ด้วยการตำส้มตำกินเอง แถมตอนนี้คนงานยังมาร่วมวงอีกต่างหากเธอจึงแหวกลับ
“ไม่เอา!!! ฉันจะกลับบ้าน!!!”
ดรุณีหันหลังจะเดินออก จิ๋วแจ๋ววิ่งกระหืดกระหอบสวนเข้ามา
“คุณวิไลลักษณ์มาที่บ้าน คุณย่าท่านให้มาตามคุณอาทิจกับคุณณีไปพบท่านค่ะ”
ดรุณีถอนใจเฮือกใหญ่ อาทิจแปลกใจ ใครคือ..คุณวิไลลักษณ์
ดรุณียกถาดซึ่งแยกข้าวเหนียวมะม่วงเป็นจานเล็กๆสำหรับทุกคนเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น วิไลลักษณ์หันมาถามทันที
“ไหนล่ะหลานคนใหม่ของคุณย่า ไหนว่าจะตามมาไง..ยายณี”
“ตอนหนูออกมา เขายังกินข้าวไม่เสร็จค่ะคุณป้า”
อาทิจเดินเข้ามา ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงวิไลลักษณ์
“อะไร๊ จะกินบ้านกินเมืองเลยรึไง นี่มันบ่ายโมงกว่าแล้วนะ ท่าจะอู้งานซะละมั้ง”
“ไม่ใช่ครับ”
อาทิจก้าวเข้ามาหาทุกคน
“ผมชอบทำงาน และที่ได้กินข้าวช้ากว่าใครก็เพราะติดพันงานที่ทำอยู่ครับ”
ติดตามอ่าน "ธรณีนี่นี้ใครครอง" 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น
ทุกคนรู้สึกต่อการปรากฏตัวของอาทิจแตกต่างกัน ย่าแดงยิ้มพอใจ วิไลลักษณ์ไม่ชอบที่อาทิจกล้าต่อปากต่อคำ ดรุณีโล่งใจเพราะขี้เกียจตอบคำถามวิไลลักษณ์ เวทางค์เขม่น แต่วิยะดากรี๊ดสนั่น
“กรี๊ดดด!!! นี่มันผู้ชายที่เราเจอที่หน้าร้านอะไหล่ในเมืองนี่พี่เว ตกลงเขาไม่ใช่ช่างซ่อมรถอย่างที่พี่เวว่า แต่เขาเป็น...เป็นหลานคุณย่า อ๊ายยยไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะเป็นญาติกัน...กรี๊ดดด”
“รู้จักคุณอาวิไลลักษณ์ไว้ซะสิพ่ออาทิจ คุณอาเขาเป็นภรรยาเจ้าประเวทย์น้องชายพ่อเรา แล้วนี่ก็พ่อเวทางค์ ลูกชายคนโตของคุณอา ส่วนที่ร้องกรี๊ดๆนั่นก็แม่วิยะดา น้องสาวพ่อเวทางค์” ย่าแดงแนะนำ
อาทิจยกมือไหว้วิไลลักษณ์
“สวัสดีครับ”
“พ่อเวอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” ย่าแดงถามเวทางค์
“22 ครับ คุณย่า”
“แก่กว่าพ่ออาทิจเกือบ 2 ปี พ่ออาทิจต้องนับพ่อเวเขาเป็นพี่นะลูก”
“ครับ” อาทิจยกมือไหว้ “สวัสดีครับพี่เว”
“โอ๊ย...ไม่ต้องเรียกพี่หรอก แก๊แก่ เพื่อนที่ห้องฉันอายุเท่านายถมไป”
วิยะดาแนะนำตัวเองทันที
“วิอายุ 17 สูง 165 หนัก 46 สัดส่วน 33-22-35 ค่ะพี่อาทิจ”
“ไม่ต้องแจงละเอียดขนาดนั้นก็ได้ นายอาทิจเขาไม่ได้เป็นกรรมการประกวดนางงามนะ ยายวิ” วิไลลักษ์ว่าลูกสาว แล้วเบนมาที่อาทิจ “แล้วเทือกเถาเหล่ากอเรามาจากไหนล่ะ”
ย่าแดงประชด
“จำเป็นต้องรู้มั้ยแม่วิไล มีผลต่อการทำงานรึเปล่า”
ขณะเดียวกัน แก้วถือถาดใส่ส้มตำ 2 จาน และจานใส่ผักสดอีก 1 จาน มาวางพร้อมจานแบ่งและช้อนส้อมครบเซ็ท
กลิ่นส้มตำแตะจมูกจนทำให้วิไลลักษณ์ เวทางค์ตักชิม และหลังจากนั้นก็พูดไปชิมไป คำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“จำเป็นสิคะคุณแม่ ถ้าเรารู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใครมาจากไหน เราก็จะประมวลนิสัยเขาได้ส่วนหนึ่ง เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ด้วย ดูอย่างตาเวสิคะ สมาร์ทโอ่อ่าถอดแบบผู้ดีอังกฤษมาทั้งดุ้นเพราะเกิดที่ลอนดอน”
“ของผมก็ดอนครับ...อุดรฯ พ่อผมไปรับราชการที่นั่นพอดี”
อาทิจบอกเรียบๆ เวทางค์ขำ
“อุดร...อุดรราชสีมา น่ะเหรอ”
ดรุณีแอบกัดยิ้มๆ
“แหม..พี่เว กลับจากอังกฤษเป็นสิบปีแล้ว ยังสับสนเหมือนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าเลยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะ...อุดรราชสีมา มีแต่อุดรธานีค่ะ”
“ก็มันคล้ายๆกันนี่น้องณี” เวทางค์มองอาทิจ “ถ้าอย่างนั้นนายก็พูดลาวได้สิ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อคุณแม่ผมเป็นคนอิสานแล้วผมก็เกิดและโตที่นั่น”
วิไลลักษณ์ แกล้งถาม
“เขาว่าคนอิสานกินแมลง กบ เขียด แล้วก็อึ่งอ่าง จริงรึเปล่า”
อาทิจรู้ว่าถูกดูถูก แต่ก็ตอบตามมารยาท
“ครับ ถ้าไปลงเบ็ดแล้วไม่ได้ปลา แต่ได้กบ เขียดหรืออึ่ง เราก็กินกันได้ ผักหญ้าก็เด็ดเอาตามรั้ว เราอยู่กันแบบพอเพียง กินในสิ่งที่เรามีและหาเองได้ครับ”
“แล้วอย่างไอ้พวกปลาร้านั่นล่ะ ได้มาแล้วทำไมไม่ทำกินสดๆไปเลย เอามาหมักให้มันเหม็นเน่าทำไม เห็นใครๆเขาก็ทนกลิ่นไม่ไหว” เวทางค์ถาม
ย่าแดงสวนขึ้นมา
“แล้วเราทนไหวมั้ยล่ะตาเว”
แก้วที่ฟังอย่างไม่พอใจมานานแล้ว รีบพูดทันที
“ไม่ใช่แค่ทนไหว แก้วว่าคุณเวกับคุณวิไลเข้าขั้นคลั่งไคล้เลยล่ะค่ะคุณย่า ไม่งั้นคงไม่แข่งกันกินเอาๆขนาดนี้หรอกค่ะ”
เวทางค์อยากจะตายกับส้มตำคำสุดท้ายที่อยู่ในปาก
“อย่าบอกนะว่าที่ผมกินอยู่นี่มัน...”
“ส้มตำปลาร้า 100% ค่ะ คุณอาทิจเธอตำแจกคนงาน แล้วก็เลยตำเผื่อมาให้คุณย่าลองชิมค่ะ”“แต่คุณย่าไม่ทันได้ชิม เพราะหมดเกลี้ยงทั้ง 2 จานเลย” ดรุณีเสริม
“นั่นสิ...ตกลง พออยู่ในปากแล้วมันเหม็นหรือว่าหอมล่ะ ไอ้ปลาร้านี่น่ะ” ย่าแดงถามยิ้มๆ
วิไลลักษณ์ เวทางค์ยิ้มให้ย่าแดงเจื่อนๆ ทั้งที่ยังมีปลาร้าอยู่ในปาก ทุกคนแอบอมยิ้ม ขำวิไลลักษณ์กับเวทางค์
ตุ๊กับทองประศรีซึ่งถือห่วงฮูลาฮุบติดมือมาด้วย เหลียวซ้ายแลขวา อยู่หน้าโรงเก็บรถแทร็กเตอร์
“แน่ใจนะพี่ตุ๊ ว่าคุณอาทิจซ่อมรถอยู่ในนี้คนเดียว” ทองประศรีถาม
ตุ๊บอกอย่างหนักแน่น
“อย่างนั้นสิจ๊ะน้องศรี ช่วงบ่ายอย่างนี้คนงานเข้าสวนกันหมด”
“หน้าตาฉันดูเป็นไงบ้างพี่ตุ๊ ต้องตบแป้งเติมอะไรอีกมั้ย แล้วผมล่ะเซ็กซี่พอรึยัง”
“สวยและเซ็กส์ แต่ถ้าจะให้เอ็กส์ระเบิดด้วยล่ะก็ มันต้องมีลีลาในการส่าย”
ทองประศรีคิกคัก
“ส่ายส่วนบนหรือส่วนล่างดีล่ะพี่ตุ๊”
“ก็ทั้งบนทั้งล่างนั่นล่ะ พี่ตุ๊จะไปล่อคุณอาทิจออกมาก่อน แล้วจะผิวปากเป็นสัญญาณ น้องศรีได้ยินเสียงผิวปากก็เลื้อยส่ายแบบจัดเต็มเลยนะ สักพัก...ค่อยแกล้งทำเป็นหันมาเห็นพี่ตุ๊ แล้วพี่ตุ๊จะแนะนำให้รู้จักคุณอาทิจเอง โอเค๊....”
ทองประศรีพยักหน้ายิ้มรับคำ หญิงสาวเริ่มเล่นฮูลาฮุบ ในขณะที่ตุ๊ย่องเข้าไปในโรงซ่อมรถ
ต๊อด อึ่ง พันเดินมาจากอีกด้าน ชะงักกึก เมื่อเห็นทองประศรียืนส่ายสะโพกไหวไปไหวมา
“เฮ้ย...นั่นมันน้องทองโต แห่งบ้าน 3 ทองนี่หว่า” ต๊อดกระซิบ
“ใช่...อะไรดลใจให้มาเล่นไอ้วงๆนั่นถึงนี่วะ เสียดาย...น้องทองกลางของข้าไม่ได้มา” อึ่งบอก
“น้องทองเล็กของข้าด้วย” พันรีบเสริม
“สวรรค์คงส่งน้องทองโตมาให้ข้าคนเดียว งานนี้พวกเอ็งไม่มีเอี่ยวนะเว้ย”
ต๊อดเอาสองมือล้วงกระเป๋า ผิวปาก แล้วเดินเข้าไปใกล้ทองประศรี โดยมีอึ่งกับพันตามติด ทองประศรีได้ยินเสียง ผิวปาก ก็หูผึ่ง คิดว่าตุ๊พาอาทิจออกมา เลยใส่ลีลาทั้งเลื้อยทั้งส่ายสะบัดเต็มที่
ต๊อด อึ่ง พัน อ้าปากค้าง สักครู่ ทองประศรีค่อยๆหันมาแล้วกระพริบตาวิบวับๆ แต่พอเห็นเต็มตาว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือ ต๊อด อึ่ง พัน หญิงสาวก็แทบกรี๊ด ตวาดแว๊ด
“อะไรของพวกแกเนี่ย มายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
“พี่ต๊อดควรจะเป็นฝ่ายถามน้องศรีมากกว่านะจ๊ะว่า มาส่ายห่วงตรงนี้ได้ยังไง นี่มันสวนคุณย่า ที่ทำงานของพี่ต๊อดนะจ๊ะ”
“มาส่ายแถวนี้ก็เจริญหูเจริญตาดี แต่น่าจะชวนน้องทองประสานมาด้วย” อึ่งบอก
“ถ้าน้องทองประสมมาอีกคน ก็จะครบ 3 คู่ชู้ชื่นพอดีเลย” พันหัวเราะคิกคัก
“ใครอยากจะเป็นคู่พวกแกหา...ไอ้พวกคนงานขี้เต่าเหม็น” ทองประศรีแว๊ดใส่
“แล้วใครขี้เต่าหอม น้องศรีเหรอ มาขอพี่ต๊อดพิสูจน์หน่อยสิจ๊ะว่า...หอมจริงเปล่า”
ต๊อดเข้ามาไล่ต้อนทองประศรี ที่กระโดดหนีอย่างต้องการจะล้อเล่น
“ไอ้ต๊อด...ไอ้บ้า...อย่าหวังจะได้ดมแม้แต่กลิ่นตัวของฉัน ฉันไม่มองคนงานขี้กลากอย่างแกหรอก ระดับฉันต้องหลานชายคุณย่าเท่านั้น”
“อะ...อ๊า...แสดงว่าน้องศรีตั้งใจมาดักเจอคุณอาทิจล่ะสิเนี่ย” พันเข้าใจทันที
“เอายางวงมาเต้นยั่วด้วย วางแผนเยี่ยมเลยน้า” อึ่งแซว
ต๊อดรีบเสริม
“คุณอาทิจไปพบคุณย่า ยังไม่กลับมาเลยจ้ะ ให้พี่ต๊อด พี่อึ่ง พี่พัน เต้นเป็นเพื่อนไปพลางๆก่อนมั้ยจ้ะ กำลังเมื่อยเอวอยู่พอดี อยากส่ายบ้างอะ”
ว่าแล้วต๊อด อึ่ง พันก็ดาหน้าเดินส่ายเอวส่ายสะโพกเข้าหาทองประศรี ราวกับกำลังเล่นฮูลาฮุบอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่มีฮูลาฮุบเลยทำให้ท่าส่ายของทั้ง 3 คนแข่งกันน่าเกลียด
“กรี๊ดดด..อ๊ายยย ทุเรศ!อุบาทว์!ว้ายยย...ช่วยด้วยยย”
ยิ่งทองประศรีร้องวี๊ดว้าย ชายโฉดปนตลกทั้ง 3 ก็ยิ่งแกล้งเข้าไปส่ายล้อมหญิงสาวไว้ จนทองประศรีทนไม่ไหว ต้องวิ่งตาหูเหลือกฝ่าวงล้อมออกไป สามหนุ่มหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ตุ๊วิ่งออกมาจากโรงซ่อมรถ พอเห็น 3 หนุ่มก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“เสียงผู้หญิงที่ไหนร้องวะ”
“ก็ยัยทองประศรีน่ะสิพี่ตุ๊ แหม...คิดจะมาส่ายห่วงส่ายนมยั่วคุณอาทิจ” ต๊อดเล่า
ตุ๊ทำเป็นตกใจ
“หา!นี่มันคิดจะมาจับคุณอาทิจงั้นเหรอ ตายๆ...นี่มันเอาสมองส่วนไหนคิด คิดเข้าไปด้ายยย”
“นั่นน่ะสิ ดีนะที่พวกฉันมาเจอซะก่อนก็เลยเกาตรงที่คันให้ โน่น...เผ่นแน่บไปโน่น”
3 หนุ่มยังหัวเราะขำทองประศรีไม่หาย ตุ๊แอบโล่งใจที่ไม่มีใครสงสัยว่าทองประศรีเข้ามาที่โรงซ่อมได้ยังไง
ขณะเดียวกันนั้น ดรุณีเดินมาทางด้านหลัง เธอหันมองทุกคนแวบหนึ่งก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา แล้วย่องเข้าไปในโรงเก็บรถอย่างเงียบเชียบ ตรงไปที่รถแทรกเตอร์คันที่อาทิจกำลังซ่อม แล้วมุดมุมนู้นก้มดูมุมนี้ไปทั่ว ก่อนจะเหลือบไปเห็นถุงอะไหล่จำพวกน็อตต่างๆอยู่ในถุงพลาสติก ซึ่งวางอยู่ข้างๆจักรยานคันที่เพิ่งไปล้มมาของเธอซึ่งถีบไม่ได้แล้ว
ดรุณีตาเป็นประกายวาว นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่วิยะดาจีบปากจีบคอฉอเลาะอาทิจ
“วิเห็นพี่อาทิจเข้าไปซื้ออะไหล่ในเมือง ไม่ทราบเอามาทำอะไรคะ”
“เอามาซ่อมรถแทรกเตอร์ให้คุณย่าครับ” อาทิจบอก
“อ๊ายยย...เท่จังเลย ซ่อมรถแทรกเตอร์ก็เป็น ทำไร่ทำสวนก็ได้ ไม่เหมือนพี่เวขับเป็นอย่างเดียว อะไรเสียอะไรต้องซ่อมไม่เคยรู้ เรื่องทำไร่ทำสวนไม่ต้องพูดถึงตั้งแต่เกิด วิเห็นพี่เวเพาะถั่วงอกเป็นอย่างเดียว”
เวทางค์ยัวะแต่พยายามเก็บอารมณ์
“ยายวิ!”
วิยะดายิ้มยั่วพี่ชายก่อนจะหันมาเยิ้มใส่อาทิจ
“แล้วจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ล่ะคะพี่อาทิจ”
“เหลือเปลี่ยนน็อตอีกไม่กี่ตัว น่าจะเสร็จเย็นนี้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเราอยู่ให้กำลังใจพี่อาทิจกันนะคะคุณแม่”
วิยะดาหันไปบอกแม่ ดรุณีแกล้งพูดขำๆแต่กัดจริงๆ
“อย่ารอเลยวิ รถอาจจะซ่อมเสร็จแต่ถ้ามันสตาร์ทไม่ติดขึ้นมา ณีสงสารคุณอาทิจ กลัวจะหน้าแตกต่อหน้าญาติๆน่ะจ้ะ”
อาทิจรู้ว่าดรุณีกัด แต่ก็ตั้งสติแล้วพูดอย่างถ่อมตัว
“ผมไม่ได้กลัวหน้าแตกหรอกครับ แต่กลัวทุกคนจะเสียเวลามากกว่า ผมไม่ได้เรียนจบช่างมาโดยตรง ซ่อมเสร็จแล้วมันอาจจะใช้งานไม่ได้อย่างที่คุณณีว่าก็ได้”
“อู๊ยยย...ไม่มั้งคะคุณอาทิจ เห็นตาเกร็งบอกลองสตาร์ทดูแล้ว มันดูเหมือนจะติดแล้วด้วยซ้ำไปนี่คะ” แก้วบอก
“วิว่ามันต้องใช้งานได้แน่ๆค่ะ เดี๋ยววิไปยืนเป็นกำลังใจให้นะคะ”
วิไลลักษณ์ กับเวทางค์พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ยายวิ!”
“ปล่อยให้พี่เขาทำคนเดียวเถอะ เขาจะได้มีสมาธิเต็มที่ เดี๋ยวเราค่อยไปชื่นชมตอนมันใช้งานได้แล้วดีกว่า” ย่าแดงบอกวิยะดา แล้วหันไปพูดกับอาทิจ “ย่าเป็นกำลังใจให้พ่ออาทิจนะ ย่าเชื่อว่าพ่อต้องทำได้”
ย่าแดงเอามือแตะบ่าอาทิจให้กำลังใจ ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริ ท่ามกลางความริษยาตาร้อนของวิไลลักษณ์และเวทางค์ ดรุณีไม่พอใจที่ย่าแดงเอ็นดูอาทิจอย่างออกนอกหน้าเหลือเกิน
ดรุณีนึกๆแล้วหมั่นไส้อาทิจมาก
“ทำได้เหรอ”
ดรุณีหยิบน็อตซึ่งอยู่ในถุงขึ้นมาจ่อตรงหน้า 2 ตัว
“ถ้าน็อตหายไปสัก 2-3 ตัว คงทำไม่ได้มั้งคะคุณย่า เอ...หรือจะหายไปทั้งถุงดีอื้ม...ปิดประตูตายเลยดีกว่า ทีนี้ล่ะนายอาทิจ...นายได้หน้าแตกแน่”
ดรุณีเอาถุงอะไหล่น็อตทั้งถุงใส่กระเป๋าสะพาย แล้ววิ่งออกมา แต่มาได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็ชะงักหน้าตื่นเมื่อเห็นอาทิจเดินเข้ามา ดรุณีร้อนตัว
“ฉัน...ไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่ได้ถามอะไรคุณสักคำ”
ดรุณีอยากเขกหัวตัวเองที่ตื่นตูมไปก่อน หญิงสาวไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเชิดหน้ากลบเกลื่อนใส่อาทิจ
“งั้น...ฉันไปล่ะ”
อาทิจเสียงนิ่ง หน้านิ่ง
“คุณยังไปไม่ได้”
“ทำไม...ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไร”
“ยืนนิ่งๆ” อาทิจมองพื้นแว่บนึง “ให้ผมจัดการไล่ไอ้ตัวที่มันอยู่ใกล้ๆเท้าคุณออกไปก่อน”
ดรุณีแทรกทันที
“อะไร...งูเหรอ...ฉันไม่กลัวหรอก เห็นที่สวนมาเยอะแล้ว”
หญิงสาวพูดใส่หน้าอาทิจ แต่ไม่กล้าก้มมองที่เท้าตัวเอง
“ไม่ใช่งู”
“ตะขาบ กิ้งกือ แมงป่อง ตุ๊กแก จิ้งจก”
ทุกครั้งที่ดรุณีถาม อาทิจจะส่ายหน้าแทนคำตอบว่า “ไม่ใช่” จนสุดท้ายต้องเป็นฝ่ายเฉลยออกมาเอง
“แมลงสาบ”
“โธ่เอ๊ย...กะอีแค่แมลงสาบ”
หญิงสาวก้มลงมองที่เท้า เห็นแมลงสาบยืนนิ่งอยู่ข้างเท้าตัวเองก็ช็อคไปชั่วอึดใจ ก่อนจะจ๊าก...ลั่นนน
“จ๊ากกก แมลงสาบ!!!”
ดรุณีกระโจนเข้ามากอดอาทิจแน่น หลับตาปี๋กลัวชนิดขี้ขึ้นสมอง
อาทิจยืนนิ่ง แทบลืมหายใจ ตั้งตัวไม่ทันกับการจู่โจมของหญิงสาว ครู่หนึ่งเขาหายจากอาการตะลึง จึงค่อยๆระงับใจที่เต้นตูมๆพูดกับดรุณี
“แมลงสาบ..ไปแล้ว”
ดรุณียังคงหลับตาปี๋กอดอาทิจแน่น
“แน่นะ ดูให้ดีๆซิ ยังเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นรึเปล่า”
อาทิจพูดผิดพูดถูก
“ไม่เพ่นแล้ว...หลับ...เอ๊ย...ลืมตาสิ”
ดรุณีค่อยๆลืมตาขึ้นทีละข้าง แล้วเอี้ยวตัวหันกลับไปมองตรงพื้นที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่นี้ มือยังคงกอดอาทิจไว้ เธอถอนใจโล่งอก ยิ้มออกมาได้
“ไปแล้วจริงๆด้วย”
ดรุณีหันกลับมาเจอสายตาอาทิจที่มองเธออยู่อย่างเก้อๆ หญิงสาวยิ่งเก้อหนัก และเมื่อพบว่าแขนตัวเองยังสวมกอดชายหนุ่มอยู่ หน้าที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงแปร๊ดขึ้นไปอีก เธอค่อยๆดึงแขนตัวเองออกมา แล้วฝืนยิ้มใส่อาทิจ ทำเป็นฉันไม่อาย แต่จริงๆแล้วอายมาก
ดรุณีบ่นกลบเกลื่อน
“เดี๋ยวต้องบอกคุณย่า ให้คนงานมาทำความสะอาดที่นี่สักหน่อย ปล่อยให้มีแมลงสาบเพ่นพ่านในนี้ได้ยังไง ไปนะ”
ดรุณียิ้มแล้วโบกมือลาอาทิจ ก่อนจะหันมาสะดุดถังพลาสติกสำหรับใส่อุปกรณ์ซ่อมแซมจนเซหัวทิ่ม หญิงสาวอยากจะกลั้นใจตาย รู้สึกอายอาทิจจนแทบแทรกแผ่นดินหนี จึงรีบวิ่งออกมาจากที่นั่นโดยไม่หันกลับไปมองชายหนุ่มอีก
อาทิจหัวเราะตามหลังดรุณี สักครู่จึงเปลี่ยนเป็นยิ้ม
เป็นยิ้มที่เจ้าตัวรู้สึกแปลกประหลาด เพราะมันทำให้ตัวร้อนวูบวาบ ใจสั่น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวทางค์และวิยะดา เดินวนไปวนมา พร้อมกับยกโทรศัพท์ในมือโยกหาสัญญาณ วิไลลักษณ์ซึ่งนั่งอยู่กับย่าแดง มองดูลูกๆแล้วเปรยเหมือนจะขำแต่ไม่ขำ เพราะมีรายการเหน็บเล็กๆแฝงอยู่
“อยู่ที่นี่เหมือนอยู่หลังเขา อย่างที่ตาเวกับยายวิว่าจริงๆนะคะคุณแม่ ดูสิคะ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี คุณแม่ไม่ทำเสารับสัญญาณเองเลยล่ะคะ”
“ไม่ล่ะ แม่ต้องการอยู่อย่างสงบ เทคโนโลยีมีไว้เอื้อประโยชน์ในการทำงานก็จริง แต่ถ้าเราใช้มันจนเกินความจำเป็น มันก็ทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงได้เหมือนกัน คิดดูสิ ถ้าคนงานทุกคนทำงานไปคุยโทรศัพท์ไป มันจะได้งานมั้ย”
“แหม...คุณแม่นี่ช่างรอบคอบและมองการณ์ไกลจริงๆค่ะ”
วิไลลักษณ์ประดิษฐ์ชม ยิ้มหวานใส่ย่าแดงแล้วแอบเบ้หน้าใส่ คิดในใจว่าย่าแดงเค็มยิ่งกว่าเกลือ ดรุณีเดินกลับเข้ามา เวทางค์หันมาเห็น
“ไปไหนมาน้องณี เมื่อกี้พี่เดินหาแทบแย่”
“ณี...เอ่อ...”
ดรุณีอึกอักกำลังคิดว่าจะบอกว่ายังไงดี วิยะดามองอย่างจับผิด
“อย่าบอกนะว่าไปหาพี่อาทิจมาน่ะ ห้ามวิแต่ดอดไปหาเขาเองรึเปล่า”
ดรุณีเสียงสูงหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“ปะ...เปล่า ณีจะไปหาเขาทำไม ธุระไม่ใช่สักหน่อย”
วิยะดายิ้มออกมาได้
“ใครว่า...นี่ล่ะ ธุระที่ใช่ ของเราเลยล่ะ ไป...ไปดูพี่อาทิจซ่อมรถกัน ป่านนี้ซ่อมเสร็จแล้วมั้ง”
เวทางค์มองน้องสาว
“อย่าเยอะ...ยายวิ แทรกเตอร์นะ ไม่ใช่รถเด็กเล่นที่แบตฯหมดแล้วเอาถ่าน3A มาใส่แล้วจะวิ่งฉิวได้เหมือนเดิมน่ะ”
ดรุณีเห็นด้วยทันที
“ใช่...ไม่มีทาง”
ขาดคำปรามาสของดรุณี จิ๋วแจ๋วก็วิ่งหืดจับเข้ามา
“คุณย่าคะ พี่ต๊อดให้จิ๋วแจ๋วมาบอกว่าคุณอาทิจซ่อมแทรกเตอร์เสร็จแล้วค่ะ”
ทุกคนหันมามองจิ๋วแจ๋วด้วยอารมณ์แตกต่างกัน ย่าแดงยิ้มพอใจ วิยะดาเป็นปลื้ม ส่วนวิไลลักษณ์กับเวทางค์ออกแนวหมั่นไส้ ในขณะที่ดรุณียิ้มหยัน
อาทิจเดินเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหน้าตาและเนื้อตัวที่เปื้อนคราบน้ำมันเครื่องออกมาจากโรงเก็บรถ ย่าแดงยืนจับกลุ่มอยู่กับวิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาและไพฑูร โดยมีต๊อด อึ่ง พัน จับกลุ่มอยู่อีกฟาก ดรุณีขยับเข้ามาแอบดูเหตุการณ์อยู่มุมหนึ่ง วิยะดาส่งเสียงกรี๊ดอาทิจ ราวกับชายหนุ่มเป็นนักร้องดังที่กำลังก้าวขึ้นเวทีคอนเสิร์ต
“อ๊าย...เท่จังเลยพี่อาทิจ”
ดรุณียิ้มเย้ย
“จะเท่ ได้นานแค่ไหน เดี๋ยวก็รู้”
อาทิจเดินก้าวขึ้นแทรกเตอร์ ราวกับนักบินกำลังก้าวขึ้นเครื่องบินรบ เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่สตาร์ทไม่ติด ชายหนุ่มใจไม่ดีคิ้วเริ่มขมวด อึ่งหันมาถามต๊อด
“ยังไงวะไอ้ต๊อด ไหนเอ็งบอกแล่นปรู๊ด...แล่นปรู๊ดไง”
ต๊อดหน้าเสีย
“สงสัย...เครื่องมันยังไม่ร้อนว่ะ”
อาทิจหันมามองย่าแดงที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ชายหนุ่มรวบรวมกำลังใจสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง แต่ก็ไม่ติด ไพฑูรรีบทับถมทันที
“ผมบอกคุณย่าแล้ว เครื่องยนต์แบบนี้มันต้องใช้ช่างเฉพาะทางที่มีฝีมือจริงๆ”
เวทางค์มองเหยียด
“คงอยากประจบคุณย่าน่ะครับ ถึงได้อาสาทำอะไรเกินตัวอย่างนี้ เฮ้อ...คนเรา”
วิไลลักษณ์เหยียดปากเย้ยหยัน
“ต๊าย...น่าสงสาร คงจะอายนะคะคุณแม่ ดูสิ...หน้าซีดเป็นไก่ต้มเชียว”
ย่าแดงไม่เอออออะไร ได้แต่ยืนส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ อาทิจคิ้วขมวดหนักขึ้น แต่พอหันไปมองย่าแดง เห็นกำลังใจที่ท่านส่งมาให้ ชายหนุ่มก็ฮึดสู้อีกครั้ง เขาบิดสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ครางขึ้นเบาๆแล้วนิ่งสนิทไป 2 ครั้ง...ดรุณียิ้มชอบใจ
“งานแรกก็จอดซะแล้ว”
สิ้นเสียงเย้ยของดรุณี เครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่มขึ้นมาทันที หญิงสาวหันไปมอง อาทิจยิ้มออกมาได้ ในขณะที่แก็งค์ต๊อด อึ่ง พัน กระโดดตัวลอยเฮเจี๊ยว ย่าแดง แก้ว วิยะดา หันมายิ้มให้กัน แก้วเหน็บแนมเวทางค์ทันที
“แหม...คนที่ทำอะไรเกินตัวแล้วทำสำเร็จนี่ มันน่าภูมิใจอย่างนี้เอง ว่ามั้ยคะคุณเว” แก้วหันไปพูดแดกวิไลลักษณ์ “ต๊าย...ดูสิคะ คุณอาทิจหน้างี้เป็นสีชมพู๊ชมพู ไม่ ซีดเป็นไก่ต้มเหมือนตอนแรกเลยนะคะคุณวิไล” แก้วหันไปชื่นชมอาทิจกับย่าแดง “หลานคุณย่าเก่งจังเลยค่า”
ย่าแดงยิ้มภูมิใจ ในขณะที่วิไลลักษณ์ เวทางค์และไพฑูรยืนยิ้มเจื่อนๆ อาทิจขับรถแทรกเตอร์ผ่านหน้าดรุณี หญิงสาวเอามือล้วงถุงน๊อตในกระเป๋าขึ้นมาดูงงว่ามันเป็นไปได้ยังไง
อาทิจขับรถแทรกเตอร์ไถพรวนดินบนที่ดินโล่งอันกว้างใหญ่ โดยมีอึ่ง พันวิ่งตามรถเฮฮิ้วเริงร่า ย่าแดงและคนอื่นๆ ยืนมองอาทิจอยู่บนถนนลูกรังที่ตัดผ่านที่ดินไกลออกมา โดยมีดรุณียืนซ่อนตัวอยู่หลังตันไม้ต้นหนึ่ง สักครู่ก็เดินแยกออกมา หญิงสาวหิ้วถุงน็อตหน้านิ่วเดินไปบ่นไปไม่อยากเชื่อ
“ทำไมมันใช้งานได้ ก็อะไหล่มันอยู่กับเรานี่”
ลุงเกร็งกับต๊อดเดินสวนกับดรุณี เพื่อตรงไปหาอาทิจ ลุงเกร็งเอ่ยชวน
“อ้าว...คุณหนูณี ไม่ไปเชียร์คุณอาทิจด้วยกันหน่อยหรือครับ”
“ไม่ค่ะ...ณีไม่ใช่พวกบ้าเห่อ ซ่อมแทรกเตอร์แค่นี้เรื่องเล็กจะตาย ไม่เห็นจะต้องไปยืนเข้าแถวแซ่ซ้องให้เหลิงไม่เข้าเรื่อง”
“เอ่อ...รู้สึกว่าในแถวที่แซ่ซ้องจะมีคุณย่ารวมอยู่ด้วยนะครับ” ต๊อดสวนขึ้น
ดรุณีหน้าตึงขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องออกความเห็นสักเรื่องได้มั้ย แล้วไหนล่ะจักรยานที่ให้ไปซ่อมน่ะ ซ่อมเสร็จรึยัง”
“ต๊อดกำลังปวดตับกับเรื่องนี้อยู่พอดีครับคุณณี ก่อนจะเอาแทรกเตอร์ออกมาลอง คุณอาทิจอุตส่าห์จะซ่อมให้ แต่ไม่รู้มีมือดีที่ไหนมาขโมยนอตที่คุณอาทิจสั่งให้ต๊อดซื้อไปซะนี่”
ดรุณีชะงัก
“นอต”
ลุงเกร็งมองถุงนอตในมือหญิงสาว
“ครับ...หน้าตาคล้ายๆที่คุณณีถืออยู่นี่ล่ะครับ”
ต๊อดหันไปมองถุงแล้วก้มลงไปพินิจ ก่อนจะเบิกตาโต
“มันไม่ใช่แค่คล้ายนะน้าเกร็ง แต่มันเหมือนกับที่ฉันซื้อมาเด๊ะ นี่ไง...นี่มันถุงร้าน
เต๊กกวงที่ฉันซื้อมาชัดๆ” ต๊อดหันไปถามซื่อๆ “ตกลง...คุณณีไปขโมยนอตมาเองเหรอครับ”
ดรุณีรีบปฏิเสธลั่น
“จะบ้าเหรอ...ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม ฉัน...ฉันเห็นมันตกอยู่กับพื้นแถวนี้ก็เลยหยิบมาดู ว่าจะถามลุงเกร็งอยู่เหมือนกันว่ามันน๊อตอะไร”
ลุงเกร็งหันไปดุต๊อด
“เอ็งนี่ก็แปลก คิดเข้าไปได้ว่าคุณหนูณีขโมยนอตออกมา คุณหนูณีจะทำอย่างนั้นทำไมวะ”
ต๊อดคิดๆก่อนจะเดาออกมา
“ก็...คุณณีไม่ชอบคุณอาทิจ เลยอาจจะแกล้งคุณอาทิจ ด้วยการขโมยนอตออกมา เพราะเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นนอตที่ต้องใส่เข้าไปในแทรกเตอร์ คุณณีอยากจะเห็นคุณอาทิจหน้าแตกที่ซ่อมแทรกเตอร์ไม่ได้ไง” ต๊อดยิ้มแหะๆ “เอ่อ...ที่พูดมาต๊อดก็แค่เดา ว่าแต่ มีเค้าบ้างมั้ยครับคุณณี”
ดรุณีหน้าเสีย ใจหายวาบ ไม่คิดว่าต๊อดจะเดาอะไรได้เป็นฉากๆเป๊ะๆแบบนี้ ลุงเกร็งไม่เชื่อว่าดรุณีจะทำอย่างนั้น
“คุณหนูณีไม่ใช่เด็กขี้อิจฉานะเว้ย จะได้พาลใส่คุณอาทิจขนาดนั้น พูดอะไรไม่ระวังปากเลยไอ้นี่ ไป...ไปดูคุณอาทิจกัน”
ต๊อดรีบถามดรุณี
“คุณณีจะฝากถุงนอตไปกับต๊อด หรือจะเอาไปให้คุณอาทิจเองกับมือครับ”
ดรุณียื่นถุงนอตให้
“รีบเอาไปเลย ไม่จำเป็น...ฉันก็ไม่อยากเสวนากับเขานักหรอก”
ต๊อดรับถุงมา ก่อนจะวิ่งตามลุงเกร็งไป ดรุณีถอนใจโล่งอก รอดไปอีกวาระ
ต๊อดถือถุงน๊อตวิ่งผ่านกลุ่มของย่าแดงไปพร้อมกับลุงเกร็ง ทั้งคู่ตรงเข้าไปหาอาทิจซึ่งยังคงไถพรวนดินอยู่บนรถแทรกเตอร์เหมือนเดิม ไพฑูรหันมาพูดประจบย่าแดง
“ต่อไปนี้เราคงไม่ต้องไปจ้างช่างจากในเมือง มาซ่อมเครื่องมืออะไรแล้วนะครับคุณย่า มีคุณอาทิจอยู่นี่ทั้งคน”
“พ่ออาทิจเขาไม่ได้เป็นช่างนะเจ้าฑูร ครั้งนี้รถมันอาจจะไม่ได้เสียหายมาก หรือไม่ก็อาจจะเสียในจุดที่เขาเคยซ่อม มันถึงกลับมาใช้งานได้อีก ต่อไปแกต้องใส่ใจตรวจตราข้าวของให้ละเอียดกว่านี้ อะไรเสียก็ต้องรีบซ่อม ซ่อมเองไม่ได้ก็ต้องรีบตามช่างมาซ่อม เข้าใจมั้ย ไปเรียกพ่ออาทิจมานี่ซิ”
ไพฑูรรับคำ ก่อนจะเดินแยกออกไปหาอาทิจ ดรุณีเดินกลับเข้ามาสังเกตการณ์ วิยะดายิ้มปลื้ม
“พี่อาทิจนี่เก่งจังเลยนะคะคุณย่า”
“เก่งหรือไม่เก่งยังสรุปตอนนี้ไม่ได้หรอกแม่วิ เราคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ที่แน่ๆคือพี่เขาเป็นคนมีน้ำใจ” ย่าแดงหันมาเห็นดรุณี “อ้าวแม่ณี หายไปไหนมา เออ...มาก็ดีแล้ว ไปขอน้ำดื่มจากบ้านคนงานมาให้ย่าสักขันสิ...ไป”
“ค่ะ คุณย่า”
ดรุณีเดินออกไป วิไลลักษณ์หันมาแดกดันอาทิจกับย่าแดง
“ถึงจะมีน้ำใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทนกับงานหนักได้แค่ไหนนะคะคุณแม่ ผิวบางใสออกอย่างนั้น ดูสิคะ ขาวใสกว่ายายวิกับตาเวอีก ขนาด 2 คนนี้ไม่ค่อยได้ออกแดด ยังสู้นายอาทิจไม่ได้เลย”
“แล้วทำไมไม่พาลูกๆไปตากแดดบ้างล่ะ ให้หมกตัวอยู่แต่ในร่มไม่ยอมให้ทำงานแบบนี้ ระวังจะเป็นง่อยทั้งพี่ทั้งน้องนะ”
วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดายิ้มแหยๆใส่ย่าแดงแล้วหันมามองตากันปริบๆ ดรุณีเดินเข้ามาพร้อมกับขันน้ำในมือ
“น้ำฝนเย็นชื่นใจมาแล้วค่ะคุณย่า ดื่มเลยค่ะ”
“ย่าไม่หิวหรอก ยืนเฉยๆไม่ได้ทำอะไร ให้คนที่เขาทำงานมาเหนื่อยๆดีกว่า”
อาทิจเดินเอาผ้าขนหนู เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยตามหน้าผากและข้างแก้ม เข้ามาหาย่าแดง
“เป็นยังไงพ่ออาทิจ เหนื่อยล่ะสิ เอ้า...แม่ณี เอาน้ำให้พี่เขาดื่มสิลูก อากาศร้อนอย่างนี้ ดื่มน้ำฝนแล้วมันชื่นใจ หายเหนื่อย”
ดรุณีกับอาทิจหันมาสบตากันเก้อๆมองกันไม่เต็มตา เพราะเรื่องแมลงสาบสื่อรักยังวนเวียนอยู่ในใจ เห็นทั้งคู่นิ่งไปแก้วเลยแซว
“เอ้า...คุณอาทิจยืนรอจนเหงือกแห้งแล้วค่า คุณณี”
ดรุณีสบตาอาทิจ กำลังจะยื่นขันให้ แต่โดนวิยะดาตัดหน้าแย่งขันในมือไปเฉยเลย ก่อนจะส่งขันน้ำให้อาทิจ
“นี่ค่ะพี่อาทิจ ดื่มเยอะๆนะคะคนเก่งของวิ”
อาทิจรับขันน้ำจากวิยะดาไปดื่มอย่างเขินจัด กับสายตาจิกล้วงอย่างเปิดเผยของหญิงสาว เพียงชั่วอึดใจทุกคนก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงกรี๊ดของวิยะดาดังลั่น
“อ๊าย...ขนาดโดนขันปิดหน้าก็ยังหล่อได้อีก คนอะไรหล่อสุดติ่งเลยอะ”
วิไลลักษณ์กับเวทางค์จิกเสียงต่ำปรามพร้อมกัน
“ยายวิ!”
ทุกคนยืนพะอืดพะอมกับความก๋ากั่นของวิยะดา โดยที่ดรุณีพ่วงอาการหมั่นไส้อาทิจเพิ่มเข้าไปด้วย
ค่ำนั้น...ประเวทย์ลงนั่งบนโซฟาในท่าสบายๆอยู่ในห้องรับแขก พลางย้อนถามวิไลลักษณ์
“คิดมากไปรึเปล่าคุณ”
“ไม่หรอกค่ะคุณพี่ จากการที่น้องไปสังเกตการณ์ที่บ้านคุณแม่ทั้งวัน น้องมั่นใจค่ะว่าคุณแม่ปลื้มเจ้าหลานคนใหม่ชัวร์”
วิยะดาซึ่งกำลังBB คุยกับเพื่อนเงยหน้าขึ้นมา
“ก็พี่อาทิจเขาน่าปลื้มนี่คะคุณแม่”
เวทางค์ซึ่งนอนเอกเขนกเล่นเกมทางโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา พลิกตัวหันมาเบรกวิยะดา
“น่าปลื้มตรงไหน หน้าตาก็งั้นๆ การศึกษาก็งั้นๆ ยิ่งเทือกเถาเหล่ากอยิ่ง งั้นๆเข้าไปใหญ่”
ประเวทย์หันไปปรามลูกชาย
“งั้นๆ เหมือนเถือกเถาเหล่ากอเราเหรอตาเว อย่าลืมนะว่าพ่อของอาทิจเป็นพี่ชายแท้ๆของพ่อ”
วิไลลักษณ์รีบขัด
“แต่แม่ของตาเวไม่ใช่ผู้หญิงบ้านๆอย่างแม่ของนายอาทิจนะคะ ยังไงตาเวกับยายวิก็มีภาษีดีกว่าหมอนั่น”
“ก็ถ้าลูกเรามีดีกว่า แล้วคุณจะมานั่งคิดอะไรให้ปวดหัวทำไม”
“ที่น้องคิดก็เพราะหมอนั่น มันอยู่ใกล้ชิดคุณแม่กับยายณีมากกว่าตาเวน่ะสิคะ”
ประเวทย์แปลกใจ
“เดี๋ยวนะ...เรื่องใกล้ชิดคุณแม่ ผมพอเข้าใจว่าคุณกลัวเจ้าอาทิจจะประจบขอนั่นนี่จากคุณแม่ แต่...หนูณีมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”
“ยายณีนี่ล่ะค่ะ ตัวแปรสำคัญ เพราะคุณแม่รักยายณีที่สุด สมบัติพัสถานอะไรท่านก็ต้องยกให้ยายณีมากกว่าลูกหลานทุกคนอยู่แล้ว น้องถึงอยากให้ตาเวลงเอยกับยายณีไงคะ สมบัติทั้งหมดจะได้ตกอยู่กับเรา แต่ดูสิ...จู่ๆเจ้าอาทิจก็โผล่มาขวางทางซะนี่”
“คุณพูดอย่างกับอาทิจ กับหนูณีชอบพอกันอย่างนั้นล่ะ”
วิยะดาพยักหน้าเห็นด้วยกับพ่อ
“นั่นสิคะคุณแม่ คิดมากไประวังหน้าผากย่นนะคะ วิว่ายายณีไม่ชอบพี่อาทิจหรอกค่ะ ออกจะเกลียดด้วยซ้ำ”
“หนุ่มสาวสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน อยู่ใกล้ชิดกันมากๆ เกิดเหงาแล้วย่องหากันขึ้นมา เราจะทำยังไง”
เวทางค์ไม่สนใจ
“ก็ช่างเขาสิครับ ผมอยากจะอยู่ป่าอยู่ดอยอย่างนั้นซะเมื่อไหร่ อีกอย่างยายณีก็ไม่ใช่สเปกผม ห้าวเฮี้ยวก็เท่านั้น ปากจัดอีกต่างหาก”
วิยะดายิ้มกริ่ม
“ถ้างั้นให้วิช่วยดึงพี่อาทิจออกมาจากยายณีนะคะ พี่อาทิจน่ะสเปกวิเลย”
ประเวทย์รีบปรามลูกสาว
“ไม่ต้องเลยยายวิ อาทิจน่ะพี่ชายเรานะ”
“ยายณีก็น้องคุณย่า นับญาติกับเราได้เหมือนกันนะคะคุณพ่อ”
วิไลลักษณ์ตัดบท
“ญาติจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาไม่เห็นเหมือนคุณปู่ทวดเลยสักนิด แต่จะใส่ใจทำไมสมัยนี้แค่มีเงินอย่างเดียวก็พอแล้ว เราต้องร่วมมือกันให้ตาเวกับยายณีลงเอยกันให้ได้นะลูก”
ประเวทย์ถอนใจ
“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ผมไม่เอาด้วยนะ แล้วก็อย่าคิดวางแผนอะไรจนทำให้ผมต้องมีปัญหากับคุณแม่ล่ะ”
ประวิทย์เดินออกไปอย่างไม่ชอบใจนัก วิไลลักษณ์บ่นตามหลังไม่พอใจ
“สามีใครเนี่ย”
อาทิจส่งสมุดรายจ่ายให้ย่าแดง ดรุณีซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่ง ละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองชายหนุ่ม โดยมีแก้วนั่งรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“บัญชีค่าใช้จ่ายที่คุณย่ากรุณาให้ผมยืมครับ”
ย่าแดงหยิบสมุดมาเปิดดูอย่างตั้งใจ
“ลงตัวเลขได้ละเอียดดีนี่ แล้วเมื่อไหร่จะได้ปลูกล่ะ”
“ใช้ผานสาม ไถเสร็จแล้วก็ต้องพักดินไว้ 3 วันครับคุณย่า หลังจากนั้นก็ใช้ผาลเจ็ดไถซ้ำเพื่อย่อยดินให้ละเอียด ตากดินไว้ 7 วัน เพื่อกำจัดโรคพืชและแมลง แล้วถึงจะยกแปลง ใส่ปุ๋ยคอก ก่อนจะเอาผักที่เพาะไว้มาลงปลูกครับ”
“จะลงวันไหน ต้องใช้คนงานช่วยกี่คนก็บอกย่ามาก็แล้วกัน”
“ผมคงไม่ใช้คนเยอะเพราะ เอ่อ...”
ย่าแดงยิ้ม
“ไม่มีเงินจ้างใช่มั้ยล่ะ ไม่เป็นไร ย่าจะออกให้ก่อน พ่ออาทิจลงบัญชีไว้ก็แล้วกันว่ามีคนงานมาทำงานกี่คน ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง จะได้คิดค่าแรงถูก”
“ผมจะจดละเอียดไม่ให้ขาดสักบาทครับคุณย่า”
“ดีแล้วล่ะพ่อ ย่าเองก็ทำบัญชีละเอียดอย่างนี้มาตั้งแต่ยังสาว จนลูกหลานบางคนมันเก็บไปนินทาว่าย่าเค็ม จะขาดสักสลึงสองสลึงก็ไม่ได้ มันก็จริงของเขา แต่ย่าถือว่าย่าทำการค้า ถ้าวันนี้เรายอมให้ตกหล่นวันละบาทสองบาท วันหน้า มันอาจจะตกหล่นเป็นพันเป็นหมื่นได้ จะทำการค้าต้องละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว ย่ายอมเสียเงินเลี้ยงคนงานเป็นหมื่นเป็นแสนได้ แต่จะไม่ยอมเสียแม้แต่บาทเดียวเพราะความสะเพร่าของตัวเอง”
“ผมจะจำคำสอนของคุณย่าไว้ให้ขึ้นใจครับ”
ดรุณีกระแอมไอ เบรกอาทิจเพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มช่างประจบคุณย่าซะจริง แก้วหันไปถาม
“เป็นหวัดหรือคะคุณณี”
ย่าแดงหันมามองหญิงสาว
“กินผักผลไม้น้อยไปน่ะสิ ขาดวิตามินซี มันก็เป็นหวัดง่ายอย่างนี้ล่ะ”
แก้วยิ้มๆ
“อู๊ย...ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวขาดวิตามินซีและแร่ธาตุอื่นใดในโลกนี้อีกแล้วค่ะ เพราะคุณอาทิจจะยกแปลงผักมาไว้ที่นี่ คุณณีจะกินวันละสามมื้อก็ยังได้ คุณอาทิจเอาผักลงเมื่อไหร่ เราไปช่วยกันนะคะคุณณี”
ดรุณียิ้มยียวน
“ได้...แต่จะใช้งานฟรีๆไม่ได้ หนูจะคิดค่าจ้าง”
อาทิจเสียงอ่อย
“จ่ายเป็นผักแทนได้มั้ย”
“ถ้างั้น...ตัดมาให้กินวันละ 3 มื้อ มื้อละ 3 คน”
ย่าแดงมองขำๆ
“นึกว่าจะนึกถึงแต่ย่า 3 คนนี่คงนับพ่ออาทิจรวมเข้าไปแล้วสินะ”
ดรุณีหน้าเจื่อน นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนับอาทิจรวมไปด้วยจริงๆ แก้วแซวๆ
“อย่างนั้นสิคะคุณย่าขา แหม...ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันเหลือเกิน นึกถึงกันอยู่ตลอดเวลาเลย”
ดรุณีรีบกลบเกลื่อน
“หนูก็นึกถึงทุกคนแหละ น้าแก้วกับจิ๋วแจ๋วด้วย...หวังว่าคุณเจ้าของผักเขาจะนึกถึงคนอื่น ไม่บ้าจี้เด็ดมาแค่มื้อละหัวสองหัวก็แล้วกัน”
ดรุณีแอบค้อนอาทิจเป็นการส่งท้าย แก้วกับย่าแดงหันมาสบตาแล้วยิ้มส่ายหน้า อาทิจงงพาลมาลงที่เขาอีกจนได้
สองวันต่อมา...อาทิจเดินเข้ามาในโรงเพาะกล้าผัก เห็นผักที่เพิ่งเพาะกำลังแตกใบเลี้ยงชูช่อโผล่ออกมาจากตระแกรงเพาะ เขาต่อสายยางเปิดน้ำ แล้วฉีดขึ้นฟ้าเป็นละอองสเปรย์รดไปที่ตะแกรงกล้าผักที่เพาะไว้ ต๊อด อึ่ง พันและไพฑูรตามมาสมทบ ต๊อดมองดีใจ
“โตเร็วดีนะครับนาย”
“อือ...ไถพรวนดินอีกรอบก็คงโตพอเอาลงปลูกพอดี”
ไพฑูรมองไปที่ตะแกรงผักแล้วยิ้มหยัน
“น่าจะหว่านลงดินเลยนะครับ มานั่งเพาะกล้าอย่างนี้ เสียเวลาแย่ จะได้ผลแค่ไหนก็ไม่รู้ ได้ข่าวว่าจะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงไม่ใช้ปุ๋ยเคมีด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับ ผมหมักปุ๋ยชีวภาพไว้แล้ว”
“มันจะได้ผลเหรอ”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่อยากจะลอง ถ้าไม่ลองเราก็ไม่รู้ อาจจะต้องกลับมาใช้ปุ๋ยเคมีบ้าง แต่จะใช้ให้น้อยที่สุด”
ไพฑูรแอบแสยะยิ้มแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ พร้อมกับเบิกตาโตเพราะเลยเวลานัดไปร่วมชั่วโมง
“ถ้าตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปทำธุระแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวเจอกันที่สวนส้มเลย”
ต๊อด อึ่ง พัน หันไปมองไพฑูรตาเป็นประกายวาวปิ๊ง...ปิ๊ง อาทิจพยักหน้า
“ครับ”
อาทิจปิดน้ำ หางตาเหลือบเห็น ต๊อด อึ่ง พัน มองตามหลังไพฑูรไป เพียงอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็เห็น คนงานหน้าโรงเพาะกล้าซึ่งมาจากทุกสารทิศ จ้ำตามหลังไพฑูรไปห่างๆ ดูลับๆล่อๆ ต๊อด อึ่ง พัน หันมาสบตากัน แล้วหันกลับไปมองอาทิจที่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาดูผักในตะแกรงตรงหน้าเหมือนไม่สนใจ
ต๊อด อึ่ง พันยิ้มร่าก่อนจะค่อยๆย่องออกไปจากโรงเพาะ แต่ก้าวออกมายังไม่ถึง 3 ก้าว เสียงอาทิจก็ดังขึ้น
“จะไปไหน”
ทั้ง 3 คนสะดุ้งโหย่ง หันกลับไปมองอาทิจแล้วร้องจ๊าก เพราะชายหนุ่มโผล่มายืนอยู่ข้างหลัง ต๊อดอึกอักบอก
“คือ...เอ้อ...จะขอแวบไปดูหนังรอบเช้าอะนาย”
อาทิจจ้องหน้า
“หนังอะไร”
อึ่งเจ๋อเข้ามา
“หนังสดครับ”
อาทิจงง
“หนังสดอะไรวะ แล้วจะไปดูในเวลางานอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน”
พันอธิบายพร้อมกับเอ่ยชวน
“ก็เจ้าของวิกเขาชอบเล่นในเวลางานนี่นาย พวกเราก็เฮสิ เพราะมันเห็นกันจะจะไม่มืดๆมัวๆเหมือนรอบกลางคืน นายไปด้วยกันมั้ย”
อาทิจส่ายหน้า
“ไม่...เสียเวลาทำงาน ตั้ง 2 ชั่วโมง”
ทั้งสามหัวเราะก๊าก อึ่งบอกกับอาทิจอย่างขำๆ
“โอ๊ย...วิกนี้เขาเล่นแค่ยี่สิบนาทีก็จอดแล้วครับนาย ดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น ถ้าเล่น 2 ชั่วโมงอย่างนายว่า คงต้องหามไม่ใครก็ใครส่งโรงพยาบาลกันบ้าง”
ต๊อดร้อนใจ
“จะมายืนถามอยู่ทำไมครับ ไปดูให้เห็นกับตาเลยดีกว่าว่ามันอลังการงานสร้างขนาดไหน ไปครับนาย เดี๋ยวไม่ทันดูไตเติ้ลกันพอดี”
อาทิจขัดขืนไม่ยอมไปแต่โดนต๊อดกับพันประกบหนีบแขนซ้ายขวา โดยมีอึ่งช่วยดันหลังออกไป
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ต๊อดกับพันหนีบแขนอาทิจมาที่บ้านพักของไพฑูร อาทิจฮึดฮัด
“ปล่อยนะเว้ย พวกนายจะพาฉันไปไหนวะ”
“เอาน่า...ไม่พาไปขายหรอก แค่พามาเปิดหูเปิดตาแค่นั้นเอง เอ้า...ถึงแล้ว”
อาทิจสะบัดแขนออกจากทั้งคู่ แล้วหันไปมองเบื้องหน้าเห็น บรรดาคนงานชายต่างพากันปีนหาร่องหารูดูอะไรสักอย่างซึ่งอยู่บนชั้น 2 ของบ้านใต้ถุนโล่งหลังหนึ่ง
“พวกคนงานมาทำอะไรกัน มีอะไรบนนั้นเหรอ”
เสียงคราง ฮือฮาโฮกฮาก ดังแผดออกมานอกหน้าต่าง ยิ่งครางดังคนที่อยู่ประจำร่องรูต่างๆยิ่งเอาตัวและตาแนบฝาบ้าน จนแทบจะแทรกเนื้อไม้เข้าไป อาทิจมองอย่างสงสัย
“เสียงอะไร คนกำลังตีกันรึเปล่า”
อึ่งยิ้มขำ
“ตีกันไฟแลปเลยครับนาย”
“อ้าว...แล้วยืนเฉยทำไมวะ รีบไปห้ามเขาสิ”
“นายปีนขึ้นไปห้ามสิ ขี่หลังไอ้พันขึ้นไปก็ได้” พันหันไปเรียกต๊อด “มา...ไอ้ต๊อด เอ็งมาเป็นตอหม้อให้ข้า”
ต๊อดเสียงอ่อย
“ทำไมต้องเป็นข้าด้วยว้า”
อาทิจร้อนใจมาก
“จะบ่นทำไมหา เดี๋ยวเขาก็ฆ่ากันตายก่อนหรอก เร็วๆเข้า”
ต๊อดยอมก้มลงคุกเข่าเอามือยันกับพื้น พันย่อตัวให้อาทิจขึ้นขี่หลัง โดยมีอึ่งช่วยจับขาชายหนุ่มพาดขึ้นไปบนคอพัน พันก้าวขึ้นไปเหยียบหลังต๊อดโดยมีอึ่งคอยประคองอย่างทุลักทุเล อาทิจตัวโอนไปเอนมาเป็นที่น่าหวาดเสียว กว่าชายหนุ่มจะคว้าขอบหน้าต่างไว้ได้ก็ลุ้นจนเหงื่อตก
อาทิจโผล่หน้าไปที่ช่องหน้าต่าง ในลักษณะที่เตรียมอ้าปากร้องห้ามเต็มที่ แต่แล้วชายหนุ่มก็ ตาเหลือกค้างเมื่อเห็น เสื้อผู้หญิงถูกถอดโยนขึ้นกลางอากาศ ตุ๊พลิกตัวขึ้นมา
“ปล่อยให้รออยู่ได้เป็นชั่วโมง ตุ๊ของค้างหมดเลย”
ไพฑูรขยับพลิกตัวลงมาแทนที่ตุ๊ พูดพร้อมถอดเสื้อ
“พี่ฑูรก็มาให้น้องตุ๊ลงโทษแล้วนี่ไง ตอนนี้อวัยวะทุกส่วนพร้อม”
“ถ้างั้น...ตุ๊จัดเต็มเลยน้า”
ว่าแล้วตุ๊ก็ก้มลงไปหาไพฑูร เพียงชั่วอึดใจ กางเกงสตรี กางเกงบุรุษก็ถูกเหวี่ยงขึ้นกลางอากาศ ผ่านหน้าอาทิจ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เมื่อเห็นกางเกงในสตรี กางเกงในบุรุษ ลอยผ่านหน้าตัวเองตามๆมาติดๆ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ ตาเหลือกตาปลิ้น เมื่อเห็นยกทรงลอยแหวกอากาศและพุ่งตรงมาที่ตัวเอง
“ฮะ...เฮ้ย”
อาทิจก้มหลบวูบ ก่อนที่ยกทรงจะลอยมาแปะหน้า ซึ่งก็ทำให้พันกับต๊อดซึ่งอยู่ข้างซวนเซไปมา ในที่สุดก็พากันล้มครืนลงมาทั้ง 3 คน ไพฑูรส่งเสียงดังมา
“ใครวะ”
เท่านั้นเองพวกถ้ำมองที่ปีนดูอยู่ข้างล่าง ต่างก็พากันวิ่งแตกฮือออกมา รวมทั้งอาทิจ ต๊อด อึ่ง พันไพฑูรเดินหัวฟูออกมายืนที่หน้าต่าง
“โธ่เอ๊ย...ไม่แน่จริงนี่หว่า”
ตุ๊ตามมา
“แทนที่จะมีคนดูให้สยิวบ้าง หนีกันไปหมดเลย”
“เอาน่า...ถึงไม่มีใครดู พี่ฑูรก็ทำให้สยิวได้ เดี๋ยวจัดให้”
ตุ๊กระชากไพฑูรดึงเข้าไปภายในเสี้ยววินาที ไม่รู้ใครหื่นกว่าใคร
อาทิจเดินนำต๊อด อึ่ง พัน เข้ามาในสวนส้ม อาทิจไม่พอใจ
“พวกนายไม่ละอายใจบ้างรึไง ไปแอบดูเรื่องในมุ้งของชาวบ้าน ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะอับอายแค่ไหน ถ้ารู้ว่ามีคนไปแอบดูเขา”
“โธ่...นาย สองคนนั่นรู้จักอายที่ไหน ยิ่งรู้ว่ามีคนแอบดูยิ่งโชว์พิสดาร” ต๊อดบอก
อึ่งเสริม
“ใช่...บางวันมีการประกาศอ้อมๆให้คนตามไปดูด้วยซ้ำไป”
อาทิจงงจัด
“หา...เฮ้อ คนดูกับคนถูกแอบดู ใครโรคจิตกว่ากันวะเนี่ย เอาล่ะ ถึงเขาจะชอบโชว์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายต้องตามไปแอบดูเขา โดยเฉพาะในเวลางานอย่างนี้ ถ้าขืนใครยังทำแบบนี้อีกล่ะก็ ฉันจะบอกคุณย่าให้ตัดเงินเดือน”
ต๊อดหน้าเสีย
“โห...นายอะ ใจร้าย พวกเรามาอยู่ป่าอยู่ดอยอย่างนี้ มันก็ต้องหาเรื่องตื่นตาตื่นใจ หาเรื่องตื่นเต้นทำกันบ้าง วันๆจะให้คุยแต่กับจอบกับเสียมรึไง”
พันรีบพูดเสริม
“ช่าย...อีกอย่างเรา 3 คนก็หน้าเหียกยังกับลิง สาวที่ไหนจะมอง ในเมื่อเราไม่มีใครให้มอง เราก็ต้องหาเรื่องมองคนอื่น”
ต๊อดประชดประชัน
“พูดอีกก็ถูกอีก...เราไม่ได้หล่อเหมือนนายนี่ จะได้มีสาวๆมาแอบรักแอบหลง”
“อย่ามั่ว” อาทิจสวน
อึ่งหน้าตาจริงจังขึ้นมา
“ไม่ได้มั่วนะนาย เรา 3 คนเห็นกับตาว่านังทองประศรีมันแอบมาด้อมๆมองๆนาย”
อาทิจงงๆ
“ใคร...แต่จะใครก็ช่างเถอะ ฉันยังไม่อยากมีครอบครัว อยากทำงานให้ดีมากกว่า”
“ดีครับนาย อย่าไปสนมันเลย นังทองโตน่ะมันไม่เหมาะกับนายหรอก อีกคนเหมาะกว่าเยอะ จริงมั้ยวะ”
พันหันไปมองต๊อดกับอึ่งทั้งคู่สบตาเออออ หัวเราะชอบใจกันใหญ่ อาทิจสงสัย
“ใคร...อีกคน”
ต๊อดยิ้มๆ
“ก็ใครกันล่ะที่เทียวส่งข้าวส่งน้ำให้นายอะ”
ก่อนที่อาทิจจะเค้นคอทั้ง 3 คน เสียงดรุณีก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเสียก่อน
“นายอาทิจ คุณย่าให้มาตามไปกินข้าว”
ต๊อดส่งสายตาแซวอาทิจ
“รู้รึยังว่า...ใคร”
ดรุณีแปลกใจ
“ใคร...อะไร ตกลงจะไปกินมั้ย...ข้าวน่ะ”
3 หนุ่ม หัวเราะลั่นชอบอกชอบใจ ดรุณีหันไปตาเขียวใส่
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนายต๊อด จักรยานฉันซ่อมเสร็จรึยังหา ถ้าพรุ่งนี้ไม่เสร็จ ฉันคงต้องขี่ม้ามาตามคนแถวนี้ไปกินข้าวแล้วล่ะ” ดรุณีหันไปบอกอาทิจ “ รีบๆตามไปล่ะ”
ดรุณีหน้านิ่วออกไป อาทิจยืนเอามือล้วงกระเป๋าได้แต่ส่ายหน้า
ดรุณีเดินจ้ำเท้าบ่นมาตามทาง
“ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำให้หมอนี่อดอยากรึไง ชาตินี้ถึงต้องเทียวตามมากินข้าวกินน้ำแบบนี้ ไกลก็ไกลเหนื่อยก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย จักรยานก็ยังไม่เสร็จ เฮ้อ!”
ดรุณีบ่นเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมามองทางข้างหน้าแล้วอึ้งไปเมื่อเห็น ต๊อดเข็นจักรยานของเธอขยับจากแนวต้นส้มด้านข้างมาดักหน้า ดรุณียิ้มได้
“อ้าว...ใช้ได้แล้วเหรอต๊อด แล้วเมื่อกี้ก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันบ่นอยู่ได้”
ต๊อดยิ้มแหะๆ
“อยากบอกเหมือนกันครับ แต่ไม่ทัน”
ดรุณีหัวเราะ
“จะว่าฉันว่าปากไวใช่มั้ยล่ะ ขอบใจนะที่ซ่อมให้ แล้วนี่จะไปไหนล่ะ ซ้อนจักรยานฉันไปก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง”
ดรุณีขยับไปที่จักรยาน
“เอ่อ...จะ...ดีหรือครับ”
“นายอุตส่าห์ซ่อมรถให้ฉัน ฉันก็ต้องตอบแทนน้ำใจนายบ้างสิ”
“โชคดีจริงๆ ว่าแต่...คุณณีไม่คืนคำนะครับ”
“คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น” หญิงสาวขึ้นไปนั่งบนจักรยาน “เอ้า...ขึ้นมาได้แล้ว”
ต๊อดเดินไปที่ท้ายจักรยานเหมือนจะขึ้นไปนั่งแต่กลับป้องปากตะโกนไปทางด้านหลัง
“เอ้า...ออกมาได้แล้ว”
ดรุณีชะงัก หันกลับไปมองเห็นอาทิจ เดินออกมาจากแนวสวนส้มอีกด้านหนึ่ง ต๊อดรีบบอก
“มาแล้วครับ คนซ่อมจักรยาน กำลังจะไปที่บ้านคุณย่าพอดีเลย”
ดรุณีซึ่งกำลังจะอ้าปากไม่ให้อาทิจไปด้วย ถึงกับลิ้นจุกปากเมื่อได้ยินอาทิจก๊อปคำพูดตัวเองมาทั้งดุ้น
“นายอุตส่าห์ซ่อมรถให้ฉัน ฉันก็ต้องตอบแทนน้ำใจนายบ้างสิ”
อาทิจทำท่าจะขยับขึ้นมาซ้อนท้าย แต่ดรุณีไวกว่ารีบก้าวลงมาจากรถ อาทิจก๊อปอีกประโยคเพื่อขยี้อารมณ์ดรุณี
“คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น ไม่คืนคำ”
ดรุณีฉุนกึก
“ฉันยอมให้นายไปด้วยก็ได้ แต่นายต้องไปถีบให้ฉันนั่ง ได้ยินมั้ย”
อาทิจกับต๊อดซึ่งยืนประกบดรุณีคนละฟาก ยกมือขึ้นปิดหูเพราะเสียงอันดังสะท้านสวนของหญิงสาว
อาทิจถีบจักยานโดยมีดรุณีซ้อนท้าย หญิงสาวเอามือยึดกับที่นั่งของตัวเอง โดยไม่ยอมเกาะเอวชายหนุ่ม อาทิจถีบไปพูดไป
“นี่คุณ...เกาะเอวผมไว้ดีกว่านะ เดี๋ยวก็ได้ตกรถหรอก”
“เรื่องอะไร ฉันจะแตะตัวนายให้เสียมือ”
อาทิจยั่ว
“อ้อ...มือนี้มีเจ้าของ กลัวเจ้าของจะว่า”
ดรุณีเลือดแล่นขึ้นหน้าเป็นริ้ว
“อย่าหาเรื่อง ที่ฉันไม่จับเพราะไม่อยากจับ ไม่ชอบขี้หน้า” หญิงสาวตะโกนใส่หูเขา “ได้ยินมั้ย”
“นี่คุณ...ไม่ต้องตะโกนก็ได้ อยู่ใกล้กันแค่นี้ ที่ผมเตือนก็เพราะไม่อยากเห็นคุณกลิ้งตกรถ เดี๋ยวเกิดเสียโฉมขึ้นมา หนุ่มลอนดอนจะมาชกผมเอา”
ดรุณีโกรธจัดทุบไหล่อาทิจพัลวัน
“พูดไม่รู้เรื่องรึไง ฉันกับพี่เวไม่ได้เป็นอะไรกัน เข้าใจมั้ย”
“โอ๊ะ...โอ๊ย...เอาล่ะ จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรกันก็ช่างเถอะ ตอนนี้เกาะเอวผมไว้แน่นๆก่อน”
“ไม่เกาะ”
“เกาะ”
“ไม่เกาะ”
“เร็ว”
“เป็นตายยังไง ฉันก็ไม่เกาะ”
“ไม่เกาะแน่นะ”
ดรุณีเน้น
“ไม่เกาะ”
“ไม่เกาะก็ไม่เกาะ”
อาทิจถีบจักรยานมาบนยอดเนินสูงสุดของสวนส้ม แล้วปล่อยจักรยานทิ้งดิ่งลงมา ดรุณีผวาหงายหลัง หญิงสาวกรี๊ดสนั่นสวน ก่อนจะคว้าเอวอาทิจไว้แน่นโดยอัตโนมัติ แรงดิ่งที่เร็วและแรงทำให้หน้าและตัวเธอเข้าไปแนบตัวเขา
ดรุณีหลับตาปี๋กอดอาทิจไว้แน่น โดยปล่อยเสียงกรี๊ดยาว จนกระทั่งจักรยานลงมายังพื้นราบ ดรุณีค่อยๆลืมตา หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวว่ากอดอาทิจไว้ซะแนบแน่น เธอค่อยๆปล่อยมือแล้วขยับออกห่างชายหนุ่ม ก่อนจะเอามือจิกยึดรถไว้แน่นตามเดิม อาทิจแอบชายหางตาชำเลืองมอง ดรุณีค้อนหน้าคว่ำ
อาทิจยิ้มทั้งขำทั้งเอือมทั้งระอาในความรั้น แก่น เซี้ยวของดรุณี
ที่ร้านทองประศรีเวลานั้น ตุ๊ตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมโกหกทองประศรี โดยมีทองประสานและทองประสมยืนฟังอยู่ห่างๆ
“ก็ไอ้ต๊อดไอ้อึ่งไอ้พันน่ะสิ มันไปฟ้องคุณย่าว่าเห็นน้องศรีไปป้วนเปี้ยนที่โรงซ่อมรถ พี่ตุ๊เลยไม่ได้มาถามข่าวจากน้องศรีเพราะกลัวคุณย่าจะจับได้น่ะจ้ะว่า พี่เป็นคนพาน้องศรีเข้าไปที่นั่น”
ทองประสานไม่เข้าใจ
“จับได้แล้วจะทำไมเหรอพี่ตุ๊”
ตุ๊รีบใส่ไคร้
“คุณย่าท่านไม่ชอบให้คนนอกเข้าไป โดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่ยากจน พวกแม่ค้าขายของกะโหลกกะลาแบบน้องศรี ท่านก็ไม่ชอบ ท่านว่าพวกนี้เดินขายของทั้งวัน ขี้เต่าเหม็น”
ทองประสมชักโมโห
“อ้าว...ไหงดูถูกกันอย่างนั้นล่ะ นี่มันแบ่งชนชั้นกันชัดๆ”
ทองประศรีแค้นๆ
“ดี...ให้มันดูถูกเราเข้าไป สักวัน...ฉันจะจับหลานมันทำผัวให้ได้”
“พี่ตุ๊ก็จะพยายามพาน้องศรี ไปจับคุณอาทิจทำผัวให้ได้เหมือนกันจ้ะ”
ทองประศรีหน้าตามุ่งมั่น
“ได้เป็นหลานสะใภ้มันเมื่อไหร่ จะเดินเบ่งให้ทั่วสวนเลย”
ตุ๊มองหน้า
“เดินไหวหรือจ๊ะ สวนคุณย่าน่ะมีเป็นพันไร่นะ”
ทองประสานตาโตยังกับไข่ห่าน
“หา!...ว่าที่ผัวพี่รวยขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ก็เออสิวะ...ฉันถึงต้องจับเขาให้ได้ไง พูดแล้วก็เปรี้ยวปากอยากเจอ พี่ตุ๊ต้องช่วยฉันนะ”
“ไม่มีปัญหา แต่...ขอข้าวสารสักถุง สองถุงไปเป็นเสบียงได้มั้ยล่ะ”
“ได้...แลกกับที่พี่ตุ๊ต้องพาฉันไปหาคุณอาทิจ” ทองประศรีเน้น “เดี๋ยวนี้”
ตุ๊ยิ้มพยักหน้า แต่ก็แอบมุบมิบปากด่าทองประศรีว่า แรดจริงๆ
ย่าแดงกับแก้วเดินคุยกันมาตามทาง ขณะที่เดินกลับเข้าบ้าน
“แม่ณีไปตามพ่ออาทิจมารึยัง...แก้ว”
“ไปแล้วค่ะ แต่ยัง...” แก้วหันไปเห็นทั้งคู่ “เอ้า...มาพอดีเลยค่ะคุณย่า”
อาทิจถีบจักรยานเข้ามา โดยมีดรุณีนั่งหน้าหงิกซ้อนท้ายมาด้วย แก้วยิ้มชื่นชม
“น่ารักจังเลยค่า พี่ถีบน้องซ้อน ถ้อยทีถ้อยอาศัย”
ย่าแดงหันไปหาสองคน
“ไปกินข้าวไปลูก”
“หนูขอตัวอาบน้ำก่อนนะคะคุณย่า เหนียวเหนอะไปทั้งตัว”
แก้วแปลกใจ
“ปกติคุณณีตัวแห้งจะตาย ไปทำอะไรมาคะถึงได้มีเหงื่อ ไหน...ไม่มีนี่คะ”
“ถ้าเป็นเหงื่อหนู หนูจะบ่นทำไม เนี่ย...คันคะเยอไปหมดแล้ว”
ดรุณีพูดไปแกล้ง เกาไปตามแขนและหน้าตัวเองอย่างชนิดที่เรียกว่าเยอะเวอร์ แก้วงงกับอาการคันของดรุณี
“เหงื่อหรือว่าหิดกันแน่คะ ทำไมถึงได้คันขนาดนั้น”
ย่าแดงเปรยขึ้น
“นั่นสิ แพ้เหงื่อตัวเองรึเปล่า ถ้าไม่ใช่เหงื่อตัวเองแล้วมันเหงื่อใคร”
อาทิจถามต่อหน้านิ่งๆ
“เหงื่อใครหรือครับคุณณี”
ดรุณีหันขวับมามองอาทิจ หญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนกัดฟันกรอด ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกไป ย่าแดงบ่นตามหลัง
“เออ...ดูทำเข้า ผีเข้าผีออกจริงแม่คนนี้”
ย่าแดงกับแก้วยืนส่ายหน้า อาทิจแอบขำ
ดรุณีใส่เสื้อผ้าใหม่ หน้าตาผ่องใสเดินเข้ามาในห้องอาหาร ย่าแดงกับอาทิจนั่งรอหญิงสาวอยู่ที่โต๊ะ
“ยังไม่กินข้าวอีกเหรอคะคุณย่า”
“ก็รอเราอยู่ สบายตัวสบายใจแล้วก็รีบมานั่ง พี่เขามีงานรออยู่อีกเยอะ”
ดรุณีจำต้องเดินมานั่งที่เก้าอี้ประจำตัวอย่างว่าง่าย อาทิจตักผักผัดให้คุณย่า
“ผัดผักครับคุณย่า”
แก้วหันมามองอาทิจแล้วยิ้มปลื้มใจ
“ขอบใจจ้ะ”
ดรุณีไม่พอใจอาทิจ ตักฝักทองนึ่งให้คุณย่าบ้าง
“ฝักทองนึ่งค่ะ”
“ขอบใจนะ”
แก้วหันมามองดรุณีแล้วยิ้มปลื้มขึ้นไปอีก อาทิจตักปลาทูให้ย่าแดง
“ปลาทูครับคุณย่า ผมเลาะกางให้แล้วครับ”
“จ้ะ”
ดรุณีตักน้ำพริกให้ย่าแดง
“น้ำพริกค่ะคุณย่า”
“เออ...น่ากินดี”
แก้วหันมามองอาทิจและดรุณี ยังยิ้มได้ อาทิจตักผัดสดให้
“ผักสดคู่น้ำพริกครับ”
ดรุณีไม่ยอมแพ้ ตักแกงจืดให้
“แกงจืดด้วยค่ะ ไม่งั้นเผ็ดแย่”
ย่าแดงกับแก้วหันมาสบตากันกลุ้มๆ อาทิจตักไช่เจียวให้
“ไข่เจียวอีกนิดนะครับ”
ดรุณีตักยำถั่วพูให้
“ยำถั่วพูของโปรดคุณย่าค่ะ”
อาทิจเอาช้อนตักไส้อั้วพร้อมดรุณี แถมชิงพูดพร้อมกันอีกต่างหาก
“ไส้อั้วครับ / ค่ะ”
ทั้งคู่ทำท่าจะวางไส้อั้วบนจานคุณย่า แต่แก้วยกมือห้ามไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวค่ะ คือ...น้าแก้วเข้าใจนะคะว่า คุณณีกับคุณอาทิจรักคุณย่ามาก แต่...คือ...คุณย่าไม่ใช่พระวัดป่านะคะ จะได้ฉัน...เอ๊ย รับประทานทุกอย่างรวมอยู่ในจานเดียวกันแบบนี้น่ะค่ะ”
อาทิจกับดรุณี ก้มลงพินิจจานข้าวย่าแดงที่เต็มไปด้วยสารพันอาหารแล้วหน้าเจื่อนไปทั้งคู่ ย่าแดงมองหลานทั้งคู่แล้วแอบถอนใจ แต่ก็เจือด้วยรอยยิ้ม
อาทิจเดินออกมาทางหลังบ้าน โดยมีดรุณีประคองแขนย่าแดงตามมาส่ง
“ช่วงนี้...มื้อเช้ากับมื้อกลางวันผมอาจจะไม่ได้มากินข้าวกับคุณย่านะครับ เพราะอาจจะยุ่งอยู่ที่แปลงผัก จนไม่มีเวลาแวะมา”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องอาหารการกิน ย่าจะให้น้องเอาไปส่งให้ก็แล้วกัน”
ดรุณีจะอ้าปากโวย แต่อาทิจชิงพูดขึ้นซะก่อน
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า ผมกินกับพวกคนงานได้ ให้คุณณีเอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบดีกว่าครับ แล้วถ้าตอนเย็นไม่ติดงานอะไร ผมจะแวะมากินข้าวกับคุณย่าเหมือนเดิม ผมลานะครับคุณย่า”
“ไปเถอะจ้ะ บุญรักษานะพ่อนะ”
ย่าแดงเอามือแตะบ่าอาทิจซึ่งยกมือไหว้ ก่อนจะเดินออกไป ดรุณีซึ่งหมั่นไส้อาทิจเต็มแก่ อดรนทนไม่ไหว พูดไล่หลังชายหนุ่มซึ่งเพิ่งเดินออกไป
“ไม่ต้องมาบงการให้ฉันทำโน่นนี่เลย ฉันรู้หน้าที่ของฉันหรอกน่าว่าต้องอ่านหนังสือ ต้องสอบติดให้ได้ ฉันไม่ยอมให้นายดูถูกฉันหรอก สักวัน...จะเป็นด็อกเตอร์ให้เห็นเป็นบุญตาเลย คอยดู”
ย่าแดงเหล่มองอยู่
“เยอะไปมั้ยแม่ณี ย่ายังไม่เห็นพ่ออาทิจเขาจะบงการอะไรเราเลย คิดเรื่อยเปื่อยไปได้”
ดรุณีหน้าง้ำ
“คุณย่าล่ะก็...เข้าข้างเขาตลอดเลย ใช่สิ...หนูมันไม่มีอะไรดีเลยนี่ ซ่อมรถแทรกเตอร์ก็ไม่ได้ ปลูกผักก็ไม่เป็น นายนั่นเขาเป็นหลานคนโปรด เป็นดาราประจำสวนคุณย่าไปแล้ว ใครๆก็พูดถึงถามถึงแต่เขา”
ขณะเดียวกัน เวทางค์กับวิยะดาวิ่งมาจากทางหน้าบ้าน พร้อมส่งเสียงและยกมือไหว้ย่าแดงมาแต่ไกล
“สวัสดีคร้าบ/ ค่า...คุณย่า”
เมื่อทั้งคู่วิ่งมาถึง ประโยคแรกที่วิยะดาถามก็คือ..
“พี่อาทิจอยู่ไหนคะ”
ดรุณีหันมาสบตาย่าแดงแล้วพูดงอนๆ
“เห็นมั้ยล่ะ”
ดรุณีตะโกนลั่นในใจว่า...
“เซ็งเป็ด”
ตุ๊จูงมือทองประศรีลัดเลาะมาตามสวน ตาก็กวาดหาอาทิจ สักครู่ตุ๊ก็เบิกตาโตเมื่อเห็น อาทิจเดินเข้ามาสั่งงานต๊อด อึ่ง และ พัน
“นั่นไงน้องศรี...คุณอาทิจ”
ทองประศรีดีใจจนเนื้อเต้น
“ไหน...คนไหนพี่ตุ๊”
“ก็คนที่ใส่เสื้อลายสก็อตนั่นไงล่ะ”
ทองประศรีชะเง้อมองเห็นคนงานใส่เสื้อลายสก็อตเดินกันให้ควั่ก รวมทั้งต๊อด อึ่ง พัน และอาทิจซึ่งยืนหันหลังให้ ทองประศรีหันมาหาตุ๊
“คนไหนล่ะพี่ตุ๊ ลายสก็อตเป็นโหล”
ตุ๊โผล่มามอง
“เออ...จริง นั่นไง คนนั้น ที่กำลังพับแขนเสื้อขึ้นน่ะ”
ทองประศรีโผล่มามองเห็นอาทิจ ต๊อด อึ่ง พัน ซึ่งยืนหันหลังให้ กำลังพับแขนเสื้อกันทุกคนเพื่อช่วยกันยกตะกร้าส้มขึ้นท้ายรถกระบะ ทองประศรีงงๆ
“มันถลกแขนเสื้อกันตั้งสี่คนอะพี่ตุ๊”
ตุ๊ถอนใจ โผล่หน้าออกไปดูเห็นอาทิจหันหน้ามาพอดี
“นั่นไง...หันหน้ามาแล้ว”
ทองประศรีรีบเบียดตุ๊ขึ้นมา จนตุ๊กระเด็น หญิงสาวเกือบเห็นหน้าอาทิจ ถ้า ต๊อด อึ่ง พัน ไม่เดินเวียนกันมาบังหน้าชายหนุ่มเอาไว้ ทองประศรีหงุดหงิด
“โธ่เว้ย...ไอ้หมา 3 ตัวนี่ มันจะเป็นมารหัวใจข้าไปถึงไหนวะ”
ไพฑูรเดินออกมาจากแนวส้มด้านหนึ่งตะโกนเรียก
“ไอ้ต๊อด ไอ้อึ่ง ไอ้พันมาดูสปริงเกิ้ลทางนี้หน่อยเร็ว ขอยืมตัวไอ้ สามคนนี่เดี๋ยวนะครับคุณอาทิจ”
อาทิจหันไปมองไพฑูรไม่เต็มตา ภาพบนเตียงยังติดตราตรึงใจ
“เอ่อ...ครับ”
ทองประศรีหันมาตบมือกับตุ๊ ดี๊ด๊าดีใจสุดขีด
“พี่ฑูรของพี่ตุ๊มาถูกเวลาที่สุด ฉันจะได้เห็นหน้าผัวฉันแล้ว”
ตุ๊ดี๊ด๊ากับทองประศรี แต่ก็แอบทำหน้ายี้ใส่
“ผัวเลยเหรอ”
ทองประศรีหันกลับไปมองอาทิจ เห็นอึ่ง พันขยับผ่านอาทิจไปทีละคน จนเหลือต๊อดเป็นคนสุดท้าย ต๊อดขยับจะเดินออก อีกเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ทองประศรีก็จะได้เห็นหน้าอาทิจสมใจ แต่เสี้ยววินาทีนั้นก็มาไม่ถึงเมื่ออาทิจหันหลังให้หญิงสาวไปตามเสียงเรียกของวิยะดา ที่วิ่งมาเกาะแขนชายหนุ่ม โดยมีดรุณี ย่าแดงและเวทางค์ตามหลังมา
“พี่อาทิจคะ”
ทองประศรีผิดหวังอย่างรุนแรง
“ใครวะ”
“จะใครก็ช่างเถอะ เรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่าน้องศรี เพราะถ้าคุณย่าเห็นเราสองคนล่ะก็ เราไม่ได้โผล่มาที่นี่อีกแน่ๆ ไป...เร้ว”
ตุ๊ไม่ฟังเสียงรีบฉุดกระชากลากถูทองประศรีออกไปทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
บนถนนลูกรัง ทางเชื่อมระหว่างสวนย่าแดง กับหมู่บ้านเวิ้งว้างยาวสุดลูกหูลูกตา ทองประศรีเดินหงุดหงิดเหวี่ยงแขนขามาตามทาง โดยมีรถกระบะคันหนึ่งแล่นทิ้งท้ายอยู่ห่างๆ
“จะมีผัวดีๆรวยๆกับเขาสักคน ทำไมมันยากเย็นนักวะ อุตส่าห์แต่งตัวมายั่วแทนที่ว่าที่ผัวจะได้เห็น จะได้เอารถติดแอร์มาส่งให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง ดูซี้...ต้องมาเดินเหงื่อตกกลับบ้านคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจเหมือนเดิม เบื่อๆๆๆๆ”
รถกระบะแล่นเข้ามาใกล้รถคันนั้นเต็มไปด้วยสารพัดของใช้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อันได้แก่เสื้อผ้าหญิง ชาย ถังพลาสติก ปืนฉีดน้ำ เข็มขัด หมวก รองเท้า สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน
ทองใบ วัย 35 ปีค่อยๆเลื่อนกระจกรถลง กำลังอ้าปากถามทางทองประศรี แต่เธอไม่ทันเห็นทองใบเพราะไม่สนใจ และกำลังหงุดหงิดกับเรื่องโชคชะตาของตัวเอง เธอยังพล่ามต่อ
“โอ๊ย...อยากมีผัว” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า “ฟ้าช่วยส่งผัวดีๆ มาให้ลูกสักคนได้มั้ย”
ทองใบได้ยินที่หญิงสาวตะโกนเต็มสองรูหู
“เอ่อ...คุณผู้หญิงครับ”
ทองประศรีชะงักหันมามอง พอเห็นหน้าตาคมสันของทองใบแล้วอายเหมือนกันที่ร้องหาผัวให้เขาได้ยิน
“ไม่ทราบเข้าหมู่บ้านไปทางไหนครับ”
“เอ่อ...ขับตรงไป เจอแยกแรกแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านไปตามโค้งจนเจอแยกที่ 2 เลี้ยวขวาก็ถึงแล้วค่ะ”
“แล้วคุณผู้หญิงจะไปไหนครับ”
“ก็จะกลับเข้าหมู่บ้านน่ะค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปด้วยกันสิครับ” ทองใบลงมาเปิดประตูให้ทองประศรี “เชิญครับ...คุณผู้หญิง”
ทองประศรีแอบพึมพำตาวาว
“คุณผู้หญิง”
ทองประศรีหันไปยิ้มให้ทองใบ
“ขอบคุณนะคะ”
ว่าแล้วทองประศรีก็เยื้องกายขึ้นไปนั่งบนรถ และวางท่าหงส์เหิรราวกับได้เป็น คุณผู้หญิง จริงๆ ทองใบยิ้มเจ้าเล่ห์ ไปพร้อมๆกับจินตนาการเห็นร่างอันล่อนจ้อนของหญิงสาวแล้วคิดในใจ...เสร็จกูแน่
ย่าแดงอยู่ตรงกลาง โดยมีวิยะดาเกาะแขนอาทิจขนาบข้าง และดรุณีกับเวทางค์ขนาบข้างอีกด้าน ทั้งหมดเดินคุยกันมาตามทางเดินในสวน
ระหว่างที่เดินคุยกัน ย่าแดงจะหยุดเด็ดใบเสีย หรือส้มที่ขึ้นเบียดกันออกเป็นระยะๆ ตามประสาชาวสวนที่มีจิตวิญญาณเป็นชาวสวนแท้ๆ รู้จริงและลงมือทำจริงๆ โดยอาทิจและดรุณีก็ทำตาม คนหนึ่งเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนมาแบบนั้น ส่วนอีกคนเป็นความเคยชินที่เห็นย่าแดงทำมาตั้งแต่เกิด ในขณะที่เวทางค์และวิยะดาได้แต่คุยจ้อและยืนมองเฉยๆ
“เรียนจบแล้ว เราอยากจะทำงานอะไรกันบ้างล่ะ ตาเวอยู่ปี 2 แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครับ ผมเรียนมาทางรัฐศาสตร์ก็อยากเป็นผู้ว่าฯแบบพ่อครับ โก้ดี”
ย่าแดงพยักหน้ารับรู้
“ก็ดี...แล้วแม่วิล่ะ”
“วิอยากเป็นแอร์โอสเตสค่ะคุณย่า วิอยากเห็นโลกกว้าง อีกอย่างวิก็ชอบช้อปปิ้ง ถ้าได้ไปถึงแหล่งผลิตโดยไม่เสียค่าตั๋ว วิจะช้อปให้มันสะใจไปเลย”
ย่าแดงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองอาทิจและดรุณี
“ แล้วเราสองคนล่ะ”
อาทิจกับดรุณีตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“อยากเป็นแบบคุณย่าครับ / ค่ะ”
อาทิจกับดรุณีชะโงกหน้ามามองกันแวบหนึ่งแล้วก็เมินหนีกันก่อนที่อาทิจจะพูดขึ้นก่อน
“คุณแม่สอนผมให้ปลูกผักเป็นตอนอายุ 6 ขวบ ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่คิดที่จะทำอะไรอย่างอื่น นอกจากการทำงานกับผืนดิน เป็นเกษตรกร”
“หนูอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เกิด เห็นคุณย่าทำงานมาตลอด หนูเลยตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยงานคุณย่า ซึ่งความคิดนี้เกิดก่อนที่หนูจะอายุ 6 ขวบแน่นอนค่ะ”
“เอาเถอะ ความคิดใครจะเกิดก่อนเกิดหลังไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราได้ทำตามความคิดของเรารึเปล่า หลานๆอายุยังน้อย ยังมีเวลาใคร่ครวญ ลองผิดลองถูกกับงานที่เราจะยึดเป็นอาชีพไปจนวันตายอีกนาน”
วิยะดาส่งสายตาหวานให้อาทิจ
“ได้ยินพี่อาทิจพูดอย่างนี้แล้ว วิชักอยากเป็นชาวสวนกับเขาบ้าง”
ย่าแดงมองหน้าหลานๆ
“เราจะเป็นชาวสวน เป็นนักธุรกิจ เป็นแม่ค้า เป็นช่างเย็บเสื้อ เป็นผู้ว่าฯ เป็นแอร์โฮสเตส เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เราทำงานที่สุจริต ไม่เบียดเบียนใคร และทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ อย่างรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังทำ และทำอย่างสุดกำลังด้วยความรัก ย่าเชื่อว่าเราก็จะเติบโตเป็นกำลังของประเทศชาติได้อย่างงดงาม ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาเป็นชาวไร่ชาวสวนกันหมดหรอกลูก”
“แต่หนูอยากเป็น หนูจะเป็นอย่างคุณย่า” ดรุณียืนยันหนักแน่น
ทันใดนั้นเวทางค์ก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ผมอยากเป็นอย่างน้องณี”
วิยะดาก็เหมือนกัน
“วิก็อยากเป็นอย่างพี่อาทิจ”
ย่าแดงยิ้มๆ
“เอ้า...ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู”
ย่าแดงหันไปมองอาทิจคล้ายเป็นการส่งไม้ให้ชายหนุ่ม อาทิจแอบงง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเหรอ
ทองประสานและทองประสมถลันเข้าไปหาสิงห์ทอง ที่ถือขวดเหล้าเดินเมาแอ๋เข้ามา พร้อมกับแหกปากร้องเพลงเหล้าจ๋าของ สุชาติ เทียนทองดังลั่น
“โอ้เหล้าจ๋าไหนลองหันมายิ้มหน่อยสิ ยิ้มซิๆที่รักยิ้มนานๆ อย่าด่วนใจดำทำรำคาญ
ฉันจะแต่งงานกับเธอใต้แสงเดือน”
ทองประสมรีบเข้าไปเตือน
“เบาๆสิพ่อ เอาขวดเหล้ามาซ่อนก่อน แม่กลับมาแล้วนะ เดี๋ยวก็ได้โดนด่าข้ามคืนหรอก”
สิงห์ทองท้าทาย
“ข้ากลัวแม่เอ็งเหรอ”
คำมาก้าวเข้ามายืนเท้าเอวตัวใหญ่ยักษ์ แถมยังตีหน้ายักษ์อีกต่างหาก
“ตาสิงห์ทอง แกไปเมาหัวราน้ำที่ไหนมาเป็นอาทิตย์”
“แล้วแม่คำมาล่ะจ้ะ ไปเล่นไพ่ที่ไหนมา เพลินจนลืมลูกลืมผัวเลยนะ”
“ยังจะกล้ามาต่อปากต่อคำอีก ฉันเล่นไพ่แล้วมันหนักกะบาลแกรึไงหา”
คำมาเอามือบิดหูสิงห์ทองเป็นเลขแปด สิงห์ทองร้องโอดโอย
“โอ๊ย...อู๊ย...ปล่อยนะแม่คำมา...นังคำมา...ปล่อย “ อีกอึดใจเดียวหลังจากนั้น “กูบอกให้ปล่อย...อีคำมา”
ทั้งคู่ปล้ำยื้อกันไปมา ทองประสานตะโกนห้าม
“พ่อแม่...เลิกทะเลาะกันได้แล้ว มีคนมา”
สิงห์ทองกับ คำมาชะงักกึก หันไปมอง รถทองใบแล่นเข้ามาจอด ทองประศรีก้าวลงจากรถแล้วหันไปโบกมือบ๊ายบาย ทองใบโบกมือบ๊ายบายกลับก่อนจะขับรถผ่านร้านไป สิงห์ทอง คำมา ทองประสาน ทองประสม มองทั้งคู่เป็นตาเดียว
“ผัวเอ็งเหรอนังศรี” คำมาถามเสียงเข้ม
ทองประศรีหน้ามุ่ย
“แม่ก็...ผัวเผอที่ไหน คนเพิ่งรู้จักกัน เขาจะเข้ามาที่หมู่บ้านเรา ก็เลยให้ฉันอาศัยมาด้วย”
สิงห์ทองมองอย่างสงสัย
“แล้วเอ็งไปไหนมา”
“ก็ไปหาผัวไงจ๊ะพ่อ แต่พ่อกับแม่ไม่ต้องกลัวนะ คนอย่างฉันไม่ใฝ่ต่ำไปมองไอ้พวกขี้เหล้า เศรษฐีธรรมดาฉันก็ไม่เอา ระดับฉันต้องหลานคุณย่าเท่านั้น”
คำมางงๆ
“คุณย่าไหน คุณย่าแดงน่ะเหรอ เอ็งเลิกฝันล้มๆแล้งๆเถอะว่ะ หลานคุณย่าคนไหนจะเอาแม่ค้าอย่างเราทำเมียวะ”
“เถอะน่า...พ่อกับแม่คอยดูก็แล้วกัน”
ทองประศรีจิกตา อย่างมาดมั่นว่ายังไงผัวฉันก็ต้องชื่ออาทิจ คนเดียวเท่านั้น
อาทิจยืนสาธิตวิธีการเพาะกล้าผักให้ย่าแดง ดรุณี เวทางค์และวิยะดาดู
“วัสดุที่ใช้ก็จะมีแกลบเผา3 ส่วน ดิน 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน นำวัสดุทั้งหมดมาผสมกัน จากนั้นก็เอาไปใส่ในกระบะเพาะขนาด 6 x 17 ช่องแบบนี้ ซึ่งจะเพาะได้ประมาณ 108 ต้น ถ้าเป็นกะบะโฟมจะเพาะได้ 90 ต้น โดยใช้ไม้จิ้มลงไปที่กลางหลุมเพื่อหยอดเมล็ดผักลงไป 1 เมล็ด แล้วกลบปิดด้วยวัสดุเพาะบางๆครับ”
เวทางค์เบ้หน้า
“อีซี่ม๊าก”
วิยะดาถามเคลิ้มๆ
“แล้วยังไงต่อคะพี่อาทิจ”
“เราก็นำกระบะเพาะไปวางไว้ในที่ร่มรำไร หรือในโรงเรือนแล้วรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 2 ครั้ง เช้ากับบ่ายแก่ๆ รอสัก 3-5 วัน ผักก็จะงอกอย่างที่เห็น พอครบ 15-20 วัน ก็สามารถย้ายกล้าไปปลูกในแปลงดินที่เราเตรียมไว้ได้เลยครับ”
เวทางค์ยิ้มโอ่
“ผมคิดว่าเป็นชาวไร่ชาวสวนมันจะยาก ปอกกล้วยเข้าปากยังยากกว่าปลูกผักอีก นะครับเนี่ย”
ย่าแดงขัดขึ้น
“นี่มันขั้นตอนของการเตรียม พอลงมือปลูกเข้าจริงๆมันยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายอย่างที่ชาวสวนต้องดูแล เช่น การใส่ปุ๋ย ฉีดยาฆ่าแมลง ยิ่งถ้าเราไม่ใช้ประเภทที่เป็นสารเคมี เราก็ต้องทำเองหมักเอง อย่างที่พ่ออาทิจทำ”
เวทางค์ยังโอ่ไม่เลิก
“มันก็ไม่น่ายาก”
ดรุณีอดไม่ได้
“ไม่ยากค่ะ ไปดูหน้าตามันก่อนมั้ยคะพี่เว”
เวทางค์หันยิ้มให้ดรุณี
“ไปสิจ๊ะน้องณี...ดีไม่ดีจะได้ช่วยนายอาทิจหมักเพิ่มสักถังสองถัง”
อาทิจซึ้งในความเวอร์ของเวทางค์ ในขณะที่ดรุณีอมยิ้มเหมือนมีเรื่องสนุกอยู่ในใจ
ทุกคนเดินเข้าไปยังถังหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพ เวทางค์ชี้ไปที่ถังหมักซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ 3-4 ถังใหญ่ ก่อนจะหันไปถามอาทิจ
“นั่นถังหมักปุ๋ยใช่มั้ย”
“ครับ”
“ไหน...ดูหน้าตาหน่อยซิ”
ย่าแดงและอาทิจอ้าปากจะเตือนเวทางค์แต่ไม่ทัน...เวทางค์เปิดฝาถังน้ำหมักขึ้นซะก่อนแล้วชะโงกหน้าลงไป ชายหนุ่มก็ทำหน้ายี้เหยเกเหมือนหน้าตัวเองปักลงบนขี้ เวทางค์วิ่งไปอ้วกแตกอีกมุม ในขณะที่วิยะดารีบเอามือปิดจมูก แล้วทำท่าพะอืดพะอมเหมือนจะรากแตกตามพี่ชาย ดรุณีแอบขำ
“อื้อ...ทำไมมันเหม็นเน่ายังกับขี้ เอ๊ย...อุจจาระอย่างนี้ล่ะ จมูกรับกลิ่นนายเสียเหรอนายอาทิจ ถึงได้ทนทำอะไรเหม็นๆอย่างนี้ได้ ปุ๋ยเคมีมีออกเยอะแยะ ทำไมไม่ใช้มาทนดมกลิ่นอุจจาระเน่าๆอย่างนี้ทำไม”
ย่าแดงส่ายหน้า
“ถ้าเราใช้ปุ๋ยเคมีแล้วล้างผักไม่สะอาด สารเคมีก็จะตกค้างอยู่ในตัวเรา กลายเป็นฆาตกรฆ่าเราทางอ้อมได้ แต่ปุ๋ยชีวภาพมันไม่มีอันตราย ไม่ทำให้เราตาย”
“ไม่ตายแต่มันเหม็นครับคุณย่า เหม็นขนาดนี้ใครจะกินลง”
“สมัยก่อนไม่มีปุ๋ยเคมี เราก็ใช้ขี้วัวขี้ควายนี่ล่ะทำปุ๋ย”
เวทางค์ตกใจ
“ขี้วัวขี้ควาย โอ้...มาย ก็อด แล้วใครจะกล้ากินครับ มันดู...อี๊ยย...โลว์มาก”
“ก็ย่านี่แหละที่กินมาตั้งแต่ยังสาว ยิ่งพ่อเรายิ่งชอบกิน เรียกว่าโตมากับขี้วัวขี้ควายเลยล่ะ”
ดรุณียิ้มๆก่อนจะบอก
“ผักที่คุณย่าฝากไปให้พี่เวกับวิกินบ่อยๆ ก็ซื้อจากสวนที่ใช้ขี้วัวขี้ควายทำปุ๋ยทั้งนั้น”
อาทิจเสริม
“รวมทั้งส้มที่คุณสองคนเด็ดกินที่สวน ก็ใช้ปุ๋ยที่ทำจากขี้วัวขี้ควายครับ”
เวทางค์กับวิยะดาหันมาทำหน้าเหยเก เหมือนอยากตายใส่กัน ดรุณีกับอาทิจต่างคนต่างขำ แต่เมื่อหันมาสบตากันโดยบังเอิญ ต่างคนต่างก็ขำค้างก่อนที่จะหลบตา
แล้วค่อยๆเมินหน้าหนีไปคนละทางอย่างเก้อๆ
ย่าแดงเดินนำทุกคนมาตามทางเดินในสวนส้ม เวทางค์และวิยะดาต้องเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากขย้อนจะอ้วกเป็นระยะ เพราะกลิ่นน้ำปุ๋ยชีวภาพยังติดจมูกอยู่ไม่หาย อาทิจหันไปบอกย่าแดง
“เดี๋ยวผมจะแวะไปดูสตรอเบอรี่ที่สวนให้นะครับคุณย่า”
“เออ...ดี ย่าไปด้วย” ย่าแดงหันไปสั่งดรุณี “แม่ณีพาพี่เวกับแม่วิกลับไปพักที่บ้านก่อนก็แล้วกัน”
“คุณย่ารอหนูแป๊บนะคะ หนูไปส่งพี่เวกับวิแล้วหนูขอตามไปด้วย ไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว”
เวทางค์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบบอก
“ถ้าน้องณีไป พี่ก็ไป”
วิยะดารีบบอกบ้าง
“ถ้าพี่อาทิจไป วิก็ไปด้วยนะคะคุณย่า”
อาทิจเหนื่อยใจ
“แต่มันค่อนข้างไกลจากที่นี่นะครับคุณวิ ทางไปก็ลำบาก”
ดรุณีเสริม
“แล้วก็ร้อนมากด้วยค่ะพี่เว”
เวทางค์ทำแข็งขัน
“พี่ไม่กลัวหรอกจ้ะ มีน้องณีอยู่ด้วย พี่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
อาทิจชะงักอึ้ง ดรุณีบังเอิญหันไปมองอาทิจ ชายหนุ่มเกลี่ยหน้าเป็นปกติ และเลี่ยงมองไปทางอื่นทันที
ทองใบมาที่ร้านทองประศรี เมื่อรู้ว่าสิงห์ทองและคำมา เป็นพ่อแม่ของเธอก็รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทองประศรีแนะนำ
“พี่เขาชื่อทองใบจ้ะ”
ทองใบยิ้มแย้ม
“ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
สิงห์ทองเก๊กๆท่าทางโอ่ๆ
“เออ...ไปต่างบ้านต่างเมือง ต้องรู้จักมาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนี้ถึงจะถูก”
คำมามองกระบะรถของทองใบแล้วเปรย
“ขายสากกะเบือยันเรือรบเลยนะ”
ทองใบพูดเสียงหวานเจี๊ยบ
“ครับ...คุณนาย”
ทองประสานกับ ทองประสมถือกระติ๊บข้าวเหนียว ส้มตำ แกงอ่อมออกมาพร้อมผักสด คำมายิ้มฮิฮะที่ทองใบเรียกตนเองว่า คุณนาย เลยชวนกินข้าว
“กินข้าวด้วยกันสิ บ้านนี้กินไม่เป็นมื้อหรอกนะ ว่างเมื่อไหร่ก็กินเมื่อนั้น” คำมาตักแกง
อ่อมชิม “อ่อนเค็มไปนะนังสม”
ทองใบคว้าเป้ที่วางอยู่ข้างตัวแล้วหยิบขวดเกลือขึ้นมา
“เกลือครับคุณนาย ไอโอดินเข้มข้น 100 % กินแล้วไม่เป็นคอหอยพอก แถมทำ
ให้รสชาติอาหารกลมกล่อมขึ้นด้วยครับ”
คำมารับเกลือมาเยาะใส่แกงแล้วชิม
“เออ...อร่อยขึ้นแฮะ ชิมดูสิตาสิงห์”
“กินเถอะแม่มึง หมู่นี่กินอะไรไม่ค่อยลง กินได้ก็นิดๆหน่อยๆเลยพาลไม่อยากจะกิน”
ทองใบหยิบขวดยาดองเหล้าจากในเป้ขึ้นมา
“ถ้างั้น...ต้องนี่เลยครับ ยาดองเหล้าตราสิงห์14 ตัว ใช้กินก่อนอาหารวันละกรึ้บสองกรึ้บ จะทำให้คุณผู้ชายอยากกินข้าว เจริญอาหาร สดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชา กล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัดๆครับ”
“ไหน...มาลองซิวะ” สิงห์ทองยกขวดยาดองขึ้นซด “เออ...ร้อนฉ่าเลยเว้ย อย่างนี้ต้องตามด้วยข้าวเหนียวกับแกงอ่อมร้อนๆ”
ทองประศรีหันไปแซว
“แหม...เจริญอาหารทันตาเห็นเลยนะพ่อ”
“เออ...ถ้ามันสดชื่น มีกำลังวังชา กล้ามขึ้นเป็นมัดๆอย่างที่ไอ้หนุ่มนี่อวดสรรพคุณด้วยล่ะก็...คืนนี้พวกเอ็งอาจจะได้น้องเพิ่มอีกคนก็ได้เว้ยเฮ้ย”
ทุกคนนั่งจกข้าวเหนียวกินกันอย่างเมามันไป หัวเราะขำสิงห์ทองไป คำมาทำค้อนน่ารัก
“บ้าเหรอตาสิงห์ แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้ว” คำมาหันไปหาทองใบ “นี่...มียาอะไรให้นังสานกับนังสมกินมั้ยวะ นังสองคนนี่มันกินข้าวเก่งจัง แต่ดูตัวมันสิ ผอมยังกะไม้เสียบไก่ เป็นผู้หญิงมันต้องมีน้ำมีนวล ผู้ชายถึงจะเอาไปทำเมีย”
“มีครับคุณนาย ยานี่ผมต้องเอาติดตัวไว้ตลอด เวลามาต่างจังหวัดไกลๆขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยครับ”
ทองประสานหน้าเริ่ดตื่นเต้น
“ยาอะไรพี่ ชักอยากกินแล้วสิ”
ทองประศรีขึงตาใส่
“อยากมีผัวว่างั้นเถอะ” ว่าแล้วทองประศรีก็หันมาจ๊ะจ๋ากับทองใบ “ไหนจ๊ะ...ยาอะไร”
ทองใบเอามือล้วงยาออกมาจากเป้ 2 ขวด
“ยาฆ่าพยาธิเส้นด้าย กับพยาธิปากขอครับ”
ทุกคนที่กำลังกินข้าวอย่างเมามัน อ้าปากค้าง ข้าวคามือคาปาก
“ผมมีตัวอย่างพยาธิ 2 แบบนี้ดองเก็บไว้ด้วย เดี๋ยวผมเอาให้ดูนะครับ เผื่อน้องสาวจะพอนึกออกว่าเคยเจอหน้าตามันมั้ย”
ทองใบหยิบเป้ขึ้นมาทำท่าจะเปิดล้วง ทุกคนยกมือห้ามโดยพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้อง!”
สิงห์ทองพะอืดพะอม
“โอ๊ย...กูจะอ้วก”
ทองประศรีต่อว่า
“นั่นสิ นี่พี่ไม่มีอะไรที่เจริญหูเจริญตามาขายบ้างเลยเหรอ”
“มีสิครับ นี่ไง”
ทองใบเอามือล้วงลงไปในเป้ ทุกคนยกมือร้องเสียงหลงอีกครั้ง
“อย่า!”
ทองใบยิ้ม
“ไม่ใช่พยาธิดองครับ แต่นี่เป็นโบชัวร์ IPOD แล้วก็ BBราคาประหยัด สนใจสั่งได้นะครับ”
ทองใบยื่นโบชัวร์ให้ทองประศรี หญิงสาวรับมาดูแล้วพบว่ามีกระดาษที่พับเป็นจดหมายเล็กๆ ซึ่งจ่าหน้าเป็นชื่อเธอ ซ่อนอยู่ใต้โบชัวร์นั้น ทองประศรีหันไปสบตาทองใบ ในขณะที่ชายหนุ่มส่งตาวาวเป็นประกายและยิ้มเจ้าเสน่ห์มาให้
ในไร่สตรอเบอรี่...ย่าแดง ดรุณี อาทิจ เวทางค์ วิยะดา เดินลงมาตามแปลงสตรอเบอรี่ที่ตั้งลดหลั่นไปตามหุบเขา เวทางค์กับ วิยะดาเดินปาดเหงื่อตามหลังคนอื่นๆมา อาทิจหันมาถามย่าแดง
“สตรอเบอรี่ที่ปลูกที่นี่ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์อะไรครับคุณย่า”
“พันธุ์พระราชทาน 60 , 72 , แล้วก็ พันธุ์พระราชทาน 80 จ้ะ”
ดรุณีถามบ้าง
“แต่ละพันธุ์ มันต่างกันยังไงคะ”
“พันธุ์พระราชทาน 80 เป็นพันธุ์ที่ต้องปลูกในที่สูงเกิน 800 เมตร ขึ้นไป เลยเหมาะกับที่นี่ ลูกมันก็จะเป็นเหมือนกรวยปลายแหลม ลูกใหญ่ ดก สีแดงสวย แล้วก็มีกลิ่นหอม รสชาติหวานมาก ถูกปากคนไทย”
ย่าแดงอธิบายเสร็จก็เด็ดให้หลานๆดูและให้ลองชิม ดรุณีแกล้งอาทิจโดยการโยนคำถามใส่เพราะคิดว่าตอบไม่ได้แน่ๆ
“แล้วที่เหลืออีก 2 พันธุ์ ล่ะคะ คุณอาทิจ พอจะแบ่งปันความรู้ให้เราได้บ้างมั้ยคะ”
อาทิจถอนใจรู้ว่าโดนลองภูมิ
“พันธุ์พระราชทาน 72 ลูกจะเล็ก สีแดง รสชาติไม่หวานจัด ส่วนพันธุ์พระราชทาน 60 เป็นพันธุ์ที่มีลูกใหญ่ ดก สีแดงสด รสชาติออกเปรี้ยวนิดหนึ่ง แต่มีกลิ่นหอม ที่พิเศษคือลูกมันจะคล้ายๆรูปหัวใจ น่ารักมาก”
วิยะดากรี๊ดสติแตก
“อ๊าย...สตรอเบอรี่รูปหัวใจ” วิยะดายกมือประกบเป็นรูปหัวใจแบบเกาหลี “ไอ เลิฟ ยู แบบนี้รึเปล่าคะพี่อาทิจ” วิยะดาทำปากจู๋...ทำเหมือนจะบอกรักเขาตรงๆ “ไอ เลิฟ ยู ฮู...ฮู”
อาทิจอึ้งกับลีลาก๋ากั่นของวิยะดา
“เอ่อ...ก็...คะ...คล้ายครับ คล้าย...”
ย่าแดงมองหลานชายอย่างชื่นชม
“ความรู้รอบตัวเราดีเหมือนกันนี่ พ่ออาทิจ”
ดรุณีหมั่นไส้
“ท่องเอามากกว่า”
วิยะดารีบแย้ง
“อย่างน้อยความจำก็ต้องดีล่ะณี ไม่งั้นจะจำได้ยังไง...จริงมั้ยคะพี่อาทิจ”
อาทิจส่งยิ้มเก้อๆให้วิยะดา เวทางค์หมั่นไส้อาทิจที่เก็บคะแนนนิยมจากย่าแดงไปเต็มๆ จึงพยายามอวดภูมิประจบย่าแดงบ้าง
“คุณย่าเก่งจังเลยนะครับ หว่านเม็ดสตรอเบอรี่ซะเต็มเขาเลย คงจะเหนื่อยน่าดู”
ย่าแดง อาทิจ ดรุณี ยิ้มขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ย่าแดงหันไปบอกเวทางค์
“ไม่มีใครใช้วิธีหว่านเมล็ดกันหรอก เขาใช้ไหลสตรอเบอรี่ปลูกจ้ะ”
เวทางค์อึ้ง
“หา...หน้าตาเป็นยังไงครับ”
“ไหลสตรอเบอรี่ก็คือ ส่วนที่งอกออกมาจากต้นสตรอเบอร์รี่ในแปลงที่ปลูกนี่ล่ะจ้ะ ชาวสวนบนที่ราบเขาต้องเก็บไหลมันมาปลูกบนดอยสูงๆ ตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป เพราะอากาศที่หนาวเย็นในตอนกลางคืนและช่วงกลางวันที่สั้น จะช่วยให้สร้างตาดอกได้เร็ว ดอกออกแล้วค่อยเอาไปปลูกบนที่ราบอีกที แต่สวนเราอยู่บนที่สูงอยู่แล้ว ขั้นตอนก็เลยไม่วุ่นวายมากเหมือนสวนบนที่ราบ”
อาทิจหันไปถามย่าแดง
“ที่ผมได้ยินมาคือ ไหลที่ได้จากต้นเดิมแล้วย้ายหรือนำไปเพาะต่อในถุงพลาสติกมันจะสมบูรณ์ไม่เท่ากันใช่มั้ยครับ เห็นว่าบางต้นก็เล็ก รากไม่แข็งแรง แล้วก็ธาตุอาหารต่ำเพราะขึ้นอัดแน่นจนเกินไป ถ้ามีปัญหาอย่างนั้น เราน่าจะหันมาลองเพาะเนื้อเยื่อดูบ้างนะครับคุณย่า”
ย่าแดงยิ้มอย่างเห็นด้วย
“ย่าก็ว่าจะลองดูเหมือนกันจ้ะ ก็ต้องอาศัยรุ่นหลานๆนี่ล่ะ ทดลองทำกันต่อ”
เวทางค์เสนอหน้าทันที
“ได้เลยครับคุณย่า ผมชอบกินอยู่แล้วสตรอเบอรี่ มีให้กินทั้งปีอย่างนี้ ผมชอบ”
ดรุณีขัดขึ้น
“เขาเก็บได้เฉพาะเดือนตุลาฯ พอถึงเมษาฯก็ไม่มีให้เก็บแล้วค่ะพี่เว”
เวทางค์ชะงัก
“อ้าว...แล้วน้ำสตรอเบอรี่ปั่นที่พี่สั่งกินได้ทั้งปีล่ะ”
วิยะดากุมขมับ
“ปัดโธ่...พี่เว นั่นมันสตอเบอรี่ที่เขาฟรี๊ซเก็บไว้ขาย เรื่องง่ายๆแค่นี้สงสัยทำไมเนี่ย ถามอย่างนี้ วิอายนะเนี่ย ทั้งร้อนทั้งอายเลยล่ะ”
วิยะดาเอาหมวกโบกกระพือลม เวทางค์เอามือปาดเหงื่อ ร้อนก็จริงแต่อายที่โดนน้องตอกกลับชนิดไม่ไว้หน้ามากกว่า
ย่าแดง อาทิจ ดรุณี ต่างอมยิ้ม ทั้งขำทั้งเอ็นดูในความไม่รู้เอาซะจริงซะจังของเวทางค์
โปรดติดตามตอนต่อไป