อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 9
ภวัตชายหนุ่มผู้ถูกสองยายหลานพูดถึง กำลังลืมตาขึ้น แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบห้อง จังหวะนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภวัตสะดุ้งเฮือกด้วยกำลังใช้ความคิด
ภวัตปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอื้อมมือไปหยิบมา ภวัตถอนหายใจนิดหนึ่งเมื่อเห็นชื่อ แล้วกดรับสาย
“คุณบุษถึงบ้านแล้วหรือครับ”
บุษบาอยู่ที่บ้าน และยังอยู่ในชุดเดิม ขณะคุยมือถือน้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ
“มาถึงตั้งเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ บุษรอว่าเมื่อไหร่ภวัตจะโทร.มาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็ไม่มีเลย” บุษบาสะอื้นเล็กๆ “บุษเสียใจ เสียใจเหลือเกิน”
ภวัตรับฟังด้วยสีหน้ายุ่งยากลำบากใจ “ผมขอโทษ”
“คุณใจร้าย คนบ้านคุณก็ใจร้าย เอาหนอนมาให้บุษกิน ...อย่าบอกนะคะว่าบุษตาฝาด เพราะบุษยังยืนยันว่าไม่ใช่แน่ อีกทั้งสติสัมปชัญญะก็ครบถ้วนบริบูรณ์ บุษ บุษไม่ไหวแล้ว”
บุษบาร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอีกชุด
“คุณบุษ”
“แค่นี้ละค่ะ ถ้าบุษทำให้ภวัตรำคาญละก็ ต้องขอโทษด้วย แต่บุษไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ”
บุษสะอึกสะอื้นส่งท้าย แล้วปิดโทรศัพท์ไป
“เดี๋ยวครับ”
ภวัตถอนใจเฮือก แล้ววางโทรศัพท์ในมือลง
ไชยกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ครู่ต่อมาบุษบาซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน สวมทับด้วยเสื้อคลุมเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างพี่ชาย ไชยชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถามขึ้น
“หายโศกเศร้าโศกาอาดูรแล้วเรอะ
“ค่ะ ทีนี้ก็เหลือแต่ความแค้น” บุษบาบอกพี่ชาย
“ตอนกลับมา เห็นร้องไห้จะเป็นจะตาย”
“พี่ไชยคิดว่า นังแนนนี่มันมีคุณไสยหรือเปล่าคะ” บุษบาถามขึ้น เพราะยังแปลกใจไม่หาย
“ไม่” ไชยตอบพลางหัวเราะร่วน
“แต่บุษเห็นหนอนเต็มชามจริงๆ สาบานได้ว่าตาไม่ได้ฝาดด้วย”
“มันเป็นไปไม่ได้” ไชยไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง
บุษบานิ่งคิดครู่หนึ่ง
“บุษรู้แล้วว่าจะทำยังไง”
สีหน้าบุษบาเวลานี้ ฉายแววมั่งมั่นและหมายมาดเอาจริงผ่านดวงตาชัดเจน
บุษบาแอบมานั่งจิบกาแฟหลบมุมอยู่ พร้อมกับเปิดนิตยสารแฟชั่นไฮโซดูฆ่าเวลา สลับกับมองไปที่ประตูร้าน
จังหวะนั้นมีคนที่พักในคอนโดฯ แห่งนั้น 2-3 คน เดินคุยกันเข้ามา แล้วตรงไปสั่งกาแฟและขนมอย่างคุ้นเคย พร้อมกับเดินไปนั่งรอ
บุษบาชำเลืองมองนาฬิกา แล้วถอนใจเบาๆ สีหน้าหงุดหงิดบ่นพึมพำกับตัวเอง
“หวังว่าสายสืบของพี่ไชยคงรายงานไม่ผิดนะ”
ไม่นานหลังจากนั้นประตูร้านเปิดออก ปีเตอร์เดินเข้ามา แล้วตรงไปสั่งกาแฟและขนม โดยไม่ทันได้มองบุษบา ในมือปีเตอร์ถือโน้ตบุ๊คมาด้วย คาดว่าน่าจะทำรายงาน
บุษบาเพ่งมองนัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินกรีดกรายมาหยุดตรงหน้าปีเตอร์ซึ่งกำลังเปิดโน้ตบุ๊ค พลางกระแอมเล็กๆอย่างมีจริต
“อะแฮ้ม”
ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วร้องโวยลั่น “ผีหลอก”
ทุกคนในร้านพากันหันมามองโต๊ะปีเตอร์เป็นตาเดียว บุษบารีบทรุดตัวลงนั่งด้วยความตกใจแกมไม่พอใจ
บุษบารีบกลบเกลื่อนอารมณ์เหล่านั้น “แหม ผีเผอที่ไหนคะ บุษบาต่างหาก”
“เจ๊มาสิงที่นี่ได้ยังไง” ปีเตอร์ถาม
“พูดจาน่าเกลียด สิงเสิงอะไร พอดีเพื่อนฉัน เขาอยู่แถวนี้เลยนัดมาเจอ” บุษบาตอแหล
“แล้วทำไมไม่ไปเจอ”
“เขาเกิดมีธุระด่วนขึ้นมาน่ะซิ ฉันก็เลยนั่งจิบกาแฟ ไม่นึกเลยว่าจะเจอเธอ” บุษบาเว้นวรรคทิ้งช่วงนิดหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ขอนั่งด้วยคนนะ”
“ผมต้องทำงานส่งอาจารย์ ต้องการความสงบ”
“ฉันจะเงียบให้เหมือนป่าช้าเลย” บุษบาว่า
ปีเตอร์ไม่สนขยับตัวลุกขึ้นจะเดินออกไป
“จะไปไหนล่ะ” บุษบารีบถาม
“ไหนว่าจะเงียบเป็นป่าช้าไง” ปีเตอร์เว้นนิดนึง “ผมลืมของ จะกลับไปเอา”
ปีเตอร์พูดแล้วเดินออกไปทันที บุษบามองตาม ด้วยสีหน้าปลื้มเปรม รู้แล้วว่าจะดำเนินการต่อไป อย่างไร
“สงสัยจะชอบเราเหมือนกัน”
เวลานั้นแนนนี่กำลังมุ่งมั่นอ่านหนังสือเวทมนตร์ โดยชิกเก้นมองอย่างทึ่งๆ
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...อยู่ดีๆ โจรก็กลับใจ”
“เงียบ แนนนี่กำลังใช้สมาธิ แนนนี่เพิ่งค้นพบความจริงว่า ตัวเองมี กิ๊ฟท์ (Gift - พรสวรรค์) ทางนี้มาก”
ชิกเก้นหาวหวอด พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แนนถอนใจเฮือกอย่างรำคาญที่ถูกขัดจังหวะการเรียนเวทมนตร์
“ปิดซะก็สิ้นเรื่อง”
แนนเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูชื่อเห็นเป็นปีเตอร์ก็สงสัยขึ้นมา
“ปีเตอร์โทร. มาทำไม” กดรับสาย “ว่าไง ปีเตอร์”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เจ๊บุษบายาใจถ่อมากินกาแฟร้านประจำของผม” ปีเตอร์รายงานข่าว
“หา” แนนนี่ร้องออกมา
“พูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองนะ มาดักรอผมแน่ๆ ไม่งั้นจะกระเสือกกระสนมาทำไม ว่ามั้ย” ปีเตอร์ออกความเห็น
“แล้วเจ๊พูดอะไรบ้าง”
“ยังไม่ทันได้พูด เพราะผมออกมาโทร.บอกแนนนี่ก่อน”
“งั้นกลับไปฟังเดี๋ยวนี้เลย แล้วโทร.มาบอกแนนนี่”
“โอเค”
ปีเตอร์ปิดโทรศัพท์แล้วเดินย้อนกลับไป
“มีอะไร ฮึ แนนนี่”
“ยัยเจ๊บุษบาน่ะซิ”
แนนนี่เล่าให้ชิกเก้นซึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ผู้คนเดินเข้าออกในร้านกาแฟแห่งนั้นตามปกติ บุษบานั่งชะเง้อมองด้วยความหงุดหงิด
“นี่ถ้าไม่ต้องการล้วงความลับละก็ แม่ไม่นั่งรอให้เสียเกียรติหรอก”
สักพักใหญ่ ปีเตอร์ก็เดินเข้ามาพร้อมถือโทรศัพท์อยู่ในมือ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
บุษบาหันไปเห็นก็ฉีกยิ้มที่ดูออกว่า Fake ทักขึ้นทันที “อ้อ ลืมโทรศัพท์เหรอจ๊ะ”
พอปีเตอร์ลงนั่งถามธุระของบุษบา “ฮะ ว่าแต่เจ๊มีธุระอะไรก็ว่ามาเลย ผมจะได้ทำงานต่อ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะถามเรื่องแนนนี่”
“นึกแล้ว”
“ถามเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องร้าย” บุษบารีบพูดออกมา
“เช่น...”
“แนนนี่ไปเรียนมายากลมาจากไหน เมื่อวานถึงได้เสกสปาเก็ตตี้เป็นหนอนได้ พูดแล้วยังขยะแขยงไม่หายเลย! อึ๋ย ....” ว่าพลางทำท่าทางขนลุกขนพองออกมา
“เห็นบอกว่าไปเรียนที่สำนักตักกะศิลา” ปีเตอร์แกล้งบอกมั่ว
“สำนักตักกะศิลา ... ฉันเคยได้ยินแต่ในนิทาน” บุษบางง
“นิทานมันก็มาจากชีวิตจริงนั่นแหละเจ๊” ปีเตอร์แถต่อ
บุษบาเอื้อมมือไปจับมือปีเตอร์แล้วพลิกหงายขึ้น พลางเอานิ้วตัวเองวนไปมาเบาๆ อย่างเป็นนัย
“ถามจริง...”
“จั๊กจี๋” ปีเตอร์รีบชักมือออกทันที
“บอกมาเถอะน่า แล้วฉันจะยอมควงไปดูหนังด้วย” บุษบาไม่ยอมลดละ หันมาทำตาหวานใส่
“ผมไม่ชอบคนแก่” ปีเตอร์โพล่งออกมา
บุษบาชะงักแล้วเบิกตากว้าง นึกฉุนขึ้นมา
“ยิ่งแก่แบบเจ๊ยิ่งไม่ใช่สเป็ค” ปีเตอร์บอกต่อหน้าตาเฉย
บุษบาสุดจะทนไหวผุดลุกขึ้นทันที “ไอ้เด็กบ้า”
ลูกค้าทุกคนต่างสะดุ้ง หันมามองด้วยความแปลกใจ
“ยังกับแกใช่สเป็คฉันนักนี่ ไอ้เด็กผี....เด็กเปรต”
ปีเตอร์โดนด่าก็โมโหลุกขึ้นบ้าง พูดเสียงดังแบบไม่ไว้หน้า
“อ้าว พูดดีๆ ซิ เจ๊ เจ๊เป็นฝ่ายมาหาผมเองนะ ทำเป็นวางแผนเสียดิบดีว่ามาหาเพื่อน เจ๊ไม่มีเพื่อนอยู่แถวนี้หร้อก...แถวนี้มีแต่วัยรุ่นพวกไม้ใกล้ฝั่งแบบเจ๊หาทำยายาก”
“อร๊ายยย” บุษบาร้องกรี๊ด แล้วกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด
“เดี๋ยวก็เป็นลมตายหรอก” ปีเตอร์เอามืออุดหู จัดไปอีกดอก
บุษบาชี้หน้าปีเตอร์ด่าอย่างโมโหสุดๆ “ไอ้เด็กบ้า ฉันขอแช่งแกให้มีเมียแก่ แล้วจะคอยสมน้ำหน้า”
จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินฉับๆ ออกไป
“แก่แบบเจ๊ไม่เอานะ” ปีเตอร์ตะโกนไล่ตามหลัง
ผู้คนในร้านต่างอมยิ้มขบขัน
ปีเตอร์พุ่งมาหาแนนนี่ที่บ้านปัทมน และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องตัวเองบอกว่าจะไม่ยอมเอาสาวแก่อย่างบุษบามาเป็นแฟน แนนนี่พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้ย ระวังเป็นจริงนะ”
“บ้า”
“จริง”
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” ปีเตอร์รีบตัดบท
“นับว่ายัยเจ๊บุษบายาใจแกช่างกล้า อุตส่าห์พยายามทำดีกับปีเตอร์เพื่อจะล้วงความลับของแนนนี่”
“ตลกอ่ะ แกคิดว่าแนนนี่เสกสปาเกตตี้เป็นหนอนได้จริงๆ” ปีเตอร์ขำกลิ้ง
“ไอ้เรื่องแบบนี้ มนุษย์ทำไม่ได้หรอก .... นังแม่มดหรืออสูรเท่านั้น” แนนนี่ว่าขำๆ
“แล้วแนนนี่เป็นอย่างไหนล่ะ” ปีเตอร์ถามยิ้มๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ใจจริงอยากเป็นแม่มด แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นอสูรมากกว่า” แนนนี่ว่า
คราวนี้ปีเตอร์ขำกลิ้งไปทันที “ขอปีเตอร์เป็นด้วยคนได้มั้ย”
“ของแบบนี้ เราเลือกไม่ได้หรอก แนนนี่อยากเป็นเสียที่ไหน”
ขณะพูดสีหน้าแนนนี่เศร้าลง แต่แล้วครู่เดียวก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นปีเตอร์ชักจะงงๆ ปีเตอร์หัวเราะตาม
เมื่อพึ่งพาปีเตอร์ไม่ได้ บุษบาจึงตรงดื่งมาหาอิงอรถึงที่บ้าน เวลานั้นอิงอรเดินนำบุษบาเข้ามาในห้องรับแขก ...
“เชิญนั่งค่ะ หนูบุษ จะรับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ดีคะ”
“บุษไม่ได้กระหายน้ำคะ แค่มีเรื่องจะมาถามคุณอาอิงหน่อย” บุษบาทำหน้าสีซีเรียส
“ว่ามาเลยค่ะ คุณอาอิงรู้จักหมดทุกบ้าน ตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย...รู้ตื้นลึกหนาบาง...ใครรักกับใครเลิกกับใครรู้ไปหมด ยกเว้นบ้านข้างๆ บ้านคุณอาอิงไงค่ะ พวกนี้เป็นคนประหลาดค่ะ ...จะว่าผีก็ไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่เชิง” อิงอรได้ทีระบายชุดใหญ่
“เหรอคะ” บุษบาฟังแล้วตาโต
“ค๊า...” อิงอรบอกเสียงสูง พอประโยคต่อมาจึงลดเสียงตามเดิม “ยัยคุณปัทมนก็ไม่รู้อะไร ดันเก็บเอามาเลี้ยง”
บุษบาตาโตขึ้นไปอีก “เก็บเอามาเลี้ยง”
“ค้า”
“เป็นความรู้ใหม่นะคะเนี่ย”
“ถ้าหนูบุษอยากรู้ คุณอาอิงจะบรรยายให้ฟังตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเลยค่ะ คืออย่างนี้นะคะ”
จากนั้นอิงอรก็จีบปากจีบคอเล่าอย่างออกรส โดยมีบุษบาฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ไม่นานหลังจากนั้นผาดยกข้าวเหนียวมะม่วงมาวางให้ ผาดเหลือบมองท่าทีของทั้ง แนนนี่ กับปีเตอร์แว่บหนึ่งอย่างสังเกต
“น่ากินจัง ขอบคุณฮะ ป้าผาด”
“มะม่วงหวานเจี๊ยบเชียวค่ะ ข้าวเหนียวก็หอมนุ่ม คุณปีเตอร์จะอยู่ทั้งวันหรือเปล่าคะ ป้ามีข้าวอบกุนเชียง”
ปีเตอร์พยักหน้า อ้าปากจะตอบรับ แต่แนนนี่รีบตอบปฏิเสธแทนก่อน
“เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้วค่ะ”
ปีเตอร์มองแนนเหมือนจะน้อยใจ ขณะแนนหันมาพยักเพยิด
“ใช่มั้ย ...ปีเตอร์”
ปีเตอร์พูดทีเล่นทีจริงประชดอยู่ในทีเพราะน้อยใจ “ถ้าแนนนี่อยากให้กลับ ผมก็จะกลับ”
“ทำไมคุณหนูไม่ให้คุณปีเตอร์มาช่วยติวให้ละค่ะ จะได้ได้คะแนนดีๆ กับเขาบ้าง”
แนนนี่ฟังผาดแนะนำก็หน้างอทันที
“ทำไม! ป้าผาดหาว่าแนนนี่โง่เหรอ”
“อุ้ย! เปล่านะคะ ป้าแค่หวังดีกับคุณหนู”
“แนนนี่ดูเองได้ค่ะ ปีเตอร์เขาก็มีงานของเขาเหมือนกัน”
“งั้นป้าก็ต้อง ขอโทษด้วยค่ะ”
ผาดค้อมตัวเดินออกไป สีหน้าน้อยใจเล็กๆ ปีเตอร์มองตามแว่บหนึ่ง
“ท่าทางป้าผาดจะเสียใจนะ”
“ไม่หรอก ป้าผาดแกรักพี่ดา ไม่ได้รักแนนนี่สักหน่อย แนนนี่จะพูดอะไรก็ไม่มีผลกับแกหรอก”
“งั้นผมกลับละ” ปีเตอร์ขยับตัวทำท่าจะกลับ
“อ้าว! แล้วไม่กินข้าวเหนียวมะม่วงเหรอ”
“ผมยังไม่หิว”
“งั้นแนนนี่จะเก็บไว้ให้พี่ภวัต...พี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง...ไป..แนนนี่จะไปส่ง”
ปีเตอร์ฟังที่แนนนี่พูดถึงภวัตแล้วน้อยใจสุดๆ “ไม่เป็นไร ผมออกไปเองได้”
ปีเตอร์เดินออกไปทันที แนนนี่รีบลุกตามมา
“เฮ้! โกรธแนนนี่หรือเปล่า”
ปีเตอร์หันมาปั้นหน้าฝืนยิ้มอย่างสดใส “ปีเตอร์เคยโกรธแนนนี่ที่ไหน” ปีเตอร์โบกมือให้แล้วหันหลังกลับเดินออกไป
แนนนี่มองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด “วันนี้ปีเตอร์ท่าทางแปลกๆ”
ปีเตอร์ขับรถออกมา พอดีกับที่บุษบาขับออกมาจากบ้านอิงอรเช่นกัน ปีเตอร์กับบุษบาต่างก็ชะงัก
“นั่นรถยัยเจ๊บุษนี่”
“หน็อยแน่ะ! แจ้นมาฟ้องนังแนนนี่ทันทีทันใดเชียว”
ทั้งสองคน ต่างเปิดประตูรถออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งคู่เปิดฉากปะทะคารมกันอีกรอบ
“เจ๊”
“ว่าไงตี๋ .... มาหาแนนนี่เรอะ”
“เจ๊คงมาหาหมอภวัตละซี”
“ฉันมาเยี่ยมคุณอาอิงย่ะ คุณอาอิงเล่าเรื่องแนนนี่กับคุณยายตัวประหลาดให้ฟังเยอะแยะ ฉันไม่ต้องง้อแกแล้วนะ”
“เช่น....”
“เช่น...แนนนี่เป็นเด็กขอมาเลี้ยง” บุษบาพูดอย่างเป็นต่อ
ปีเตอร์ฟังแล้วนิ่วหน้า บุษบายิ้มเยาะ
“นั่นไง ยังไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่คบคนไม่มีหัวนอนปลายตีน เอ๊ย ปลายเท้า”
“แต่เจ๊ไม่ใช่ผม ผมคบคนไม่เคยดูที่ฐานะความเป็นอยู่ แต่คบที่น้ำใจ คบด้วยความจริงใจ แนนนี่เป็นคนดี”
“เล่นคุณไสยน่ะหรือยะเป็นคนดี”
ปีเตอร์ส่ายหน้าอย่างระอา
“เจ๊นี่เป็นคนแย่มากๆ ใจคอคับแคบ ดูถูกคน ขี้อิจฉา ต่อให้เหลือเจ๊คนเดียวในโลก ผมก็ไม่เอาหรอก ยอมเหี่ยวแห้งตายดีกว่า”
พูดจบปีเตอร์ก้าวขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที ส่วนบุษบาโกรธจนปากคอสั่น พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“อ๊าย แล้วคิดเรอะว่าฉันจะเอาแก ไอ้ปีเตอร์ ไอ้เด็กปากมอม”
การจราจร
ปีเตอร์ขับรถมาติดไฟแดงอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง จังหวะนั้นปีเตอร์เอนตัวพิงพนักเบาะ นึกถึงคำพูดแนนนี่ขึ้นมา
“งั้นแนนนี่จะเก็บไว้ให้พี่ภวัต พี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง”
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียว สีหน้าปียังคงเศร้า จนมีเสียงบีบแตรไล่ ปีเตอร์สะดุ้งรีบขับออกไป
ทางด้านแนนนี่นอนหลับตาบนเตียง มีหนังสือเรียนวางกางปิดหน้าอยู่ ส่วนชิกเก้นนอนขดตัวหลับอยู่ที่พื้น
ไม่นานนักแนนนี่ก็ผุดลุกขึ้น ดึงหนังสือออกจากหน้า เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“ตายแล้ว”
ชิกเก้นปรือตาขึ้นมองแว่บหนึ่ง แล้วหลับต่อ
“ลืมไปเลยว่า จะเอาข้าวเหนียวมะม่วงไปให้พี่ภวัต”
ชิกเก้นลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจ “อย่านะ แนน...”
ชิกเก้นพูดยังไม่จบชื่อ แนนนี่ก็กลายเป็นควันสีชมพูหายแว้บไป
“นี่ ......” ชิกเก้นอาปากหวอ “เวรก๊ำ .....เวรกรรม”
อิงอรค่อยๆ ย่องเข้ามาภายในห้องรับแขกบ้านปัทมน เหลียวซ้ายแลขวา แล้วมาหยุดที่จานข้าวเหนียวมะม่วง
“คนหายไปไหนหมด เหลือแต่ข้าวเหนียวมะม่วง”
อิงอรเห็นข้าวเหนียวมะม่วงหายวับไปต่อหน้าต่อตา อิงอรร้องกรี๊ดลั่นบ้าน
“ข้าวเหนียวมะม่วงก็ไม่เหลือ”
เวลานั้นภวัตกำลังฟังหัวใจคนไข้ อยู่ในห้องที่โรงพยาบาล แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมจานข้าวเหนียวมะม่วง
“ข้าวเหนียวมะม่วงค่ะ” แนนนี่ยิ้มแป้นพูดด้วยน้ำเสียงง้องอน
คนไข้อ้าปากค้าง ตกใจจนเป็นลมหมดสติไป ต่อหน้าภวัต
“แนนนี่ ทำไมทำอย่างนี้”
“แนนนี่เห็นพี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง ก็เลยเอามาให้”
“แล้วเห็นมั้ยว่า คนไข้พี่เขาเป็นลม”
แนนนี่หันไปมองแล้วเริ่มว่าคาถา ขณะยื่นมือออกมาจะวน “.... แฮ” ทำเสียงในลำคอ “อาฮา...”
ภวัตรีบจับมือแนนนี่ไว้ “จะทำอะไรน่ะ”
“ก็ทำให้เขาฟื้นไง”
“หยุดเลย ห้ามยุ่งกับคนไข้ของพี่”
แนนนี่วางจานข้าวเหนียวมะม่วงลงบนโต๊ะ “แสดงว่าพี่ภวัตเชื่อแล้วว่า แนนนี่เป็นแม่มด”
“กลับไปก่อน เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยคุยกัน”
“งั้นแนนนี่ไปก่อนนะคะ”
ร่างแนนนี่หายวับไปทันที ในขณะที่คนไข้ฟื้นพอดี แล้วคนไข้ก็สลบไปอีกด้วยความตกใจ
ภวัตถอนหายใจเฮือกใหญ่
ปัทมนกำลังเดินมาส่งอิงอรซึ่งถือยาดมเดินระโหยโรยแรงที่บ้าน
“คุณอิงเห็นกับตาว่า ข้าวเหนียวมะม่วงหายวับไปจริงๆนะคะ ... คุณอิงไม่ได้โกหก”
“ค่ะ” ปัทมนอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำ
“แล้วคุณปัทเชื่อคุณอิงหรือเปล่าคะ”
“เอ้อ...ปัทเชื่อว่าสุสานย่อมไม่หายไปจากโลกน่ะค่ะ”
“แปลว่าเชื่อหรือไม่เชื่อคะ” อิงอรซัก
“ถึงแล้วค่ะ”
ปัทมนไม่ยอมตอบ เปิดประตูเล็กบ้านอิงอร แล้วพาเดินเข้าไป
ปัทมนประคองอิงอรเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้าน
“ปัทไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวค่ะ” อิงอรเรียกไว้
“พอดีปัทมีธุระด่วนค่ะ คุณอิงพักผ่อนก่อนดีกว่า”
ปัทรีบเดินออกไป อิงอรตะโกนบอกไล่ตามหลังมา
“แนนนี่ลูกสาวคุณปัทไม่ใช่มนุษย์ธรรมดานะคะ” คราวนี้หันมาบ่นกับตัวเอง “ไม่เชื่อก็ตามใจ ระวังตัวให้ดีเถอะ”
ปัทมนรีบเดินเข้ามาในบ้าน เห็นดารกานั่งรออยู่ในห้องรับแขก
“คุณอาอิงไม่เป็นอะไรแล้วนะคะ”
“จ้ะ”
ดารกาลุกขึ้น “โล่งใจไปที”
ปัทมนขอตัวเดินเลยจะขึ้นบันได
“คุณแม่ขา”
ปัทมนหยุดแล้วหันมามอง
“เรื่องที่คุณอาอิงพูดน่ะค่ะ”
“คุณอาอิงคงตาฝาดน่ะจ้ะ....แม่จะไปสวดมนต์ต่อ”
ปัทมนเดินขึ้นบันไดไป ดารกามองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ปัทมนเดินจะไปห้องพระ แต่พอผ่านหน้าห้องแนนนี่ก็หยุดชะงัก เอื้อมมือจะเคาะประตู แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินเลยไป
ส่วนภายในครัวผาดกำลังล้างผักจะทำสลัดขณะที่ดารกาเดินเข้ามา
“ป้าผาด”
ผาดหันกลับมาตามเสียงเรียก
“คุณหนูดา หิวหรือคะ ป้าจะทำสลัด”
“น้องดาไม่ได้หิวค่ะ แค่อยากจะถามอะไรหน่อย” ดารกาเว้นนิดนึงจึงพูดต่อ “คุณอาอิงเป็นอะไรหรือคะ น้องดามัวแต่ท่องหนังสือ”
“อ๋อ! คุณอิงแกบอกว่าเห็นข้าวเหนียวมะม่วงหายไปต่อหน้าต่อตาน่ะค่ะ”
ดารกาพยักหน้ารับรู้ “คุณอาอิงชอบเห็นอะไรแปลกๆอยู่แล้ว”
“แต่จะว่าไปมันก็แปลกนะคะ เพราะป้าเป็นคนยกไปให้คุณแนนนี่กับคุณปีเตอร์รับประทานเอง พอได้ยินคุณอิงร้อง ป้าออกไปดู ข้าวเหนียวมะม่วงหายไปจริงๆ ค่ะ”
“แนนนี่อาจจะให้ปีเตอร์เอาไปทานที่บ้านก็ได้” ดารกาว่า
ผาดฟังแล้วยิ้มออกมาได้
“จริงซีคะ ป้าก็ลืมคิดไป คุณหนูดาจะทานบ้างไหมคะ”
“น้องดายังไม่หิวค่ะ”
ดารกาเดินกลับออกไป ผาดหันกลับไปทำงานต่อ
“ชิกเก้นคิดว่า แนนนี่ควรจะเรียกข้าวเหนียวมะม่วงกลับมาเหรอ” แนนนี่ถูกชิกเก้นต่อว่าเรื่องที่ผลีผลามเอาข้าวเหนียวมะม่วงไปให้ภวัตที่โรงพยาบาล
ชิกเก้นพยักหน้า แล้วทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ จนแนนนี่เริ่มลังเล
“เผื่อพี่ภวัตยังไม่ได้ทาน”
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“สงสัยจะเป็นคุณแม่”
แนนนี่ลุกเดินไปเปิดประตู รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าเป็นใคร
“พี่ดา”
“พี่เข้าไปได้มั้ย” ดารกาถาม
“ได้ซิคะ”
แนนเบี่ยงตัว ให้ดารกาเดินเข้ามา
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง แล่นเข้ามาในซอยได้เพียงเล็กน้อย แล้วก็จอด ประตูรถคันดังกล่าวเปิดออก มีขาข้างหนึ่งก้าวลงมา และอีกข้างก้าวตาม
จากกระโปรงไปจนถึงเสื้อผ้า ชุดของบาบาร่าที่ไทเกอร์มองอยู่เวลานี้ เป็นการแต่งตัวเมื่อหลายปีมาแล้ว ราวกับหลงเข้าไปในพ.ศ. เดียวกับฮันนี่ หลานสาวทาฮิร่า
ไทเกอร์นั่งที่เบาะด้านหน้าข้างคนขับ กระโดดไปที่เบาะคนขับเพื่อจะได้พูดคุยกันได้อย่างสะดวก
บาบาร่ามองไปโดยรอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กลิ่นอสูรอบอวลชวนคลื่นเศียรอยู่แถวนี้”
“ไทเกอร์ยังคิดไม่ออกเลยว่า”
ระหว่างทั้งสองพูดกันอยู่นั้น ก็มีหญิงสาว 2-3 คน นุ่งกางเกงขาสั้น แต่งตัวทันสมัย เดินคุยกันมา
ไทเกอร์คอยืดคอยาวมองตาม
“เมี้ยว”
บาบาร่าก็มองตามไปเช่นกัน
“เขาแต่งกันแบบนี้แล้วเรอะ”
“มิน่า ! ไทเกอร์ถึงได้ดูคุณยายบาเชยๆ ยังไงก็ไม่รู้” ไทเกอร์กัด
“ฉันก็แต่งได้”
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนผ่านมา บาบาร่าจึงท่องคาถาเสกมนตร์ ชุดเดิมหายไป กลายเป็นชุดขาสั้นทันสมัยเหมือนสองสาวที่เดินผ่านไปเมื่อครู่นี้
“เป็นไง”
“ชุดสวยดี แต่ไม่เข้ากับใบหน้า”
บาบาร่าชะงัก แล้วก้มลงมองดุๆ ไทเกอร์กระโจนไปนั่งข้างหลัง
แนนนี่กอดอก เชิดหน้าอยู่ในห้อง กำลังถูกดารดาจี้ถามเรื่องอิงอร
“แนนนี่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ ไม่ได้นั่งเฝ้าไว้นี่
“แต่คุณอาอิงตกใจมากนะ ขนาดพี่ลงไปทีหลังยังเห็นแกหน้าซีดตัวสั่นอยู่เลย” ดารกาว่า
“เหรอ ...”แนนนี่ทำหน้าตาย
ชิกเก้นร้องเมี้ยว ออกมา
“แนนนี่”
“พี่ดาก็รู้นี่คะว่า ยัยคุณอิงแกชอบคิดว่า แนนนี่เป็นผีสางนางไม้ หรือไม่ก็พวกเล่นคุณไสย!”
แนนนี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา “จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าหากเป็นคนดี... อย่างที่คุณแม่สอนเราอยู่เสมอไงคะ”
ดารกาฟังแล้วนิ่งไป ในขณะที่แนนนี่หันไปยักคิ้วกับชิกเก้น
บาบาร่าขับรถมาเรื่อยๆ ช้าๆ พลางสอดส่ายสายตาไป 2 ข้างทาง จังหวะหนึ่งบาบาร่าทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นบางอย่าง ไทเกอร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กำลังยืดคอขึ้น พลางทำจมูกฟุดฟิดเช่นกัน
“ต้องเป็นแถวนี้แน่ กลิ่นงี้หึ่งเลย” บาบาร่าพูดอย่างตื่นเต้น
“คุณยายก็พูดเกินไป๊ กลิ่นหึ่งน่ะมันอีกอย่างนึง”
เป็นเวลาเดียวกับที่อิงอรเปิดหน้าต่างออกมารับลม สีหน้าหวาดระแวง ท่าทีลับๆ ล่อๆ มองไปที่บ้านปัทมนตรงห้องแนนนี่
ไทเกอร์เงยหน้าขึ้นมองพอดี ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“เจอแล้ว”
“ไหน” บาบาร่าเบรครถทันทีจนแทบหน้าหงายทั้งคู่
“โน่น” ไทเกอร์พยักหน้าโบ้ยให้หันไปดูทางหน้าต่าง โน่น
อิงอรทำท่าทางลึกลับ ขณะหยิบกล้องส่องทางไกลมาส่ายดูทางโน้นทีทางนี้ที
“ยายแก่นั่นน่ะเรอะ”
ไทเกอร์รีบค่อนขวดทันควัน
“แหม พูดยังกับตัวเองสาวเสียเต็มประดา ปีนี้กี่พันเข้าไปแล้วล่ะ”
บาบาร่าฟาดหัวไทเกอร์โป๊ก ไทเกอร์ร้องเมี้ยวลั่น
“เมี้ยว ! เบาหน่อยคุณยาย...คนแก่นั่นแหละน่าสงสัย เพราะพวกอสูรมันต้องรู้ตัวว่ากำลังถูกแม่มดตามล่า... มันจึงพยายามซ่อนสังขารที่แท้จริง” ไทเกอร์ออกความเห็น
“แกพูดก็มีเหตุผล” บาบาร่าเห็นด้วย
บาบาร่าตัดสินใจถอยรถกลับไปจอดบริเวณหน้าบ้านอิงอร แล้วเปิดประตูรถลงมา
ทาฮิร่าซึ่งเปิดหน้าต่างออกมาเห็นพอดี ชะงักทันทีเมื่อเห็นภาพนั้นเข้า
“บาบาร่า ไทเกอร์ ตายแล้ว มาได้ยังไง”
ทาฮิร่าวิตกกังวลอย่างหนัก รีบผลุบเข้าไป
ขณะที่อิงอรเดินมาทรุดตัวลงนั่ง ทวนคำพูดปัทมนเยาะๆ ปนเจ็บใจ
“สุสานย่อมหายไปจากโลก แล้วไอ้ข้าวเหนียวมะม่วงจานนั้นมันอยู่ที่ไหน... เฮอะ มันอยู่ที่ไหน”
อิงอรลุกขึ้นแล้วออกท่าออกทาง “Why you do this to me.”
เสียงกริ่งที่ประตูหน้าบ้านดังขึ้น อิงอรชะงัก
“ใครมา”
อิงอรค่อยๆ ย่องไปโผล่ที่หน้าต่าง เห็นบาบาร่าซึ่งตัวเองไม่รู้จักกำลังกดกริ่ง อิงอรทำสีหน้างงๆ
กดออดไปนานสองนาน แต่ไม่มีใครออกมาสักที จนไทเกอร์ทนรอไม่ไหว
“ชักช้าเสียเวลา เข้าไปเองดีกว่า” ไทเกอร์ชะโงกหน้าพูดออกมาจากหน้าต่างรถ
อิงรีบเดินออกจากตัวบ้าน บาบาร่ามองเห็นรีบบอกให้ไทเกอร์สงบปาก
“ไม่ต้อง มาโน่นแล้ว แกเงียบได้”
พอดีกับที่อิงอรเดินมาถึงประตูบ้าน แล้วมองบาบาร่าอย่างแปลกใจ “มีธุระอะไรหรือคะ”
บาบาร่าไม่ตอบมองอิงอรอย่างสำรวจตรวจตรา
จังหวะนั้นเองทาฮิร่าก็ค่อยๆ ย่องมาแอบดูเหตุการณ์
ดารกาเดินมาพร้อมกระเช้าขนาดกระทัดรัด พร้อมกรรไกรตัดดอกไม้ เวลานั้นเหมือนกับว่ากลิ่นอสูรจากร่างดารกาลอยออกมาคละคลุ้งครอบคลุมบริเวณนั้นจนทั่ว ขณะที่ดารกากำลังตัดดอกไม้
อิงอรเดินนำบาบาร่าเข้ามาในบ้าน กลิ่นอสูรจากดารกาลอยเข้ามาอบอวล
“ต้องใช่แน่” บาบาร่าทำจมูกฟุดฟิด
“ว่าอะไรนะคะ” อิงอรหันหันกลับมา
บาบาร่าซึ่งยื่นจมูกมาจะดม รีบทำท่าปกติ
“จะทำอะไรน่ะ” อิงอรมองบาบาร่าอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันได้กลิ่น...” บาบาร่าบอก
“กลิ่นอะไร...” อิงอรนิ่วหน้า
“กลิ่น....” บาบาร่านึกขึ้นได้รีบเปลี่ยนเรื่อง “น้ำหอม ใช่! กลิ่นน้ำหอมไทยหอมเย็นชื่นใจ...เอ๊ะ คุณก็น่าจะรู้จักนะ”
ทาฮิร่าแอบดูอยู่ด้วยความสงสัย
“บาบาร่าจะทำอะไรคุณอิง” ทาฮิร่านิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วว่าคาถาขึ้นมา “อลา...ควา...ปารูจา...เอล...ฮิเด...เด”
นัยน์ตาของทาฮิร่าเปลี่ยนเป็นแสงแวบวาบ ทาฮิร่าชะงักก้มมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เชิญนั่งก่อนนะคะ”
อิงอรพูดไม่ทันจบ ร่างก็กลับกลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง อิงอรไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
ตะขาบอิงอรส่ายหัวไปมาเหมือนอยู่ในอาการมึนงง ในขณะที่บาบาร่าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือและผลงานของแม่มดเพื่อเลิฟ กลับคิดไปอีกอย่าง
“หน็อยแน่! เจ้าอสูรร้าย แปลงเป็นตะขาบเรอะ...ข้าจะจับไปต้มทำยาให้เข็ด!”
ว่าพลางบาบาร่าย่างสามขุมเข้าไปหา ตะขาบอิงอรรีบวิ่งหนีไปซ่อนตัวในมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อหน้า 2
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทาฮิร่าก้มลงจับหน้าตาตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แต่ยังไม่รู้ว่าคาถาของตัวเองได้เปลี่ยนอิงอรเป็นตะขาบไปแล้ว
“....ตายแล้ว ท่องคาถาผิดอีกแล้ว”
ระหว่างนั้นบาบาร่าเดินหัวเสียออกมา ทาฮิร่ารีบผลุบหลบทันที บาบาร่าเดินทะลุรั้วบ้านออกไปหน้าตาเฉย ทาฮิร่า ยืดหัวมองตาม
จากนั้นทาฮิร่าค่อยๆ เดินย่องเข้ามา แล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ ขณะที่มองกวาดสายตาไปทั่ว
“คุณอิง คุณอิง คุณอิง”
ทุกอย่างยังคงเงียบงัน ทาฮิร่าทำเสียงเข้มขึ้น
“คุณอิง ถ้าไม่ออกมา ฉันก็ช่วยคุณไม่ได้นะ ยัยคุณอิง”
แล้วจู่ๆ ก็มีตะขาบตัวหนึ่ง ค่อยๆ คลานออกมาจากที่ซ่อนอย่างลังเล จังหวะนั้นทาฮิร่าค่อยๆ ก้มลงมองแล้วเลิกคิ้ว ในขณะที่ตะขาบตัวนั้นเงยหน้าขึ้นมองทาฮิร่าหน้าตาเศร้ามาก
“คุณอิง” ทาฮิร่าชี้ที่ตะขาบอิงอร ซึ่งพยักหน้ารับด้วยสายตาละห้อย
“โอ้ว นี่ฉันทำอะไรลงไป” ทาฮิร่าถึงบางอ้อทันที
ตะขาบอิงอรก้มหน้าอย่างทุกข์ทรมานใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณอิง ฉันจะพยายามทำให้คุณกลับกลายเป็นมนุษย์ตามเดิม” ทาฮิร่าเว้นไปนิดนึง “ซึ่งหวังว่าฉันจะทำได้นะ”
ตะขาบอิงอรได้ฟังแล้วเบะปากทำท่าจะร้องไห้ออกมา
ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นในห้องแนนนี่ ค่อยๆ วางตะขาบอิงอรลง
“อยู่นี่ก่อนนะคุณอิง ฉันจะพยายามนึกก่อน”
ทาฮิร่าเดินกลับไปกลับมาใช้ความคิดอย่างหนัก ปากก็บ่นพึมพำ แม้ว่าจะพยายามทบทวนคาถาอยู่นานแสนนานแต่ก็นึกไม่ออกสักที
ดอกไม้เกือบเต็มตะกร้าแล้ว ดารกาบรรจงตัดเป็นดอกสุดท้าย และกำลังจะเดินเข้าบ้าน จังหวะนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ดารกาหันหลังกลับเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออก
“อ้าว น้องดา” จักรวาลทักทาย
ดารกาพนมมือไหว้อย่างสวยงามอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะ คุณลุง เชิญข้างในซิคะ”
จักรวาลยิ้มให้อย่างเอ็นดูเดินคุยกับดารกาเข้าบ้านไปห้องรับแขกภายในบ้านปัทมน
“เชิญคุณลุงนั่งก่อนค่ะ น้องดาทำพั้นช์ไว้ คุณลุงช่วยชิมหน่อยนะคะ รับรองว่าไม่มีแอลกอฮอลล์ค่ะ”
“ลุงรู้” จักรวาลยิ้มรับ
ดารกาเดินเข้าไป จักรวาลเอนตัวพิงพนัก สีหน้าฉายแววแววตาใคร่ครวญครุ่นคิดออกมา เพียงครู่เดียวดารกาก็เดินออกมา พร้อมแก้วใส่พั้นช์สีสวย มีน้ำแข็งลอยอยู่
“นี่ค่ะ” ดารกาวางแก้วให้แล้วนั่งลง
จักรวาลรับพั้นช์แก้วนั้นมาดื่ม “อืม...ม อร่อยมาก ...ชื่นใจจริงๆ”
“น้องดาจะขึ้นไปตามคุณแม่ให้นะคะ” ดารกาค้อมตัวแล้วเดินไป
“จ้ะ....ขอบใจ”
ดารกาลุกเดินออกไปขึ้นข้างบนบ้าน จักรวาลมองตามด้วยสีหน้าเอ็นดู
ดารกาเดินถือตะกร้าดอกไม้ขึ้นมา ในขณะที่ปัทมนเปิดประตูห้องพระออกมาพอดี ในมือปัทมนมีดอกบัวที่เหี่ยวแล้ว 2 กำ หลังจากเพิ่งเอาดอกบัวใหม่กำใหม่ไปเปลี่ยนแจกันในห้องพระ
“คุณแม่เปลี่ยนดอกไม้ห้องพระหรือคะ”
“จ้า น้องดาจะสอบแล้ว เข้าไปสวดมนต์สิลูก จะได้มีสมาธิ”
“ค่ะ” ดารการับคำอย่างอ่อนหวาน แล้วรีบบอก “คุณแม่ขา คุณลุงจักรมาพบแน่ะค่ะ”
“ขอบใจลูก”
ปัทมนเดินเลยไป ดารกามองตาม แล้วเดินช้าๆ นิ่งนึก เหมือนไม่มั่นใจนัก ที่จะเข้าไปในห้องพระ
ดารกาสูดลมหายใจลึกและยาว เหมือนจะเรียกความมั่นใจ แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ตัดสินใจเปิดออก
ดารกาก้าวเข้ามา แล้วเซผงะไป ยกแขนขึ้นบังหน้า
พระพุทธรูปดูพร่างพรายเหมือนจะเปล่งประกายออกมา พร้อมกับมีแรงต้านมาปะทะไม่ให้ดารกาเข้าไป
ดารการีบหันหลังกลับ สีหน้าตระหนกฉายชัดก่อนจะออกไป
ดารกาออกมาจากห้องพระก็ต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ แล้วยกมือปิดหน้าเมื่อเห็นแนนนี่ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวยังตกใจกับเหตุการณ์ในห้องพระไม่หาย
“พี่ดา! แนนนี่เองค่ะ”
ดารกาเอามือออก สีหน้ายังซีดเผือด
“พี่ดาเป็นอะไรหรือคะ หน้าซี๊ด....ซีด”
“ทีหลังอย่าพรวดพราดเข้ามาอย่างนี้อีก”
ดารกาพูดน้ำเสียงหงุดหงิดใส่ แล้วรีบเดินไปเปิดประตูเดินหนีเข้าห้องตัวเองไปทันที
“แปลก” แนนนี่มองตามพลางยักไหล่
ครั้นพอดารกาปิดล็อคประตูแล้ว ก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง หยิบหมอนและข้าวของใกล้ตัวขว้างปาราวกับได้รับความกดดัน และอัดอั้นตันใจสุดๆ
“ทำไม ทำไม ทำไม”
ดารกาเอื้อมไปจะข้าวหยิบของบนหัวเตียงปาต่อ แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือก เมื่อมองไปรูปปั้นอสูรหน้าตาน่ากลัวราวกับมีชีวิตวางอยู่ ดารกาลุกขึ้นทันที
“ใคร! ใคร! เอามาไว้ในห้องฉัน”
ดารกาตัดสินใจหยิบรูปปั้นนั้นเขวี้ยงลงกับพื้น รูปนั้นหล่นลงบนพื้นแต่เสียงเงียบกริบ และรูปปั้นนั้นไม่ได้แตกหักหรือแม้แต่บุบสลาย มิหนำซ้ำเหมือนกับมีแสงสีแดงวูบวาบออกมา
ดารกาเพ่งมองรูปปั้นนั้นราวกับถูกสะกด
“น้องดาแกอยู่ปีไหนแล้วนะครับ” จักรวาลปรารภกับปัทมน
“ปี 3 ค่ะ” ปัทมนตอบ
“งั้นก็เหลืออีก 1 ปีจะจบ”
ปัทมนคุยกับจักรวาลในห้องรับแขก โดยไม่รู้ว่าที่มุมหนึ่งแนนนี่แอบฟังอยู่
“ผมจะไปหาฤกษ์หมั้น” จักรวาลพูดออกมา
ปัทมนสีหน้าใคร่ครวญขณะพูด “ระยะเวลา 3 ปี มันอาจจะนานไป ทั้งน้องดา แล้วก็ตาภวัตอาจจะพบคนใหม่”
“คุณปัท”
“ปัทไม่อยากปิดโอกาสของทั้ง 2 คนค่ะ”
แนนนี่ได้ฟังเกือบเผลอร้อง “เย้” ออกมาด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องรีบอุดปากตัวเองไว้ทันที
“ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่ง หรือทั้ง 2 คน เกิดไปเจอคนที่ใช่ จริงๆ การหมั้นก็จะกลายเป็นอุปสรรค กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
“แต่” จักรพยายามแย้ง
“ปัทซาบซึ้งใจมากค่ะ ที่คุณเอ็นดูและให้เกียรติน้องดา ตอนนี้น้องดายังเด็ก แกอาจจะสับสนบ้างระหว่างความรักฉันท์พี่น้อง กับความรักแบบคนรัก ถ้าหากทั้ง 2 คนเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ รู้ใจตัวเองมากกว่านี้แล้วยังยืนยันว่า ความรู้สึกที่มีต่อกันไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีดีไหมคะ” ปัทมนแจงเหตุผลจนจักรวาลเริ่มคล้อยตาม
แนนนี่พึมพำอยู่คนเดียว
“ไม่มีวัน พี่ภวัตต้องรักแนนนี่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่พี่ดา”
“ผมสุดแล้วแต่ทางคุณปัทก็แล้วกัน แต่ยังยืนยันว่าผมเต็มใจอย่างยิ่งที่จะได้น้องดามาเป็นลูกสะใภ้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
แนนนี่ค่อยๆ ย่องกลับขึ้นไปบนห้องตัวเอง
ดารกานอนนิ่งๆ ดวงตาจับจ้องมองเพดานอย่างใช้ความคิด จังหวะนั้น มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“น้องดา เปิดประตูให้แม่หน่อยจ้ะ”
ดารีบผุดลุกขึ้น หยิบหมอนวางบนเตียง แล้วโกยข้าวของอื่นที่ตกกระจายเข้าใต้เตียง ดารกาหันมาทางรูปปั้นอสูร ปรากฏว่ากลับขึ้นไปอยู่บนโต๊ะหัวเตียงเรียบร้อย ดารีบหยิบรูปมาวางบังไว้
“น้องดา” ปัทมนเรียกซ้ำ
ดารการีบเดินไปกดชักโครกให้ปัทมนเข้าใจว่าดารกาอยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกประตูให้ปัทมน
“ขอโทษค่ะคุณแม่ที่ดามาเปิดประตูช้า พอดีท้องเสีย
“ไม่เป็นไร เราเข้าไปคุยกันข้างใน” ปัทมนทำท่าจะก้าวเข้าห้องเหมือนเคย
ดารการีบพูดสวนขึ้นก่อนปัทจะพูดจบ “....ห้องรกค่ะ....น้องดายังจัดไม่เสร็จเลย ไปคุยข้างล่างดีกว่าค่ะ”
“โฮ้ย เรื่องเล็กลูก” ปัทมนยิ้มอย่างเอ็นดู
“น้องดาอายน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
ทั้ง 2 คนแม่ลูกเดินลงไปชั้นล่าง ดารกาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ไม้ดอกในสวนกำลังบานสะพรั่ง ปัทมนกับดารากาเดินเข้ามา ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งในสวนสวยของบ้าน
“คุณแม่จะดื่มพันช์ของน้องดามั้ยคะ”
“ยังจ้ะ....แม่มีเรื่องจะคุยกับน้องดา” ปัทมนยิ้มๆ
ดารกายิ้มรับอย่างอ่อนโยน “ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ เลย ...” ดารกาเว้นไปนิดนึง “น้องดาทำอะไรให้คุณแม่ไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
“เปล่าจ้ะ น้องดาเป็นลูกที่ดีของแม่เสมอ ...ไม่เคยทำให้แม่ต้องหนักใจ”
ดารกาลุกขึ้นเลื่อนตัวลงมาคุกเข่ากอดเอว ซบหน้ากับตักปัทมน
“น้องดารักคุณแม่มาก....น้องดามีทุกวันนี้ก็เพราะคุณแม่”
ปัทมนลูบผมลูกสาวนอกไส้ด้วยความรักใคร่ “น้องดาก็ทำให้แม่ชื่นใจมาก...แม่จะคุยกับน้องดาเรื่องพี่ภวัต”
“ทำไมหรือคะ” ดารกาเงยหน้าขึ้นมองทันที
“แม่ยังไม่อยากให้น้องดาหมั้นกับพี่เค้า”
ดารกาอึ้ง ก้มหน้าลง ในขณะที่เส้นเลือดในดวงตาดาแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“ลูกยังต้องเรียนอีกตั้ง 3 ปี แล้วยังต้องใช้ทุนอีก...ถ้าหมั้นทิ้งไว้ แม่กลัวว่าเวลาที่นานเกินไป”
“น้องดาเข้าใจค่ะ” ดารกาตอบโดยที่ยังก้มหน้าอยู่
ปัทมนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจและดีใจ
“น้องดาทำให้แม่ทั้งโล่งใจ แล้วก็สบายใจมากเลยลูก”
“แต่น้องดาคงไม่มีวันเปลี่ยนใจ” ดารกายืนยัน
“อย่าเพิ่งมั่นใจลูก...พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ความแน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน” ปัทมนพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
ดารกายังคงก้มหน้า ในขณะที่เส้นเลือดในดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอีก
“คิดเสียว่า ระยะเวลา 3-4 ปี คือการพิสูจน์ว่าน้องดารักหมอภวัตจริงหรือเปล่า ถ้าความรู้สึกไม่เปลี่ยนแปลง ก็หมั้นและแต่งงานกันเลย”
“แล้วคุณลุงกับพี่ภวัตว่ายังไงคะ”
“คุณลุงเห็นด้วย”
ปัทมนไม่รู้สักนิดว่าคำตอบของตัวเอง ทำให้ดารกาเม้มปากด้วยความรู้สึกโกรธ นัยน์ตาแดงก่ำ
จักรวาลกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“โอเค ครับ ผมจะรับสอนวันจันทร์ วันพุธ แล้วก็วันศุกร์”
จู่ๆ ช่อไฟบนเพดานตรงบริเวณเหนือศรีษะจักรวาลเริ่มขยับ ในขณะที่จักรวาลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“โอย....5 วันคงไม่ไหว”
จักรวาลไม่สำเหนียกว่า สายไฟค่อยๆ หลุดทีละสายๆ ยังคงคุยโทรศัพท์ต่อ
“ครับ....3 วันกำลังดี...ที่เหลือก็เอาไว้เตรียมการสอน แล้วก็พักผ่อนบ้าง”
จังหวะนั้นช่อไฟเหนือศรีษะจักรวาล ใกล้จะร่วงหล่นลงทุกที
“อายุมากแล้วน่ะครับ” จักรวาลคุยกับปลายสาย
จังหวะนั้นโป่งเดินเข้ามาพอดี และเห็นภาพที่โคมไฟค่อยๆ หล่นลงมา โป่งร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“คุณจักร”
โป่งรีบถลาเข้าไปผลักร่างของจักรล้มลงด้วยกัน ในจังหวะที่โคมไฟตกลงมาพอดิบพอดี เสียงดังโครมคราม โป่ง และจักรวาลตาตั้งหันมามองพร้อมกัน โดยเฉพาะจักรวาลนั้นทั้งตกใจและตกตะลึง
เวลาเดียวกันนั้นประตูห้องเปิดออก ดารกาเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งสนิท ไร้ชีวิตชีวา ประตูปิดเอง ดารกาเดินทื่อตรงมาที่เตียง ยืนนิ่งครู่หนึ่งแล้วนิ่วหน้า ยกมือขึ้นกุมหัว แล้วทรุดลงกลิ้งไปมาบนเตียงราวกับเจ็บปวดแสนสาหัส
โป่งกวาดเก็บเศษช่อไฟที่ตกแตกกระจายใส่ถุง เพื่อเก็บลงขยะ โดยมีจักรวาบกำลังปีนบันไดตรวจดูขั้วโคมไฟว่าตกลงมาได้อย่างไร
“จะให้ผมโทร. ตามคุณหมอมั้ยครับ”
“ตามทำไม”
“ก็ที่ไฟตกลงมา”
“งั้นถ้าฟ้าร้อง ฟ้าผ่าก็ต้องโทร. ตามด้วยซิ”
“ดื้อ”
จักรวาลดูเสร็จลงมาพอดี หันมาสั่งโป่ง “เอาบันไดไปเก็บ”
“ครับ” โป่งยกบันไดไปเก็บ
จักรวาลพึมพำกับตัวเอง อย่างไม่เชื่อ
“ตกลงมาได้ยังไง”
ปัทมนจัดข้าวเหนียวเป็นมะม่วง 2 ชุด มีมะม่วงสุกยังไม่ได้ปอกวางอยู่บนโต๊ะด้วย พอจัดเรียบร้อยปัทมนก็ส่งให้พร พลางบอกกำชับ
“พรเอาไปให้คุณอิงกับคุณจักรคนละชุดนะ”
“ค่ะ”
พรหิ้วทั้ง 2 ถุง เดินออกไป
“ผาดเองก็กินได้นะ เขาเอามาให้เสียเยอะแยะ”
“ขอบคุณค่ะ เอ้อ คุณปัทคะ” ผาดตั้งท่าเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา
ปัทมนกำลังรินพั้นช์ใส่แก้ว พลางยกขึ้นดื่มหันมาถาม “ว่าไงจ้ะ”
“ข้าวเหนียวมะม่วงที่ผาดเอาไปวาง”
ปัทมนรีบตัดบท “ช่างมันเถอะผาด”
ปัทมนเดินออกไป ผาดมองตามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
พรเดินมาที่หน้าบ้านอิงอร และกดกริ่งเรียก รออยู่ครู่ใหญ่ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต
พรกดอีก แต่ก็เงียบเหมือนเดิม
“ทำไมเงียบจัง” พรชะเง้อมอง “...หน้าต่างก็เปิด....แสดงว่ามีคนอยู่”
พรขยับประตูเล็กเปิดออกแล้วเดินเข้าไป
ไม่นานหลังจากนั้นพรเดินเข้ามาในบ้าน พลางเหลียวซ้ายแลขวาร้องเรียก
“คุณอิงเขา...คุณอิง...คุณปัทให้เอาข้าวเหนียวมะม่วงมาให้ค่ะ”
ทุกอย่างเงียบงัน
“คุณอิงอยู่ที่ไหนคะ”
พรเดินเข้าไปในครัว
“ในครัวก็ไม่มี...” พรมีสีหน้าตระหนก ชักเป็นกังวลขึ้นมา “....หรือว่าเกิดเป็นลมเป็นแล้งไป”
พรวางข้าวเหนียวมะม่วงทั้ง 2 ถุง ลงบนโต๊ะในครัว แล้วรีบเดินออกไปท่าทีเร่งร้อน
พรเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน แล้วเคาะประตูห้องเรียก
“คุณอิงคะ ..... คุณอิง”
แต่ทุกอย่างยังคงเงียบงัน พรตัดสินใจเปิดประตูห้องนอน แล้วชะโงกหน้าเข้าไปมอง ทว่าภายในห้องว่างเปล่า
“หรือว่าจะถูกลักพาตัว”
พรปิดประตู แล้วรีบเดินลงไป
เวลาผ่านไปจากบ่ายคล้อยเป็นเย็นย่ำ ทาฮิร่านอนแผ่หราด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรงอยู่ในห้อง เพราะพยายามใช้เวทมนตร์เปลี่ยนให้ตะขาบกลับมาเป็นอิงตามเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นผล
“โอย ฉันจะทำยังไงดี”
จังหวะนั้นชิกกระโจนเข้ามาทางหน้าต่าง
“ฮัลโหล คุณยาย”
ทาฮิร่าลุกขึ้นรีบหันหน้ามาถามชิกเก้น “แนนนี่อยู่หรือเปล่า”
“กำลังประชุมกับครอบครัวหมอภวัต” ชิกเก้นหันมองไปเจอตะขาบพอดีสงสัยครามครัน “เอ๊ะ คุณยายเก็บตะขาบมาจากไหน แถวนี้ไม่ค่อยเห็นมีเลย”
“ก็ เก็บมาจากแถวๆ นี้แหละ แนนนี่ประชุมเรื่องอะไร”
“ยัยคุณอิงหายไป นี่สองบ้านก็ตามหากันให้วุ่น” ชิกเก้นสาธยาย
ทาฮิร่าพูดเหมือนมีพิรุธ “เหรอ”
ชิกเก้นชะงัก “คุณยาย”
“อะไร” ทาฮิร่าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“คุณยายกรุณามองสบตาชิกเก้นซิ”
“เรื่องอะไร ฉันจะต้องสบตากับแมว”
“งั้นก็ใช่แน่”
ทาฮิร่าค่อยๆ ยื่นเท้าออกไปหมายจะเขี่ยตะขาบเข้าใต้เตียง
ชิกเก้นกระโดดลงมายืนใกล้ๆ ตะขาบ “ตะขาบท่านนี้คือคุณอิงใช่ไหม” ชิกเก้นคาดคั้น
“ก็ลองถามเอาเองซิ”
“คุณย้าย...ย ทำไมถึงได้เฟอะฟะยังงี้...” ชิกเก้นอย่างหน่ายแกมระอา เลยลากและเน้นเสียง
ทาฮิร่าฉุน หันขวับมาทันที
“ใครเฟอะฟะ ยัยคุณอิงดวงซวยเองต่างหากคาดว่าปีนี้คงเป็นปีชงของแก” ทาฮิร่ายกเหตุผลมาอ้าง
“ชิกเก้นต้องไปบอกแนนนี่เดี๋ยวนี้ คุณยายคอยดูตะขาบคุณอิงให้ดีละกัน”
ชิกเก้นกระโดดแผล็วออกไปทันที
ทุกคนมารวมตัวอยู่บ้านอิงอร ปัทมนและจักรวาล ช่วยกันโทรศัพท์สอบถามชื่อผู้ป่วยตามโรงพยาบาล ส่วนภวัตและดารกาโทรศัพท์ถามตามสถานีตำรวจ ขณะที่แนนนั่งหน้างออยู่โดยมีโป่งนั่งท้าวแขนอยู่ข้างๆ เก้าอี้
ครู่ต่อมาธานีและรัดเกล้าก็เดินเข้ามาสมทบ หลังจากออกไปสอบถามเพื่อนบ้านละแวกนั้นจนทั่ว
“เป็นไงลูก มีใครเห็นคุณอิงบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลยครับ”
“เกล้าถามทุกบ้านเลยค่ะ
จังหวะชุลมุนนั้นชิกเก้นก็กระโดดขึ้นมาเกาะขอบหน้าต่าง ตรงหน้าแนนนี่และพยักหน้าเรียก แนนนี่เหลือบตามองทุกคนแล้วลุกขึ้น โป่งถามเสียงเบา
“จารย์จะไปไหน”
“ไปหาเบาะแส”
“โป่งไปด้วย”
“ไม่ต้อง! ถ้าตามมาจะไม่สอนกลให้อีก”
แนนนี่ขู่เสร็จก็รีบพุ่งออกไป
แนนนี่เดินตามชิกเก้นมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง แนนนี่กอดอกยังหน้างออยู่
“มีอะไรก็ว่าไป”
“ชิกเก้นเจอคุณอิงแล้ว”
แนนนี่ชะงัก แล้วรีบถามทันที “คุณอิงอยู่ที่ไหน
“ไม่ใกล้ไม่ไกลหร้อก”
ทาฮิร่ากลอกตาไปมาแล้วหันกลับมาทางแนนและชิกเก้น
“คุณยายต้องพยายามนึกคาถากลับร่างเดิมให้ได้ โดยเร็วที่สุดนะคะ” แนนนี่บอก
“โธ่เอ๊ย ยายน่ะพยายามนึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกซักกะที”
“นึกไม่ออก แล้วจะไปสาปเขาทำมั้ย” ชิกเก้นแขวะเข้าให้
“ก็บอกแล้วว่า ฉันไม่ได้สาปคุณอิง ฉันจะแปลงเป็นนกจิ๊บๆ ไปแอบฟังว่าบาบาร่าคุยอะไรกับคุณอิง”
“ตะขาบกับนกจิ๊บๆ มันไม่ได้ใกล้เคียงกันเล้ย” ชิกเก้นบ่นอีก
แนนนี่เดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วดีดนิ้ว นัยน์ตาเป็นประกายด้วยนึกขึ้นได้
“ใช่แล้ว”
“อะไร” สองนายบ่าวประสานเสียงอย่างตื่นเต้นตาม
“แนนนี่เคยเปิดเจอ ตะขาบกับนกออกเสียงคล้ายๆ กัน ... อิเดเด แปลว่าตะขาบ ถ้านกต้องพูดว่าอิเคเค!”
ทาฮิร่าตบเข่าฉาดใหญ่ “นั่นไง ฉันว่าแล้ว ไอ้ชิคเก้นน่ะซิ ทำให้ฉันสับสน”
“อ้าว! เฮ้ย! โยนกันดื้อๆเลย” ชิกเก้นโวย
“แนนนี่จะพาตะขาบคุณอิงออกไป....อยู่ทางนี้คุณยายว่าคาถานะคะแล้วก็ระวังอย่าให้ผิดด้วยล่ะ”
“จ้ะ...จ้ะ...คราวนี้รับรองว่าไม่ผิดแล้ว”
แนนนี่ทรุดตัวลงแล้วช้อนตะขาบขึ้นมาในอุ้งมือ “คุณอิงไปกับแนนนี่นะคะ” แนนนี่พาตะขาบออกไป
“เอาละ ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ได้แล้วคุณยาย” ชิกเก้นกำชับทาฮิร่า
“รู้แล้ว” ทาฮิร่าพูดเสียงสะบัด
ทาฮิร่าตั้งสมาธิ ยื่นแขนไปข้างหน้า ม้วนมือไปมา พลางเริ่มว่าคาถา
แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นในบริเวณที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา พร้อมตะขาบในมือ แนนนี่ค่อยๆ วางตะขาบอิงอรลง
“อดใจเดี๋ยวเดียวนะคะ คุณอิง”
“อลา ...ควา...ปารจา ....เอล...อิเด...เด”
นัยน์ตาทาฮิร่าในขณะท่องมาตราอยู่นั้นเป็นประกายสีเหลืองวาบ
พร้อมกันนั้นก็เกิดแสงวูบวาบโดยรอบตัวตะขาบอิงอร
แนนนี่ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ “ค่อยยังชั่ว”
แสงวูบวาบนั้นจางหายไป แนนนี่ซึ่งจ้องมองดูตะขาบอิงอรอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หุบยิ้มทันที
จากตะขาบ เวลานี้กลับกลายเป็นนกตัวเล็กๆ
“โธ่เอ๊ย คุณยาย” แนนนี่สุดจะเซ็ง
นกน้อยอิงอรมองไปโดยรอบอย่างตระหนก แล้วบินหนีไป
“ตายแล้ว คุณอิง...กลับมาก่อนค่ะ คุณอิง ...กลับมาก่อนค่ะ คุณอิง”
นกน้อยอิงอรบินไปไกลลับตา
ส่วนทาฮิร่าก็ถอนใจเฮือกใหญ่ขณะทรุดตัวลงนั่ง
“เฮ้อ! โล่งใจไปที”
แนนนี่ปรากฏตัวขึ้น
“คุณยาย”
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ทาฮิร่าถามน้ำเสียงร้อนเร่ง
“ค่ะ บินหายไปเรียบร้อย”
ทาฮิร่าภาคภูมิใจในผลงานตัวเองเต็มประดา
“เห็นมั้ย ยายทำได้แล้ว” ทาฮิร่าชะงัก “เดี๋ยว แนนนี่ว่าใครบิน”
“คุณอิงค่ะ จากตะขาบกลายเป็นนกบินหายไปเรียบร้อย” แนนนี่บอก
“นึกแล้ว ชิกเก้นถึงได้ว่าคาถาฉันฟังทะแม่งๆ” ชิกเก้นว่า
“เอาเชียว...เอาเชียว แกนี่น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น...ไอ้ซ้ำเติม”
“คุณยายต้องตั้งสมาธิแล้วว่าคาถาใหม่อีกครั้งค่ะ...จะใช้อิเดเด หรือ อิเคเคไม่ได้เด็ดขาด”
“รู้แล้ว ยายต้องใช้คำว่า อีคาอูลา ซึ่งแปลว่ามนุษย์...“ ทาฮิร่าขยับตั้งท่า “...เอาละนะ...”
“ช้าก่อน ถ้าเกิดคุณอิงกลับเป็นมนุษย์ นางมิตกลงมาชักกระตุกจุกแอ้กๆ เรอะ” ชิกเก้นร้องบอก
“ไม่เป็นไร แนนนี่จะสะกดให้แกไปที่คอนโดฯ ปีเตอร์”
ทาฮิร่าชะงัก ถามอย่างสงสัย “หลานทำได้เรอะ”
“คิดว่าได้ค่ะ” แนนนี่บอก
ทาฮิร่าฟังแล้วมีสีหน้ากังวลแว่บหนึ่ง
“แนนนี่เริ่มก่อนนะคะ”
แนนลงนั่งขัดสมาธิ แบมือทั้ง 2 ข้างลงบนตัก แล้วหลับตา เริ่มว่าคาถา
ระหว่างนั้นปีเตอร์กำลังนั่งพิมพ์รายงานอยู่ในห้องที่คอนโด เหมือนลมพัดวูบมา บานมุ้งลวดถูกแรงลมวูบนั้นพัดจนเปิดออก นกน้อยอิงอรเหมือนถูกแรงลมดูดเข้ามา นกเซถลามาหลบอยู่มุมห้อง จากนั้นหน้าต่างมุ้งลวดก็ปิดเข้าไปเอง โดยที่ปีเตอร์ไม่รู้สึกตัวว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ทาฮิร่าเริ่มม้วนมือไปมาพลางว่าคาถา
“อลา ....ควา...ปารจา...เอล...อิลาอูลา ...มานซา”
แนนและชิกเก้นซึ่งคอยจับตามองอยู่อย่างลุ้นระทึก ต่างพากันถอนใจอย่างโล่งอก
นัยน์ตาทาฮิร่าเป็นสีเหลืองแว่บขึ้นมา
นกน้อยอิงอรซึ่งหลบอยู่ใต้โต๊ะ ค่อยๆ กลับกลายร่างเป็นอิงอรคนเดียว ทว่าเพราะนั่งตัวงออยู่พอยืดตัวขึ้น หัวจึงชนโต๊ะโครม อิงอรร้องเสียงลั่น
“โอ๊ย”
ปีสะดุ้งเฮือกหงายหลังล้มไปทั้งเก้าอี้ และคน
“เฮ้ย”
ปีเตอร์ค่อยๆ พยุงตัวนั่ง ขณะที่อิงอรค่อยๆ คลานออกมาจากใต้โต๊ะ
“ผีหลอก”
ทั้งสองคนหันมาเห็นหน้ากันอย่างถนัด
“คุณอิง” ปีเตอร์แปลกใจสุดๆ
“ปีเตอร์ ...ใช่มั้ย” อิงอรถามขึ้นประโยคหลังไม่แน่ใจ
“คุณอิงเข้ามาได้ยังไง” คราวนี้ปีเตอร์ประหลาดใจสุดๆ
อิงอรจ้องเขม็ง
“เธอลักพาตัวฉันมาใช่ไหม นายปีเตอร์ เธอเป็นเพื่อนแนนนี่เธอรู้ว่าฉันรู้ความลับของเพื่อน ก็เลยลักพาตัวฉันมาเพื่อจะฆ่าปิดปาก ช่วยด้วย ช่วยด้วย” อิงอรตะโกนลั่นห้อง
“เดี๋ยว คุณอิง ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น” ปีเตอร์โวยวายปฏิเสธ
ทั้งสองคนตะโกนแข่งกันวุ่นวาย
“อะไรนะ” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกันหลังฟังแนนนี่ที่มาบอกเรื่องอิงอร แนนนี่ยิ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจ
“ทุกท่านฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ปีเตอร์เพื่อนรัก” แนนนี่เน้นและปรายตาไปที่ภวัตแว่บหนึ่ง “กำลังพาคุณอิงกลับมา”
“แล้วปีเตอร์กับคุณอิงไปเจอกันได้ยังไง” ธานีถาม
“แหม ก็โลกมันกลมไงคะ” รัดเกล้าว่า
“ใช่เลยค่ะ พี่เกล้าให้คำจำกัดความได้เป๊ะมาก” แนนนี่ผายมือไปที่รัดเกล้า
ตลอดเวลาภวัตมองแนนอย่างครุ่นคิด ในขณะที่ปัทมนฟังเงียบๆ เพราะพอจะเดาออกแล้ว ส่วนดารกาลอบสังเกตท่าทีระหว่างภวัตกับแนนนี่
“ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่มันก็เป็นไปได้ แล้วก็ทำให้เราทุกคนโล่งใจด้วย” จักรวาลสรุป
สีหน้าแต่ละคนบอกความรู้สึกแตกต่างกันไป
ทาฮิร่าสีหน้าเคร่งขรึม ขณะเบือนหน้ากลับมาทางชิกเก้น พูดในเชิงหารือขึ้น
“แนนนี่อาคมแก่กล้าขึ้นทุกวัน ใครจะนึกว่า อายุเพียงเท่านี้แกยังใช้เวทมนตร์ยุติเรื่องยุ่งๆ นี่ได้”
“แหม! ก็คนวัยขนาดคุณยายยังก่อเรื่องยุ่งๆ”
ทาฮิร่าหงุดหงิดพูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ฉันกำลังซีเรียสนะ....เจ้าชิกเก้น.... เครียดด้วย”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม” ชิกเก้นว่า
“ใช่! มันเป็นเวรกรรมของฉันเอง ที่กำจัดทารกอสูรไม่ลง มิหนำซ้ำยังหาที่อยู่อย่างดีให้ แล้วก็คอยดูแลจนเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์และพลังอันมหาศาล...พลังที่จะย้อนกลับมาทำลายเมืองแม่มดแล้วก็พี่น้องของฉันเอง”
“เฮ้อ! กรรมใครก็กรรมมัน เราเตือนคุณแล้ว”
ทาฮิร่าทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยใจ
“พอฉันเห็นอิทธิฤทธิ์ของแกวันนี้...ฉันกลัวเหลือเกิน กลัวจะเจ็บใจ”
“คุณยายพูดเสียจนชิกเก้นเริ่มจะเครียดไปด้วยแล้ว”
“ดี ฉันไม่อยากเครียดคนเดียว....แกคิดว่าฉันควรจะทำยังไงดี”
“สารภาพผิด แล้วก็ส่งตัวอสูรให้ทางการ” ชิกเก้นประชดส่ง
“แกทำได้มั้ยล่ะ” ทาฮิร่าประชดกลับ
“ไม่ได้....โธ่ ชิกเก้นเห็นแนนนี่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“ฉันก็เหมือนกัน”
“ถ้าคุณยายมอบตัวอสูรให้ท่านหัวหน้าตั้งแต่วันนั้น ...ป่านนี้ก็สบายหายห่วงไปแล้ว”
“ฉันจะทำยังไงดี”
“ปรึกษาคุณยายบาซิ”
ชิกเก้นหมายถึงให้ไปปรึกษากับบาบาร่า ทาฮิร่าส่ายหน้าทันที
“ไม่มีวัน บาบาร่าเป็นอันตรายต่อแนนนี่มากที่สุด” ทาฮิร่าว่า
“แนนนี่ก็เป็นอันตรายกับพวกแม่มดมากที่สุด”
ทาฮิร่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่า...เราจะปรึกษานายภวิตดี”
“เขาชื่อ ภวัต” ชิกเก้นบอกเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
“นายคนนี้ท่าทางไม่เลว ถึงแม้จะโง่ไปสักหน่อย แต่ก็มีความจริงใจ”
“เขาคงเชื่อหร้อก...” ชิกเก้นประชดเสียงสูง
“อย่าทำเป็นดูถูกไป” ทาฮิร่ายิ้มกริ่ม
ทุกคนออกมารอรับที่หน้าบ้านอิงอร เมื่อเห็นปีเตอร์และอิงอรเปิดประตูรถก้าวออกมา
“พวกเราเป็นห่วงกันแทบตาย คุณอิงไปไหนมาครับ” จักรวาลถาม
“ออกไปนอกบ้านค่ะ เอ๊ะ! ทำไมทุกคนถึงได้ทำหน้ายังกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยังงั้นล่ะคะ แปลก! คุณอิงต้องขอตัวก่อนละ อยากจะพักผ่อน”
อิงเดินเลยเข้าไป แล้วหยุดเดินเหมือนนึกได้ หันกลับมา
“ขอบใจนะปีเตอร์
“ไม่เป็นไรครับ ยินดีที่ได้รับใช้”
ปีเตอร์หันหลังกลับเดินออกไปขึ้นรถ ทุกคนมองตาม
ธานีอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอน แล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังบ้านจักรวาล เห็นห้องนอนรัดเกล้าปิดไฟมืด
ธานียิ้มนิดๆ แล้วพึมพำออกมา
“นอนเร็วจัง เพิ่งจะ 3 ทุ่มเอง”
ธานีขยับตัวจะผละออกจากหน้าต่าง แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อมองไปที่สวนข้างล่างของบ้านตัวเองโดยบังเอิญ
เห็นดารกานั่งเหมือนใจลอยอยู่
ธานีมองดารกาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ดารกาทอดถอนใจออกมา ก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์ ธานีซึ่งกำลังเดินตรงมา ชะงัก หลบฟัง
“น้องดาโทร.มารบกวนพี่ภวัตหรือเปล่าคะ ....” ดารกาเว้นนิดหนึ่ง “...คือน้องดามีธุระสำคัญอยากจะคุยด้วยน่ะค่ะ”
ธานีค่อยๆ หันหลัง เดินกลับไปอย่างเบาๆ
“พรุ่งนี้น้องดาต้องกลับหอแล้ว...ค่ะ.... ขอบคุณมากค่ะ”
ดารกาสูดลมหายใจยาว สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก
โทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงในห้องนอนรัดเกล้าดังขึ้น รัดเกล้างัวเงียหยิบมาแล้วปิด หันไปนอนต่อ
ธานีทำหน้าเซ็งๆ เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับ
“ยัยเกล้านะ ยัยเกล้า”
ดารกาเปิดประตูรับภวัตเข้ามาภายในบ้านปัทมน
“ขอบคุณมากค่ะ ที่กรุณามาพบน้องดา”
ดารกาเบี่ยงตัวให้ภวัตเข้ามา แล้วปิดประตู ภวัตเดินตามดาไปเงียบๆ
“น้องดามีธุระอะไรกับพี่หรือ”
“คุณลุงเล่าให้พี่ภวัตฟังหรือยังคะ”
“เรื่อง...” ภวัตถามอีก
“เรื่อง....” ดารกาก้มหน้าเหมือนจะข่มความอาย “เอ้อ....เรื่องของเรา...น่ะค่ะ”
“พูดแล้วจ้ะ”
ดารกาเงยหน้ามอง น้ำตารื้นขึ้นมา “พี่ภวัตคิด...ว่ายังไงคะ”
ภวัตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “พี่คิดว่ายุติธรรมสำหรับน้องดา”
จู่ๆ เสียงแนนนี่ก็ดังมาลอดเข้ามา “ฮะแฮ้ม แอบมาคุยกันอยู่ที่นี่เอง”
ทั้งสองคนสะดุ้งนิดๆ หันไปมองตามเสียง เห็นแนนนี่เดินเอามือไขว้หลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เข้ามา
“ขอแนนนี่คุยด้วยได้หรือเปล่าเอ่ย”
“ไปนอน” ภวัตพูดเหมือนจะสั่ง
“เค้ายังไม่ง่วงนี่” แนนนี่โวยวาย
“แนนนี่...พี่ขอเวลาคุยกับพี่ภวัตเดี๋ยวเดียวนะจ้ะ...พรุ่งนี้พี่ก็ต้องกลับหอ” ดารกาพูดเสียงอ่อนโยน
“ก็คุยไปซิ แนนนี่ไปว่าอะไรล่ะ”
ภวัตหันมาดุ
“เหลวไหลใหญ่แล้ว เป็นเด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก”
“ถ้าแนนนี่เด็ก...พี่ดาก็เด็ก โธ่เอ๊ย แก่กว่าแนนนี่ซักกี่วันเชียว” แนนนี่เถียงคำไม่ตกฟาก
“พี่หมายถึงวุฒิภาวะ น้องดามีวุฒิภาวะมากกว่าเธอเยอะ”
แนนไม่ยอมง่ายๆ พูดประชดเสียงแหลม
“โอ๊ย! วุฒิภาวะ เดี๋ยวจูบเดี๋ยวกอดกับผู้ชายนี่เหรอวุฒิภาวะ ถ้าทำแบบนั้น แปลว่ามีวุฒิภาวะแนนนี่ก็มีได้ นี่ไง”
แนนนี่โผเข้ากอดคอ และจูบภวัต ภวัตและดารกาต่างตกตะลึง
“เย้! แนนนี่มีวุฒิภาวะแล้ว”
แนนนี่หันหลังวิ่งจู๊ดกลับไปลิบแล้ว
ภวัตและดารกามองตาม จังหวะนั้นภวัตยกมือแตะปากตัวเอง ขณะที่นัยน์ตาดารกาแดงวาบเป็นประกายดุดัน
อ่านต่อหน้า 3 วันพรุ่งนี้ (ศุกร์ 27 ม.ค. 2555) เวลา 9.30 น
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในขณะที่ธานีนั่งดูทีวีอยู่ในห้องโถง แต่ไม่ได้จดจ่อใส่ใจดูอะไรนัก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องน้องสาว ระหว่างนั้นแนนนี่เดินแกมวิ่งเข้ามา นัยน์ตาเป็นประกายเข้ามา
“อ้าว แนนนี่ ไปไหนมา”
แนนนี่มีสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ ขณะบอกธานี
“พี่ธานี แนนนี่มีวุฒิภาวะแล้วค่ะ” ว่าแล้วแนนนี่วิ่งขึ้นบันไดไป
“เดี๋ยว”
แนนนี่ไม่ได้ฟัง วิ่งเลยขึ้นห้องตัวเองไป ธานีถึงกับงง
“อะไรของเค้า....มีวุฒิภาวะ”
ส่วนทาง พอตั้งสติได้ก็หันมาทางดารกา สีหน้าเหมือนยังเก้อๆ ดารการีบเบือนหน้าไปอีกทาง เพื่อซ่อนนัยน์ตาที่ยังคงแดงก่ำ
“น้องดา.... อย่าถือสาแนนนี่เลยนะ....” ภวัตเข้าใจผิดคิดว่าดารกาเสียใจ
ดารกาข่มความรู้สึกหลับตาลง ภวัตเห็นดารกาเงียบไป จึงเดินเข้ามาใกล้
“น้องดา...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ดารกาลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีแดงเมื่อครู่ค่อยๆ เลือนหายเป็นดวงตาปกติ ดารกาเบือนหน้ากลับมา นัยน์ตาเศร้ามีน้ำตาคลอหน่วย
“น้องดาเสียใจค่ะ ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีให้น้อง”
“แนนนี่...เอ้อ ....เหลวไหลเอง น้องดาไม่ผิด”
“ผิดซิคะ น้องดาผิดมากด้วย”
ภวัตเชยคางดารกาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“พี่ไม่อยากให้น้องดาคิดมาก ไม่ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องที่คุณพ่อพูด อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พี่อยากให้น้องดา
มีสมาธิกับการเรียน ยิ่งปีสูงขึ้น วิชาก็ยิ่งยากขึ้น เช่นเดียวกับความรับผิดชอบ”
ดารกาน้ำตาหยดไหลเป็นทาง แต่ใบหน้านิ่ง ไม่มีอาการคร่ำครวญ
“พี่ภวัตรังเกียจน้องดา”
“เปล่าเลย” ภวัตตกใจรีบพูดสวนขึ้นทันที
“งั้นก็สัญญาซิคะว่าจะรอจนกว่าน้องดาจะเรียนจบ”
เจอดารการุกเร้า ภวัตถึงกับอึ้งไป สีหน้าเริ่มอึดอัด
ดารกาเห็นอาการภวัตก็ยิ่งน้อยใจสุดๆ แต่ก็เก็บอาการไม่ฟูมฟายออกมา
“น้องดาเข้าใจพี่ภวัตแล้วค่ะ”
จากนั้นดารกาก็เดินแกมวิ่งออกไป
“น้องดา”
ภวัตพยายามเรียกไว้ แต่ไม่ทัน ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความหนักใจ
ดารกายังเดินแกมวิ่งเข้ามาในบ้าน เธอเข้ากับธานี
“น้องดา เดี๋ยวซิ”
ดารกาไม่ใส่ใจวิ่งหนีขึ้นบ้านไปเลย
“เป็นอะไรกันไปหมด” ธานีบ่นพึมพำออกมา
ส่วนภวัตกำลังจะเปิดประตูรั้วเข้าบ้านตัวเอง แต่ได้ยินเสียงธานีเรียกขึ้นมาเสียก่อน
“ภวัต”
ภวัตหันกลับมา
ธานีมีสีหน้าเคร่งขรึมจนเห็นได้ชัด
“แกทำอะไรน้องสาวฉัน”
“เปล่า...” ภวัตตอบลากเสียงยาว สีหน้าเหมือนยุ่งยากใจ
“แกจะปฏิเสธไหมว่า แกเข้ามาคุยกับน้องดา แล้วก็อาจจะแนนนี่ด้วยเพราะฉันเห็นทั้ง 2 คน วิ่งเข้าบ้านไล่ๆ กัน”
“เออ! แต่มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด” ภวัตบอก
ธานีเดินมาใกล้ถามกวนๆ “รู้เรอะว่าฉันคิดอะไร”
ภวัตได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น
“แกกำลังจะทำให้น้องสาวฉันผิดใจกัน”
“แล้วคิดว่า ฉันอยากให้เป็นยังงั้นเรอะ” ภวัตพูดอย่างอัดอั้น
ขาดคำธานีก็ต่อยภวัตเข้าไปหนึ่งโครม ภวัตไม่ทันระวังถึงกับเซไปปะทะประตู
“นี่แค่สั่งสอน อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ไม่งั้นแกโดนหนักกว่านี้แน่”
ธานีเดินเข้าบ้าน ในขณะที่ภวัตยกมือเช็ดมุมปากที่เลือดออก
ภวัตเดินขึ้นบันไดมา ขณะที่เกล้าเปิดประตูห้องนอนออกมาพอดี รัดเกล้าชะงักเมื่อเห็นสภาพพี่ชาย
“พี่ภวัตไปต่อยกับใครมา”
“เปล่า ...พี่หกล้มน่ะ” ภวัตเดินเลยจะไปห้อง
“เดี๋ยว ....” รัดเกล้าเรียกเสียงสูงแล้วรีบก้าวมาขวางด้วยความเป็นห่วง “...ล้มตรงไหน ทำไมแผลถึงได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น”
“ยุ่งน่า” ภวัตจับตัวน้องให้หลีกไป แล้วรีบเดินเข้าห้องทันที โดยไม่ตอบอะไรอีก
“ต้องไปต่อยกับใครมาแน่ๆ”
รัดเกล้าทำท่าเหมือนนึกได้ รีบกลับเข้าห้องตัวเองไป
พอเข้ามาในห้องรัดเกล้ารีบเข้ามาหยิบมือถือ แล้วเปิดเครื่อง หลังจากปิด เพราะรำคาญธานี
“ต้องปรึกษาพี่ธานี” รัดเกล้ากดโทร.หา แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ รัดเกล้าถอนใจเฮือก “ชิชะ ... อีตอนเราหลับ ดันโทร.มาปลุก พอเราตื่น จะโทร.ไปบ้างก็ดันปิดเสียนี่”
รัดเกล้าวางโทรศัพท์ แล้วเอนตัวลงนอน
“ใครบังอาจต่อยพี่ภวัต”
สีหน้ารัดเกล้ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
หลังจากเช็ดแผลเสร็จ ภวัตก็เอนตัวลงนอน ใบหน้าภวัตยิ้ม นัยน์ตามีแววฝันๆ นึกไปถึงตอนที่แนนนี่กระโดดเข้ามาจูบ ภวัตลืมตาขึ้น สีหน้าสดชื่นแบบไม่รู้ตัว
“เด็กอะไร .... วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
ภวัตถอนใจยาว ยิ้มอย่างเป็นสุข
“หยุดเดินไปเดินมาเสียทีได้มั้ย เวียนหัว”
ชิกเก้นบ่นแนนนี่ที่เดินไปเดินมาไม่หยุดโดยไม่พูดไม่จาตั้งแต่เข้าห้องมา แนนนี่หยุดแล้วกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียง
“ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แนนนี่จูบพี่ภวัต”
ชิกเก้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วร้องลั่น “โอว โน!”
“โฮ้ย เสียงดังไปได้” แนนนี่เอ็ดเอา
ชิกเก้นพูดชื่อแนนนี่ติดๆ กัน “แนนนี่ๆๆๆๆๆ ชักจะเลอะเทอะใหญ่แล้ว โอว! แม่เจ้า”
แนนนี่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง ถอนใจเฮือกๆ “แนนนี่ก็รู้ว่า แนนนี่ทำผิด”
“คุณยายทาฮิร่าว่าไงเนี้ย”
“ชิกเก้นก็อย่าบอกซิ” แนนนี่เว้นจังหวะนิดหนึ่ง “... คิดแล้ว อ๊าย...อาย...แนนนี่คงสู้หน้าพี่ภวัตไม่ได้ไปอีกนาน”
“ไม่น่าเล้ย .... แนนนี่”
“ก็ตอนนั้น มันคิดอยากจะเอาชนะพี่ดาอย่างเดียว ฮึ ทำสำออยกับพี่ภวัต” แนนนี่ฮึดฮัด
“จำไว้เป็นบทเรียนเลยนะแนนนี่ว่าอย่าทำอะไรโดยไม่คิด” ชิกเก้นบอกเตือนอย่างเป็นห่วง
แนนนี่ถอนใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย
ดึกสงัดของคืนนั้น ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยลอยผ่านก้อนเมฆสีดำ สีเหลืองนวลของดวงจันทร์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงน่ากลัว
บ้านปัทมนมืดสนิททั้งหลัง มีเพียงโคมไฟที่ประตูรั้วบ้านเปิดสว่างอยู่ ทุกคนหลับกันหมดแล้ว
ภายในห้องดารกานอนหลับสนิท ขณะที่มีเสียงกระซิบเรียกเบาๆ
“ดารกา....ดารกา....ดารกา”
ดารกาขยับตัวเล็กน้อย
“ดารกา” เสียงนั้นเรียกออกมาอีก
ดารกากระสับกระส่าย
“มันกล้าท้าทายเจ้า....มันเป็นศัตรูร้าย”
ระหว่างนั้นอสูรรูปปั้นบนหัวเตียงนอน ก็ซ้อนตัวขึ้นมา ใบหน้าขยับเริ่มมีชีวิต...นัยน์ตาแดงก่ำ เขี้ยวโง้งสะท้อนแสงจันทร์วาววับ
“กำจัดมัน....กำจัดมัน” ปากรูปปั้นขยับ
ดารกาตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อโทรมเต็มใบหน้า หญิงสาวหายใจหอบแรง
ดารกาตั้งสติ แล้วจึงค่อยๆ เบือนหน้าไปมองรูปปั้นนั้น
เมื่อเห็นรูปปั้นยังเป็นปกติ ดารกาถอนใจยาวโล่งอก แล้วเอนตัวลงนอน ดวงตาจับจ้องมองเพดานครุ่นคิดอย่างหนัก
ดอกไม้สวยๆ แข่งกันเบ่งบานอวดความสวยแข่งกันในสวยบ้านปัทมนท่ามกลางความสดชื่นของยามเช้า
เวลานั้นภายในห้องทานข้าว ผาดยกข้าวต้มทรงเครื่องมาวางให้ธานี
“น่ากินจัง” ธานีเอ่ยขึ้น
“จะรับไข่เจียวของโปรดด้วยไหมคะ”
“พอแล้วจ้ะ ไข่เจียวเอาไว้ตอนเย็น
รัดเกล้าเดินเข้ามา
“คุณเกล้า จะรับข้าวต้มไหมคะ”
รัดเกล้าลงนั่งยิ้มให้ผาดแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่จ้ะ เกล้าอิ่มแล้ว ขอบคุณมาก” รัดเกล้าหันไปหาธานี “พี่ธานีเกล้ามีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”
ผาดเดินออกไปอย่างรู้มารยาท
“ว่ามาเลย พี่ฟังไปกินไปนะ”
“ตามสะดวก คืองี้ ไม่รู้ว่า เมื่อคืน พี่ชายของเกล้าไปโดนใครต่อยมา”
ธานีสำลักข้าวพรวด รีบหยิบน้ำมาดื่ม
“ปากแตกเลือดออกเลย ถามก็ไม่ยอมบอก พี่ธานีช่วยสืบให้หน่อยนะ แล้วจะเลี้ยงดินเนอร์มื้อนึง”
“งั้นเย็นนี้ไปกันเลย”
รัดเกล้าเบิกตากว้าง “แปลว่าพี่รู้”
ธานียักคิ้วให้ “เรียกว่าอยู่ในเหตุการณ์ดีกว่า”
“บอกมาว่าใคร”
ธานีไม่ทันสังเกตท่าทางเอาเรื่องของเกล้า บอกไปเสียงเรียบ “พี่เอง” ก่อนจะหัวเราะออกมา
รัดเกล้าผุดลุกขึ้น สีหน้าท่าทางโกรธจัด
“พี่ธานีต่อยพี่ภวัต”
“จะใครเสียอีกล่ะ” ธานีตักข้าวเข้าปากต่อ
รัดเกล้าดึงคอเสื้อธานีให้ลุกขึ้น ธานีตกใจ
“เฮ้ย”
รัดเกล้าซัดโครมเข้าที่หน้าธานี ซัดอย่างหนักแบบจัดเต็ม
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย” ข้าวกระเด็นออกจากปากธานี แล้วทรุดลงไปกองกับพื้น
“โทษฐานที่บังอาจต่อยพี่ชายเกล้า” รัดเกล้าปัดมือ แล้วเดินออกไป
ผาดได้ยินเสียงรีบเข้ามา
“ว้ายตายแล้ว นี่มันอะไรกันคะ”
ผาดช่วยประคองธานีลุกขึ้น มีเลือดออกมุมปากธานีเหมือนภวัตเมื่อคืนไม่ผิด
“โอย หมัดหนักชะมัด อูย”
แนนนี่นั่งท้าวคางอยู่มุมหนึ่งในบริเวณมหา’ลัย สีหน้าและแววตาเหมือนใจลอย และตกอยู่ในภวังค์
ปีเตอร์เดินเข้ามา ยกหนังสือปัดไปมาตรงหน้าก็ไม่เห็น
“ตื่น ตื่น”
แนนนี่หงุดหงิด ปัดมือปีเตอร์อย่างแรงจนหนังสือตกจากมือ “อย่ามายุ่ง”
ปีเตอร์ชะงักถามโพล่งออกมา “เป็นอะไร”
“เป็นคนขี้รำคาญ แล้วตอนนี้ก็กำลังรำคาญปีเตอร์สุดๆ”
แนนนี่พูดจบก็หอบหนังสือตัวเองเดินหนีไป ปีเตอร์มองตาม ด้วยสีหน้าแววตา บ่งบอกว่าน้อยใจสุดๆ
รัดเกล้าสะพายกระเป๋าเดินออกมา แล้วตรงไปที่รถ ซึ่งโป่งกำลังเช็ดรถให้อยู่
“พอแล้ว”
“แต่ผมยังไม่ได้เช็คใต้ท้องรถเลยครับ”
รัดเกล้าจ้องเขม็ง โป่งหลบตา ในขณะที่ทั้งสองพูดกันอยู่นั้นธานีเดินเข้ามา
“น้องเกล้า”
รัดเกล้าหันมามอง แล้วเชิดหน้าขึ้น
“คุณธานีมาครับ” โป่งบอกรัดเกล้า
“ฉันไม่ได้ตาบอด” รัดเกล้าเอ็ดโป่ง
“โป่งเห็นคุณเกล้าเฉยๆ” โป่งหันมาทักธานี “อ้าว! คุณธานี ปากไปสัมผัสกับกำปั้นใครมาครับ” คราวนี้หันมาบอกรัดเกล้า “คุณเกล้าดูซิครับ คุณธานีถูกต่อย”
“โป่ง” ธานีเรียก
“ครับ” โป่งรีบหันมา
เจอธานีชูกำปั้นให้ดู
“อ๋อ... คุณธานีเก็บเอาไว้สวนไอ้คนที่มันต่อยคุณเถอะครับ”
ธานีเบือนหน้าไปมองทางรัดเกล้า เห็นรัดเกล้าถลึงตาใส่โป่ง
“นายไป... ไปเปิดประตูก่อน”
โป่งรีบเดินไปทำตามคำสั่ง
“น้องเกล้า”
“หลีกไป”
“พี่จะอธิบายให้ฟัง”
รัดเกล้าไม่แยแส เดินขึ้นรถ แล้วสตาร์ท ธานียังยืนที่ท้ายรถขวางไว้ รัดเกล้าถอยรถทันที ธานีตกใจรีบหลบแทบไม่ทัน โป่งสะดุ้งเฮือก เอามือปิดตา
รัดเกล้าขับออกไป ในขณะที่ธานียืนมองพลางห่อปากด้วยความหวาดเสียวแกมทึ่งในความเด็ดเดี่ยวของรัดเกล้า
อาจารย์กำลังบรรยายอยู่หน้าชั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ตั้งใจเรียนอย่างดี มีเพียงแนนนี่ที่นั่งใจลอย และปีเตอร์เองก็คอยมองแนน โดยไม่เป็นอันเรียน
ในขณะที่อาจารย์ประจำวิชาบรรยายให้นักศึกษาหัวเราะกันบ้าง ถาม และตอบอาจารย์กันอยู่นั้น แนนนี่ยังคงใจลอย และเอาแต่ทอดถอนหายใจออกมาเป็นระยะๆ
หมดคาบเรียนนั้นแนนนี่หอบหนังสือเดินช้าๆ ตรงมานั่งที่มุมเดิม ปีเตอร์เดินตามมาเงียบๆ
“ขอนั่งด้วยคนนะ รับรองว่า ผมจะไม่รบกวนแนนนี่เลย จะรอจนกว่าแนนนี่อยากพูดกับผมเอง...”
ปีเตอร์พูดไม่ทันจบ โทรศัพท์แนนนี่ก็ดังขึ้น แนนนี่เปิดกระเป๋าหยิบขึ้นมากดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อโป่ง
“ว่าไง โป่ง”
ปีเตอร์ลอบมองแนนเงียบๆ และกางหนังสือออก ประมาณว่า พอแนนนี่มองมาเมื่อไหร่ ปีเตอร์จะได้ทำเป็นก้มลงดูหนังสือ
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ จารย์”
“หือ...เรื่องอะไร”
“คุณเกล้าต่อยคุณธานีครับ พอคุณธานีตามมาปรับความเข้าใจ คุณเกล้าก็ถอยรถเกือบชนคุณธานีแน่ะครับ”
“อ้าว ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ”
“อันนี้ก็สุดปัญญาของโป่งครับ”
“ขอบใจมาก ฉันจะสืบเอง”
“ทราบแล้วเปลี่ยนครับ”
แนนนี่ปิดโทรศัพท์แล้วหันมามองปีเตอร์ ในขณะที่ปีเตอร์รู้ตัวรีบก้มหน้างุดไปดูหนังสือ
“ปีเตอร์ “
ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นทันที
“แถวบ้านแนนนี่ ต่อยกันมั่วเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ หรือว่า”
“หรือว่าอะไร”
“เรื่องของพี่ภวัตกับแนนนี่”
ปีเตอร์ชะงัก แนนนี่พึมพำเข้าข้างตัวเอง
“ต้องใช่แน่ๆ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“บอกไม่ได้ ความลับ ไปกินข้าวกันเถอะ”
เสียงโทรศัพท์ปีเตอร์ดังขึ้น ปีเตอร์ดูโทรศัพท์แว่บหนึ่ง
“หม่าม้าโทร.มา แนนนี่ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมตามไป”
แนนพยักหน้า แล้วเดินไป
“ครับ หม่าม้า”
“ทำไมเสียงเซ็งนักล่ะ สดชื่นหน่อย เอ้า ป๊าพูดกับลูกมั่ง”
“ว่าไง ปีเตอร์ เงินไม่พอหรือเปล่า เดี๋ยวป๊าใส่บัญชีให้อีก”
“เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกครับ ป๊า”
“ลื้อจะซื้ออะไรบอกมา เดี๋ยวป๊าจะจัดการเอง”
“ความรักครับ เท่านี้ก่อนนะครับ... ผมจะไปกินข้าว”
“เดี๋ยว ม้าเค้าจะพูดด้วย”
“อย่ายอมอกหักเด็ดขาด ลื้อต้องสู้ ตระกูลเราไม่เคยมีใครอกหัก สู้เว้ย
“แค่นี้นะครับ”
ปีเตอร์ปิดโทรศัพท์วางสายจากป่าป๊า และหม่าม๊า บุพการีที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าแม้กระทั่งแนนนี่ ได้ยินเพียงเสียงพูดเว่อร์ๆ ตื่นตูมตลอดของทั้งคู่ จังหวะนั้นปีเตอร์ถอนหายใจยาวออกมาแล้วเดินตามแนนนี่ไป
ที่โรงพยาบาลเวลาเดียวกันนั้น คนไข้ไหว้ภวัตหลังตรวจเสร็จ
“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ”
ภวัตยิ้มรับไหว้ “ครับ....รอรับยาข้างนอกนะ”
“ค่ะ”
คนไข้ออกไปแล้ว พยาบาลตะโกนเรียกคนไข้รายต่อไป เข้าไปตรวจ
“คุณบานเย็นคะ”
ภวัตกำลังมองหาประวัติคนไข้ในแฟ้ม ในจังหวะที่มีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจ
“ชื่ออะไรนะครับ” ภวัตเงยหน้าขึ้นถาม
“บานเย็นค่ะ”
ภวัตไม่รู้ว่าที่แท้บาบ่าร่าแปลงร่างเป็นคนไข้ชื่อบานเย็น
“ในนี้ไม่มี” ภวัตว่า ทำหน้าประหลาดใจ
“ฉันมาสมัครงาน” บาบาร่าพูดพร้อมกับจ้องตาภวัตเขม็ง
“สมัครงาน ....” ภวัตพูดตามเสียงยานคางเหมือนคนถูกสะกดจิต
“ฉันรู้ว่าเธออยู่ในซอยอสูร พาฉันกลับไปกับเธอด้วยในตำแหน่งแม่บ้าน”
ขณะพูดมีแสงสีเหลืองพุ่งจากดวงตาบาบาร่า วาบเข้ามาดวงตาภวัต
ตอนเย็นของวันนั้น ทุกคนในบ้านทั้งจักรวาล รัดเกล้า และโป่ง ต่างยืนตัวตรงมองไปที่บาบาร่าซึ่งแต่งตัวแม่บ้านมาแบบเต็มยศ ผูกผ้ากันเปื้อนแบบ Maid ในคฤหาสถ์ผู้ดีฝรั่งโบราณ และยืนอยู่เยื้องไปข้างหลังภวัตเล็กน้อย
“ชื่ออะไรนะ” จักรวาลถาม
“บานเย็นเจ้าค่ะ” บาบ่าร่าในคราบบานเย็นถอนสายบัว อย่างนอบน้อม
จักรวาลกระแอมขึ้น ในอาการอ้อล้อคลอเคลียเล็กน้อย
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ เจ้าคะ เจ้าขาหรอก ...บ้านนี้เป็นคนธรรมดา”
“บานเย็นเคยอยู่กับเลดี้อะราเบลล่าน่ะเจ้าค่ะ” บาบาร่าว่า
“เลดี้อาราเบลล่า”
“เจ้าค่ะ เธอเป็นแม่ม เอ๊ย เปรียบเสมือนผู้นำของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งน่ะเจ้าค่ะ”
“กลุ่มไหน” ทุกคนร้องประสานเสียงขึ้น
บานเย็นบาบาร่า ทำตาเหลือกมองขึ้นฟ้าอย่างรำคาญ “ให้ตายเถอะ”
แต่ละคนมองจ้องบาบาร่าในร่างบานเย็นอย่างประหลาดใจ
บาบาร่าเริ่มรู้สึกตัว “ให้ตายเถอะ เป็นคำอุทานที่แสดงความปลาบปลื้มใจของพวกเราเจ้าค่ะ”
“ตรงกันข้ามกับพวกเราเลย” โป่งบอก
บาบาร่าเบือนหน้ามามองเขม็ง จนโป่งหน้าเจื่อนไป แล้วก้มลงด้วยพลังจากสายตานั้น
“เอาละ....โป่งช่วยพาบานเย็นไปที่ห้องพักซิ”
“เชิญทางนี้จ้ะ”
บานเย็นบาบาร่าถอนสายบัว “บานเย็นจำเป็นต้องขอตัวก่อนค่ะ”
บาบาร่าเดินไป โดยโป่งเดินตามต้อยๆ
“ท่าทางแปลกมากเลย พี่ภวัตไปเจอที่ไหนน่ะ” รัดเกล้าถาม
“ที่โรงพยาบาล .... แกมาสมัครเป็นแม่บ้าน”
รัดเกล้าเลิกคิ้วอย่างงงก่อนจะพูดต่อ “แล้วพี่ก็รับ”
“ไอ้โป่งมันไม่ค่อยได้เรื่อง ...ถ้ามีแม่บ้านมาช่วยดูแลอีกคนก็น่าจะดีขึ้น”
ภวัตเดินขึ้นไปข้างบนเงียบๆ จักรวาลและเกล้ามองตามด้วยความประหลาดใจ
โป่งเปิดประตูห้องออก สภาพภายในห้องหน้าต่างปิดสนิท มีฝุ่นเกาะไปทั่วเพราะไม่ได้เปิดใช้มานาน
“นี่จ้ะ ห้องป้า”
“ใครเป็นป้าแก” บาบาร่าของขึ้น ปรี๊ดทันที
โป่งเหวอ
“แล้วก็ไม่ต้องมาจ๊ะมาจ๋ากับฉัน...มิชอบ”
“มิชอบ”
“เออ! เรียกฉันว่าคุณแม่บ้าน จำเอาไว้”
“โอ.เค้...เดี๋ยวกระผมจะทำความสะอาดให้”
“มิต้อง ฉันจัดการเอง”
“จะไหวเรอะป้า เอ๊ย! จะไหวหรือขอรับ คุณแม่บ้าน”
“อย่าประชด มิชอบเหมือนกัน”
“แล้วเสื้อผ้า”
“เสื้อผ้า ... แกคงหมายถึงอาภรณ์”
โป่งถอนใจเฮือกใหญ่ในความเยอะของบาบาร่า “อาภรณ์ก็อาภรณ์”
“มิต้องห่วง มีเยอะ”
โป่งพึมพำ “ไม่เห็นซักกะชุด” แล้วหันหลังออกเดินไป
“ดูใหม่อีกทีซิ” บานเย็นบาบาร่าบอก
โป่งหันกลับมา แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นว่าห้องนั้นสะอาดสะอ้าน ข้าวของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ...มีเสื้อผ้าแขวนในตู้ราวกับเนรมิตร โป่งอึ้งพูดไม่ออก ขณะที่บาบาร่าดึงประตูปิด
โป่งตื่นเต้นสุดขีด นึกถึงแนนนี่ขึ้นมา
“โหย! จารย์เจอคู่แข่งแล้ว”
ภวัตเดินออกมาจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว แต่ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อทาฮิร่าซึ่งยืนหันหลังให้อยู่ หันกลับมาพอดี
“คุณยาย” ภวัตตกใจ
“อุ๊ย อุจาดลูกกะตา”
ไวเท่าความคิดทาฮิร่าสะบัดมือไปที่ภวัตร่ายมนตร์
พริบตาเดียวภวัตก็อยู่ในชุดอาหรับราตรี
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
ทาฮิร่ารู้สึกสบายใจ ส่วนภวัตหงุดหงิด
“กรุณาเอาชุดนี้ออกไปพร้อมกับตัวคุณยายด้วย”
“แน่ใจนะ นายภวิต” ทาฮิร่ายิ้มกริ่มทำหน้าเจ้าเล่ห์
“แต่ต้องเหลือชุดเดิมของผมด้วย ...และผมชื่อภวัต ไม่ใช่ภวิต”
ทาฮิร่าลงนั่งที่ปลายเตียงนอน “เธอต้องให้คำปรึกษาฉันก่อน”
“โอ๊ะ ผมไม่บังอาจให้คำปรึกษาแม่มดหรอก” ภวัตพูดสุ้มเสียงประชด
“แสดงว่า เธอยอมรับแล้วว่าฉันเป็นแม่มด” ทาฮิร่าคิดว่าภวัตเชื่อว่าตัวเองเป็นแม่มดแล้ว
“รวมทั้งหลานสาวคุณยายด้วย”
“แนนนี่ไม่ใช่แม่มด แกเป็นอสูร”
ฟังทาฮิร่าว่า ภวัตถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างเซ็งๆ
“บางครั้ง ผมอยากให้ทั้งหมดนี่เป็นฝันร้าย”
“ชอบฝันร้ายเรอะ.....ถ้าเธอให้คำปรึกษาเป็นที่พอใจ.. .ฉันอาจบันดาลให้เธอฝันร้ายได้...เช่นวิ่งหนีไดโนเสาร์ หรือจะเอาเป็นว่าตกอยู่ในดินแดนของมนุษย์กินคน หรือถ้ายังไม่ร้ายพอ ...ก็จะ ...” ทาฮิร่าจัดฝันร้ายมาเป็นชุด
“ผมไม่ได้อยากฝันร้าย ผมแค่รำพึงกับตัวเอง เชิญคุณยายออกไปจากห้องผมได้แล้ว” ภวัตบอก
“ยัง! จนกว่าเธอจะช่วยฉันคิดก่อน”
“แม่มดมาขอให้มนุษย์ธรรมดาช่วยเนี่ยนะ”
“ฮื่อ สองหัวดีกว่าหัวเดียว.... เรื่องมันเป็นแบบนี้”
ทาฮร่าลุกขึ้นเล่าเรื่องที่แนนเป็นอสูร ชึ่งเป็นศัตรูร้ายของพวกแม่มดอย่างเธอ โดยออกท่าออกทางประกอบตลอดๆ
ส่วนแนนนี่กับโป่งยืนคุยกันอยู่คนละฟากรั้วบ้าน แน่นอนว่าโป่งกำลังฟุ้งเรื่องคุณแม่บ้านคนใหม่ให้ฟัง
“ตาฝาดละม้าง”
“โธ่ จารย์”
แนนนี่นิ่งคิด ก่อนจะถาม “ชื่ออะไร”
“โป่งครับ” โป่งตอบ
แนนนี่ทำเสียงจึ้กจั้กอย่างขัดใจ
“.... รู้แล้ว! จารย์ถามชื่อยัยคนนั้น”
“อ๋อ บานเย็นครับ”
แนนนี่นิ่งคิดครู่หนึ่งบ่นพึมพำ “หรือว่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับ จารย์”
“พันธุ์ไหนครับ”
“ก็พันธุ์นี้แหละ ขอบใจนะ...จารย์ต้องไปสืบก่อน”
“ครับ แล้วจารย์ยังไม่ได้สอนให้โป่งหายตัวเลย” โป่งทวงสัญญา
“เฮ้ย! นั่นมันขั้นแอ๊ดวานซ์แล้ว ต้องผ่านขั้นเบสิคไปให้ได้ก่อน จารย์ไปละ”
“เดี๋ยวซิ จารย์...จ๊าน...น...!”
แนนนี่เดินไปอย่างรวดเร็ว
โปรดติดตามอ่านต่อ ตอนที่ 10