xs
xsm
sm
md
lg

แก้วกลางดง ตอนที่ 7-8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แก้วกลางดง ตอนที่ 7

อัญชิสามานั่งทานอหารกับสาทิศที่ร้านอาหารหรู หน้าจอโทรศัพท์วาบขึ้นมา เธอเหลือบตามอง แล้วหันไปคุยกับสาทิศต่อ

“ปกติแล้วคุณสาทิศอยู่กรุงเทพหรือที่รีสอร์ทคะ”
โทรทัศน์วาบขึ้นอีก เป็นระยะ สาทิศเหลือบตามองถามยิ้มๆ สบาย ๆ
“จะไม่ดูหน่อยหรือครับ อาจจะมีเรื่องอะไรสำคัญก็ได้ ไม่งั้นเค้าคงไม่ส่งมาถี่แบบนี้”
“พวกทวีตโน่นนี่นั้นนั้นแหละค่ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก แต่ตอนนี้หวานอยู่กับคุณสาทิศ แล้วก็เป็นเวลาดินเนอร์ของเรา นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่หวานให้ความสนใจ”
“ผมรู้แล้ว ว่าทำไมใครๆ ถึงชอบคุยกับคุณหวาน เพราะคุณหวานทำให้คนตรงหน้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุด และโชคดีที่สุดในโลกที่ได้อยู่กับผู้หญิงสวยคนนี้”
สาทิศเอื้อมมือไปจับมืออัญชิสาขึ้นมาจะจูบ โทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดจังหวะ อัญชิสามองอย่างหงุดหงิด


อัญชิสาเดินออกมารับโทรศัพท์ ห่างจากโต๊ะที่นั่ง แต่ยังอดหันมาดูสาทิศที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“จินนี่ ถ้าเรื่องที่แกจะพูดไม่สำคัญพอ ฉันจะเอาเรื่องแกแน่”
“แล้วแกดูรูปที่ฉันส่งไปหรือยังล่ะ” จินนี่ย้อนถาม
“ฉันยังไม่ว่าง เดี๋ยวค่อยกดไลท์ให้แกทีหลังได้มั้ย เดี๋ยวฉันกดให้แกทุกรูปเลยเอ๊า แต่ตอนนี้ฉันกำลังดินเน่อร์กับคุณสาทิศอยู่ย่ะ”
“รูปเดียวเท่านั้นย่ะที่ฉันอยากให้แกดู อ๋อ ยายหวาน...แบบนี้ก็แปลว่าแกตัดสินใจเลือกคุณสาทิศ ไม่สนใจคุณเผ่าแล้วใช่มั้ย ฉันก็เห็นแกจี๋จ๋าอยู่กับเค้าตั้งนาน แต่ถ้าแกยอมให้คนอื่นเอาไปกินก็แล้วแต่แก”
“นี่ ตกลงแกหมายถึงอะไร พูดให้เคลียร์กว่านี้ได้มั้ย”
อัญชิสาย้อนถามแล้วตั้งใจฟัง ก่อนกลับมาที่โต๊ะ สาทิศไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอถามบ๋อยที่เดินผ่านทันที
“นี่ คุณผู้ชายโต๊ะนี้ ไปไหน”
“ไม่ทราบครับ แต่เห็นเดินไปทางโน้นนะครับ”
อัญชิสามองตาม


สาทิศเดินมาที่ลานจอดรถ สังเกตรอบๆด้วยว่ามีใครตามมาหรือจับตาดูอยู่หรือเปล่า ส่วยออกมาจากที่มืดที่สุ่มอยู่แตะแขนสาทิศให้หลบเข้ามุม
“นาย! ทางนี้”
“โผล่มาทำไม ฉันบอกแล้วว่าให้เก็บตัว ตำรวจกำลังจับตาอยู่”
“ไอ้จ้อมันส่งข่าวมาจากข้างใน ว่ามีออร์เดอร์สั่งของเยอะมาก เอาไงดีนาย”
“อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลาม อาจจะเป็นแผนของตำรวจก็ได้ ข้างในมันก็มีออร์เดอร์มาเรื่อยๆอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะไอ้จ้อโดนจับเข้าไปถึงได้แห่สั่งกันมา โรงงานใหญ่ของเราก็เพิ่งโดนถล่มไปหยกๆ”
“นั้นซิ ตำรวจตามกลิ่นเราตั้งนานไม่เคยเจอ ไอ้สองคนนั้นเข้ามาถึงได้ยังไง มันเป็นตำรวจเหรอนาย”
“ฉันก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันทำเราแสบมาก!”
สาทิศนึกถึงทรงเผ่ากับเมียวดีอย่างแค้นใจ

อัญชิสานั่งรอสาทิศอยู่นาน ตัดสินใจจะคว้ากระเป๋าจะลุกขึ้น แต่สาทิศเดินมาพอดี
“คุณหวานจะไปไหนครับ”
“กำลังจะกลับคะ ก็หวานคิดว่าคุณสาทิศกลับไปแล้ว”
“ขอโทษครับ พอดีผมไปห้องน้ำมา”
“เหรอค่ะ หวานให้เด็กไปดูเด็กบอกไม่เห็นมีใคร หวานก็เลยคิดว่าคุณสาทิศทิ้งหวานไว้ที่นี่เสียแล้ว”
สาทิศรีบแก้ตัว
“อ๋อ ใช่ครับ ผมไปห้องน้ำ แต่คิดได้ว่าลืมของในรถเลยเดินไปเอา แล้วธุระคุณหวานเสร็จแล้วเหรอครับ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยายจินนี่นะคะ โทรมาคอนเฟิร์มจะไปงานด้วยกันพรุ่งนี้ แหม เรื่องแค่นี้เองทำเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ยายจินนี่ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
อัญชิสายิ้มหวานให้สาทิศ ก่อนหันไปหยิบแก้วน้ำมาจิบกลบเกลื่อน สาทิศเอง ก็แอบครุ่นคิดเรื่องที่คุยกับลูกน้องเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาหวานให้กัน สาทิศเอาใจตักกับข้าวให้อัญชิสา

ค่ำคืนนั้น อัญชิสาจะเข้านอน แต่นอนไม่หลับ แล้วลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้หัวเตียงขึ้นมากดดูรูปทรงเผ่า กับเมียวดี ตอนขึ้นบันไดเลื่อน
“ฉันไม่สนใจหรอก คนอย่างน้ำหวานนะมีค่าเกินเด็กบ้านป่าอย่างนั้นอยู่แล้ว”
อัญชิสาบอกอย่างมั่นใจ

วันต่อมา...เมียวดีก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น อัญชิสาที่นั่งอยู่กับทรงเผ่า ทนง และบัวคลี่ มองเมียวดีหัวจรดเท้าอย่างสำรวจ
“ดูเป็นสาวแล้วนะคะ เห็นตอนแรกคิดว่าเด็ก”
อัญชิสาพยายามพูดดี แต่เมียวดีเซ็ง
“เราไม่เคยบอกว่าเราเป็นเด็ก พูดกันเองทั้งนั้น”
ทรงเผ่ารีบกระแอม
“นี่แหละครับเมียวดี” ทรงเผ่าพูดกับเมียวดี “คนเป็นผู้ใหญ่เค้าไม่พูดแบบนี้หรอกนะ”
“ยังไง ผู้ใหญ่ไม่ใช่ปากพูดเหรอ” เมียวดีถาม
บัวคลี่ต่อทันที
“คะ...เป็นผู้หญิงเวลาพูดจาต้องมีหางเสียงนะ แม่เหมียว”
เมียวดีหันไปถามทนงต่อ
“เวลาโกรธก็ต้องมีหางเสียงด้วยเหรอเมียพ่อนาย แบบนี้เค้าจะรู้ได้ยังว่าเราโกรธถ้าไม่ด่า”
บัวคลี่ ไม่รู้จะพูดยังไง ทำได้แค่ส่ายหน้า ทนงขำ
“เออ ก็จริงก็มันนะ ฮะๆ”
บัวคลี่ยิ่งโมโห หันมาค้อน ทนงเลยยอมหยุด
“เห็นมั้ยคะ ยังต้องสอนกันอีกนานค่ะ คุณหวาน” บัวคลี่บอก
“แหม คุณน้าขา ก็ต้องให้เวลาแกหน่อยนะคะ แต่ดูๆไป...ผิวเธอมากเลยนะจ๊ะ เมียวดี”
อัญชิสาแกล้งชม เมียวดีอ้าปากจะพูด แต่บัวคลี่พูดขึ้นมา
“ก็มีอย่างเดียวละคะที่ดี คงได้เชื้อแม่มา”
“แม่ของเมียวดีเป็นคนพม่านะครับ” ทรงเผ่าเล่า
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
เมียวดีชักรำคาญ
“โอ๊ย นี่ ดูกันเสร็จหรือยัง ให้เราถอดผ้าด้วยมั้ย จะได้เห็นกันชัดๆ หิวจะจะตายชักแล้ว!”
ทั้งหมดอึ้งกันไป เมื่อเมียวดีโวยอย่างนั้น

ในครัว...วงศ์กับจันกำลังจัดกับข้าวอย่างวุ่นวาย ขณะที่ฟ้าลั่นอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ช่วยเป็นชิ้นเป็นอัน แอบชิมกับข้าวบ้าง เชอรี่เดินเข้ามา
“คุณบัวคลี่ ให้จัดเพิ่มอีกที่ค่ะ คุณแม่บ้านเผื่อแม่...เอ่อ คุณเหมียวด้วย”
“ให้คุณเหมียวนั่งโต๊ะด้วยเหรอ ยังใช้ช้อนซ้อมไม่ถนัดเลยนะ” วงศ์เป็นห่วง
“ก็คุณหวานนะซิ เธอชวน สนุกล่ะคราวนี้”
“คุณหวาน คนที่เป็นเมียนายนะเหรอน้องเชอรี่” ฟ้าลั่นถาม
“นี่พี่ฟ้าลั่นรู้จักด้วยเหรอ”
“ใช่ พี่ฟ้าเคยเจอที่โรงพยาบาล สวยแล้วก็ห้อม หอม”
“ฟ้าลั่น พูดจาให้ดีๆหน่อย เมียน่ะ เค้าใช้สำหรับคนที่แต่งงานกันแล้ว คุณหวานเธอยังไม่ได้แต่งงงานกับคุณเผ่าเลย” วงศ์เตือน
เชอรี่บอก
“แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกค่ะ คุณแม่บ้าน เฮ้อ คุณหวานนะ ส้วย สวย หุ่นก็ดี้ ดี ตระกูลก็ดี ไม่รู้ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรถึงได้เกิดมาพร้อม ขนาดนี้”
“ไม่มีใคร เกิดมาแล้วสมบรูณ์ทุกอย่างหรอกนะเชอรี่”
“ไม่จริงค่ะ ก็คุณหวานไงคุณแม่บ้าน หนูยังไม่เห็นเลยว่าเธอมีข้อบกพร่องตรงไหน ทำไงนะเชอรี่ถึงจะเป็นแบบคุณหวานบ้าง”
เชอรี่ฝันเฟื่องถามเอง ตอบเอง
“คุณเชอรี่ครับขอถ่ายรูปหน่อยครับ...ได้ค่ะ”
เชอรี่ หันไปยิ้มหวานพร้อมส่งจูบ
“อ๋อ ขอลายเซ็นเหรอครับ ได้เลยค่ะ”
“อ๊ากๆ ๆ”เสียงฟ้าลั่นดังขึ้น
เชอรี่ยิ่งเข้าใจผิด
“ขอบคุณเสียงชื่นชมของแฟนคลับทุกคนที่มีให้เชอรี่นะคะ” เชอรี่โบกมือให้
“อ๊ากๆ” ฟ้าลั่นสะกิดให้ดู “ไม่ใช่ น้องเชอรี่เหยียบตีนพี่ฟ้าอยู่”
เชอรี่ค้อนที่ทำให้เสียบรรยากาศ ชักเท้ากลับ วงศ์หัวเราะขำ
“เลิกฝันหวาน แล้วเอากับข้าวไปเสิร์ฟได้แล้วไป”
วงศ์ยื่นถาดให้ เชอรี่รับถาดเดินออกไป

ที่โต๊ะอาหาร เชอรี่ตักข้าวให้คนอื่นคนละทัพพี ก่อนจะมาถึงเมียวดี
“เอาอีกแค่นี้ไม่อิ่ม” เมียวดีบอก
“ไม่อิ่มก็ค่อยเติมใหม่ก็ได้ ตักล้นถ้วยชามมันไม่เรียบร้อย ผู้ดีนะเค้ากินกันน้อยๆจ๊ะ” อัญชิสาบอก
“เราก็ไม่ใช่ผู้ร้าย”
“ระวังนะจ๊ะ เมียวดีกินข้าวเยอะแบบนี้ เดี๋ยวจะอ้วนนะ” อัญชิสาบอกเตือนอีก
“อ้วนเหรอ ทำไมต้องกลัวอ้วน” เมียวดีเหลือบมองข้าวในจานหวาน “กินแบบนั้น จะเอาแรงที่ไหนทำงาน ถ้าผอมก็ไม่มีแรงเบ่งลูกนะ อีคำแปงมันไม่ยอมกินข้าวกินปลาผอมเหมือนบอปกิน พอคลอดลูกมามันก็ไม่มีแรงเบ่ง เลยตายท้องกลม”
“โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว คุณหวานเค้าเป็นนางแบบ ต้องรักษาหุ่น” บัวคลี่ตัดบท
“เมียวดีจ๊ะ ผู้หญิงที่นี่ไม่ได้มีค่า แค่มีลูกนะ เราไม่จำเป็นต้องมีลูกก็ได้ แต่เราต้องรักตัวเอง ต้องดูแลตัวเองให้ดูดีตลอดเวลา” อัญชิสาพูดเสียงหวาน
เมียวดีมองหน้าอัญชิสาอยู่อึดใจ ก่อนจะพูด
“ถ้าอยากเป็นเมียแต่ไม่ยอมมีลูก แล้วจะเป็นทำไม”
“สงสัยต้องค่อยๆ อธิบายกันไปแล้วค่ะ ถ้าพูดก็คงต้องพูดกันทั้งวัน กว่าแกจะเข้าใจเรื่องพวกนี้” อัญชิสาทำท่าว่าเหนื่อยที่จะพูดด้วย
“การใช้ชีวิตของคนในเมือง กับคนในป่ามันไม่เหมือนกันนะครับ เพราะฉะนั้นเราจะเอาความคิดของเราไปใส่อีกฝ่ายคงไม่ได้หรอกครับ” ทรงเผ่าอธิบาย
“คุณเผ่าพูดแบบนี้ระวังโดน กลุ่มเรียกร้องสิทธิสตรีเอาเรื่องนะคะ”
“ผมไม่ได้ดูถูกหรือเหยียบหยามความเป็นผู้หญิง แต่ผมเห็นว่าเราไม่ควรเอาบรรทัดฐานของเราไปยัดเยียดใส่คนอื่น”
“งั้นคุณเอาแกเข้ามาอยู่ในเมืองทำไมล่ะคะ”
“ผมเอาแกมาเลี้ยง เพราะผมให้สัญญากับพ่อแก อยากให้แกได้รับโอกาสที่ดี แต่ไม่ได้อยากเปลี่ยนตัวตนของแก”
ทนงฟังแบบยิ้มๆ เพราะเห็นด้วยกับลูกชาย แต่บัวคลี่ดูร้อนใจ รีบขัดขึ้น
“แหม...สองคนคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ฟังดูเครียดจัง”
“ก็ไม่เครียดอะไรนะคุณ แลกเปลี่ยนความเห็นกันสบายๆ”
บัวคลี่หันถลึงตาใส่ทนง
“ใช่ค่ะ สบายๆมาก มาค่ะ ชิมต้มสายบัวดีกว่า คุณพี่ชอบมาก คุณหวานชิมหรือยังค่ะ”
บัวคลี่แอบสะกิดเร่งให้ทนงชวน
“ใช่ๆ อร่อยมากหนูหวาน เห็นว่าได้สูตรมาจากในวังเลยนะ เจ้าเผ่าตักให้น้องสิ”
“ครับ”
ทรงเผ่าตักให้อัญชิสาที่มองหน้าทรงเผ่าอย่างงอนๆ แอบเมินใส่ ทรงเผ่ายิ้มอย่างเอาใจ แล้วแอบเอามืออีกข้างหนึ่งบีบมือเธออย่างอย่างง้อ อัญชิสาดึงออกออก ทรงเผ่าจับไว้อีกเธอถึงยอม
เมียวดีนั่งมองทั้งอัญชิสาและทรงเผ่าอยู่ รู้สึกแปลกๆก่อนจะก้มลงไปดูใต้โต๊ะ
“นายจับมือคุณหวานไว้ แล้วจะตักข้าวกินได้ยังไง”
ทนงถึงกับสำลักด้วยความความขำเมียวดี ทรงเผ่ารีบปล่อยมือ แต่อดใจไม่ไหวแอบยกมือทำมะเหงกให้เมียวดี อัญชิสามืออกอย่างอายๆ
บัวคลี่รีบช่วย
“นั่งกินข้าว ตัวตรงๆซิ แม่เหมียว ไม่ต้องยุ่งเรื่องคนอื่นหรอก อ้าว เชอรี่เติมข้าวซิ”
เชอรี่รีบตักข้าวให้ อัญชิสาแอบหมั่นไส้เมียวดี ที่ขัดจังหวะ

ทรงเผ่ามาส่งอัญชิสารถ...
“ผมยังไม่อยากให้คุณหวานกลับเลย อยู่คุยเป็นเพื่อนผมต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือครับ” ทรงเผ่าอ้อนอัญชิสา
“หวานเป็นพวกชอบยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น คุณเผ่าอยากจะคุยด้วยอีกหรือคะ”
“โธ่ นี่ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอครับ”
อัญชิสาแกล้งงอน
“ไม่ค่ะจนกว่า คุณเผ่าจะยอมไปงานสมาคมวันเสาร์นี้กับหวาน”
“ขออย่างอื่นได้มั้ยครับ เรื่องแบบนี้ผมไม่ถนัดเลย คุณหวานก็ทราบ”
“งั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน”
อัญชิสาผลักทรงเผ่าเบาๆ ตั้งท่าจะขึ้นรถ ทรงเผ่าแกล้งเจ็บ
“โอ๊ย“
“ตายจริง นี่ยังเจ็บอยู่อีกเหรอคะ เจ็บมากมั้ยคะเนี่ย”
อัญชิสาเข้ามาดู ทรงเผ่าเลยรวบตัวไว้
“หมอบอกว่าแผลยังติดไม่สนิท ห้ามไม่ให้ กระทบกระเทือนหัวใจครับ”
อัญชิสาหัวเราะ
“คำพูดลิเกมาก แต่เอาเถอะค่ะ คิดว่าเป็นคำสั่งหมอ หวานก็ควรปฎิบัติตามเพื่อแก่สุขภาพของคนไข้”
อัญชิสาหอมแก้มทรงเผ่า
“ดีขึ้นมั้ยคะ”
“นิดนึง”
เธอหอมอีกที
“เป็นไงคะ”
ทรงเผ่าพยักหน้าแบบเสียไม่ได้ อัญชิสาหัวเราะ
“คุณนะ เจ้าเล่ห์”
“ก็มันยังไม่หายเจ็บนี่ ต้องแบบนี้”
ทรงเผ่าคว้าตัวอัญชิสามาจูบ

บัวคลี่แหวกม่านหน้าต่างห้องนอนมาดูทรงเผ่ากับอัญชิสา แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“น่ารักจริงๆ ฮิ ฮิ ๆ”
ทนงออกมาชะเง้อดูบ้าง
“ดูอะไรอยู่หรือคุณ เฮ้ย นั้นเจ้าเผ่ามันเล่นหนังสดเลยเหรอ”
“คุณพี่ พูดจาน่าเกลียด เด็กๆเค้าแค่...รักนะจุ๊บๆกันเท่านั้น แล้วทั้งคุณเผ่า คุณหวานก็เคยเรียนเมืองนอกด้วยกันทั้งคู่นะคะ คงติดธรรมเนียมฝรั่งมาบ้าง”
“แหม ผมพูดนิดเดียว ต่อยาวเชียวนะคุณ เชียร์ออกนอกหน้าแบบนี้อยากได้หนูหวานมาเป็นสะใภ้ละซิ”
“แน่นอนค่ะ ก็ดิฉันเห็นว่า คุณหวานนะ เธอเหมาะสมกับคุณเผ่าทุกอย่าง ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนี้ ไม่ได้มีเหลือให้เลือกมากนักหรอกนะคะ หลุดมือไปจะรู้สึก คุณเผ่านะทำเป็นใจเย็นอยู่ได้”
“ของแบบนี้มันต้องมองให้ลึกซึ้งนะ ผู้หญิงที่จะเอามาเป็นเมีย มันไม่ใช่แค่เหมาะสม มันจะต้องพูดกันรู้เรื่อง ร่วมทั้งทุกข์และสุขกับเราได้ ไม่งั้นถ้าเจ้าเผ่ามันซี้ซั่วเอาใครมาเป็นเมียก็ได้ ตอนอยู่เมืองนอกมันคงมีเมียแหม่มกลับมาแล้ว”
“ค่ะ เข้าใจแล้วว่าคุณพี่สอนคุณเผ่ามาดี แต่แบบนี้เมื่อไหร่ดิฉันจะได้อุ้มหลานล่ะคะ”
“เมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่ต้องห่วงเจ้าเผ่ามันก็รู้จักเลือกเหมือนพ่อมันนะแหละ”
“พูดจาเข้าข้างตัวเองทุกที คุณพี่เนี่ย”
“ปล่อยให้มันคิด มันทำของมันเองเถอะ เรามายุ่งเรื่องของเราดีกว่า” ทนงสะกิดบัวคลี่
บัวคลี่เล่นตัวนิดหน่อย
“อะไรกันค่ะ.คุณพี่ ... อีกแล้วเหรอ”
ทนงสะกิดอีกพร้อมส่งตาหวานพยักหน้าให้ตกลง

ทรงเผ่าเดินผ่านสนามหญ้ากลับมา ตลับขี้ผึ้งโยนผ่านหน้า ทรงเผ่ารับโดยสัญชาติญาณ ก่อนจะเอามาดู
“ขี้ผึ้ง”
“ใช้เวลาโดนแมลงกัดต่อย เมื่อกี้นายโดนคุณหวานกัดปากไม่ใช่เหรอ”
ทรงเผ่าสะดุ้งทันที มองหาทันที เห็นเมียวดีนั่งอยู่บนกิ่งไม้
“แอบดูคนอื่นนะมันเสียมารยาทนะเมียวดี”
เมียวดีลอยหน้าลอยตา
“ถ้าไม่อยากให้คนเห็นก็อย่าทำซิ แต่ถ้าอยากทำมากกว่านั้น ก็ต้องไปผูกข้อมือเสียผีนะนาย”
“แก่แดด นักนะเรา ไม่รู้อะไรแล้วอย่าพูดเลย”
“รู้ซิ เรารู้นะจะผู้หญิงในเมืองหรือผู้หญิงในป่าก็เหมือนกัน อยากมีผัวกันทั้งนั้น ให้ผัวเลี้ยง แต่ไม่ใช่เรา”
“จริงเหรอ”
“ฮือ เพราะเราเลี้ยงตัวเองได้”
“เธอจะกลับไปอยู่ป่ายังไงคนเดียว”
“ทำไมจะไม่ได้ เราต่อยผึ้งได้ ล่าสัตว์ก็เป็น...พ่อพาเราเข้าป่าตั้งแต่เด็ก สอนเราทุกอย่าง”
เมียวดีหน้าจ๋อยไปเมื่อพูดถึงพ่อ เงยหน้ากลั้นน้ำตา ทรงเผ่าสังเกตเห็น จึงตัดสินปีนขึ้นไป นั่งบนกิ่งไม้เดียวกับเมียวดี
“คิดถึงพ่อเหรอ ฉันก็คิดถึงตาจั่นเหมือนกัน...”
ทรงเผ่าทรงเผ่าตบไหล่เมียวดีปลอบใจ เมียวดีมองที่มือทรงเผ่าที่จับไหล่ มองอีกทีว่าทรงเผ่าขึ้นมานั่งอยู่ด้วยบนกิ่งไม้เดียวกัน เสียงดังใส่ทันที
“นายขึ้นมาทำไมเนี่ย”
ทรงเผ่างงที่เมียวดีเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน
“ก็ขึ้นมาปลอบเธอไง”
“เราไม่ได้ขอ” เมียวดีรีบไล่
“ลงไป เราบอกให้ลงไป!”
“อะไรกันเมียวดี ฉันอุตส่าห์ปีนขึ้นมาเพื่อปลอบเธอ กลับไล่ฉันลงไป ต้นไม้เนี่ยมันก็ต้นไม้บ้านฉันนะ”
“นายขึ้นมาบนนี้ไม่ได้!”
“เธอขึ้นมานั่งได้ ทำไมฉันจะนั่งบ้างไม่ได้ ฉันไม่ลงหรอก”
เสียงต้นไม้ดังแอ๊ดๆ ทรงเผ่าชักตกใจ
“เฮ้ยๆๆ เมียวดี เกิดอะไรขึ้น! เสียงอะไรเธอได้ยินมั้ย”
“นายตัวยังกับควาย กิ่งไม้มันรับน้ำหนักสองคนไม่ไหวไง เราถึงไล่ให้นายลงไป”
“โอเค ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ทันแล้วนาย!”
กิ่งไม้ลั่นเปรี้ยะ! หักโครม! เมียวดี กับทรงเผ่าตกลงตามมา
“เฮ้ย!” ทั้งสองคนร้องลั่น


บัวคลี่สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้อง...
“เสียงอะไร คุณพี่ได้ยินมั้ยค่ะ”
ทนงโผล่ออกมาผ้าห่ม
“ไม่มีอะไรหรอกคุณ ดึกป่านนี้แล้ว คุณคงหูแว่วมากกว่า อย่าสนใจเลยต่อเถอะกำลังได้ที่เลย นะ”
ทนงอ้อนเต็มที่ บัวคลี่พยักหน้ายิ้มให้อย่างเขินๆ
“เอ๊า” ทะนงยื่นไม้ปั่นหูให้

บัวคลี่รับมาปั่นหูให้ทนงต่อ ทนงคิกๆคักๆ อย่างจั๊กกะจี้

อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้

แก้วกลางดง ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่สนาม...กิ่งไม้ที่ตกลงมาอยู่กับพื้นทับเมียวดีกับทรงเผ่าอยู่ ในลักษณะ เมียวดีอยู่ข้างล่างทรงเผ่านอนทับคร่อมอยู่บนตัวเธอ

“โหย พูดอะไรไม่เคยฟังเลยนายเนี่ย ดื้อเหมือนเดิมไม่มีผิด!”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ว่ามันจะเปราะแบบนี้ โอ๊ย ไม่รู้ซี่โครงจะหักอีกรอบหรือเปล่า”
“หักอีกก็ต่ออีกจะไปยากอะไร แต่ตอนนี้ลุกขึ้นก่อนได้มั้ย ก่อนที่ซี่โครงเราจะหักบ้างเพราะนายทับเราอยู่”
ทรงเผ่าเพิ่งรู้สึกตัว ว่าหน้าใกล้กันแบบแทบประกบกัน สองคนมองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่เมียวดีจะเรียกสติทรงเผ่ากลับมา
“นาย! ค้างอยู่ทำไม ขยับออกไปซิ หรือจะนอนตากน้ำค้างที่นี่กันทั้งคืน”
“รู้แล้ว” ทรงเผ่าฟอร์ม “ฉันกำลังคิดวางแผนดูลู่ทางอยู่”
เมียวดีงง!
“แค่คลานออกไป ไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย”
ทรงเผ่าฮึดฮัดประมาณเธอไม่รู้อะไรหรอก แล้วก็พยายามขยับ เมียวดีก็ขยับด้วย เลยปรากฏหว่าหน้าผากโขกกันพอดี
“โอ๊ย”
เมียวดียิ่งโมโห
“โธ่นาย นายไปอีกทางซิมาทางเดียวกันทำไม”
“รู้แล้ว” ทรงเผ่าอดบ่นไมได้ “ไม่มีใครในบ้าน คิดจะมาช่วยบ้างหรือไง”
“อย่าบ่นหน่อยเลยน่า ตอนอยู่ในป่าหนักกว่านี้อีกยังรอดมาได้ ตกต้นไม้แค่นี้ไม่ตายหรอก เอาล่ะ เดี๋ยวเรานับ 1 2 3 แล้วนายรีบดันตัวออกนะ”
เมียวดีช่วยเอามือดันกิ่งไม้ เพื่อนให้ทรงเผ่าโก่งตัว ออกได้ เริ่มนับ
“1”
วงศ์ ฟ้าลั่น เชอรี่วิ่งมาเพราะได้ยินเสียง ฟ้าลั่นพอมาเห็นก็ยืนหัวเราะขำ
“ตายแล้ว คุณเผ่า คุณเหมียว” วงศ์ร้องอย่างตกใจ
สองคนชะงัก เงยขึ้นไปมอง ฟ้าลั่นเสียงดัง
“ฮะๆ ๆ นั้นนายคิดจะปล้ำอีเมียวเหรอนาย”
เชอรี่ตกปากฟ้าลั่นทันทีอยากแรง
“นี่แนะ”
“น้องเชอรี่ ตบพี่ฟ้าทำไม”
เชอรี่รีบแก้ตัว
“ฉันตบแทนคุณแม่บ้านนะ พี่พูดจาไม่รู้จักคิด คุณเผ่าจะปล้ำคุณเหมียวทำไม” เชอรี่หันไปพูดกับวงศ์ “ใช่มั้ยค่ะ คุณแม่บ้าน”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว ไปช่วยยกกิ่งไม้เร็ว ทั้งสองคนนั้นแหละ”
เชอรี่กับฟ้าลั่นเข้าไปเข้าไปช่วย ขณะที่เมียวดีตะโกนด่าฟ้าลั่นไปด้วย
“เร็วๆซิว่ะ ไอ้หมาลั่น ไอ้ปากเน่า”


วงศ์ช่วยประคองทรงเผ่ามานั่งบนเตียงในห้องนอน
“น่าตีจริงๆเลย โตป่านนี้แล้ว ยังไปปีนต้นไม้เล่นอีก”
“อ้าว เป็นอันว่าผมโดนดุ แล้วยายกระแตป่าละครับ”
“ก็คุณเหมียวนะ แกทโมนอยู่แล้ว แต่คุณเผ่านะแทนที่จะห้าม กลับขึ้นไปด้วยเสียนี่ ตัวเองก็ยังไม่หายดีเลย ดีนะที่เป็นอะไร”
“โอ้โห้มาเป็นชุด แสดงว่าตอนนี้เมียวดี ขึ้นแท่นเป็นคนโปรดแทนผมแล้วใช่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่คุณเหมียวเธอพลัดที่พลัดบ้านมา น่าสงสารแกออก”
“ฮะๆๆๆ สมควรแล้ว ที่คุณพ่อยกให้ป้าวงศ์เป็นพระพี่เลี้ยงเมียวดี”
“ตายจริง คุณท่านเนี่ย...ดิฉันก็ดูแล ตามคำสั่งของคุณท่าน กับคุณบัวคลี่นั้นแหละค่ะ ก็ช่วยกันดู ช่วยกันสอนกันไป ป้าถามจริงเถอะค่ะ คุณเผ่าคิดจะเลี้ยงดูคุณเหมียวไปถึงเมื่อไหร่ค่ะป้าหมายถึง จนกว่าแกจะแต่งงานออกเรือน หรือว่า จนกว่า แกจะช่วยเหลือตัวเองได้”
“ก็...แล้วแต่แกมั่งครับ ผมยังไม่ได้คิดไกลไปขนาดนั้น”
“การที่เราพาคนๆหนึ่งออกมาจากชีวิตเดิมๆของเค้า เปลี่ยนชีวิตเค้าใหม่ เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเค้าไปทั้งชีวิตนะคะ จะมาทิ้งขว้างกลางทางกันคงไม่ได้ ชีวิตคนนะคะ ไม่ใช่สิ่งของ”
“นี่ป้าวงศ์ ไม่เชื่อใจผมเหรอครับ”
“นิสัยคุณเผ่าเป็นไงป้ารู้ดีค่ะ แต่คนอื่นป้าไม่รู้”
“ป้าหมายถึงใครงั้นเหรอครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ แต่ป้าแค่พูดเผื่อเอาไว้ ก็อนาคตมันไม่มีอะไรแน่นอนไม่ใช่เหรอคะ เอาละค่ะ แน่ใจนะคะ ว่าไม่อยากไปเช็คที่โรงพยาบาลอีกรอบ”
ทรงเผ่าส่ายหน้า ยิ้มให้
“ไม่ต้องครับ ผมโอเคทุกอย่าง”
“งั้น ไม่มีอะไรแล้วป้าไปนอนก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวครับ อันนี้ลืมไม่ได้”
ทรงเผ่าหอมแก้ม วงศ์หัวเราะชอบใจก่อนออกไป ทรงเผ่าเหวี่ยงแขนดู แล้วก็รู้สึกเคล็ดนิดหน่อย หยิบยามาทาแล้วก็ชะงักเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่จ้องตาเมียวดี ตอนกิ่งไม้หล่นทับ
“เพิ่งรู้นะว่ายายเด็กนั้นตาสวยเหมือนกัน”
ทรงเผ่ารีบเตือนสติตัวเอง
“เผลอคิดเรื่องอะไรไปเนี่ยเรา”
ทรงเผ่ารีบตั้งใจทายาต่อเหมือนไม่ยอมรับว่าตัวเองแอบหวั่นไหว


อัญชิสาล้วงคอตัวเองอยู่ในห้องน้ำ รำพาเดินผ่านมาได้ยินเสียง ตาโตรีบเข้ามาดู
“คุณลูกหวานขา โอ้ว นี่ นี่ลูกท้องเหรอคะ กับใครบอกแม่มา”
อัญชิสารีบกดชักโครก
“หนูไม่ได้ท้องค่ะ” อัญชิสาลุกขึ้นไปล้างปาก
“อย่า อย่าปฎิเสธเลย ก็เห็นอยู่ตำตา” รำพาดีใจขึ้นมาทันที “นี่ก็แปลว่า ลูกจะได้แต่งงานแล้วใช่มั้ย แม่ดีใจจนพูดไม่ถูกเลย เป็นคุณทรงเผ่า หรือใครจ๊ะ แม่รับได้หมด แต่ขอให้รวยเท่านั้น”
อัญชิสาเดินออกมาข้างนอก รำพาเดินตาม
“คุณแม่ขา ช่วยตั้งสติก่อนได้มั้ยคะ หนูไม่ได้ท้องนะคะ เพียงแต่ไปบ้านคุณเผ่ามา กินเข้าไปเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง เลยต้องมาเอาออก”
“หนูทำแบบนี้อีกแล้วเหรอ แม่ว่า หนูควรไปหาหมอนะ กินแล้วมาล้วงคอแบบนี้มันไม่ดีนะจ๊ะ”
“ขืนไปหาหมอได้เป็นข่าวกันพอดี แบบนี้ใครจะจ้างหนูอีก หนูเพิ่งรับงานเปิดตัวอาหารสุขภาพไปนะคะ หนูรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“ถูกจ๊ะ นักข่าวนะมันชอบสอดรู้สอดเห็นเหลือเกิน ลูกทำถูกแล้ว ต้องออกงานสังคมวันล่ะ 4 - 5 งาน เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวดินเนอร์ กินกันทั้งวัน ใครจะมีเวลาออกกำลังกาย รักษาหุ่นให้เป๊ะอยู่ได้ล่ะ ถ้าไม่ทำแบบนี้”
“ใช่ค่ะ หนูละหมั่นไส้เหลือเกิน ยายเด็กชาวป่าที่คุณเผ่าเอามาเลี้ยง มันกินข้าวทีละเป็นกาละมัง มันบอกไม่กลัวอ้วนซักนิด ผู้หญิงที่ไหนก็กลัวอ้วนกันทั้งนั้นแหละ ทำเป็นปากดี เชอะ”
“แต่ว่า อาจจะจริงก็ได้นะคะลูก ก็มันอยู่ในป่าในเขา เดินขึ้นเขาลงเขาเป็นลูกๆ แบบนั้น กินเท่าไหร่มันก็เผาผลาญหมด ได้ข่าวว่าเป็นพรานด้วยใช่มั้ยเหรอ”
อัญชิสาปี๊ดทันที
“คุณแม่ นี่คุณแม่เข้าข้างใครคะ”
รำพานึกขึ้นได้ รีบเปลี่ยน
“ต๊าย มันคงโกหกให้ดูดีไปงั้นแหละ แหมกินเหมือนยัดทะนานขนาดนั้น ไปตายอดตายอยากมาจากไหนกันยะ”
อัญชิสาค่อยพอใจหน่อย
“ลูกหวานจ๋า”
รำพากระแอมนิดหน่อย
“หนูพอมีเงินติดกระเป๋า ซัก 5-6 หมื่นมั้ย พอดีพรุ่งนี้แม่นัดเพื่อนๆไว้ จะแวะไปแบงค์ก็กลัวไม่ทัน”
“เมื่อวันก่อนคุณแม่ก็พูดแบบนี้ แล้วหนูก็เพิ่งให้ไป หมู่นี้แม่เล่นหนักไปมั้ยคะ”
“โอ๊ย ไม่ได้หนักอะไร เล่นกันขำๆในหมู่เพื่อนฝูงๆกัน ทั้งนั้น”
รำพาหลบสายตานิดหน่อย เหลือบมองลูกสาว เห็นเงียบจะไม่ให้ รำพารีบเปลี่ยนท่าที
“นี่หนูจะให้แม่โทรไปบอกเค้าเหรอ ว่าพรุ่งนี้แม่ไปไม่ได้ เพราะไม่มีเงิน คนอย่างคุณหญิงรำพานี่นะ ช็อตเงิน! ไม่อยากเชื่อ แล้วต่อจากนี้หน้าตาของเราสองแม่ลูกในวงสังคมจะเป็นยังไง ก็คงหมดกัน”
รำพาฟูมฟายเต็มที่ อัญชิสาถอดหายใจ ต้องยอม
“หนูไม่มีเงินสดหรอกนะคะ เป็นเช็ดได้มั้ย”
“โอ้...ได้จ๊ะ ดาลิ่ง”
อัญชิสาเซ็นเช็คให้แม่อย่างเซ็งๆ รำพาได้เช็คมาก็เข้ามาหอมลูกสาวซ้ายขวาฟอดใหญ่

เช้าวันใหม่...อัญชิสาลงมากินอาหารเช้า นิดเอาน้ำส้มมาเสิร์ฟ
“คุณแม่ล่ะ”
“ออกไป ตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ สั่งให้เรียนคุณหวานว่าเย็นนี้คงกลับดึก”
อัญชิสาเซ็ง
“อีกแล้วเหรอ”
นิดอึกๆอักๆ อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า อัญชิสาดุใส่
“มีอะไร”
“เงินเดือนหนูยังไม่ออกเลยค่ะ เลยมาจะครึ่งเดือนแล้ว หนูต้องส่งให้ที่บ้านต่างจังหวัด”
“แต่หน้าที่จ่ายเงินเดือนเธอ เป็นของคุณแม่นะ เธอก็ไปทวงกับเค้าซิ จะมาทวงอะไรกับฉัน”
“หนูบอกคุณหญิงแล้วค่ะ คุณหญิงบอกว่าลืม ให้คุณหวานจ่ายให้ก่อน”
อัญชิสาโมโห แต่พยายามสงบติอารมณ์
“อะไรกันเนี่ย เล่นแบบนี้เลยเหรอ”
“ริบค่ากับข้าวประจำอาทิตย์ ยังมีเลยค่ะ คุณหญิงบอกว่าไม่มีใครกลับมาทานข้าวที่บ้าน คุณหวานก็ไปงาน คุณหญิง ก็กินอยู่ที่วงไพ่ เลยขอริบค่ากับข้าวประจำอาทิตย์นั้นไป”
อัญชิสาทั้งโกรธทั้งอาย ยกมือห้าม
“พอแล้ว...เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะเอาเงินให้ แล้วก็รูดซิบปากให้สนิทนะ อย่าเอาเรื่องในบ้านนี้ ไม่เมาท์กับคนข้างนอกเด็ดขาด”
“ค่ะ”
นิดออกไป เสียงโทรศัพท์ดัง อัญชิสาหงุดหงิด
“โทรกันมาทำไมตั้งแต่เช้าเนี่ย”
แต่พอหยิบมาดู เห็นชื่อสาทิศโทรเข้า อัญชิสาปรับอารมณ์นิดหนึ่ง ก่อนจะรับสาย เสียงหวาน
“มอร์นิ่งค่ะ คุณสาทิศ”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ...ทรงเผ่าเปิดประตูออกมากับตำรวจ หลังจากที่คุยกันเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์แวะมาให้ปากคำกับเราเพิ่มเติม บางทีอาจจะต้องรบกวนคุณทรงเผ่าอีก”
“ถ้าเป็นประโยชน์กับทางราชการ ผมยินดีครับท่าน เอ๊ะ ทางตำรวจจะตามเรื่องนี้ต่อเหรอครับ ผมคิดว่าเรื่องจบตั้งแต่เราทลายโรงงานได้แล้ว” ทรงเผ่าย้อนถามอย่างแปลกใจ
“ ผู้ใหญ่สั่งให้ติดตามเรื่องนี้ต่อครับ เราเชื่อว่าน่าจะสาวไปถึงผู้บงการใหญ่ของมันได้”
“อ๋อครับ งั้นผมลาละครับ”
ทรงเผ่าไหว้ลา เดินออกมา เจอกับอั๋นเดินสวนมาพอดี
“อ้าว พี่เผ่า มาทำอะไรครับ แหมพอดีเลย”
“เดี๋ยวๆ ที่นี่ สำนักงานตำรวจใช่มั้ย”
อั๋นงง
“ใช่ครับ มีอะไรเหรอครับพี่เผ่า”
“ฉันคิดว่าเดินอยู่แถวสยามเสียอีก แกนะ จะแต่งตัวหล่อไปไหน”
อั๋นหัวเราะเสียงดังชอบใจ เมื่อถูกทรงเผ่าแซวที่เขาแต่งไปรเวทอย่างหล่อเต็มที่


อั๋นชวนทรงเผ่ามาที่งานกุศล ซึ่งจัดในโรงแรมหรูด้วยกัน อั๋นลงทะเบียนหน้างานเสร็จ เดินกลับมาหาทรงเผ่าที่รออยู่
“ตกลง แกเป็นตำรวจ หรือว่าเซเล็บรับจ้างออกงานวะ เจ้าอั๋น”
“โธ่พี่ อันนี้ก็งานของผมอย่างหนึ่ง ตำรวจต้องเป็นมิตรกับประชาชน ผมก็กำลังทำหน้าที่รักษาภาพลักษ์ของตำรวจที่ดีที่อยู่เคียงข้าง และเป็นเพื่อนกับประชาชนอยู่ไงครับ”
ทรงเผ่าส่ายหน้า
“ฉันบ้าจี้มากับแกได้ยังไงเนี่ย”
“พี่มากับผมนะถูกแล้ว งานนี้สาวๆเพียบๆรับรอง”
อั๋นบอกอย่างมั่นใจ แต่ทรงเผ่าส่ายหน้ายิ้ม ๆ


ในงาน...อั๋นที่ถือเครื่องดิ่มอยู่ หน้าเอ๋อ ตาค้าง เมื่อเห็นคุณหญิง คุณนาย แต่หัวฟูเดินผ่านมา
“น้องอั๋น เดี๋ยวอย่าลืมให้ลูกโป่งอาบนเวทีเยอะๆ นะคะ ถือว่าช่วยทำบุญให้เด็กๆ”
“ได้ครับ คุณอา”
คุณหญิงอีกคนเดินเข้ามา
“น้องอั๋น ต๊ายน่ารักจริง มางานนี้ด้วย คุณพ่อให้มาเป็นตัวแทนหรือค่ะ” อั๋นได้แต่ยิ้ม กับพยักหน้า “มาค่ะถ่ายรูปกันหน่อย”
“ได้ครับ คุณป้า”
คุณหญิงรีบหยิบมือถือในมือออกมา ทรงเผ่ารีบกุลีกุจอช่วยอย่างขำๆ
“ผมช่วยถ่ายให้ดีกว่าครับ”
“ขอบคุณค่ะ แหมลืมเอาแว่นตามา เลยมองไม่ค่อยถนัด”
คุณหญิงยื่นมือถือให้ อั๋นรู้ว่าทรงเผ่าแกล้งแอบตีหน้ายักษ์ใส่ ทรงเผ่ายิ่งแกล้ง
“ชิดๆหน่อยครับ นั้นแหละครับ น่ารักมาก”
ทรงเผ่าถ่ายเสร็จ ยื่นคืน คุณหญิงเดินแยกไป ทรงเผ่าขำอั๋นมาก
“สาวๆ น่ารักจริงๆว่ะ แต่ต้องจินตนาการย้อนกลับไปอีกหลายปี มีประกวดนางงามใจกุศลด้วยใช่มั้ย ไม่รู้จะใส่ทูพีทกันขึ้นเวทีหรือเปล่านะ”
“แน่นอนพี่ แว่นตากับฟันปลอม นี่...พี่เผ่า อย่าเยาะเย้ยกันได้มั้ย ผมแค่ดูการ์ดเชิญผิดงานไปหน่อยเท่านั้นเอง เรารีบแผ่นกันดีกว่านี้ เอ๊ะเดี๋ยว...”
อั๋นส่งสัญญาณให้ดู อีกทาง มองผ่านคนไปเห็น ผู้หญิงใส่ชุดเปิดหลัง ยืนหันหลังให้อยู่ ก่อนเพื่อนอีกคนจะเดินเข้ามา
“นี่ ทั้งงานมันก็ต้องมีแจ่มๆกันบ้าง สองคนพอดีเลยพี่”
“แกคนเดียวเถอะ ไม่ต้องเผื่อฉัน เดี๋ยวฉันไปรอแกทางโน้นดีกว่า”
“โหพี่ ไปด้วยกันซิ ผมไม่บอกคุณหวานหรอกน่า”
อั๋นหยิบแก้วเครื่องดื่มค็อกเทลจากบริกรที่เดินผ่านมาแก้วหนึ่ง แล้วลากทรงเผ่าไปทันที


อั๋นลากทรงเผ่ามา ยืนข้างหลังอัญชิสา กับจินนี่
“คอแห้งมั้ยครับ ผมเอาเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับสาวสวยที่สุดในงานนี้มาให้”
จินนี่หันมาก่อน ก่อนจะเป็นอัญชิสาที่หันมา
“อ้าว คุณหวาน!”
“คุณอั๋น คุณเผ่า!”
อัญชิสาตกใจ แล้วก็กลับมายิ้มหวานให้เหมือนเดิม
“มางานนี้ด้วยเหรอค่ะ ไหนบอกไม่ชอบงานแบบนี้ไง”
“บังเอิญเจอเจ้าอั๋นนะครับ มันเลยลากผมมา แต่นานๆมาที ก็สนุกดีเหมือนกันนะครับ”
“งั้นต่อไปหวานจะชวนเผ่ามาบ้างห้ามปฏิเสธอีกนะคะ เกือบลืมแนะนำ นี่จินนี่เพื่อนหวานเอง นี่หมวดอั๋นจ๊ะเป็นรุ่นน้องคุณเผ่า”
จินนี่ดูตกใจ หลุกหลิก มองหน้าอัญชิสาตลอดเหมือนมีอะไร
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ เอ๊ะ คุณจินนี่เป็นอะไรหรือครับ ดู...กระสับกระส่าย”
“อ๋อ เอ่อ ปวดท้องนะคะ”
“งั้นไปนั่งพักตรงโน้นมั้ยครับ มาครับ” อั๋นกุลีกุจอจะพาไป
“ไม่ค่ะ ไม่ต้อง คือ...อยากไปเก็บดอกไม้ หน่อยนะค่ะ”
อั๋นกับทรงเผ่าเริ่มเข้าใจ
“เดี๋ยวขอตัวซักครู่นะคะ หวานไปด้วยกันมั้ย”
จินนี่ขยิบตากับอัญชิสา
“เอาซิ... เดี๋ยวมานะคะ”
จินนี่กับอัญชิสารีบเดินออกไป

จินนี่กับอัญชิสารีบเดินออกมา หาที่แอบคุยกัน
“แกไม่ตกใจเลยเหรอ ที่เจอคุณเผ่า”
“ตกใจ แต่จะให้ฉันทำไงล่ะ วิ่งหนีเหรอ เค้าก็ยิ่งรู้นะซิว่ามันผิดปกติ”
“แล้วแกจะทำยังไงต่อล่ะ ถ้าคุณเผ่าเค้ารู้ล่ะว่าแกควงคนอื่นมา”
“เอางี้ เดี๋ยวฉันจะรีบพาเค้าออกไปจากงาน แกก็ช่วยฉันรับหน้าทางนี้ก็แล้วกัน แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่มีอะไร”
“โอเค ตามนั้น”
“เดี๋ยว แต่ก่อนอื่น แกต้องเลิกทำหน้าตาเลิ่กลักเหมือนเห็นผีเสียที”
“ย่ะ ก็ฉันตื่นเต้น ไม่ได้สับรางรถไฟเก่งแบบแกนี่ แม่สวยเลือกได้!” จินนี่ค้อน


ในงาน...อั๋นหันมาคุยกับทรงเผ่า...
“โอ้ โห้ อุตส่าห์หาสาวเล็งได้ แต่กลับเป็นคุณหวานของพี่เสียนี่” อั๋นยกมือไหว้ขอโทษ “เกือบหัวเบะไปแล้ว”
“แกไม่ดูเองนี่หว่า เห็นสาวๆละก้อแถเข้าใส่ทันที”
ขณะเดียวกัน สาทิศเดินเข้ามา หยุดยืนมองทรงเผ่ากับอั๋นคุยกัน
“อ้อ นี่พี่จำได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย”
“ก็แฟนฉันนี่น่า ทำไมจะจำไม่ได้ ฮะๆๆ”
สาทิศเดินตรงเข้ามาทักทรงเผ่าทันที
“คุณทรงเผ่าใช่มั้ยครับ”
ทรงเผ่างงเล็กน้อย เพราะไม่เคยรู้จักสาทิศ

อัญชิสากับจินนี่เดินเข้างานมา หยุดไหว้หันไปทักทายคุณหญิงคนหนึ่ง จินนี่มองไปแล้วก็ชะงัก
“ไม่ทันแล้วล่ะ หวาน” จินนี่สะกิดอัญชิสาให้ดู
“อะไร”
มองเห็นทรงเผ่ากับอั๋นยืนอยู่กับสาทิศ
“รถไฟชนกันเสียแล้วละแก”
อัญชิสานิ่งไปชั่วครู่ว่าจะเอาไงดี แล้วก็เชิดหน้า
“ก็ดีเหมือนกัน คุณเผ่าเค้าจะรู้ว่าตัวเองมีคู่แข่ง ฉันไม่ได้เป็นของตายถ้าไม่รีบตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาด ก็มีสิทธิชวดได้”
“ฉันปวดท้องฉี่อีกแล้ว ขอเข้าห้องน้ำอีกรอบนะ ฉันไม่ชอบซีนแบบนี้”
จินนี่หันหลัง แต่อัญชิสาคว้าแขนไว้
“ไม่ได้ แกต้องไปกับฉัน”
อัญชิสาเดินนำจินนี่เข้าไปที่ทั้งสามหนุ่ม จินนี่ยังกลัวๆ แต่อัญชิสามั่นใจเพราะตัดสินใจแล้ว
“คุณหวานมาแล้ว” ทรงเผ่าบอก
สาทิศ ก้มหัวให้เชิงทักทายอัญชิสาควบคุมสติ ยิ้มให้
“แหมบังเอิญจัง อยู่กันพร้อมหน้าเลย นี่รู้จักกันหมดหรือยังค่ะ นี่ เอ่อ...”
จินนี่เผยมือไปทางสาทิศ
“คุณสาทิศ แนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้วครับคุณหวาน” ทรงเผ่าบอก
“ตายแล้ว นี่รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอค่ะ” จินนี่แกล้งถาม
“เปล่าครับ เมื่อสักครู่นี่เอง” อั๋นบอก “คุณสาทิศคงเห็นผมยืนคุยกับคุณหวานกระมั่งครับ ถึงได้เข้ามาทัก”
“ใช่ครับ เพราะผมก็เป็นคนที่ชวนคุณหวานมางานนี้เอง ก็เราเป็น...”
สาทิศจงใจเว้นวรรค ให้ทุกคนอึดอัด ลุ้นๆ แล้วพูดต่อ
“...เพื่อนกันนี่ครับ ผมทราบว่านี่เป็นงานการกุศล เลยชวนคุณหวานมาเป็นเพื่อน เพราะผมเองยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่”
“งั้นคุณชวนไม่ผิดคนแล้วครับ คุณหวานเธอรู้จักคนเยอะ” ทรงเผ่าบอก
“แหม คุณเผ่าก็อย่าชมกันเลยค่ะ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น หวานแค่โชดดีที่มีเพื่อนเยอะหลายวงการเท่านั้นเองค่ะ”
“รวมทั้งคุณเผ่าด้วยใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“งั้นผมก็ถือว่า เราเป็นเพื่อนกันแล้ว คงได้มีโอกาสเจอกันอีกบ่อยๆนะครับ”
สาทิศยื่นมือให้ ทรงเผ่ายื่นมือมาจับ คนอื่นๆมองอย่างอึดอัดกันไป


อั๋นขับรถมาส่งทรงเผ่าที่บ้าน ทรงเผ่าดูสบายๆ ตบไหล่อั๋น
“ขอบใจนะที่มาส่ง งานนี้สาวๆสวยๆ เพียบจริงๆอย่างที่แกว่า”
อั๋นงงที่ทรงเผ่าดูไม่ทุกร้อน
“นี่พี่เสียใจจนเพี้ยน หรือว่าพี่ไม่รู้สึกอะไรจริงๆที่คุณหวานเค้าควงคนอื่น”
ทรงเผ่าเงียบไป แล้วก็ตอบจริงจัง
“แกอยากเห็นอะไร ให้ฉันชกหน้าสาทิศเหรอ”
“เป็นผมคงทำแบบนั้น ใครๆก็รู้กันทั่วว่าพี่กับคุณหวานเป็นแฟนกัน”
“แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน หรือแม้แต่หมั้น ฉันเข้าใจคุณหวานนะ เค้ามีสิทธิเลือกคนที่ดีที่สุด”
“อ้าว นี่พี่ไม่ได้รักคุณหวานเหรอ ผมคิดว่าพี่อยากจะแต่งงานกับเธอเสียอีก”
“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะคุณหวานเป็นผู้หญิงที่ฉันรู้สึกดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยคบมา แต่ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมถึงยังไม่รีบขอเธอแต่งงาน มีบ้างอย่างที่...“ ทรงเผ่า เว้นไว้ไม่อยากอธิบายมาก “เอาเป็นว่าฉันคงอยากทำงานอยู่มั้ง แล้วแกล่ะ จะลอยชายแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอ”
“ผมก็ยังหาผู้หญิงที่ผมถูกใจจริง ๆไม่เจอเหมือนกันนี่ครับพี่”
ทันใดเสียง “กรี๊ด ๆๆๆ” ดังขึ้น

อั๋นกับทรงเผ่ามองหน้ากันอย่างตกใจ รีบลงจากรถไปดู

อ่านต่อ ตอนที่ 8 พรุ่งนี้ 9.30 น. 

แก้วกลางดง ตอนที่ 8

ทรงเผ่ากับอั๋นวิ่งเข้ามา เจอเชอรี่ที่วิ่งกรี๊ดสวนออกมาพอดี

“เกิดอะไรขึ้น” ทรงเผ่าถามอย่างแปลกใจ
“ในนั้นค่ะ อี๋ย์...น่ากลัวเหลือเกิน”
“ไม่ต้องห่วงนะ คุณอั๋นเค้าเป็นตำรวจ มีอะไรบอกเค้าได้”
“ใช่ครับ...เกิดอะไรขึ้น” อั๋นถามอย่างสงสัย
เชอรี่ทำหน้าสยอง
“คุณเข้าไปดูเองเถอะค่ะ หนูไม่อยากพูด มัน มัน...”
ทรงเผ่ามองหน้ากับอั๋นเคร่งเครียด อั๋นถอยไปอยู่หลังทรงเผ่าทันทีแล้วรีบบอก
“เข้าไปเลยพี่!”
ทรงเผ่าหน้าเหวอ
“เฮ้ย...เจ้าอั๋น แกเป็นเจ้าหน้าที่นะ”
อั๋นเพิ่งรู้ตัว
“อ๋อ ใช่ๆ แต่นี่นอกเวลาราชการ เราถืออาวุโสให้พี่นำก็แล้วกันนะ”
ทรงเผ่าอึ้งไม่รู้จะว่าไง ได้แต่พยักหน้าตัดสินใจผลักประตูเข้าไป

เมียวดี กับฟ้าลั่นกำลังนั่งสุมหัวกันอยู่ในครัว ช่วยกันแกะหนูออกจากแร้ว ทรงเผ่าเข้ามา
“เมียวดี...ฟ้าลั่น ทำอะไรกัน เชอรี่ถึงได้ร้องลั่น ตกใจกันไปหมด”
เมียวดีกับฟ้าลั่นลุกขึ้นยืน แต่มือยังแอบไว้ข้างหลัง
“ไม่รู้ นายก็ถามมันเองซิ ว่าแหกปากทำไม เราไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย” เมียวดีพูดหน้าตาเฉย
เชอรี่ตามมาแต่อยู่ห่างๆ
“โกหก...ฆาตกรรมชัดๆ แล้วมาบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไง”
ฟ้าลั่นส่งยิ้มหวานให้
“น้องเชอรี่จ๋า ทำไมพูดแบบนั้น...”
ฟ้าลั่นจะเข้าไปหา เชอรี่ถอยหลังยกมือห้าม
“อย่า!...อย่าเข้ามานะ ออกไปห่างๆ”
ทรงเผามองๆอย่างสงสัย
“ในมือที่ถือไว้ข้างหลังนะมันคืออะไร เอาออกมาซิ”
เมียวดีส่ายหน้า
“ไม่ได้นาย”
ทรงเผ่าจ้องหน้า
“เมียวดี!”
“แต่ก็จริงของอีเมียวนะนาย เกิดมันหลุดไปได้ ก็ยุ่งกันพอดี” ฟ้าลั่นบอก
อั๋นมองไปเห็นแร้วหยิบขึ้นมาดู
“อันนี้อะไร”
ฟ้าลั่นยิ้มเยาะ
“โอ๊ย...เกิดที่ไหนเนี่ย ไม่รู้จักแร้วเหรอ”
ทรงเผ่าส่งสายตาดุ
“ฟ้าลั่น...เพื่อนฉันเค้าเป็นตำรวจนะ ถ้าเราทำอะไรผิดกฎหมาย เค้าจับเข้าคุกไปฉันช่วยไม่ได้นะ”
ฟ้าลั่นตกใจพูดเสียงอ่อยลง
“ฟ้าลั่น แค่พูดเล่นเท่านั้น ไม่ขำเหรอนาย”
“ไม่ขำแม้แต่นิดเดียว รู้มั้ยที่นี่กรุงเทพ จะมาจับสัตว์เหมือนอยู่ในป่ามันไม่ได้นะ”
“อะไรก็ไม่ได้ คนเมืองนี่ข้อห้ามเยอะจริง...ก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ปล่อยมัน”
“ฉันขอรับรองด้วยเกียรติของตำรวจ พอจะเชื่อถือได้มั้ย” อั๋นบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมียวดีพยักหน้า
“ฮือ...งั้นเราให้หมวดก้านยาวเป็นคนถือ อย่าลืมนะห้ามปล่อย”
เมียวดีพยักหน้าให้ฟ้าลั่นส่งให้ ฟ้าลั่นกำลูกหนูไว้ในมือค่อยๆ วางลงบนมือของอั๋น เมื่ออั๋นเผยอดูเห็นเป็นลูกหนูก็ตกใจ
“เฮ้ย!”
อั๋ยโยนให้เชอรี่ เชอรี่ตกใจ โยนต่อไปทรงเผ่า ทรงเผ่าโยนต่อไปฟ้าลั่น ฟ้าลั่นขำ ๆ โยนไปให้เมียวดี เมียวดีจับหางหนูไว้
“ลูกผู้ชายรับปากแล้ว ถ้าผิดคำพูดก็คือลูกหมาจริงมั้ยหมวดก้านยาว เอ๊า”
เมียวดียื่นให้อั๋นอีกที อั๋นจำใจต้องจับหนูไว้ ทรงเผ่าจะช่วยก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อั๋นพะอืดพะอมอยากจะอ้วก ทรงเผ่าหันไปดุเมียวดี
“เล่นพิเรนทร์อีกแล้วนะเมียวดี”
“ไม่ได้เล่น เราได้ยินป้าวงศ์บอกว่ามีหนูเข้ามาในครัว เราเลยช่วยจับให้ จับหนูนี่มันผิดกฎหมายด้วยเหรอนาย”
ทรงเผ่าอึ้ง
“ก็...ไม่ผิด แต่เอามาโยนเล่นใส่คนอื่นแบบนี้มันไม่ควร”
“เราไม่ได้โยน นายกับเพื่อนนายขอดูเองต่างหาก เราก็ส่งให้”
อั๋นสะกิดทรงเผ่า
“พี่เผ่าครับ...”
ทรงเผ่าไม่หันมามอง
“ไม่ได้อั๋น ต้องสอนกันบ้างจะได้รู้จักอะไรควรไม่ควร” ทรงเผ่าหันไปดุเมียวดีต่อ “รู้มั้ยว่าหนูพวกนี้มันสกปรก แล้วก็นำเชื้อโรคมาสู่คน”
เชอรี่ขนลุกขนพอง
“น่าขยะแขยงมากด้วยค่ะ”
“หนูในนากินได้ แถวบ้านเรากินกันทั้งนั้นไม่เห็นมีใครตาย”
“มันไม่เหมือนกัน”
อั๋นสะกิดอีกที
“พี่เผ่าครับ...”
“เห็นมั้ยอั๋น ไล่ไม่เคยจนเลยล่ะยายเด็กนี่”
“ขอเวลานอกก่อนได้มั้ยครับ คือผม...”
ทรงเผ่าเพิ่งหันไป
“...ผม...ไม่ไหวแล้วครับพี่”
อั๋นทนไม่ไหว จะอาเจียร ต้องวิ่งออกไปทันที เมียวดีกับฟ้าลั่นขำทันที ทรงเผ่าอดขำไปด้วยไม่ได้ แต่พอนึกได้ ก็ต้องรีบเก็กเหมือนเดิมรีบตามอั๋นไป

ทรงเผ่ารออยู่หน้าห้องน้ำอย่างเป็นห่วง เมียวดี ฟ้าลั่น เชอรี่ยืนแอบๆกันห่างออกมา ทรงเผ่าตะโกนถาม
“เป็นไงบ้างอั๋น”
“ดีขึ้นแล้วครับพี่...”
เสียงโอ้กอ้ากของอั๋นตามมาอีกรอบ พร้อมเสียงชักโครก อั๋นออกมา ทรงเผ่ารีบถาม
“ไหวมั้ย”
“โอเคครับ”
“เป็นตำรวจแต่กลัวหนูตัวนิดเดียวแล้วจะจับคนร้ายยังไง ต้องใจแข็งกว่านี้นะหมวด”
เมียวดีตบไหล่อั๋น ทำนองให้กำลังใจ ทรงเผ่าปรามๆ
“เมียวดี!”
เมียวดีเงียบลง แต่ยังหน้าเป็นยิ้มให้อั๋น

ค่ำนั้น...ทรงเผ่า นั่งทำงานอยู่ในห้อง เอาพวกรูปกล้วยไม้มาคัดเลือก พอเมื่อยคอเมื่อยตาก็หยุด มองออกไป นอกหน้าต่าง เห็นเมียวดีนั่งอยู่ที่สนามหญ้า เหลือบมองนาฬิกา ปรากฏว่าตีสองแล้ว...ทรงเผ่าลงมามองเมียวดีที่นอนมองฟ้าอยู่ที่สนามก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งท่าทางหงุดหงิด
“ตีสองแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอเมียวดี”
เมียวดีหันไป
“แล้วนายล่ะทำไมไม่นอน”
ทรงเผ่ายักไหล่ เมียวดีเหมือนไม่รอฟังคำตอบพูดต่อทันที
“ทำไมฟ้าที่กรุงเทพมันไม่มืดเลยละนาย มองไปก็เห็นสว่างตลอด ไม่เห็นดาวเลย”
ทรงเผ่ามองอยู่ชั่วขณะ
“ท้องฟ้ากรุงเทพ ไม่เหมาะกับการดูดาวหรอก แสงสี ไฟจากที่ต่างๆ มันเยอะ จนท้องฟ้ากรุงเทพไม่เคยมืดพอ หรือไม่ตึกมันก็ขึ้นบังจนมองไม่เห็นท้องฟ้า”
เมียวดีนั่งเอาคางเกยเข่าเซ็ง ๆ
“ป่าคอนกรีตของนายไม่เห็นเหมือนป่าของเราซักอย่าง แต่คนก็ชอบเข้ามาป่าที่มีแต่แสงไฟกันมากกว่าป่ามืดๆบนเขา เหมือนแมงเม่าที่ชอบเล่นไฟใช่มั้ยนาย”
“เข้าใจเปรียบเทียบดีนะ แล้วเราล่ะชอบมั้ย”
“ไม่รู้ซิ เราเพิ่งเข้ามาไม่นาน แต่ที่แน่ๆ ที่นี่เสียงดังกว่าที่บ้านเรา มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังตลอดเวลา เยอะไปหมด แต่ยกเว้นเสียงสัตว์ ดูซิดึกขนาดนี้ยังมีเสียงรถวิ่งเลย นายได้ยินมั้ย คนที่นี่เค้าไม่นอนกันเลยเหรอนาย”
ทรงเผ่าเงี่ยหูฟังแล้วก็ส่ายหน้า
“ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงอะไร”
เมียวดีไม่รู้จะพูดต่อยังไง ได้แต่นั่งกอดเข่าไปเหมือนเดิม ทรงเผ่าพิจารณาเธอซักครู่ แล้วก็พอเดาออก
“นี่เธอนอนไม่หลับเพราะเสียงมันดังเกินไปสำหรับเธอใช่มั้ย จริงซิ เธอคงยังไม่ชิน เพราะ ตอนอยู่ในป่า กลางคืนป่ามันเงียบจนเราได้ยินแม้กระทั่งใบไม้ตก”
“เสียงนายกรนด้วย”
“ฮะๆๆ” ทรงเผ่าหัวเราะแล้วก็นึกขึ้นได้ “ขอโทษจริงๆเมียวดี ฉันลืมไปสนิทเลย ไปเถอะ...”
ทรงเผ่าดึงมือเมียวดีลุกขึ้น ลากเดินเร็วๆไป
“จะไปไหนนาย”
ทรงเผ่าพาเมียวดี ขับรถวนขึ้นมาจอดบนลานลานจอดรถบนดาดฟ้าตึกสูง
“นี่อาจจะไม่ใช่ตึกที่สูงที่สุดในกรุงเทพ แต่ฉันว่าบนนี้เธอน่าจะพอเห็นดาวบ้าง”
ทรงเผ่ากดซันรูฟ เปิดออก เมียวดีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นดาวอยู่บ้าง เธอดีใจมองใหญ่
“ดาวคันไถอยู่ตรงไหนนะนาย”
ทรงเผ่าชี้ไปบนท้องฟ้า
“อยู่นั้นไง สามดวงที่เรียงติดกันนั้นใช่มั้ย”
เมียวดียิ้มอย่างดีใจ
“อ๋อ...เห็นแล้ว”
“ถ้าเป็นฝรั่ง เค้าจะเรียกว่ากลุ่มดาวนายพราน สามดวงนั้นจะเป็นเข็มขัดของนายพราน”
เมียวดีแปลกใจ
“ดาวนายพรานเหรอ”
“ใช่”
“พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเราเกิด พ่อเห็นดาวเล็กๆ เหนือดาวสามดวงนั้นส่องประกายวาบขึ้นมา พ่อบอกว่าเป็นดาวประจำตัวเรา”
“อืม...ตำแหน่งตรงนั้นคงเป็นหัวใจของนายนายพรานพอดี เธอคือแก้วตาดวงใจของตาจั่น”
“เรารู้”
เมียวดีเริ่มแอบมีน้ำตาคลอ รีบปิดตาไม่ให้น้ำตาไหล ทรงเผ่ามองแล้วก็เอื้อมมือเอาหูฟังมาใส่ให้ เมียวดีลืมตางงว่ามันคืออะไร
“เราไม่หนาว ไม่ต้องเอาอะไรมาปิดหูหรอก”
ทรงเผ่ายิ้มๆ
“เฉยๆเถอะน่า”
เสียงทุกอย่างหยุดนิ่งเงียบชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆได้ยินแต่เสียงจังหวะหัวใจเต้นตึกๆๆ เมียวดียิ่งงงใหญ่
“แม้ว่าเสียงของเมืองมันจะหนวกหูเกินไปสำหรับเธอ แต่คนในเมืองก็ยังพอทำสิ่งประดิษฐ์ดีๆไว้บ้าง เค้าบอกว่า การฟังเสียงหัวใจเต้นจะทำให้นอนหลับสบาย ไม่รู้จริงมั้ยแต่ฉันก็เอามาฟังบ่อยๆ เวลาที่ฉันนอนไม่หลับ”
เมียวดียิ้มให้เขาอย่างสดใส
“ขอบใจนะนาย นอกจากพ่อก็มีนายนี่แหละที่ดีกับเราแบบนี้”
ทรงเผ่ามองเธอนิ่งก่อนจะยิ้มตอบ สองคนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีๆต่อกันแต่ด้วยสถานะ เขาทำได้แค่จับหัวเธอเขย่าเบาๆอย่างเอ็นดู สองคนดูดาวกันอย่างมีความสุข

ทรงเผ่าขับรถกลับบ้านก็เกือบเช้าแล้ว เขาเผ่าอุ้มเมียวดีที่นอนหลับลงจากรถหูของเธอยังใส่เฮดโฟนอยู่ เชอรี่หาวเดินออกมา ปวดท้องจะเข้าห้องน้ำ แต่เห็นทรงเผ่าอุ้มเมียวดีมาพอดี
“อุ๊ย”
เชอรี่จะร้องโวยวาย วงศ์เข้ามาปิดปากไว้
“เห็นอะไรก็ไม่ต้องเอาไปพูดมากนะเรา เราเป็นลูกจ้างไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย”
“แต่ว่า...”
วงศ์ขึงตาใส่อีกที
“ไปนอนได้แล้ว แต่ถ้าตาสว่างนอนต่อไม่หลับก็ไปหุงข้าวให้คุณบัวคลี่ตักบาตรก็ได้”
“ง่วงค่ะ เชอรี่ยังง่วงอยู่ ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำเท่านั้น”
เชอรี่รีบทำเป็นหาว แล้วเดินออกไป วงศ์ตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี

เชอรี่รู้สึกคันปากมากจนกระทั่งต้องเกาปาก ขณะที่เดินผ่านหน้าห้องฟ้าลั่น ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าฟ้าลั่นเดินละเมอออกมาทั้งๆที่หลับตา
“นั้นแน่ น้องเชอรี่ คิดถึงพี่ฟ้าใช่มั้ยจ๊ะ”
ฟ้าลั่นตรงเข้ากอดทันที
“บ้านะ ปล่อยนะเดี๋ยวใครมาเห็น”
“ไม่มีใครเห็นหรอกขอชื่นใจหน่อยนะ”
เชอรี่ดิ้นฟ้าลั่นหอมแก้ม
“จักกะจี้น่า เดี๋ยวพอก่อน พี่รู้มั้ยเมื่อกี้ลำไย เอ๊ย...เชอรี่เห็นคุณเผ่าอุ้มคุณเหมียวมาด้วยล่ะ ดึกดื่นค่อนคืนไม่รู้หายไปไหนกันมา โอ๊ย ไม่อยากคิดอกุศลเลยเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็คิดไปแล้ว พี่ฟ้าว่าคุณเหมียวกับคุณเผ่านะมีอะไรกันมั้ย นี่...ได้ยินที่เชอรี่พูดหรือเปล่า”
เชอรี่มอง อีกทีเห็นว่าฟ้าลั่นหลับตายืนยิ้ม แล้วก็เปิดประตูกลับไปนอน เชอรี่หน้าเหวอ
“ทั้งหมดนี่ละเมอเหรอ พี่ฟ้า ตื่นซิ พี่ฟ้าลั่น ไอ้ฟ้าลั่น!”
ฟ้าลั่นไม่ตื่น เชอรี่เดินออกมาอย่างหงุดหงิด
“บ้าที่สุด...ปล่อยให้พูดอยู่คนเดียว คันปากจริง ๆ จะเมาท์เรื่องนี้กับใครดีนะคันๆๆ อ๋อ รู้แล้วว่าควรจะเมาท์เรื่องนี้กับใคร”
เชอรี่ยิ้มออกเมื่อนึกได้

ทรงเผ่าวางเมียวดีบนที่นอน กำลังจะถอดหูฟังออก เสียงวงศ์ดังเข้มๆเข้ามา
“คุณเผ่า!”
“ป้าวงศ์มาพอดีเลยครับ ช่วยหน่อย ยายตัวแสบนี่ตัวหนักไม่ใช่เล่น เห็นตัวเล็กแบบนี้เถอะ”
วงศ์ช่วยห่มผ้าให้เมียวดี แล้วหันมาถามทรงเผ่า
“พาคุณเหมียวไปไหนมาค่ะ ถึงกลับมาป่านนี้”
“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ เหมือนผมทำอะไรผิด”
“แล้วทำหรือเปล่าล่ะคะ”
“โธ่...ป้าครับ เมียวดีเค้านอนไม่หลับ ผมก็เลย...พาไปนั่งรถเล่นแค่นั้นเอง”
วงศ์โล่งใจ
“งั้นเหรอค่ะ แต่...แค่นั้นแน่นะคะ”
“ป้าครับ...วางใจได้ ผมนะไม่ใช่พวกสมภารชอบกินไก่วัดหรอกนะครับ โดยเฉพาะไก่ป่าแบบนี้ ดีไม่ดี ได้โดนไล่จิกกันตาบอดแน่ ผมไม่อยากเสี่ยงหรอกครับ...”
วงศ์ลากเสียงยาวบนหมั่นไส้
“ค่ะ...นี่ถ้าคุณเหมียวได้ยิน คงต้องมีคำถามต่ออีกยาวแน่” วงศ์ยืนมองเมียวดี อย่างเอ็นดู “ดูซิคะ หลับอุตุ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเชียว แม่คุณ”
“ถูกครับ แล้วก็ต้องเป็นคำถามกวนประสาทมากด้วย เช่น ทำไมต้องเป็นสมภารเป็นอย่างอื่นได้มั้ย” ทรงเผ่าหาวดูนาฬิกา “จะเช้าแล้วเหรอเนี่ยมิน่าง่วงชะมัด”
“ไปค่ะ งั้นคุณเผ่าไปนอนเถอะ”
วงศ์เดินออกไป ทรงเผ่าเอื้อมมือปิดไฟอดหันมามองเมียวดีที่นอนหลับอยู่ไม่ได้ เขายิ้มให้นิดๆ ก่อนจะปิดประตู เมียวดีที่นอนอยู่ยิ้มมุมปากนิดๆ เพราะได้ยินทุกอย่าง ก่อนจะคว้าเฮดโฟนมาใส่ นอนต่อเหมือนเดิม

เช้าวันใหม่...บัวคลี่คุยโทรศัพท์อยู่ในห้องรับแขกน้ำเสียงตกใจ
“วันนี้หมวดอั๋นลาหยุดงั้นเหรอคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ...ไม่ทราบ อ้าวแล้วทำไมจ่าไม่ถามละคะ...ไม่กล้าถาม...อ๋อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
บัวคลี่วางหู โวยวายกับวงศ์ที่ยืนรออยู่ทันที
“คุณอั๋นไม่ไปทำงาน ต้องไม่สบายแน่ๆ ป่านนี้คงนอนซมเพราะได้รับเชื้อโรคเข้าไป ตายจริงหรือว่า...จะติดโรคฉี่หนูเข้าให้แล้ว”
“เดี๋ยวค่ะ คุณบัวคลี่ทราบได้ยังไงค่ะว่าคุณอั๋นเธอป่วย”
“อ้าว ก็แม่วงศ์บอกฉันเอง ว่ายายเหมียวแกล้งให้คุณอั๋นยืนจับหนู จนอาเจียรหน้าเขียวหน้าเหลืองไปตาม ๆ กัน”
“ดิฉันก็รายงานไปตามที่เชอรี่บอกนะคะ ไม่ได้เห็นเองกับตา”
“ก็เหมือนกันนั้นแหละ...ไม่ได้การแล้ว แม่เหมียวอยู่ที่ไหนเนี่ยไปตามมาหาฉันด่วน”
บัวคลี่บอกอย่างกังวลใจมาก

สายๆวันนั้น...เมียวดี ยืนถือกระเช้าผลไม้อยู่กับบัวคลี่ ที่หน้าคอนโดของอั๋น
“หมวดก้านยาว อยู่ที่นี่เหรอเมียพ่อนาย ทำไมถึงไม่อยู่บ้านล่ะ ดูไปเหมือนจอมปลวกเลยนะ”
“เค้าเรียกว่าคอนโดจ๊ะ คุณอั๋นเค้าเป็นหนุ่มโสดชอบอิสระ ก็เลยแยกออกมาอยู่คนเดียว เห็นห้องเล็กๆแบบนี้รู้มั้ย ซื้อบ้านได้ทั้งหลังเลยนะ เอ๊ะๆ เดี๋ยวนะเมื่อกี้ฉันได้ยินเธอเรียกคุณอั๋นว่าอะไรนะ”
“หมวดก้านยาว”
“หมวดก้านยาว...นี่หมวดเค้าไม่ใช่ทุเรียนนะ ไปเรียกอย่างนั้นได้ยังไง แม่เหมียว”
“ไม่เห็นเค้าว่าไงนี่ แล้วหมวดเค้าอยู่ชั้นไหนล่ะ”
บัวคลี่ชี้ขึ้นไป
“ชั้นสิบแปด”
เมียวดีตะลึง
“โอโห้ เมียพ่อนายจะปีนไปไว้ไหวเหรอ แก่แล้วนะ”
บัวคลี่ตาโต หันมาค้อนทันที เมียวดีมองตึกสูงอย่างอึ้งๆ
“มันสูงพอๆกับปีนขึ้นภูเขาเลยนะ เอางี้แล้วกัน” เมียวดีป้องปากตะโกน “วู้ ๆๆ หมวดเพื่อนนาย”
บัวคลี่รีบห้าม
“นี่ตะโกนทำไมแม่เหมียว อายเค้า”
“ก็จะให้หมวดโยนเชือกลงมา เดี๋ยวเราดึงเมียพ่อนายขึ้นไปเอง รับรองไม่ตกแน่”
บัวคลี่เหนื่อยใจ
“ที่นี่เค้าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอ คนที่นี้ เค้ามีลิฟท์ย่ะ”
เมียวดีงงๆไม่เข้าใจ
“ลิฟท์?”

บัวคลี่พาเมียวดีเข้ามาในลิฟท์ เธอยืนตัวเกร็งๆ จับผนังเอาไว้
“ลิฟท์ก็เหมือนรอกนั้นแหละ เราอยู่ในกล่อง รอกก็จะชักเราขึ้นไป”
เมียวดีพูดไม่ออกได้แค่พยักหน้ารับรู้
“แค่กดปุ่มเราก็ไม่ต้องเหนื่อยเดินขึ้นลง”
บัวคลี่กดบุ่ม ยิ้มสบาย ๆแต่พอลิฟท์ขึ้น เมียวดีรู้สึกเสียววูบในท้อง หายใจแรง บัวคลี่แปลกใจ
“เป็นอะไรเมียวดี”
“เรารู้สึกเหมือน...ขนหัวตั้ง ไส้มันก็เหมือนจะหลุดออกมาเลย...เหวอ”
เมียวดีร้องออกมา บัวคลี่มองเป็นห่วง
“โธ่...กลัวเหรอแม่เหมียว ไม่เป็นไรน่า กลั้นใจไว้แบ๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
เมียวดีค่อยๆหันหน้ามามอง นิ่งไปนิดก่อนจะกลายเป็นหัวเราะเสียงดัง
“ฮะๆๆ สนุกดี เอาอีกรอบได้มั้ยเมียพ่อนาย เค้าเก็บเงินมั้ย”
บัวคลี่ถอนหายใจที่ประเมินเมียวดีผิดอีกแล้ว ได้แต่ส่ายหน้า

เมื่อถึงห้องอั๋น บัวคลี่เอากระเช้าผลไม้ให้อั๋น
“น้าขอโทษแทนแม่เหมียวด้วยจริงๆค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวน้าจะรับผิดชอบเอง”
อั๋นงงๆ
“ค่าใช้จ่ายอะไรครับ”
“ก็ค่ายา แล้วก็ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ที่คุณอั๋นไม่สบายเพราะไปช่วยจับหนูนะซิคะ”
“ผมสบายดีครับ พอดีเมื่อเช้าตื่นสายนะครับ ก็เลย...โทรไปลางาน”
บัวคลี่หน้าแตกเล็กน้อย เมียวดียิ้มๆ
“เราบอกเมียพ่อนายแล้ว ว่าหมวดไม่เป็นไรหรอก แถวบ้านเราเด็กมันจับหางแกว่งเล่นกัน”
อั๋นรีบโอ่ทำเก่งทันที
“ใช่ ครับ หนูตัวเล็กนิดเดียว สบายมากครับ”
“เฮ้ย นั้น...”
เมียวดีชี้ไปทันที อั๋นตกใจรีบกระโดดยกขาจากพื้นเกาะบัวคลี่อย่างรังเกียจ เมียวดีทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าแกล้งอำอั๋น
“อ๋อ...เศษด้ายตก เราดูผิด คิดว่าหางหนู”
อั๋นเสียฟอร์ม ค่อยๆเอาขาลงรีบพูดแก้เก้อ
“ก็เอ่อ ผมไม่ได้กลัวนะครับ แต่ไม่ชอบใกล้ชิด...เอ๊ะ แล้วพี่เผ่าละครับ”
“ออกกันมาแต่เช้า ดูเหมือนคุณเผ่ายังไม่ตื่นเลยค่ะ”
“นายนอนไม่หลับ”
อั๋นฟังแล้วสะดุ้งรู้สึกเอะใจ
“เป็นอะไรครับ”
“โอ๊ย...อย่าไปฟังยายเหมียวเลย แกก็พูดเรื่อยเจื้อยไปงั้นเองค่ะ”
อั๋นตัดสินใจหาข้ออ้าง
“เอ่อ คุณน้าครับ...วันก่อนผมได้ยินคุณพ่อบ่นเรื่องอยากหาทุนช่วยเหลือเด็กที่เกิดในคุกอะไรทำนองนี้แหละ อยากเชิญทางสมาคมช่วยเป็นแม่งานแต่...เกรงใจคุณน้า...”

อั๋นทิ้งท้ายให้บัวคลี่ติดใจ

อ่านตอนที่ 8 ต่อ พรุ่งนี้

แก้วกลางดง ตอนที่ 8

บัวคลี่ปลีกตัวคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่ง

“ดิฉันเต็มใจและยินดีมากค่ะ ท่านรอง...เรื่องแบบนี้ดิฉันพร้อมสนับสนุน...”
อั๋นปล่อยให้บัวคลี่โทรศัพท์ รีบหลบออกมาหาเมียวดี
“จริงเหรอเมียวดี ที่พี่เผ่านอนไม่หลับ เธอรู้ได้ยังไง”
“อ้าว ก็ถ้านายนอนหลับ นายจะพาเราไปดูดาวได้ยังไง”
อั๋นเข้าใจผิดทันที
“นั่นไง ฉันคิดแล้วไม่ผิด ต่อหน้าฉันทำเป็นเก็บอาการ ไม่แสดงออก แต่แอบไปเพ้อกับดาว แบบนี้เป็นหนักแล้วนะ”
เมียวดีสงสัย
“นายเป็นอะไรเหรอหมวด”
“ก๊ออกหักแต่ไม่ยอมรับนะซิ”
เมียวดีแปลกใจ

อัญชิสากับจินนี่ นั่งจ้องโทรศัพท์ ที่วางอยู่บนโต๊ะ จินนี่นับเวลาถอยหลังให้โทรศัพท์ดัง
“6 5 4 3 2 1 ดัง”
โทรศัพท์เงียบกริบ จินนี่ถอนใจ
“นี่มันเกิน 24 ชั่วโมงแล้วนะ ที่คุณเผ่าไม่โทรมาหาแก”
“ฉันรู้แล้ว แกไม่ต้องย้ำได้มั้ย”
“แบบนี้ก็แปลว่า สิ่งที่แกคิดไว้มันผิด คุณเผ่านะเค้าติสจะตาย เค้าไม่มาดราม่าแย่งผู้หญิงแค่คนเดียวหรอก”
“แต่ฉันไม่ใช่เป็นแค่ผู้หญิง ฉันคือผู้หญิงที่สังคมนี้ต้องจับตามองและต้องการ แกลืมแล้วเหรอ”
“ฉันไม่ลืม แต่แกต้องไปบอกคุณเผ่า แล้วก็คุณสาทิศ เพราะตั้งแต่วันนั้นทั้งสองคนยังไม่มีใครโทรมาหาแกเลยไม่ใช่เหรอ”
“พอได้แล้วยายจินนี่ ฉันเรียกแกมาเพื่อจะมาช่วยกันคิด ไม่ใช่ให้แกมาซ้ำเติมฉันนะ แกกลับบ้านไปเลย”
อัญชิสาหยิบกระเป๋าใส่มือจินนี่ ไล่กลับ
“เฮ้ย หวาน...เดี๋ยวซิ ที่ฉันอยากบอก คือ แกจะไปแคร์ทำไม แกก็หาคนใหม่ก็ได้ มีผู้ชายอีกเยอะแยะที่พร้อมจะมาสยบแทบเท้าแก”
“แต่คนที่เหมาะสมกับฉัน ทั้งหน้าตาและสังคมมันไม่ได้มีมากนักนะ และที่สำคัญ ฉันต้องเป็นคนเลือก ไม่ใช่คนที่ถูกเลือก”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา สองสาวมองหน้ากันอย่างดีใจ
“เห็นมั้ย ว่าฉันคิดถูก...”
อัญชิสาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“เอ๊ะ ไม่ใช่เบอร์คุณเผ่านี่”

เมียวดีเปิดประตู อั๋นรีบตามไปดึง
“เมียวดี เธอจะไปไหน”
“เราจะไปถามคุณหวาน เป็นผู้หญิงสองใจแบบนี้ไม่ดี”
“เฮ้ย...ทำแบบนั้นมันไม่ได้นะ ดอกไม้งามย่อมมีหมู่แมลงมาเฝ้าดอมดมของแบบนี้มันอยู่ที่คนของเราต่างหากจะฮึดสู้หรือเปล่า”
“อืม...ถึงหมวดจะสำอางเหมือนนกแก้วไปหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนที่ใช้ได้นะ”
“ฉันไม่ค่อยแน่ใจในประโยคแรก แต่ฟังดูรวม ๆ เธอชมฉันใช่มั้ย”
“ใครเป็นเพื่อนนาย ก็เป็นเพื่อนเราด้วย ต่อไป หมวดคือเพื่อนของเรา”
อั๋นงง
“เธอ...ยอมรับ ฉันเป็นเพื่อน”
“ใช่...หมวดนี่เข้าใจอะไรยากนะ”
อั๋นเอ๋อไปอีก บัวคลี่ส่งเสียงมา เดินตามหาสองคน
“คุณอั๋น อยู่ไหนคะ...แม่เหมียว”
อั๋นรีบเร่ง
“ตกลงเป็นเพื่อนกันก็เป็น เพราะงั้นเธอกับฉัน ต้องช่วยกันเชียร์อัพพี่เผ่านะ”
“เชียร์อัพ หมายถึงอะไร พูดให้เป็นภาษาคนหน่อยซิหมวด”
“ก็...หมายถึง...” อั๋นไม่รู้จะอธิบายไง “ทำให้พี่เผ่าฮึดสู้ขึ้นมาอีกไง”
“แปลว่า นายจะเอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเมียจริงเหรอ”
อั๋นยังไม่ทันตอบ บัวคลี่ก็เข้ามาพอดี
“สองคน มาทำอะไรตรงนี้คะ”
“อ๋อ...ผมพาเมียวดีมาดูวิวนะครับ เอ่อ...คุณน้าคุยกับคุณพ่อเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”
“จ๊ะ”
อั๋นเซ็ง ที่คุยกันจบเร็ว

ฟ้าลั่นโดนเชอรี่ผูกตาไว้
“อย่าแอบดูนะ”
ฟ้าลั่นยิ้มๆแล้วถามอย่างกรุ้มกริ่ม
“ถ้าจับได้ น้องเชอรี่จะให้อะไรเป็นรางวัลพี่ฟ้า”
เชอรี่กระซิบที่หู ฟ้าลั่นถึงอ้าปากหวอพอใจกับคำตอบ
“เอาล่ะนะ ทีนี้ก็เริ่มได้ ทางนี้ๆพี่ฟ้าน้องเชอรี่อยู่ทางนี้”
ฟ้าลั่นสะเปะสะปะเดินตามเสียงเชอรี่ แต่จับไม่โดนซักที เชอรี่วิ่งหนีไป ฟ้าลั่นชักแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียง
“น้องเชอรี่ อยู่ไหนจ๊ะ ไม่เห็นส่งเสียงให้พี่ฟ้าได้ยินเลย...ยู้ฮู้”
ฟ้าลั่นเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ ตัดสินใจแอบถลกผ้าเปิดตาขึ้นมานิดหนึ่ง ดูไปรอบๆไม่เห็นใครเขามองไปอีกทีที่พุ่มไม้ เห็นบั้นท้ายสีขาวๆโก้งโค้งอยู่ ฟ้าลั่นยิ้มเจ้าเล่ห์
“อยู่นั้นเอง”
ฟ้าลั่นรีบย่องไปใกล้พุ่มไม้ ก่อนจะเอาผ้าปิดเหมือนเดิม กระโจนเข้าไปกอดทันที
“จับตัวได้แล้ว”
วงศ์กำลังก้มลงถอนหญ้าอยู่ตกใจเหมือนกัน
“มามะๆจับตัวได้ ก็ต้องให้รางวัลตามสัญญานะ”
ฟ้าลั่นหอมซ้ายขวาอุตลุด วงศ์โวยวายลั่น
“ไอ้บ้ากาม ช่วยด้วยเจ้าค่ะ นี่ๆๆ”
วงศ์หลับตาทุบๆ ไป ไม่ได้มอง ฟ้าลั่นหลบพลางดึงผ้าผูกตาออก เพิ่งเห็นว่ากอดวงศ์อยู่
ตกใจหน้าตื่น
“คุณแม่บ้าน!”
วงศ์ลืมตา
“ฟ้าลั่น!ไอ้ลามก นี่คิดจะลวนลามคนแก่เหรอ”
ฟ้าลั่นยกมือไหว้ขอโทษ
“ไม่ใช่นะคุณแม่บ้าน หนังเหี่ยวแบบนี้ฟ้าลั่นไม่ชอบหรอก” ฟ้าลั่นมองหา “แล้ว...น้องเชอรี่หายไปไหน”

ทางด้านเชอรี่ยืนอยู่ในซอย ท่าทางลับๆล่อๆ รถของอัญชิสาขับเข้ามาเทียบ อัญชิสาใส่แว่นดำ จินนี่เป็นคนขับรถ เชอรี่รีบขึ้นไปในรถ เมื่ออยู่ในรถเชอรี่เล่าให้อัญชิสาฟังจนหมดสิ้น
“ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละค่ะ ที่หนูเห็น ไม่มีใครรู้ว่าคุณเผ่าพาแม่เหมียวออกไปทำไมตอนดึกดื่นแบบนั้น”
“ก็คงพาเมียวดี เค้าไปเปิดหูเปิดตาดูแสงสีกรุงเทพตอนกลางคืนนั้นแหละ เด็กบ้านป่าอย่างเมียวดีคงไม่เคยเห็นหรอก น่าสงสารออก”
“โธ่...คุณหวานช่างเป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่ดีเหลือเกิน เป็นเชอรี่ เชอรี่คงทำใจอยู่เฉยแบบนี้ไม่ได้ ถึงจะทะโมน จะแก่นยังไงแม่เหมียวนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิง”
อัญชิสาข่มใจตอบนิ่มๆ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณเผ่าเสียหน่อย จะจัดการอะไรได้ อีกอย่างทั้งพ่อเค้าแล้วก็ตัวเค้าก็เคยช่วยชีวิตคุณเผ่าไว้นะจ๊ะ”
“เชอรี่ถึง บอกไงคะว่าคุณหวานคือ นางฟ้าตัวจริง ที่เหมาะสมกับคุณเผ่าที่สุด ความจริง เชอรี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมควรพูดหรือเปล่า แต่คิดอีกที ยังไงก็ต้องบอกให้คุณหวานรู้ ถึงได้โทรไป”
“เธอทำดีแล้วจ๊ะ เชอรี่ ขอบใจนะที่เป็นหูเป็นตาแทนฉัน”
อัญชิสาหยิบกล่องใส่เครื่องสำอางค์ส่งให้ เชอรี่ตาโตรีบไหว้ ก่อนจะลงไป
“งั้นหนูไปนะคะ หายมานานแล้ว”
“เดี๋ยวจ๊ะ แล้ววันนี้คุณเผ่าอยู่บ้านมั้ย”
เชอรี่คิดนิดหนึ่ง
“ออกไปแล้วค่ะ กับแม่เหมียว”
อัญชิสาหลุดเสียงเขียว
“ไปไหน!”
เชอรี่สะดุ้ง
“ไม่ทราบค่ะ”
อัญชิสาพยักหน้าประมาณว่าให้ไปได้ เชอรี่ลงรถไป จินนี่หันมาหาเพื่อน
“ไงล่ะ ชะล่าใจจนได้ดี ชนักติดหลังก็ยังมีอยู่ แกจะเอาไงล่ะทีนี้”
อัญชิสาคิดหนักว่าจะเอาไงต่อ


ทรงเผ่ากับอั๋นพา เมียวดีมาที่สนามยิงปืน ทรงเผ่ายิงเป้าไปหลายชุด เมียวดีกับอั๋นอยู่ข้างหลังซุบซิบกัน
“พานายมาแบบนี้นะเหรอที่หมวดบอกว่าเชียร์อัพนะ”
“ใช่...ก่อนอื่น ก็ต้องให้พี่เผ่าระบายความเครียดออกมาก่อน พี่เผ่านะเป็นคนไม่พูดมาก คนแบบนี้จะไม่ยอมรับหรอกว่าตัวเองอกหัก”
“ระบายความเครียดด้วยการยิงปืน แปลกดีนะ”
“คนกรุงมีอะไรที่แปลกอีกเยอะ ที่เธอยังไม่รู้เมียวดี”
ทรงเผ่ายิงเสร็จ หันมองเห็นสองคนซุบซิบก็สงสัย
“สองคนคุยอะไรกันเหรอ”
อั๋นยิ้มแหยๆ
“ไม่มีอะไร เรื่อยเปื่อยนะพี่ แล้วพี่ล่ะรู้สึกดี ขึ้นมั้ย ระบายออกมาให้เต็มที่นะพี่ อย่าเก็บไว้ หรือไม่ก็นึกถึงหน้าคนที่ทำให้พี่เกลียดก็ได้”
ทรงเผ่างงๆ
“วันนี้นายพูดอะไรแปลกๆ เมียวดี ลองหัดยิงบ้างมั้ย”
“ยิงแบบนี้ ไม่เห็นต้องหัด หลับตายิงยังถูก”
ทรงเผ่าชะงักไปนิด
“ฉันเหมือนเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งนะ”
ทรงเผ่ามองหน้าเมียวดี เข้าใจกันดีว่าเป็นคำพูดตาจั่น อั๋นขำๆ
“โอ้โห้ ขี้โม้เหมือนกันนะเรา ยิงปืนมานานแค่ไหนเชียว”
“พอยกปืนไหว ก็ยิงปืนเป็น”
อั๋นหัวเราะไม่เชื่อ
“ฮะๆๆๆ เยอะนะนั่น...แต่ก็พอๆ กับฉัน พ่อพาฉันมาสนามยิงปืนตั้งแต่ฉันยังนุ่งขาสั้น ตอนอยู่โรงเรียนนายร้อย ฉันก็พอยิงได้เหรียญอยู่บ้าง แค่เหรียญทองเท่านั้นเอง...งั้นเรา” อั๋นมองหน้าเมียวดี “ลองดูกันหน่อยมั้ย”
ทรงเผ่ามองหน้าเพื่อนก่อนจะเอ่ยเตือน
“อั๋น...ฉันว่านายไม่ควรท้าเมียวดีนะ”
“ผมรู้ว่ายายนี้เป็นลูกสาวพรานใหญ่ และถึงผมจะไม่ใช่ตำรวจกองปราบปราม แต่เรื่องยิงปืน ฝีมือผมก็ไม่ด้อยกว่าใครนะ ครับพี่”
เมียวดีของขึ้น
“หมวดท้าเราเหรอ”
“เธอกล้ามั้ยล่ะ”
อั๋นยักคิ้วท้าทาย

สาทิศนั่งอยู่ในรถที่จอดในลานจอดรถของสนามยิงปืน เขาจับตาดูลูกน้องที่อยู่ในรถคันข้างหน้านัดส่งของกัน ส่วยใส่หมวกบังหน้าเป็นคนขับรถให้ สักครู่รถอีกคันมาจอดเทียบคู่กัน ลูกน้องสาทิศลงจากรถถือกระเป๋าลงไป ขึ้นรถคันที่มาจอด ซักพักก็เดินลงมาขึ้นรถคันเดิม ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ของสาทิศก็ดังขึ้นเห็นเป็นเบอร์ลูกน้องก็กดรับสาย
“เรียบร้อยแล้วครับ งวดหน้าขออีกสองกิโลครับ”
สาทิศยิ้มพอใจ
“ดี...เดี๋ยวจะจัดให้ บอกมันว่ามารับของที่เดิม”
สาทิศวางสายส่วยหันไปถาม
“ไม่เสี่ยงไปเหรอครับนาย นัดรับส่งของที่นี่ แถวนี้พวกตำรวจชอบมาซ้อมยิงปืน”
“ที่นี้นั้นแหละดี ตำรวจคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเราจะกล้าเหยียบจมูกเสือแบบนี้ ไปได้”
ส่วยขับรถออกไป แต่มีคนเดินออกมาตัดหน้ารถ ส่วยเบรกรถจนหัวคะมำ คนเดินตัดหน้ายกมือประมาณโทษทีแล้วเดินต่อ ส่วยบ่นอย่างหัวเสีย
“บ้าจริง มันจะรีบไปตายที่ไหน เดินไม่รู้จักดูรถ”
สาทิศมองไปเห็น คนสองสามคน รีบเดินขึ้นไปทางสนามยิงปืน
“นั้นเค้าไปดูอะไรกัน”

อั๋นยิงปืนชุดแรกหมดเข้าเป้ากระดาษได้แต้มดี แต่ไม่ได้ตรงกลางหมด เมียวดียิงต่อจากเขา เธอดูสบายๆ ยิงเข้าเป้าตรงกลางทุกลูก อั๋นเริ่มเหงื่อตก เพราะเมียวดียิงเข้าเป้าได้ดีกว่า ระหว่างนั้นมีคนเข้ามายืนออดูการแข่งขัน อั๋นกระซิบบอกทรงเผ่า
“ไหนว่าไม่เคยยิงปืนแบบนี้ เคยยิงแต่ปืนยาวไงพี่”
“ใช่ ก็ครั้งแรกจริงๆ แถมไม่เคยยิงเป้ากระดาษแบบนี้ด้วยยิงแต่คนกับสัตว์ ก็ฉันเตือนแกแล้ว แกก็ไม่เชื่อ”
อั๋นมองเมียวดีที่ยิงเป้าอยู่เหงื่อตก รีบเช็ดเหงื่อ ทรงเผ่ายิ้ม
“สมกับที่เป็นลูกสาวตาจั่นจริง ๆ”
สาทิสเดินเข้ามากับส่วยใส่หมวกบังๆ หน้าเดินเข้ามาดูเมียวดี ส่วยเห็นเมียวดีกับทรงเผ่าชัดๆก็จำได้ทันที
“นั่นมัน ไอ้สองคนนั้นนี่นาย”
ส่วยจะเข้าไปเล่นงาน สาทิศจับไว้ ส่ายหน้าไม่ให้ทำอะไรวู่วาม สองคนค่อยๆ เดินออกไปเงียบๆ เมียวดียิงนัดสุดท้ายเสร็จวางปืนลงหันมาทางอั๋น
“หมวดยังจำได้ใช่มั้ย ถ้าใครแพ้จะต้องทำยังไง”
เมียวดียิ้มสบายๆขู่ อั๋นแข็งใจเถียง
“ยังไม่ได้นับคะแนนเลย จะรู้ได้ไงใครแพ้ใครชนะ”
เมียวดีหันมายิ้มกับทรงเผ่าทำนองรู้อยู่แล้ว

อั๋นถอยหลังจนชนกำแพง ทรงเผ่ากับเมียวเดินตาม
“นี่จะเอาจริงเหรอ น่า เราเป็นเพื่อนกันไงไม่ใช่เหรอ หยวนๆไปเถอะ”
“เพื่อนก็ส่วนเพื่อน แต่หมวดแพ้ ก็ต้องทำตามข้อตกลง”
“ฉันก็คิดว่าพูดกันเล่นๆ สนุก ๆ เท่านั้นเอง จริงมั้ยพี่เผ่า”
ทรงเผ่ายิ้มขำ
“เป็นลูกผู้ชาย ต้องรักษาสัจจะนะอั๋น ฉันก็เห็นใจแกนะ แต่แกแพ้เองนี่หว่า”
“โธ่...พี่เผ่า เอาล่ะผมยอมรับก็ได้ แต่ขออย่างได้มั้ย อย่าให้โดนหน้า ผมเพิ่งจะไปขัดหน้ามา”
ขาดคำ เมียวดีก็ยิงปืนฉีดน้ำสีเข้าทั้งหน้าทั้งปากอั๋น
“มือมันไวไปหน่อย ขอโทษนะหมวด”
อั๋นกำลังจะอ้าปากพูด ปรากฏว่าทรงเผ่าก็ฉีดเข้าให้อีกทีเต็ม
“มือฉันก็ไวไปเหมือนกัน”
ทรงเผ่ากับเมียวดีมองหน้ากัน ขำเพราะรู้ว่าแกล้งอั๋นเหมือนกัน
“อ๋อ นี่สองคน รุมกันแกล้งผมใช่มั้ยเนี่ย”
อั๋นเข้ามาทรงเผ่ากับเมียวดีวิ่งหนี พร้อมกับไล่ยิงไปด้วย

สาทิศ จอดรถใต้สะพานริมแม่น้ำ ส่วยเดินมารายงาน
“ผมให้ลูกน้องสืบมาแล้ว ไอ้หนุ่มอีกคน มันเป็นตำรวจลูกรองอธิบดีแสดงว่า ไอ้สองคนนั้นมันเป็นสายให้ตำรวจแน่นอน”
“ฉันรู้แล้ว ฉันเคยเจอพวกมันในงาน ไอ้หมวดนั้นดูไม่เท่าไหร่ชอบหลีสาวๆเสียมากกว่า แต่นังเด็กชาวป่า กับไอ้ทรงเผ่า ยังมองไม่ออกว่ามันแค่ไหน”
“ที่หนังสือพิมพ์ตีข่าวบอกว่ามันเป็นช่างภาพ จะจริงหรือเปล่าครับนาย ผมว่ามันคงแค่เอาบังหน้ามากกว่า”
“ฉันก็กำลังจับตาดูอยู่ ถึงได้เข้าไปอยู่ในวงสังคมของพวกมัน”
“แล้วนายไม่กลัวพวกมันจะรู้เหรอว่าเราเป็นใคร”
“เอ็งนะมันยังอ่อนนัก สังคมแบบนี้ใครๆ ก็ใส่หน้ากากกันทั้งนั้น เบื้องหลังเป็นยังไง ไม่มีใครสนใจหรอก ขอแค่มีเงินนำทางก็พอ” สาทิศบอกอย่างมั่นใจ

ทรงเผ่าขับรถมาส่งอั๋นที่หน้าคอนโด อั๋นลงจากรถ
“ไปนะพี่”
อั๋นมองแอบส่งซิกกับเมียวดีประมาณว่าโอเค ทรงเผ่าเห็นแต่ยังไม่พูด
“เอ๊า...เมียวดี มานั่งหน้าซิ จะให้ฉันเป็นคนขับรถให้เราเหรอ”
“แล้วไม่ใช่เหรอ เราขับไม่เป็น”
ทรงเผ่าเกาหัวขี้เกียจอธิบาย
“เออ...ถูกของเธอ เอาเป็นว่ามา นั่งเป็นเพื่อนฉันข้างหน้ามา”
เมียวดีปีนข้ามมานั่งเบาะหน้าไม่ลงจากรถ ทรงเผ่าส่ายหน้าแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรขำๆ
“เมื่อกี้ สงสัญญาณอะไรกับเจ้าอั๋น”
“อ๋อ...หมวดเค้าอยากรู้ว่าวันนี้นายสนุกมั้ย”
“ฉันสนุกมาก แต่ไม่รู้เจ้าอั๋นมันนึกครึ้มอะไรนะ ถึงชวนไปยิงปืนได้”
“สนุกก็ดีแล้ว นายจะได้มีแรงฮึดสู้ต่อ”
ทรงเผ่างง
“เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจ”
“เอาเถอะน่า ออกรถได้หรือยัง เราหิวข้าว อยากกลับบ้านแล้ว”
“โอเค...แล้วก็คาดเข็มขัดด้วยนะเรา”
ทรงเผ่าตั้งท่าออกรถ เมียวดีดึงเข็มขัด พยายามอยู่สองสามที แล้วก็ดึงมาหาที่ใส่ง่วนอยู่เพราะไม่ถนัด
“มานี่ ฉันใส่ให้”
ทรงเผ่าหยุดรถรำคาญ ดึงเข็มขัดมาใส่ให้
“เราทำได้น่า”
สองคนดึงกันไปดึงกันอยู่พักหนึ่ง จนรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เพิ่งรู้ว่าอยู่ใกล้กันมาก เงยหน้ามาพร้อมกัน ต่างคนชะงักกันไปนิดหนึ่งก่อนที่ต่างคนต่างก็ตกใจ เมียวดีรีบปล่อยมือ สายเข็มขัดสปริงตัวกลับ ทรงเผ่าที่ก้มลงอยู่ผงะ
“เฮ้ย เดี๋ยวก็เข้าตากันพอดี”
ทรงเผ่าเบี่ยงตัวหนีโดยสัญชาติญาณ พร้อมกุมตา เมียวดีตกใจจะเข้าไปดูให้
“เจ็บมั้ยนาย”
คราวนี้เมียวดีเป็นคนเข้าไปใกล้เอง รู้สึกตัวรีบขยับแต่เขากับจับเธอไว้นิ่ง
“นาย จะทำอะไรนะ”
เมียวดีพยายามขยับแต่เขาจับไม่ปล่อยมองหน้าเธอนิ่ง เมียวดีอึดอัด ทรงเผ่าค่อยๆโน้มหน้าลงมา เมียวดีหายใจแรงอย่างตื่นเต้น แล้วก็ตัดสินใจซัดโครมไปที่หน้า ทรงเผ่าผงะปิดตาเพราะคราวนี้เจ็บของจริงทันทีโวยวายใส่
“โอ๊ย...เมียวดี เธอต่อยฉันทำไม”
“ก็...นาย คิดจะทำอะไรเรา”
“จะบ้าเหรอ ฉันเห็นเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ข้างแก้มเธอ ก็จะก้มลงดู”
เมียวดีรีบเอามือเช็ด แก้มดูเพิ่งเห็นว่ามีสีจากที่ยิงปืนเล่นกันติดอยู่ติดมือมา
“สีนะ คงติดมาจากสนามยิงปืน”
ทรงเผ่าตาเขียวใส่ เมียวดียกมือขอโทษเร็วๆท่วมหัว ยิ้มให้แหยๆทรงเผ่าเซ็ง

ค่ำนั้น...ทรงเผ่ากับเมียวดี เดินเข้าบ้านมา บัวคลี่ยืนรออยู่
“ไปถึงไหนกันมาค่ะ น้าโทรหาก็ไม่ติด”
“อ๋อ ผมลืมเอามือถือไปนะครับคุณน้า มีอะไรหรือครับ”
“นึกแล้วเชียว ลืมมือถือเป็นประจำคุณเผ่าเนี่ย คุณหวานค่ะ มารอตั้งแต่เย็นแล้ว ถามอะไรก็ไม่พูดไม่จา บอกแต่ว่าจะรอพบคุณเผ่า รีบไปเถอะค่ะ”
บัวคลี่พูดเสร็จเดินนำไป ไม่ได้ดูว่าทรงเผ่าชะงักไปนิด เมียวดีแอบกระซิบ
“ผู้หญิงเค้ามาง้อถึงที่ อย่าเล่นตัวนักเลยนาย”
“เธอรู้อะไรถึงพูดแบบนี้”
“ก็รู้แค่ว่าจีบผู้หญิงต้องอย่าท้อ ไม่งั้นจะกลายเป็นคนขี้แพ้”
ทรงเผ่าตั้งท่าจะถามต่อ แต่บัวคลี่หันมาทักเสียก่อน
“อ้าว คุณเผ่า เร็วๆซิค่ะ”
ทรงเผ่ารีบก้าวเท้าเร็วขึ้นตามบัวคลี่ไป เมียวดีไม่เดินตามเดินเลี้ยวไปอีกทาง

ทรงเผ่าเดินเข้ามาหาอัญชิสาที่ยืนรออยู่ในสวน หันหลังให้เขาอยู่
“คุณหวานทำไมไม่รอในห้องรับแขกล่ะครับ”
อัญชิสาเฉย ไม่ยอมหันกลับมา ทรงเผ่าเดินเข้ามาหา เพิ่งเห็นว่าอัญชิสาในมือถืออ่างปลาเล็กๆ ยืนร้องไห้
“คุณหวาน ร้องไห้ทำไมครับ”
“เจ้ามิกกี้ค่ะ เจ้ามิกกี้มันตายแล้ว”
ทรงเผ่างงๆ
“ใครครับมิกกี้”
“ปลาทองที่หวานเลี้ยงไว้ในห้องไงค่ะ หวานไม่รู้จะทำไง คุณแม่ก็ไม่อยู่ หวานรู้ตัวอีกทีก็ขับรถมาถึงบ้านคุณเผ่าแล้ว หวานก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงมาที่นี่ คงเป็นเพราะ คุณคือคนที่หวานคิดถึงอยู่เสมอ แต่หวาน...”
อัญชิสาพูดไม่ออกได้แต่ร้องไห้
“ไม่ต้องพูดอีกแล้วครับ ทำใจให้สบายนะครับ แล้วเดี๋ยวเราช่วยกันจัดการฝังมันดีมั้ย”
อัญชิสาโผเข้าซบเขาประมาณว่าขอบคุณ ทรงเผ่าดึงเธอเข้ามากอดอย่างปลอบใจ เมียวดีแอบอยู่ที่พุ่มไม้ยืนมองยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ

“น้ำตาผู้หญิงใช้ได้ดีเสมอ”
อ่านต่อตอนที่ 9 พรุ่งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น