xs
xsm
sm
md
lg

ดอกโศก ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดอกโศก ตอนที่ 14

อีกวันหนึ่ง ดอกโศกแต่งตัวสวยเดินมาแต่ไกล ชาวชุมชนแถวนั้นยิ้มให้บ้าง ทักทายบ้าง ว่า “โศกเอ๊ย เป็นไงบ้างสบายแล้วเน้อ” ดอกโศกไหว้ป้าจาดนอบน้อม ป้าจาดทัก “เอายาดมป้าอีกมั้ยลูก” อีกคนทัก “ไม่อยู่กับย่าเศรษฐีเร้อโศกเอ๊ย”
 
ทุกถ้อยคำล้วนยินดีกับข่าวที่ดอกโศกเจอย่าเศรษฐีฝรั่ง

ดอกโศกยิ้มนิดๆ ตอบว่า “วันอาทิตย์มาช่วยยายขายขนมจ้ะ”
ระหว่างนั้นป้อมเดินดุ่มๆ ออกมาเร็วรี่ มองไม่เห็นดอกโศก
“ป้อม” ดอกโศกเรียกขึ้น
“โศก...ไปไหน”
“ไปช่วยยายขายขนม”
“รวยแล้วยังต้องขายเหรอ”
“ยายไม่เลิก...สงสารยายเหนื่อย”
“เห็นน้าปองไปช่วยยายขายนี่”
ดอกโศกยิ้มขำๆ พูดเบาๆ “ลูกค้ากระเจิง ป้อมแกจะไปไหนเนี่ย”
“ชั้นเหรอ....ก็....ไปทำงาน” ป้อมหลบตา
ดอกโศกจับแขนป้อมหมับทันที มองตานิ่ง
“บอกมา...มีเรื่องอะไรอีก” เหลียวมองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านมองมา “มาตรงนี้...แล้วบอกมาซะดีๆ”

ป้อมมาตามมือดอกโศก
“ว่าไง....เป็นอะไร”
“ชั้น...ไม่ล่ะโศก ชั้นไม่บอกหรอก ชั้นแก้ปัญหาเองได้”
“แกต้องใช้เงินเท่าไหร่” ดอกโศกถามทันควัน
“โศก.....” ป้อมครางเบาๆ
“เท่าไหร่”
“เปล่า”
“เท่าไหร่...ไม่ต้องบอกว่าแกไปทำอะไรมา จะเล่นบอลจะแทงหวยหรือเล่นการพนันมา ไม่ต้องบอกชั้นชั้นไม่อยากรู้ แกเอาเงินไปใช้หนี้เขาให้หมด ชั้นขอแกอย่างเดียว...”
“ให้ชั้นเลิก....” ป้อมต่อให้
“เออ....แกต้องเลิกเพราะชั้นจะช่วยแกหนเดียว ต่อไปถ้าแกเดือดร้อนอีกแกก็เตรียมตัวเจ็บ...เตรียมตัวตาย...หรือพิการหรือหนีหัวซุกหัวซุนได้ ไอ้พวกเจ้าหนี้มันไม่ปล่อยแกลอยนวลหรอก” ดอกโศกบอก
“ชั้นจะเลิก.....”
ดอกโศกสวนคำ “ชั้นไม่เชื่อ”
ป้อมมอง “อ้าว”
“จนกว่าแกจะเลิกให้เห็น แกอย่ามาพูดส่งเดชแกยังไม่ทันคิดเลยตอบชุ่ยๆ แล้ว”
“จริง”
“อย่าพูดยังไม่เชื่อ” ดอกโศกเปิดกระเป๋าหยิบเงินส่งให้ “มีแค่นี้เอาไปก่อน คงไม่พอ แล้วชั้นจะขอย่ามาให้อีก”
ป้อมมองซาบซึ้งใจมาก
“คิดดูให้ดีนะป้อม แกอยากถูกล่ามโซ่ไปตลอดชีวิตเหรอ”
“ล่ามโซ่?” ป้อมอึ้ง
“ใช่...คิดสิ...ว่าที่แกเป็นๆ มาตลอดเนี่ยไม่ใช่ถูกล่ามโซ่เหรอ รู้สึกมั้ยว่าต้องหนีตลอดเวลา แต่หนีไม่พ้นเสียทีเพราะไอ้ของไม่ดีพวกนี้มันล่ามแกไว้ไง”
ป้อมฟังแล้วสะเทือนใจมาก น้ำตาคลอ มือปิดหน้าเสียงสะอื้นสะท้านใจ
ดอกโศกโอบไหล่หรือตบไหล่ กิริยาเห็นใจ
อัศนัยมองจ้องดูสองคนอยู่ สายตาคลางแคลงใจมาก แต่ไม่ได้ยินอะไร

ป้อม เงยหน้านัยน์ตาแดงก่ำ
“แกต้องปลดโซ่ให้ชั้นทุกครั้ง แล้วชั้นก็ไปเอาโซ่ใหม่มาล่ามตัวเองอีก” ป้อมเสียงเศร้า
“ชั้นจะปลดให้แกเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้แกปลดของแกเอง”
“ชั้นสัญญา...ขอบใจนะโศก”

ดอกโศกก้มหน้าก้มตาเดินออกมา พอเงยหน้าเห็นอัศนัยยืนมองอยู่
“คุณนัย” ยิ้มกว้างดีใจ “ทำไมรู้ว่าวันนี้ดอกโศกกลับบ้านคะ”
“มีอะไรกับป้อม” อัศนัยถามทันที
ดอกโศกคลายยิ้มช้าๆ แต่พยายามใจเย็น ตอบเสียงธรรมดา “ป้อมมีเรื่องเดือดร้อนค่ะ”
“อีกแล้วหรือ...ต้องให้ช่วยอีกเหรอ”
“ครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ เขาสัญญาแล้ว”
“ทำไมนะดอกโศกต้องช่วยทุกครั้ง อย่างนี้ป้อมก็ไม่รู้จักช่วยตัวเองเสียที”
ดอกโศกชวนเปลี่ยนเรื่อง “คุณนัยมาจากไหนคะ”
“เดี๋ยว ดอกโศกอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง”
“ดอกโศกบอกป้อมว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะช่วยเขา”
อัศนัยเหนื่อยใจ รู้จักดอกโศกดี “แต่ถ้ามีอีก ดอกโศกก็ต้องช่วยอยู่ดีคุณนัยรู้”
“คุณนัยรู้ใจดอกโศกอย่างนี้...” ดอกโศกทอดเสียง
“ทำไม?”
“จะไม่ให้รักคุณนัยได้ไงคะ”
เจอคำนี้ อัศนัยหน้าอึ้งไป แล้วเขินเล็กๆ ตอบไม่ถูก
“โอเครึยังคะ”
อัศนัยหน้ายังเขินๆ อยู่ “โอเคก็ได้”
ดอกโศกหัวเราะเสียงหวาน “ดอกโศกจะไปช่วยยายขายขนมค่ะ”
“โธ่..ทำไมเล่าไม่เห็นต้องเลย”
“ยายเหนื่อยค่ะเพราะยายไม่ยอมเลิกขาย สงสารลูกค้าไม่มีขนมทาน คุณนัยอย่าไปกับดอกโศกเลยค่ะ กลับบ้านเถอะ”
“แต่ว่า.....”
“ไม่ได้หรอกค่ะ รู้ว่าอยากไปช่วยแต่อย่าไปช่วยขายเลยคนซื้อเขาไม่กล้าซื้อ” ดอกโศกดักคอ
“ดอกโศกก็รู้ใจคุณนัยเหมือนกัน อย่างนี้จะไม่ให้คุณนัยรักได้ไง”
“ก็....เราถึงรักกันไงคะ” ดอกโศกบอกหน้าตาเฉย
อัศนัยนิ่งไปอึดใจ แล้วหัวเราะเสียงดังมาก
ดอกโศกเย้า “ป่านนี้ยายได้ยินแล้ว”
อัศนัยส่งดอกโศกเข้าบ้าน ยังหัวเราะอยู่เพราะขำจริงๆ
“คุณนัย” ยายสมใจโผล่ออกมาจากบ้าน

สมใจถามขึ้น “ชั้นถามหน่อย คุณรักโศกมันแค่ไหน”
“ผมรักดอกโศกมาก ยายไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ”
“แล้วคุณจะทำยังไงกับคู่รักของคุณ ที่ชื่อ....ปรียากมล”
“ปรียากมลเป็นอดีตครับยาย เราไม่มีอะไรกันแล้ว”
“ฉันต้องถามนะ...ขอโทษเถิด ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาแค่ไหน”
“ยายหมายถึง....”
“เขาเป็น.....เมียคุณรึเปล่า”
“ไม่ครับ” อัศนัยตอบเร็วมาก “รับรองครับยาย เรายังไม่ไปถึงขั้นนั้นแน่ครับ”
สีหน้าสมใจอมทุกข์ตลอดเวลา แต่พยายามซ่อนไว้
“ชั้นขอพูดเป็นคำขาด ถ้าคุณมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว คุณจะมารักกับไอ้โศกไม่ได้...ไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
“ผมรับรองอย่างลูกผู้ชายครับยาย ผมไม่เคยมีอะไรกับปรียากมลเลย”
“คุณแน่ใจนะคุณนัย ไม่หลอกคนแก่นะ”
ดอกโศกงง “ยายอย่าคาดคั้นคุณนัยอย่างนั้นเลยจ้ะยาย”
“ไม่ได้” สมใจบอกเสียงแข็ง “ฉันต้องมั่นใจว่าหลานฉันไม่ไปแย่งของของใคร”
“ผมสาบานครับยาย”
สมใจค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ

เช้าตรู่วันหนึ่ง ภายในห้องนอนปรียากมล ตระกูลหลับสนิท ลืมตาขึ้นมาอาการงงนิดๆ แล้วลุกขึ้นนั่งเอนๆ เห็นปรียากมลนั่งห้อยเท้าอยู่ข้างเตียง หันหลังให้ใส่เสื้อคลุมนอน นั่งกุมหัวอยู่ในกิริยาครุ่นคิดเหนื่อยหน่าย
“ปรียากมล” ตระกูลเรียก
ปรียากมลหันหลังมาสีหน้าเรียบเฉย “ป่านนี้คุณเพ็ญพักตร์ถือปืนคอยคุณแล้วมั้ง” ส่งเสื้อกางเกงให้ “รู้มั้ยนี่ตี 5 แล้ว”
ตระกูลดึงเสื้อกางเกงไปอย่างรวดเร็ว

ครู่เดียวเท่านั้น ปรียากมลถือกาแฟยืนจิบอยู่ ตระกูลมาเร็วๆ แล้วเข้ามากอด
ปรียากมลยืนนิ่งสักครู่ ดันตัวตระกูลออกไป
“รีบไป”
“ผมไม่อยากไปเลย” ตระกูลออดอ้อน
“รีบไปเร็วๆ”
“ปรียากมล” ตระกูลจับมือปรัยากมลขึ้นมาจูบ “ขอบคุณมาก ขอบคุณที่คุณ....” จะพูดต่อเรื่อง...เมื่อคืน
“ไม่ต้องขอบคุณให้มากความ มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น”
ตระกูลยืนนิ่งอึ้ง เพราะรู้อยู่เต็มอก
“แต่ก็....แล้วค่อยคุยกัน วันนี้คุณไปก่อน”
“ผมรักคุณ...ขอให้คุณรู้ไว้แค่นี้และผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้คุณ” ตระกูลออกไปอย่างรวดเร็ว

เช้ามืดวันเดียวกันนั้น ไม่นานต่อมาตระกูลเปิดประตูค่อยๆ เข้ามาในห้อง เสื้อผ้าของตระกูลทั้งกอง ลอยเข้ามาเต็มๆ หน้า ไม่บอกก็รู้ว่า เพ็ญพักตร์รอเอาเรื่องอยู่แล้วทั้งคืน
“คุณเพ็ญ...อะไรกันเนี่ย”
“ไปอยู่กับมัน...ไปวันนี้เลย วันไหนฉันจัดการเรื่องหย่าเสร็จ ฉันจะส่งไปให้เซ็น แล้วอย่าหวังว่าจะได้แบ่งอะไรไป” เพ็ญพักตร์ไล่ตะเพิด
ตระกูลยืนนิ่ง อึดอัดเต็มกลืน
“มาแต่ตัวก็ไปแต่ตัว...ไป...ไปเลย” เพ็ญพักตร์พูดสำทับ
“ผมก็ไม่เอาอะไร...เอาแค่ที่มีสิทธิ์” ตระกูลบอก
เพ็ญพักตร์วีนแตก คว้าอะไรตรงนั้นได้ ปาไปเต็มแรง
“นี่แน่ะ แค่มีสิทธิ์ ทุเรศ...ทุกอย่างมันเป็นสินเดิม...นึกว่าชั้นโง่เหรอ...ไป๊”

อุ๊ยืนปิดปากแน่นอยู่หน้าห้อง เนื้อตัวสั่นเทา น้ำตาเต็มหน้า สุดสวยเปิดประตูวิ่งออกมาจากห้องตัวเอง ทั้งชุดนอน
“ใครเป็นอะไร...ใคร...อุ๊ เสียงแม่เธอนี่ เป็นอะไร”
อุ๊ตวาด “อย่ายุ่ง”
“อะไรนะ...ตวาดชั้นเหรอ...ฮะ แกจะบ้าเหรอ...บ้าเหรอ...บ้าเหรอ”
อุ๊ผลักสุดสวยไปเต็มแรง สุดสวยกรี๊ดลั่นบ้าน

ตอนสายวันนั้น อุ๊มาทำงานในฐานะเลขาของอัศนัย อุ๊สวมแว่นตาดำตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนดูสมุดนัดหมายของอัศนัย และแจ้งคิวงาน
“เช้านี้....ผู้จัดการอัศวาเซรามิกจะมาพบอานัย เขาจะพาลูกค้าคือ G.M.โรงแรมแกรนด์ไฮแอทภูพนามาพบ อานัยต้อง sign contract ด้วยค่ะเขาจะสั่งสินค้าของเรา ทานกลางวันกับเพรสซิเดนท์แผนกลูกค้าสัมพันธ์ของอมตะคอร์ปอเรชั่นเขาจะสั่งสินค้าเราล็อตใหญ่ปีใหม่นี้ บ่ายอานัยมีนัดประชุมที่....” กิริยาของอุ๊ดูฝืนให้เป็นปกติเต็มที่
อัศนัยรับรู้แล้ว “อุ๊....เป็นอะไร”
“คะ...เปล่านี่คะ”
“ถอดแว่นซิ”
อุ๊จับแว่นตาดำอันโต แต่ไม่ถอด “ไม่...ไม่มีอะไรค่ะ”
“มา...อาถอดเอง” อัศนัยถอดแว่นออก “เป็นอะไรบอกอาซิ” เอามือแตะคางเบาๆ “นัยน์ตาบวมอย่างนี้ร้องไห้ทั้งคืนสิ”
อุ๊หมดความอดทนแล้ว ร้องไห้ประดังขึ้นมา แน่นอกไปหมด
อัศนัยตกใจไปเหมือนกัน “ใครเป็นอะไรหรืออุ๊...ใคร คุณพ่อหรือคุณแม่”
อุ๊ก้มลงร้องไห้เต็มแรง อัศนัยตบไหล่ปลอบ
อุ๊เอนตัวเข้าหาอ้อมอก อัศนัยลูบหลังปลอบโยนอยู่ไปมา
อุ๊ รู้สึกดีขึ้นแล้ว สอดแขนโอบรอบตัวอัศนัย เหมือนหาที่ยึดเหนี่ยว ความรู้สึกตื้นตันฉายชัดเต็มหน้า

เวลาเดียวกัน สองคนย่ากับหลานชาย หารือกันอยู่ในโรงแรม
“He wants us moving to his hotel. - เขาอยากให้เราย้ายไปโรงแรมของเขา” เอ็ดดี้เอ่ยขึ้น
“No, I don ‘t think so - ย่าไม่ไป” มิสซีสเบนส์บอก
“Why not grandma. - ทำไมครับย่า”
“Because Angela has to move with us. Do you like it. - เพราะแอนเจล่าต้องไปกับเรา เธอชอบหรือ”
“I still do not understand - ผมยังไม่เข้าใจ”
“เอ็ดดี้” มิสซีสเบนส์พูดเสียงช้า ชัดๆ “เธอคือเด็กน้อย เธออยากให้แอนเจล่าใกล้ชิดกับภักดิ์ภูมิมากกว่าเวลาทำงานด้วยกันรึ”
“อา....ผมเข้าใจแล้ว ผมไม่แคร์ภักดิ์ภูมิ อัศนัยต่างหาก”
“Both…..Eddie…both - ทั้งสองคน...เอ็ดดี้ ทั้งสองคน” มิสซีสเบนส์บอก

ภักดิ์ภูมิเข้ามาห้องทำงาน เห็นดอกโศกอยู่ในห้องแล้ว
“แอนเจล่า” ภักดิ์ภูมิเดินเข้ามาเร็วรี่ “ผมคิดว่าจะมาก่อนคุณ...ไม่ทันอีกตามเคย”
ดอกโศกยิ้มแจ่มใส “ดิฉันตื่นแต่เช้าจนชินค่ะ”
“ตื่นมาทำไมหรือครับ” เป็นความรู้ใหม่สำหรับชายหนุ่ม
“ทำขนมค่ะ ยายดิฉันขายขนมหลายอย่าง ขนมไทยทำยุ่งยากมาก”
ภักดิ์ภูมิแปลกใจ “คุณทำได้ด้วยหรือ”
“ทำได้ทุกอย่างค่ะ” ดอกโศกบอก ยิ้มๆ
“ไม่อร่อยมั้ง ท่าทางคุณน่าจะทำขนมเค้กอร่อยกว่า”
คราวนี้ดอกโศกหัวเราะเบาๆ “ทำไม่เป็นซักอย่างขนมฝรั่ง”
ภักดิ์ภูมิมองดอกโศกเพลินตา ใบหน้าสวยแจ่มกระจ่าง
ดอกโศก ค่อยๆ คลายยิ้ม
“เอ้อ...วันนี้ผมมีนัดที่ไหนบ้างครับแอนเจล่า”
ดอกโศกหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาเปิดดู
“เชิญทางนี้ดีกว่าครับ”
ดอกโศกลุกขึ้นตามไป ภักดิ์ภูมิทำมือให้ไปยืนริมหน้าต่าง มองออกไปเห็นต้นไม้เขียวชอุ่ม
ดอกโศกทำท่าจะอ่านสมุด ภักดิ์ภูมิบอกอยู่ในที เดี๋ยว...ดูนี่ก่อน
“ผมชอบยืนตรงนี้ มองออกไปดูสวน แอนเจล่าดูสิครับ...” ภักดิ์ภูมิชี้ออกไป “ตรงโน้น ต้นไม้หมู่โน้น..ผมปลูกกับมือทุกต้น”
“เหรอคะ...ไหนคะ”
ภักดิ์ภูมิชี้ และแตะตัวดอกโศกอย่างสุภาพให้มาใกล้หน้าต่าง “เมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว คุณแม่พาผมมาปลูกต้นไม้ใหญ่รอบบริเวณ ที่ดินนี้เป็นมรดกของท่าน”
“ท่านคงเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ท่านถึงคิดอะไรที่ดีๆ มากๆ ล่วงหน้าตั้งเป็นสิบปี” ดอกโศกว่า
“ครับ เราไม่มีต้นไม้ที่ซื้อมาลงตอนโตเลย ต้นไม้ของเราปลูกตั้งแต่ยังเป็นกล้าทุกต้น”
ระหว่างนั้นฉัตรทองเปิดประตูเข้ามาไม่ได้เคาะประตูเช่นทุกครั้ง เห็นสองคนดูใกล้ชิดกันมาก
ฉัตรทองจ้อง ภักดิ์ภูมิพูด ดอกโศกเงยหน้าขึ้นฟัง ยิ้มแย้มกัน ฉัตรทอง ค่อยๆ ถอยและปิดประตูเบาๆ

ฉัตรทองยืนพิงผนังหน้าห้อง เงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหล กัดฟันแน่น

ในห้องเวลานั้น ภักดิ์ภูมิ กับดอกโศกคุยกันต่อ
“ผมบอกชื่อต้นไม้ได้ทุกต้นเพราะทุกต้นมีความทรงจำ”
ดอกโศกมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของภักดิ์ภูมิ
สีหน้าภักดิ์ภูมิ ละมุนละไม ยิ้มนิดๆ มองออกไปข้างนอก
“ความทรงจำของผมกับคุณแม่แต่ไม่มีคุณพ่อเพราะท่านอยู่กับภรรยาใหม่และลูกใหม่ของท่าน”
“โถ....” ความสงสารพลุ่งขึ้นมา เพราะเหมือนชีวิตตนเอง
ภักดิ์ภูมิหันกลับมามองดอกโศก “โถ...ไม่มีใครพูดคำนี้ได้เพราะเท่าคุณ”
สองคนจ้องมองกันสักอึดใจหนึ่ง
“ดิฉันไม่มีทั้งพ่อไม่มีทั้งแม่”
“โถ.....” คราวนี้ภักดิ์ภูมิทำเสียงล้อๆ
สองคนเลยหัวเราะกันเบาๆ ดอกโศกเดินมาจะนั่งหน้าโต๊ะภักดิ์ภูมิ
“คุณแม่คุณภักดิ์ภูมิ...ประทานโทษค่ะ ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว”
ภักดิ์ภูมิเดินตามมา “ท่านหยุดอายุตัวเองไว้ที่ 65 ปีเท่านั้น”
ดอกโศกหันมา ตัวเซนิดๆ ภักดิ์ภูมิจับแขนจนทรงตัวยืนแล้วปล่อย
“ขอบคุณค่ะ....ท่านเอ้อ...ท่านคงคิดถึงสวนนี้มาก”
“ครับ เพราะท่านบอกผมจนถึงวันที่ท่านเจ็บหนักว่าถ้าจะต้องขยายโรงแรมแล้วต้องตัดต้นไม้ ท่านให้เลือกต้นไม้ไม่ต้องขยายโรงแรม”
“ท่าน...น่ารักมากค่ะ”
“ผมเสียดาย ท่านไม่ได้เห็นคุณ ท่านอยากมีลูกสาวเพราะชอบเด็กผู้หญิง ถ้าท่านเห็นคุณท่านคง...ชอบคุณมาก”
ดอกโศกหัวเราะนิดๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไร “ขอบคุณค่ะ”
สายตาภักดิ์ภูมิมองดวงหน้าดอกโศกเพลินอีก แล้วนึกอะไรได้ ถอยออกมา
“วันนี้คุณอัศนัยจะมารับไปทานอาหารกลางวันหรือเปล่าครับแอนเจล่า” ภักดิ์ภูมิกลับไปนั่งที่โต๊ะ แสดงด้วยกิริยารู้ว่าเขามีแฟนแล้วต้องยับยั้งใจ
“ไม่ทราบคุณนัยมีนัดหรือเปล่า ถ้าไม่มีคงมาค่ะ”

เวลาเดียวกัน ที่ออฟฟิศอัศนัย เพ็ญตระการคุยปรับทุกข์อยู่อัศนัย ใต้เงาต้นไม้ร่มรื่นสวยงามในบริเวณโรงงาน มีคนงานเดินผ่านมาเป็นระยะ
“คุณพ่อคุณแม่เขาทะเลาะกันทุกวัน” อุ๊เล่าหน้าหมอง ความสะเทือนขึ้นมาเป็นริ้วๆ แล้ว
อัศนัยมอง คอยฟังต่อ
“เช้านี้คุณพ่อเพิ่งกลับบ้าน”
นัยน์ตาอัศนัย รู้แล้วว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรียากมล
“คุณแม่ไล่ให้ออกจากบ้าน” สะอึกสะอึ้นขึ้นมาอีก “บอกว่าคุณพ่อมาแต่ตัวให้ไปแต่ตัว”
“อุ๊....เรื่องของผู้ใหญ่ อุ๊เป็นเด็กอาอยากให้อุ๊ยังไม่ต้องรับรู้ หันมาตั้งใจดูหนังสือเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย...” อัศนัยปลอบ
อุ๊ฟัง
“อีกอย่าง เรื่องมันยังไม่จบ อุ๊อย่าเพิ่งคิดอะไรร้ายๆ ไปล่วงหน้า”
“อุ๊รู้จักคุณแม่ คุณแม่พูดคำไหนคำนั้น”
“เรื่องบางอย่างเปลี่ยนแปลงได้ คุณแม่อาจจะคิดใหม่ได้ ท่านคงไม่อยากให้อุ๊แยกจากคุณพ่อ”
“ไม่ ถ้าคุณพ่อไป” สีหน้าเพ็ญตระการนิ่งคิด “บางทีอุ๊จะไปกับคุณพ่อ”
เพ็ญพักตร์ยืนอยู่หลังต้นไม้ ได้ยินทั้งหมด เสียใจมาก
อัศนัยประหลาดใจ ถามเบาๆ “ทำไม”
“อยู่กับคุณพ่อไม่มีเรื่อง”

กลับบ้านรัตนชาติพัลลภมา เพ็ญพักตร์นั่งนิ่ง สายตาเจ็บช้ำ สลับเศร้า สลับแค้น แล้วคิดตรึกตรอง ด้วยสายตา
สุดสวยผ่านมา ตรงรี่เข้ามาทันที “พี่เพ็ญ...อุ๊ไปไหน อุ๊น่ะ...อุ๊ไปไหน”
เพ็ญพักตร์ไม่ตอบ ลุกขึ้น เดินจะขึ้นบ้าน
“พี่เพ็ญ ถามได้ยินมั้ย อุ๊น่ะ...อุ๊ไปไหน ตอบมาสิ”
“สุดสวย อย่าเพิ่งยุ่งกับชั้น” เพ็ญพักตร์บอกเสียงต่ำ..เบา
“ไม่...จะหาอุ๊....อุ๊ไปไหน” อารมณ์ขึ้นแล้ว เขย่าแขนพี่สาว
“ทำไม” เพ็ญพักตร์ปรี๊ดขึ้นมาเหมือนกัน “จะหายายอุ๊ทำไม ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกับยายอุ๊”
“เกี่ยว....เกี่ยว......เกี่ยว”
“เกี่ยวอะไร ฮะ...ยายอุ๊มันไม่เกี่ยวกะคน...” เกือบหลุดคำว่าบ้า แต่ตัดใจเดินหนีไป
“อุ๊ร้องไห้....ร้องไห้มีน้ำตาเต็มเลย....ชั้นจะเช็ดน้ำตาให้มันเข้าใจมั้ยล่ะ...เข้าใจอ๊ะเปล่า...” สุดสวยว่า
เพ็ญพักตร์หยุดชะงักทันที หันหลังให้สุดสวย
สุดสวยเดินบ่นออกไป “จะไปหาผ้า....มาเช็ดน้ำตา...มาเช็ดน้ำตา”

เพ็ญพักตร์มองตามน้องสาว...สีหน้าอ่อนลง

อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.

ดอกโศก ตอนที่ 14 (ต่อ)

เวลาต่อมา ดอกโศกนั่งดูจดหมายนัดของภักดิ์ภูมิอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเอง ในขณะที่ภักดิ์ภูมิกำลังคุยเรื่องงานกับใจเอื้อ...เลขาสาวใหญ่วัย 40 ปีกว่าๆ บุคลิกเงียบนิ่ง เรียบร้อยทำงานเก่ง พูดน้อยได้ใจความ สองคนพูดกันเสียงเบาๆ พอได้ยิน

“ผมเห็นข่าวผู้ว่า ททท.ไปพูดที่สมาคมโรงแรมเรื่องวิสัยทัศน์ท่องเที่ยวไทย สำหรับ AEC ปีหนึ่งห้า พี่ใจเอื้อลองติดต่อโรงแรมให้รวมตัวกันเชิญมาพูดให้เราฟังก็ดีนะครับ”
“ค่ะ” ใจเอื้อจด ในสมุดเล่มเล็กๆ จดเร็วๆ แบบชวเลข “คุณภูมิรีบแค่ไหน”
“เร็วก็ดีครับพี่ใจเอื้อ เราจะได้รีบวางแผนงานตั้งแต่เนิ่นๆ ปีนี้ 12 เหลืออีก 3 ปีเท่านั้น”
“พรุ่งนี้บ่ายพี่ส่งรายงาน” ใจเอื้อลุกยืน หันมายิ้มให้ดอกโศกนิดหน่อย แล้วไป
“สมาร์ทจัง พรุ่งนี้บ่ายส่งรายงาน” ดอกโศกชื่นชม
“เราวางเป้าหมายเสมอทำให้เรารู้ว่าเส้นทางที่จะไปถึงใกล้-ไกลแค่ไหนอย่างเรื่องนี้พี่ใจเอื้อมีเวลาวันนี้กับเช้าพรุ่งนี้”
“แน่ใจยังไงคะว่าจะทำได้ในเวลานั้น”
“ประสบการณ์ เขาประเมินตัวเอง ประเมินตัวงาน เขาคิดว่าทำได้ เราตั้งเป้าไว้ไม่เสียเงินไม่ถึงเป้าตำรวจไม่จับ ถ้าถึงก็โอเคไปเลย”
ดอกโศกยิ้มหวาน “ดีจังค่ะ ดอกโศกจะทำมั่ง” พูดเร็วแบบเผลอไป
ภักดิ์ภูมิมองดอกโศกนิ่งนาน
“เอ้อ....อะไรคะ”
ภักดิ์ภูมิลุกมายืนใกล้ “เรียกตัวเองว่าดอกโศกกับผมนะแอนเจล่า”
ดอกโศกยิ้มค้าง คิดถึงอัศนัย

ในวันที่สองคนคียงกันอยู่ที่สวนสวยแห่งหนึ่ง เวลานั้นใบหน้าอัศนัยใกล้หน้าดอกโศกมาก มองจ้องดอกโศก
“อย่าทำสายตาอย่างนี้กับใคร”
“ค่ะ”
อัศนัยเข้ามาใกล้ๆ แก้ม “อย่าเรียกตัวเองว่า ดอกโศกกับใคร เรียกได้กับคุณนัยคนเดียว”

เสียงภักดิ์ภูมิบอกย้ำ “นะ...ดอกโศก” ดึงดอกโศกออกมาจากภวังค์
“แอนเจล่าดีกว่าค่ะ”
ภักดิ์ภูมิหลุดปาก “ทำไม”
“เพราะว่าแอนเจล่าสัญญาว่าจะเรียกชื่อดอกโศกกับคุณนัยคนเดียวค่ะ” เสียงดอกโศกแผ่วเบา และก้มหน้าตอบ
ภักดิ์ภูมิอึ้งไปทันที “ผมเข้าใจ ขอโทษนะครับผมไม่ควร....” เดินกลับไป
ดอกโศกลุกขึ้นทันทีเข้าไปหา “คุณภักดิ์ภูมิคะ แอนเจล่าไม่เคยเรียกชื่อนี้กับใครเลย จะเรียก
แอนเจล่ากับคุณภักดิ์ภูมินะคะ”
ภักดิ์ภูมิยิ้มออก “ครับ ขอบคุณครับ”
ต่างคนมองกันอยู่สักครู่หนึ่ง ดอกโศกมองสายตาบริสุทธิ์สดใส ภักดิ์ภูมิมองอย่างลึกซึ้งซ่อนเร้น
เสียงโทรศัพท์ของดอกโศกดังก้อง จนสองคนสะดุ้ง
ดอกโศกกดรับ “ค่ะ....ดอกโศกพูดค่ะ จำเป็นเสียงใครคะ” แซวอัศนัยขำๆ
ภักดิ์ภูมิรู้ทันทีว่าเป็นใครโทร.มา หน้าหมองลง เดินออกจากห้องไป
“มาไม่ได้หรือคะ”

“คุณนัยจะไปรับตอนเย็นนะครับ” อัศนัยบอกดอกโศกทางปลายสาย
“ค่ะ กลางวันติดอะไรหรือคะ” ดอกโศกนึกได้ “อ๋อ ใช่แล้ว คุณนัยบอกว่ามีคนจาก...”
อัศนัยสวนคำออกมาก่อน “เขาแคนเซิลแล้วคนที่จะมาไม่สบายกะทันหัน แต่คุณนัยจะพาอุ๊ไปทานข้าว
ได้ยินชื่ออุ๊ ดอกโศกนิ่งอึ้งทันที
“ดอกโศก...”
ดอกโศกนิ่ง
“ดอกโศก ได้ยินคุณนัยมั้ยจ๊ะ”
ดอกโศกยังนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ดอกโศก คุณนัยขอโทษนะไม่ได้รู้มาก่อน แต่ว่า...เผชิญ”
“คุณนัย ดอกโศกทราบแล้วค่ะว่าคุณนัยจะพาอุ๊ไปทานข้าวกลางวัน สวัสดีค่ะ” ดอกโศกกดปิดสาย
“ดอกโศก...ดอกโศก เดี๋ยว”
อุ๊ ฟังอยู่สีหน้านิ่งสนิท

อัศนัยนั่งทานข้าวกับอุ๊ สีหน้าอุ๊ยิ้มแย้มแจ่มใส ดีใจไม่เว่อร์ หรือทำหน้าตามีแผนการณ์ร้ายใดๆ พูดคุย ตักอาหารให้อัศนัย ในขณะที่อัศนัยหน้านิ่งขรึม

ดอกโศกนั่งนิ่ง ขณะทานอาหารอยู่กับเจนนิเฟอร์ในห้องอาหารของโรงแรม แต่ทานไม่ค่อยลง เจนนิเฟอร์มองประหลาดใจ
“เป็นอะไรอภิรมย์”
“เปล่า....ไม่เป็น”

“แต่อุ๊ก็สงสารคุณแม่” อุ๊ปรารภขึ้นกลางโต๊ะ
อัศนัยมองนัยน์ตาเป็นคำถาม
“อุ๊ไม่อยากทิ้งทั้งสองคน” น้ำตาอุ๊ทะลักออกมา ร้องไห้แบบอัดอั้นสุดขีด ทนไม่ไหวแล้ว “ทำไมคุณแม่ต้องข่มคุณพ่อ จนคุณพ่อต้องมีเมียน้อย”
อัศนัยพูดปลอบ “อุ๊ อาบอกแล้วว่าอย่าคิด คิดแต่เรื่องของอุ๊เถอะ อ้อ...พี่บุรี มีอะไรครับ” อัศนัยหันไปเห็นบุรีเดินเข้ามา
“ทางเชียงใหม่แจ้งมาว่า เขาพบกลิ่นไม่ดีทางบัญชีของโรงงาน”
อัศนัย มองรอให้บุรีเล่าต่อ
บุรีเหลือบมองอุ๊ เป็นเชิงว่าพูดไม่ได้
อัศนัยรับทราบ “โอเค.....ให้เขารายงานมา”
“ครับ” บุรีเดินออกไป
“อะไรเหรอคะ กลิ่นไม่ดี” อุ๊อยากรู้
“แปลว่ามีคนโกง”
เวลาเดียวกันตระกูลคุยโทรศัพท์มาตามทางเดินไปห้องปรียากมลที่คอนโด
“เรียบร้อยนะ....แน่ใจว่าปิดสนิทจริงๆ ไม่รั่วแน่นะ โอเค...จ่ายเงินผู้ตรวจบัญชีได้”

สองคนอยู่ในห้อง ตระกูลเอื้อมมือจะกอด จะจูบ ปรียากมล เบี่ยงตัว จับมือตระกูลถอยไป เดินไปหยิบถ้วย 2 ใบวางแรงๆ จะชงกาแฟ รินน้ำร้อนและเปิดขวดกาแฟ ตระกูล ตามไปพันพัว
“จะชงกาแฟ” น้ำเสียงเริ่มรำคาญ
ตระกูลจูบต้นคอ “หอมจัง”
“ถ้าไม่หยุด ฉันจะเอาน้ำร้อนนี่สาดคุณ”
ตระกูลหยุดชะงักสักอึดใจ แล้วต่อ...รุกหนักขึ้น “ก็อยากหอมทำไม”
ปรียากมล หันกลับไป ยกถ้วยกาแฟร้อนๆ สาดเข้าไปที่กลางลำตัว ต่ำกว่าเอวหน่อยหนึ่ง...เข้าไปพอดีๆ ตรงเป๊ะ
ตระกูลร้องจ๊าก กระโดดโหยง แต่มันไม่ร้อนมากหรอก
“เอาจริงเหรอเนี่ย” ตระกูลคราง
“หยุดหรือยัง...จะหยุดมั้ย”
“โห...” เดินไปนั่ง ลงอย่างแรง “ถึงไม่อยากก็ต้องหยุดล่ะ คร๊าบ”
“จำไว้...ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ผู้ชายจะบอกว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อย่างนั้นคุณต้องไปอีกที่”
“ผมขอโทษปรียากมล”
ปรียากมลมองดูหน้า ใจเริ่มอ่อนลงนิด “คุณเพ็ญพักตร์เขาว่าไงมั่ง คุณไม่เคยไปค้างที่ไหนเลยใช่มั้ย”
“เคย...”
“เอ๊า...งั้นก็ไม่เป็นไรสิ”
“เป็น”
“เป็นอะไร”
“เขาไล่ผมออกจากบ้าน”
“โอ้ย เรื่องเล็ก บ้านนั้นคุณอยู่มานานเท่าไหร่ เท่าอายุลูกคุณใช่มั้ย ใครจะไล่ง่ายๆ เอาไว้อีกซักห้าวันเจ็ดวันคุณก็เข้าได้แล้ว ตอนนั้นเค้ากำลังคิดถึงพอดี เคยเห็นกันทุกวัน”
“ไม่หรอกเขาไล่จริง”
ปรียากมลนิ่งไป
“ผมคง...ลำบากเหมือนกัน บางทีอาจไปอยู่เชียงใหม่” ตระกูลบอก
“อยู่กะใครที่เชียงใหม่ อ๋อ....ไปทำงานโรงงานเซรามิก line ใหม่ของบริษัทน่ะเหรอ”
ตระกูลพยักหน้า
“ก็ดีนี่ ห่างเขาซักพัก”
ตระกูลผวาเข้ากอดอย่างแนบแน่น “ไม่ดีตรงคิดถึงคุณ ผมก็เลยจะไม่ไป”
“จะบ้าเหรอตระกูล ชั้นกับคุณ...มันไม่ใช่หรอกนะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุทางกายเท่านั้น”
“อะไรนะ....อุบัติเหตุทางกาย เอามาจากไหน”
“ไม่รู้จากละครทีวีมั้ง” ปรียากมลลุกขึ้น “กลับได้แล้วตระกูล ฉันจะออกไปข้างนอก”
ตระกูลเข้ามาอีก “เดี๋ยวสิปรียากมล”
“ยังไม่เข็ดใช่มั้ย” ปรียากมลฮุคขวาเต็มแรง....เปรี้ยง...ที่ท้อง
คราวนี้ตระกูลตัวงอ คว่ำลง.... แล้วหันหน้าขึ้นมาช้าๆ ปรียากมลหยิบกระเป๋า กุญแจรถเดินออกไป เสียงฝีเท้าดังก้องและปิดประตูดังเปรี้ยง

ปรียากมลนั่งอยู่ที่คนขับ คิดถึงอัศนัยเหลือเกิน ถอดแว่นตา หงายหน้าพิงพนัก น้ำตาคลอๆ หลับตาลงช้าๆ
“อัศนัย...อัศนัย” ปรียากมลครางเบาๆ
หวนนึกถึงภาพตอนที่อัศนัยแสนดีกับตนเอง ภาพตอนอัศนัย ยิ้ม...พูดด้วย หัวเราะ พูดเย้าหยอก
ภาพอัศนัยหล่อ..ดูแจ่มใส อารมรณ์ดี
ปรียากมลน้ำตาชุ่มโชกใบหน้าแล้ว “ฉันคิดถึงคุณ” น้ำเสียงนั้นแสนเบาหวิว

เย็นวันนั้น อัศนัยเดินเข้ามาในโรงแรม เดินเร็วๆ สายตามองหาดอกโศก
อัศนัยเดินเข้าไปหาพนักงานคนหนึ่ง พูดเบาๆ “คุณแอนเจล่า”
“ค่ะ” พนักงานเดินกลับไป
อัศนัยยืนคอยสักครู่
พนักงานเดินมาบอก “คุณแอนเจล่าให้บอกว่ายังไม่กลับค่ะ”

เสียงเคาะประตูทันที อัศนัยเปิดประตูเข้ามาเลย ภักดิ์ภูมิกำลังบอกใจเอื้อจดงาน ดอกโศกนั่งอยู่ใกล้ๆ ใจเอื้อ ศึกษางานไปด้วย ดอกโศกขยับตัว
“สวัสดีครับ คุณภักดิ์ภูมิ ขอโทษครับ” อัศนัยทักทาย
“ครับ” ภักดิ์ภูมิลุกขึ้นยืนรับแขก
“ผมมารับดอกโศกครับ” อัศนัยจับแขนดอกโศก...บีบแน่น
“แอนเจล่ามีงานที่ต้องอยู่ทำยังไม่เสร็จครับคุณอัศนัย” น้ำเสียงนุ่ม เรียบร้อย สุภาพ “ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องขอให้กลับค่ำหน่อย”
อัศนัยอึ้ง...เขามาแบบเรียบร้อย ยิ้มแย้ม เลยไม่รู้จะทำวิธีไหน “งั้น...ฉันจะรอนะดอกโศก” ค้อมหัวให้ภักดิ์ภูมิ “ผมหวังว่าคงไม่ต้องอยู่จนดึกเกินไป ขอบคุณครับ”
พูดจบอัศนัยปล่อยแขนดอกโศก แขนข้างที่ถูกปล่อยแรงนิดหนึ่ง จนแขนตกไปกระทบตัก
อัศนัยเดินกลับไปแล้ว ดอกโศกนิ่งอึ้ง ใจเอื้อพึมพำขอตัวแล้วลุกเดินออกไป
ภักดิ์ภูมิก็นิ่งอึ้งเหมือนกัน

ที่ห้องพักของมิสซีสเบนส์ในโรงแรม เวลานั้น สองย่าหลานคุยกันอยู่
“แอนเจล่ามี boyfriend แล้ว ฉันเสียใจนะเอ็ดดี้”
“Yes…grandma….I Know”
“You ‘re gentleman. You know what you must not do? - หลานเป็นสุภาพบุรุษ รู้นะว่าต้องทำไง”
เอ็ดดี้รับคำ “ครับ....แกรนด์มา ผมไม่แย่งใคร”
“เราจะกลับหัวหิน” มิสซีสเบนส์เอ่ยขึ้น
“Why so soon” เอ็ดดี้งง
“ย่าจะพาแอนเจล่าไปด้วย” สีหน้าหญิงชราผู้เป็นย่าลึกล้ำ บอกความนัย
เอ็ดดี้มองแล้วเข้าใจทันทีว่าคุณย่าเปิดทางให้ตน
“ที่นั่นจะมีแต่แอนเจล่ากับเอ็ดดี้” มิสซีสเบนส์สำทับ

อัศนัยมานั่งคอยดอกโศกอยู่แล้วที่ลอบบี้โรงแรม ในขณะที่ปรียากมล นั่งกุมหัว กิริยาโศกเศร้า

ดอกโศกนั่งเขียนงานในกระดาษ เหมือนจัดตารางเวลา ภักดิ์ภูมินั่งจ้อง จิตใจว้าวุ่น ดอกโศกหยุดเขียน วางปากกายกมือกุมขมับ เหมือนคิดไม่ตก
“แอนเจล่า...กลับเถอะ มาผมเดินไปส่ง” ภักดิ์ภูมิเดินถึงโต๊ะดอกโศก
ฉัตรทองเคาะแล้วเปิดประตูเข้ามาทันที
ภักดิ์ภูมิหันไป “ฉัตร”
“เด็กบอกว่าพี่ภูมิยังอยู่ ฉัตรก็เลยจะมา...”
“พี่เสร็จพอดี แอนเจล่ากำลังจะกลับคุณอัศนัยคอยอยู่”
“ค่ะ ฉัตรเห็นนั่งคอยอยู่ที่ลอบบี้ อ๋อ คอยแอนเจล่าหรือคะ”
“ค่ะ....”
“โถ...ปล่อยให้แฟนนั่งคอย” ฉัตรทองว่า
“เพิ่งเสร็จค่ะ” ดอกโศกหยิบกระเป๋าสะพาย
“เราเดินไปส่งแอนเจล่ากันเถอะ” ภักดิ์ภูมิบอก

ทั้งสี่คน ยืนพูดคุยกันนิดหน่อย แล้วไหว้ร่ำลากัน
อัศนัยพาดอกโศกไปข้างหน้า ภักดิ์ภูมิและฉัตรทองเดินมา
“หิวข้าวหรือยังครับฉัตร” ภักดิ์ภูมิถาม
ฉัตรทองกัดปากแน่น รู้สึกใจเต้นแรง เพราะเห็นสายตาภักดิ์ภูมิมองดอกโศก
“ฉัตรครับ”
ฉัตรทองสะบัดมือภักดิ์ภูมิที่จูงอยู่แรงๆ อย่างจงใจ “ฉัตรจะกลับ”
ภักดิ์ภูมิอึ้ง งงงวย “ฉัตร...เป็นอะไร”
“รู้ทุกอย่าง..ถามทำไม” เดินหายไปทันที
ภักดิ์ภูมิทำสีหน้ารู้จริ้งๆ

ภายในห้องวาดรูปบ้านอัศนัย สองคนมองรูปวาดของดอกโศกเลื่อนจากอีกรูปหนึ่ง...ไปอีกรูป,,,อีกรูป
แสดงตามวันเวลา ครั้งแรกที่พบ และต่อไป...ต่อไป
มีเสียงอัศนัยบรรยายประกอบ “ประจักษ์พยานว่าคุณนัยไม่เคยมีใครเลยนอกจาก.......”
อัศนัยแตะคางดอกโศกให้เงยขึ้น ก้มลงจนปากเคลียคลอกับริมฝีปากดอกโศก
“คนนี้คนเดียว”
ดอกโศกหลับตา รับความหวานจากจูบแรกในชีวิต อัศนัยจูบแผ่ว...อย่างทะนุถนอม ดอกโศก โอบแขนไปรอบคออัศนัย
อัศนัยจูบเลื่อนไปที่แก้มที่จมูก แล้วขึ้นไปที่นัยน์ตา หน้าผาก ดอกโศก หลับตา มีหยาดน้ำตาหยุดที่ปลายตา
อัศนัยปาดน้ำตาให้ “ร้องไห้ทำไมจ๊ะ”
ดอกโศกส่ายหน้าไม่ตอบ ก้มหน้างุด
“ไม่ร้องนะ คนดีของคุณนัย”
ดอกโศกสะอื้นแผ่วๆ เบนหน้าหนี...อายแสนอาย
อัศนัยตามไปจูบจนทั่วหน้า แล้วมาหยุดที่ปากแต่ยังไม่จูบยั้งไว้เอ่ยขึ้น “ดอกโศก....”
ดอกโศกมองสบตา สายตาเป็นคำถาม
อัศนัยจูบที่ปาก แผ่วเบา แต่นิ่งนาน สักครู่หนึ่งถอนปากออกนิ้วแตะริมฝีปากดอกโศก
“ปากหวานเป็นยังไง...เพิ่งรู้วันนี้”
“ไม่จริง” ดอกโศกตื้นตันจนเสียงสั่น
“งั้นต้องพิสูน์อีกที” อัศนัยก้มหน้าลงไป
“ไม่ค่ะ” ดอกโศกเบี่ยงตัวหลบ แล้วดึงตัวเองออกมาจากอ้อมกอด
ดอกโศกเดินไป อัศนัยฉวยแขนจนหันกลับมาหา มองตากันนิ่ง
อัศนัยประคองหน้าดอกโศกทั้งสองมือ แล้วดึงเข้ามาในอ้อมกอด กอดเบาๆ อย่างทะนุถนอม
“ไม่ต้องกลัวนะคนดี คุณนัยรักดอกโศกที่สุดจะถนอมไม่ให้ต้องช้ำเลย” เสียงแผ่วแต่ชัดเจน ไม่รัวเร็ว
“ดอกโศกขออย่างเดียวค่ะ”
“ขอเลย....ให้ทุกอย่าง”
ดอกโศกตั้งใจพูดเสียงเบาๆ แต่น้ำเสียงนั้นกังวานมั่นคง มองตาอัศนัยตลอดเวลา
“ดอกโศกเคยอ่านพบมีคนเขียนไว้ว่า “ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก....แต่ดอกโศก....” หยุดมองอัศนัย
อัศนัยมองตั้งใจฟังต่อ
“...แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน”
อัศนัยพูดสวนคำทันที “ไม่มีวัน”
“ใครจะทำให้ดอกโศกบานในหัวใจดอกโศกก็ได้ ขออย่าให้เป็นคุณนัยคนเดียว”
“แน่นอนคุณนัยจะเป็นคนเดียวที่ไม่มีวันจะทำอย่างนั้น ต่อไปนี้ดอกโศกจะโศกแต่ชื่อเท่านั้น”
ดอกโศกพนมมือกราบลงที่หัวใจอัศนัย
อัศนัยกอดเต็มอ้อมแขน “รักดอกโศกที่สุดนะ รักคุณนัยแค่ไหน”
“เท่ากันค่ะ”
“ฮื้อ น้อยกว่า”
“ไม่น้อยกว่า”
“น้อย” อัศนัยเย้าแซว ขำๆ
“ไม่”
“เชื่อได้ยังไง”
“ก็ที่สุดเหมือนกัน”
อัศนัยหัวเราะชอบใจ จับจมูกสั่นเบาๆ
อัศนัยกอดอีกที ดอกโศกก็โอนอ่อนตาม ตอบสนองด้วยการกอดตอบ จูบตอบอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ซาบซึ้ง

ปรียากมลขับรถมา จอด นั่งนิ่งมองเข้าไปในบ้าน

“อีกเดือนเดียวก็ต้องไปเรียนแล้วนะ” อัศนัยว่าพลางจัดผมที่รุ่ยร่ายนิดหน่อยให้เข้าที่
“ค่ะ....ดอโศกตื่นเต้นจัง”
“ห้ามนะ”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ
“รู้ด้วย...อะไร”
ดอกโศกบอก “ห้ามไม่ให้คุยกับเพื่อนผู้ชาย”
“โอ๊ะ...แหม คุณนัยไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า คุยด้ายแต่....”
ดอกโศกต่อให้อีกคำ “ไม่คุยก็ดี”
อัศนัยหัวเราะขำ “ไม่หรอก คุณนัยเชื่อใจดอกโศกที่สุดในโลก ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนที่ดื้อเหมือน”
“อ้าว!”
“หมายความว่า เชื่อความคิดตัวเองอย่างมาก...มาก...มาก เช่นตัวอย่างนะ ไม่ยอมให้ออกค่าเล่าเรียนให้”
คราวนี้ดอกโศกยิ้มรับ
“แกรนด์มาออกให้แล้วใช่ไม๊” อัศนัยหมายถึงมิสซีสเบนส์
“ไม่ค่ะ...ดอกโศกออกเอง ดอกโศกเป็นคนเรียนก็ต้องจ่ายเองสิคะ คนอื่นไม่ได้มาเรียนกับดอกโศกนี่”
“ทำไม คุณนัยเรียนก็ให้พ่อแม่จ่าย ใครๆ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น” พูดไปแล้วนึกขึ้นได้ หันขวับมามองดอกโศก “ขอโทษ”
ดอกโศกมองจ้องอัศนัย กดข่มความรู้สึกเศร้าหมองลงไป
อัศนัยอ้าแขนให้ ดอกโศกโผเข้าสู่อ้อมแขน
“คุณนัยเป็นพ่อให้ดอกโศกก็ได้”
ดอกโศกยิ้มนิดๆ
อัศนัยสัพยอก “เป็นแม่ให้ด้วย...เอ้า”

เวลานั้น ปรียากมล ยืนมองประตูเล็ก อยู่นอกบ้าน แล้วจับกดลงทันที หมายจะเปิดเข้าไป แต่ไม่ได้ ประตูล็อคไว้ ปรียากมลชะเง้อดู เห็นหมื่นไวๆ อยู่แถวๆพุ่มไม้
ปรียากมลร้องเรียก “หมื่น”
หมื่นเปิดประตูเล็ก ปรียากมลเดินเข้า หมื่นปิดประตูและตั้งท่าวิ่งจะไปบอกอัศนัย
ปรียากมลรู้ทัน “หยุด....ถ้าแกก้าวเกินฉันไป...มีเรื่องแน่”
“เอ้อ....ปวดท้องครับ” หมื่นใช้วิชาลื่น...
ปรียากมลเหลียวขวับมา ยืนประจันหน้า “ฉันมีธุระสำคัญจะพูดกับคุณนัย แกคิดว่าฉันจะไปฆ่าเขาหรือถึงต้องรีบวิ่งไปบอกเขา...ว่าไง....ฉันนี่มันโจรผู้ร้ายใจโหดหรือไง”
หมื่นจ๋อย
“คุยซัก 2-3 คำเท่านั้น แล้วฉันก็จะไป” ปรียากมลบอก

เวลาเดียวกัน ดอกโศกวางถ้วยกาแฟที่ไปชงมาให้ตรงหน้าอัศนัย พูดเย้า
“ลูกชงกาแฟมาให้พ่อแม่ค่ะ”
อัศนัยฟังแล้วอดขำไม่ได้ “ไม่...เสียใจหรือ พ่อแม่ไม่รู้อยู่ไหน”
“เกินเสียใจแล้วค่ะ”
“คนเก่ง....ตัวจริง” อัศนัยยิ้ม

ด้านปรียากมล เดินมาตามถนนในบ้านด้วยฝีเท้ามั่นคง ตรงมาเรื่อยๆ หมื่นตามมาห่างๆ สีหน้าปรียากมลสงบนิ่ง ได้ยินเสียงที่เตรียมมาเพื่อจะพูดกับอัศนัยดังก้องในใจ
“คุณโทษฉันไม่ได้ ฉันไม่อยากผิดสัญญาที่ว่าจะไม่มาหาคุณอีกแต่ต้องโทษความคิดถึง...ฉันคิดถึงคุณมากที่สุดจนฉันไม่มาหาคุณไม่ได้”

ปรียากมลเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงประตูหน้าบ้าน ยินเสียงพูดกันในบ้านเบาๆ
“ป้าหม่อน..ป้าหม่อนครับ”
ปรียากมลยืนคอย
“อ้อ ป้าหม่อน”
“คะ คุณนัย”
“ผมซื้อของไว้ให้ดอกโศก อยู่ในห้องผม”
“เห็นแล้วค่ะ ให้เอามาใช่มั้ยคะ”
“ช่วยหน่อย ขอบคุณมาก....ผมจะได้ให้ดอกโศกไปวันนี้เลย”
ปรียากมลได้ยินเต็มสองหู ถอยไปสองก้าว แล้วหันหลังกลับ จะเดินออกไป
อัศนัยเรียกไว้ “ปรียากมล”
ปรียากมลหยุดกึก
“คุณจะไปไหน” อัศนัยถาม
ปรียากมลหันกลับเดินเข้าไปหาอัศนัย เป็นจังหวะเดียวกับที่ ดอกโศกเดินออกมาพอดี

ทั้งสองคนหยุดมองหน้ากัน แต่ด้วยความรู้สึกที่แปลกต่าง คนหนึ่งเป็นแม่ อีกคนไม่รู้ว่าตนนั้นเป็นเลือดเนื้อ...ของผู้หญิงตรงหน้า!!!

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.

ดอกโศก ตอนที่ 14 (ต่อ)

จากสอง...กลายเป็นสาม อัศนัยมองดอกโศก แล้วมองปรียากมล สามคนยืนประจันหน้ากัน

หมื่นยืนอยู่ข้างๆ บ้าน มองเข้ามองไป รู้สึกตกใจเล็กๆ แล้วถอยออกไปจากตรงนั้น ส่วนด้านในบ้าน หม่อนเดินออกมาจากข้างใน แล้วชะงักถอยกลับเข้าไป สามคนยังยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น

ในที่สุดดอกโศกพนมมือไหว้ ปรียากมลยืนนิ่ง จ้องหน้าดอกโศก...นิ่งอยู่
ในบรรยากาศอันอึดอัดนั้น อัศนัยมองดอกโศก เห็นว่าร่างดอกโศกสั่นสะท้านด้วยความกลัว
มือสองข้างบีบเข้าหากัน และเหมือนจะล้มลง
อัศนัยเข้าประชิดตัวดอกโศก โอบไว้หลวมๆ “เป็นอะไร” กระซิบถาม
“ขอ...ขอตัวนะคะ” ดอกโศกหันหลังกลับ เดินเข้าตึกไป
“ดอกโศก” อัศนัยร้องเรียกไว้
ดอกโศกไม่ฟังเสียง...ไปลิบแล้ว
อัศนัยหันมาจ้องปรียากมล “คุณมาทำไมไหนคุณว่าจะไม่มาอีก”
“ขอโทษ...ฉันกลับมาเก็บของของฉัน”
“ของอะไร”
ปรียากมลจงใจ “เสื้อ...กางเกง...ผ้าเช็ดตัว เครื่องสำอาง ชุดชั้นใน....”
ไม่ทันจบคำ อัศนัยขัดขึ้นทันควัน “โอเค.....ผมจะบอกให้ป้าหม่อนเก็บให้...เชิญคุณนั่งห้องนี้ก่อน”
“ขอบคุณ”
อัศนัยพาปรียากมลเดินไปอีกห้องที่รู้ว่าดอกโศกไม่ได้อยู่แน่
สีหน้าอัศนัยเป็นกังวลอยู่ ตอนเดินเข้า เห็นถนัดว่าเหลือบมองทางที่ดอกโศกเข้าไป และพาปรียากมลเดินไปอีกทางหนึ่ง เปิดประตูทำมือให้เข้าไป ปรียากมลเดินเข้า
“ผมจะไปบอกป้าหม่อน” เดินหายไป
ชัดยิ่งกว่าชัดว่าอัศนัยแคร์ใครยามนี้ สีหน้าปรียากมล เข้มจัด ชะเง้อมองออกไปนอกบ้าน มองหาดอกโศก
ปรียากมลคิดอยู่สักครู่ ลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องนั้นทันที

ดอกโศกวิ่งพลางเดินพลาง ไกลออกมาจากตัวบ้านแล้ว ด้วยสีหน้ายังคงหวั่นใจ
ในใจประหวัดถึงเหตุการณ์วันที่ปรียากมล มาทวงอัศนัยคืน
คำพูดปรียากมลขณะนั่งในรถแล้วพูดทวงอัศนัยผ่านเข้ามาในความคิด

“อย่ายุ่งเกี่ยวกับอัศนัย เขาไม่ใช่ผู้ชายอิสระ”
“เธอจะยอมให้เขาเอาเปรียบเธออย่างนั้นหรือ เขามีเธอเป็นคนที่สอง แต่คนแรกเขาก็ไม่ปล่อย”
“ผู้ชายถ้ามีโอกาสก็อยากจะจับปลาสองมือกันทั้งนั้น มันอยู่ที่ปลายอมให้เขาจับทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีปลาอยู่แล้วอีกมือ”
“ผู้ชายถ้ามีโอกาสก็อยากจะจับปลาสองมือกันทั้งนั้น มันอยู่ที่ปลายอมให้เขาจับทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีปลาอยู่แล้วอีกมือ”
“ปัญหาอยู่ที่เธอ ไม่ได้อยู่ที่อัศนัยหรืออยู่ที่ฉัน เพราะฉันเป็นปลาตัวแรกฉันมีสิทธิ์ทุกอย่าง ส่วนอัศนัยเขาคือผู้ชาย อย่าคิดเปลี่ยนแปลงสันดานผู้ชาย”
ทุกประโยค ล้วนเป็นถ้อยความเสียดแทงใจ ดอกโศกยิ่งกังวลหนัก
ดอกโศกมองจากด้านหลัง เห็นปรียากมลยืนกอดอกจ้อง....จ้อง...และจ้อง โดยไม่รู้ว่าสายตานั้นมีหลายความรู้สึกปะปนกัน และกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ระหว่างจะสู้หรือจะถอย แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่รักไม่ผูกพัน ไม่ซาบซึ้งใดๆ ในลูกสาว!
ปรียากมลหันหลังกลับมา ดอกโศกมองหน้าแล้วตะลึง ถดตัวจะถอยนิดๆ แต่หยุดสู้หน้าเนื้อตัวสั่น
“เป็นอะไร ดอกโศก” ปรียากมลจับกิริยาออก
ดอกโศกกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
“ตกใจ...กลัว...เพราะเธอไม่ได้ทำอย่างที่ฉันขอให้เธอทำ..ใช่หรือไม่ดอกโศก” สีหน้านิ่งแต่ไม่ดุ ไม่เครียด ธรรมดาๆ เหมือนปรึกษาหารือกัน
“เอ้อ...เพราะว่า...คุณนัย”
“อัศนัยเกี่ยวอะไรด้วย นี่มันเรื่องเธอกับฉันสองคน”
“หนูถามคุณนัยค่ะ”
“ถาม...ทำไมต้องถามล่ะดอกโศก ฉันพูดให้ฟังวันนั้นไม่เข้าใจเหรอ”
ดอกโศกนิ่ง
ปรียากมลเริ่มมีน้ำเสียงตวัดตามแรงอารมณ์ที่มาเป็นริ้วๆ แล้ว “เธอถามอัศนัยว่ายังไง”
ดอกโศกพยายามรวบรวมสติ “หนูถามว่า...คุณพูดกับหนูอย่างนั้นจะให้หนูทำยังไง
“ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าเธอควรจะทำยังไง”
“บอกค่ะ แต่หนูคิดว่าคุณนัยเป็นคน...เอ้อ..คนกลาง น่าจะให้คุณนัยพูดหนูจะได้...”
ปรียากมลสวนคำทันที “ไม่จำเป็นหรอกดอกโศก เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องถามผู้ชาย ถ้าเขามีผู้หญิงสองคนถามเขา เขาจะตอบว่าเขาจะเก็บไว้ทั้งสองคน”
“แต่คุณนัยไม่ได้ตอบอย่างนั้นค่ะ”
ปรียากมลชะงักกึก เพราะพลาดไปแล้วอย่างแรง ที่ใช้เหตุผลอย่างนั้นกับดอกโศก
“คุณนัยบอกว่า....”
ปรียากมลสวนทันที “ไม่ต้องบอกฉัน...ฉันรู้แล้ว” เดินผ่านดอกโศกไป ยืนทอดสายตาไปไกลๆ นัยน์ตาคู่นั้นหมองมาก
ดอกโศกมองดูด้านหลังของปรียากมล ร่างนั้นเหยียดตรงอย่างมั่นใจ กิริยาครุ่นคิด แล้วค่อยๆ ห่อตัวลง เซไปพิงเสาหรือต้นไม้เอียงตัวนิ่งอยู่อย่างนั้น
ดอกโศกใจไม่ดีเอาเสียเลย
ปรียากมลหันมามีน้ำตาจางๆ ยืนยิ้มนิดๆ “อัศนัยใจร้ายมาก เขาเป็นผู้ชายใจร้ายมาก ฉันภาวนาไม่ให้เขาทำกับเธออย่างที่ทำกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเป็นสุขได้ยังไง ถ้าคิดถึงผู้หญิงกี่คนๆ ที่เขาเคยทำร้าย”
“หนูไม่ทราบว่าคุณนัยมีคนอื่นอีก..ไม่เคยเห็น...ที่ผ่านๆ มา...”
พูดไม่ทันจบ ปรียากมลขัดอีก “นี่...เด็กน้อย เขาจะมีให้เธอเห็นเรอะ”
“เขาไม่มีค่ะหนูรับรองให้คุณได้เลย”
“จะให้ฉันเชื่อว่า เขามีฉันคนเดียวงั้นเหรอ”
“ค่ะ...หนูไม่เคยเห็นผู้หญิงคนอื่น”
ปรียากมลเข้ามาจนใกล้ แตะคางดอกโศกให้เงยหน้าขึ้นจากก้มหน้า “ดอกโศก”
มือปรียากมลเอามือแตะที่คาง
สายตาแม่ลูกมองกัน
คู่หนึ่งโศกสลด แต่เข้มแข็งอยู่ลึกๆ อีกคู่สับสนใจพอสมควร แต่ประกายของความอยากเอาชนะก็ฉายชัดเจน ข่มทุกความรู้สึกในใจ
“เธอไม่เห็น...แปลว่าไม่มีเหรอ”
ดอกโศกคิดแวบหนึ่งถึงคำสอนของคุณนายประดับ โดยเฉพาะประโยค ที่คุณนายประดับบอกว่า “อะไรที่ไม่เห็นไม่ใช่จะไม่มี”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำเสียงแผ่ว “ไม่เห็น....ไม่ใช่จะไม่มี”
ปรียากมลจ้องดูดอกโศกนิ่งๆ
ดอกโศกหวั่นไหว ทำอะไรไม่ถูก

อัศนัยโผล่เข้ามาในครัว หม่อนกำลังซุบซิบกับหมื่น
“คุณปรียากมลเธอรู้มั้ยแม่ว่าคุณนัยน่ะที่จริงรักคุณหนู” หมื่นสงสัย
“จะเหลือเรอะ ก็ดูนัยน์ตาซิ”
หน้าสิ่วหน้าขวาน หมื่นยังมีมุกทะเล้น “นัยน์ตาใคร”
“ป้าหม่อน...ไอ้หมื่น”
สองคนตกใจ
“ป้าหม่อน ขึ้นไปที่ห้องพักแขก เก็บของคุณปรียากมลลงมาให้หมด”

หม่อนวิ่งลงบันไดมา อัศนัยโผล่ออกมาจากห้องที่พาปรียากมลไปนั่ง ไม่เจอปรียากมลแล้ว
“ไม่เห็นมีอะไรเหลือซักอย่าง...เขาเก็บไปตั้งแต่วันก่อนหมดแล้วคุณนัย” หม่อนบอก
อัศนัยตะโกน “หมื่น...ไอ้หมื่น”
หมื่นพรวดออกมา...ตรงหน้า
“เห็นคุณปรียากมลมั้ย”
“เห็นตอนมา....ก็คุณนัยเดินเข้ามาพร้อมกันนี่ฮะ”
“ไม่รู้ไปไหน...ฉันพาไปนั่งที่ห้องเนี้ย...”
“จะให้ไปหาของอีกมั้ยคุณนัย”
“หาทำไมไหนบอกว่าไม่มี” น้ำสียงบวกรวมสีหน้า อัศนัยหงุดหงิดมาก
“ก็หาเผื่อจะมีไง้คุณนัย” หม่อนว่า
อัศนัยเดินผ่านออกไป หม่อน หมื่น แยกย้ายกันไป จะพ้นอยู่แล้ว
อัศนัยวิ่งกลับมา “ดอกโศกก็ไม่อยู่ สองคนไปตาหาให้เจอ..ไป”

ที่ด้านนอก สองคนยังยืนจ้องกันอยู่ สายตาปรียากมลทำให้ดอกโศกใจเต้นแรง
“ดอกโศก” ปรียากมลเอ่ยขึ้นก่อน
ดอกโศกรวบรวมสติ รับคำเสียงแผ่ว “คะ”
ปรียากมลจ้องหน้าลูกอยู่สักครู่ ถอนใจยาวในใจต่อสู้กันอย่างหนัก
“ไปนั่งตรงโน้นคุยกันหน่อย” เดินนำไป
ดอกโศกยังยืนตรึงอยู่กับที่ มองไปทางตึกเหมือนหาอัศนัย
“อายุเท่าไหร่แล้ว ดอกโศก”
ดอกโศกแปลกใจ มองหน้า
ปรียากมลถามซ้ำ “อายุเท่าไหร่”
“สิบแปดค่ะ” ดอกโศกตอบ
“ใช่สินะ” ปรียากมลพูดเท่านั้น แล้วหันมา ทำสีหน้าธรรมดา “มานั่งนี่...มา”
ดอกโศกเดินมา หย่อนกายหมิ่นๆ มุมเก้าอี้
“นั่งให้เต็มๆ...อีกหน่อยหลังโกงนะ..เขยิบเข้าไปพิงพนักไว้....เข้าไปอีก ให้เต็มๆ”
ดอกโศกไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
ดอกโศกพขยับตัวนั่ง ปรียากมลถามทันควัน “ใครเลี้ยงมา”
ดอกโศกตกใจเล็กๆ “คะ”
“อยู่กับยาย...หรือตา”
“อยู่กับ...ทั้งสองคนค่ะ”
ดอกโศกเล่า ปรียากมลฟังนิ่งๆ

“เอาล่ะ รู้เรื่องแล้วว่าอยู่กับทั้งตาทั้งยาย” ปรียากมลถามหักมุม “คิดถึงแม่มั่งมั้ย” ดอกโศกแปลกใจที่ถูกถามเรื่องนี้ ปรียากมลถามต่อไม่รอเอาคำตอบ “พ่อล่ะ” สีหน้าเข้มขึ้นนิด “เขาอยู่ที่ไหนกัน”
“หนูไม่ทราบ”
ปรียากมลคาดคั้น “ไม่ทราบไม่ได้ ต้องมีคนเล่าให้เธอฟัง....ยายไม่ได้เล่าอะไรเหรอ
“เล่าค่ะ....แต่หนูจำไม่ได้ค่ะ....ลืมหมดแล้ว”
คำพูดซื่อในท่าทีเรียบนิ่ง กระแทกหน้าปรียากมลเต็มแรง พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่กระทบใจมากๆ
ดอกโศกเองก็คิดเรื่องตัวเอง นิ่งงันไป
ปรียากมลลุกขึ้นฉับพลัน “ยายเจอแม่มั่งมั้ย”
คราวนี้ดอกโศกมีหน้าแปลกใจหนัก
ปรียากมลถามย้ำ “ยายของเธอเล่ารึเปล่าว่าเขาเจอแม่เธอบ้างมั้ย”
“ไม่เจอ..ยายจะไปพบแม่ที่ไหนคะ แล้วแม่ก็ไม่เคยมาหายายเลย หนูไม่ทราบว่าแม่ยังอยู่...หรือว่าตายไปแล้ว”
ปรียากมลหน้านิ่งสนิทเหมือนหน้ากาก!
ดอกโศกลุกขึ้นยืนเคียง “คุณไม่สบายหรือเปล่าคะ”
ปรียากมลออกเดินหนีไปทันที เดินไปเรื่อยๆ
อัศนัย พร้อมหม่อน และหมื่น วิ่งออกมาจากตึก เห็นแต่ไกล
อัศนัยเรียกเสียงดัง “ปรียากมล”
ปรียากมลไม่หัน ไม่หยุด เดินต่อแน่วนิ่ง
“คุณทำอะไรดอกโศก”
คราวนี้ปรียากมลหยุด หันกลับมองอัศนัย นัยน์ตาเจ็บปวด
อัศนัยคาดคั้น “คุณทำอะไร”
ปรียากมลเดินไปอย่างรวดเร็ว เกือบเป็นวิ่ง
อัศนัยเหลียวไปมองตาม แล้ววิ่งมาหาดอกโศกหยุดยืนตรงหน้า แล้วรวบตัวมากอดไว้อย่างเต็มแรง เต็มรัก
“เขาว่าอะไร...ไม่ต้องกลัวเขานะ”
“เปล่าค่ะ...เขาพูดดี”

ปรียากมลออกมาพ้นบ้านอัศนัยแล้ว สตาร์ทรถ ขับพุ่งทะยานออกรถไปอย่างแรงอารมณ์ รถแล่นมาถึงมุมหนึ่ง เห็นน้ำตานองเต็มใบหน้าสวยนั้นแล้ว

ค่ำนั้นปรียากมล นอนนิ่ง จ่อมจมอยู่ในความมืดของห้อง นัยน์ตาแห้งผาก และหมองเศร้าสุดๆ มองเพดาน คิด คิด โทรศัพท์ดัง....และดัง....และดังต่อเนื่อง ปรียากมลรู้ว่าเป็นใครโทร.หา ไม่สามารถดึงปรียากมลออกจากความหมองเศร้าที่กินใจได้เลย

แต่ในที่สุดคืนนั้น ปรียากมลก็เปิดประตูห้องรับตระกูลเข้ามา ตระกูลจะเข้ามาหา
“อยู่ตรงนั้นแหละ” ปรียากมลบอกเสียงดัง
“ทำไม” ตระกูลยังเข้ามา
“ฉันบอกให้คุณหยุดตรงนั้น”
ตระกูลยอมหยุด
“นั่งลง แล้วอยู่เฉยๆ ถ้าฉันไม่ถามคุณไม่ต้องพูด..อย่าพูดซักคำ”
ตระกูลประหลาดใจ “คุณเป็นอะไร”
ปรียากมลตวาด “อยู่เฉยๆ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
“ทำไม” ตระกูลประหลาดใจ
ปรียากมลร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง “หยุดเดี๋ยวนี้...หยุด...หยุด...อย่าพูดอีกนะ”
ตระกูลจำต้องหยุด
ปรียากมลนิ่ง อึดอัดอยู่ชั่วครู่ แล้วเปล่งเสียงแสดงความทุกข์ใจใหญ่หลวงออกมา
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นอย่างนี้”
“ปรียากมล” ตระกูลตกใจ
ปรียากมลลุกพรวด เดินหนีเข้าห้องนอน ตระกูลตามมา ปรียากมลปิดประตูใส่หน้าดังโครม

เวลาเดียวกัน ที่บ้านรัตนชาติพัลลภ เพ็ญพักตร์นั่งหน้าเครียดอยู่ คิดถึงตระกูลขึ้นมา ทั้งรักทั้งแค้น

อุ๊เดินพรวดเข้ามา “อุ๊ต้องพูด....ต้องพูดกับคุณแม่วันนี้”
“มีอะไรอุ๊”
“เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับบ้าน”
เพ็ญพักตร์มองหน้าลูกสาวนิ่งไปสักครู่ แล้วแค่นหัวเราะออกมา “ถามชั้น คิดว่าจะได้คำตอบงั้นเหรอ”
“ไม่คิดหรอก แต่อยากให้คุณแม่รู้ว่าอุ๊คิดถึงคุณพ่อ”
เพ็ญพักตร์ของขึ้นแล้ว “เค้าคิดถึงแกรึเปล่า ถามฉันอย่างนี่สิ...ชั้นตอบได้”
อุ๊เริ่มสะอื้น
เพ็ญพักตร์เหน็บ “จะถามมั้ยล่ะ”
“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ทำกับคุณพ่ออย่างนี้ คุณแม่ไล่คุณพ่อทำไม” เพ็ญตระการรู้สึกคาใจไม่วาย
“โตขึ้นถ้าแกแต่งงานแล้วสามีแกไปมีเมียน้อยแกก็ต้องไล่เค้าไป ชั้นสั่งแกไว้เลย”
“คุณแม่รู้แน่เหรอคะว่าคุณพ่อมีเมียน้อย”
“รู้แน่” เพ็ญพักตร์มั่นใจนักแล้ว
“รู้ได้ไงคะ”
เพ็ญพักตร์ตัดบท ไม่อยากต่อความยาว “เอาเถอะยายอุ๊ขี้เกียจเถียง รู้แล้วกัน”
อุ๊ไม่ยอม “ใครล่ะคะคุณแม่รู้รึเปล่า”
“รู้”
“ใครคะ”
“เค้าชื่อปรียากมล”
“ไม่จริงหรอกค่ะ” เพ็ญตระการมั่นใจเช่นกัน
เพ็ญพักตร์ขี้เกียจจะฟัง ลุกขึ้น “แม่จะขึ้นข้างบนล่ะ”
“เค้าเป็นแฟนอานัย” อุ๊โพล่งขึ้นมา
“ใครบอกเธอ เค้าไม่ได้เป็นหรอก”
“คนที่ออฟฟิศบอกค่ะ ว่าเค้าเป็นแฟนอานัย แต่อุ๊ยังไม่เคยเห็นเค้ามาที่บริษัทเลย คนที่นั่นบอกว่าเมื่อก่อนเค้ามาหาอานัยบ่อยๆ อานัยทำไมเจ้าชู้คนนี้ก็เป็นแฟน ดอกโศกอานัยก็รัก แล้ว...แล้ว...” พอพูดถึงดอกโศก น้ำเสียงอุ๊เริ่มสั่น “ยิ่งตอนนี้มันเป็นหลานเศรษฐีแล้วอานัยคง...คงยิ่งชอบมัน”
สีหน้าเพ็ญพักตร์เป็นกังวลนัก สงสารลูกจับใจ
“อุ๊อยากเลิกรักอานัย แต่อุ๊ทำไม่ได้...อุ๊รักเค้ามาก”

เพ็ญพักตร์เดินขึ้นบันไดช้าๆ สีหน้าครุ่นคิดมาก หยุดแล้วเหลียวกลับไปมองลูก เห็นอุ๊ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ด้วยท่าทางที่หมดหวังกับชีวิต เพ็ญพักตร์ถอนใจ ลงจากบันไดเดินไปหา
อุ๊หันมาทางแม่ น้ำตาเต็มหน้า สีหน้าแดงก่ำเพราะร้องไห้หนัก
“อุ๊.....มาหาแม่มาลูก”
อุ๊ส่ายหน้า
เพ็ญพักตร์พูดแทบเป็นตวาด “ทำไม...”
“คิดถึงคุณพ่อ” อุ๊สะอื้นออกมาอีก “อุ๊ไปอยู่กับคุณพ่อได้มั้ย”
เพ็ญพักตร์หน้าตึง ความโกรธขึ้นสมองจี๊ดทันที
“ไปเลย....อยากไปก็ไปไปอยู่กันตามสบาย”
เพ็ญพักตร์หันกลับหลัง วิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วสะดุดบันไดคะมำแล้วกลิ้งลงมา
“คุณแม่”

เพ็ญตระการตกใจสุดขีด กรีดร้องเสียงดังลั่นบ้าน

อ่านต่อตอนที่ 15 พรุ่งนี้ เวลา 17.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10
เมื่อกลับถึงบ้านพันเทพเดินตรงเข้าไปในห้องทำงาน พร้อมกับเดินไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่างทุกบานแล้วตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดเรียกเวตาล “ไอ้เวตาล แกอยู่ไหน ไอ้เวตาล ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ประตูตู้เปิดออกมา ผิดตรงที่ไม่เห็นตัวเวตาลเดินออกมาเหมือนเคย “แกอยู่ไหน ออกมาสิ” เสียงเวตาลดังขึ้น แต่ไร้ตัวตน “เจ้าเรียกข้า รึเพื่อนข้า” “แกอยู่ไหน” เสียงเวตาลวนรอบพันเทพ โดยพันเทพไม่เห็นตัว “ข้าอยู่ในทุกที่ ที่ข้าต้องการจะอยู่” “อย่ามาพูดจาวกวนกับชั้น ปรากฏตัวออกมา” “ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว” “ตรงหน้าอะไร ชั้นไม่เห็นจะเห็นแก” “เจ้ามองดีๆ สิ” พันเทพมองไปรอบๆ แล้วก้มไปมองพื้นเห็นรอยเท้าเป็นคล้ายๆ ไอน้ำเดินย่ำวนไปวนมา “เริ่มมองเห็นข้าแล้วสินะ”
กำลังโหลดความคิดเห็น