แก้วกลางดง ตอนที่ 5
บนต้นไม้ใหญ่ที่บ้านทรงเผ่า...เมียวดี กับฟ้าลั่นนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้คนละกิ่ง ขณะที่คุยกันไปด้วย
“อีเมียวถ้านายหายแล้วเรากลับบ้านกันเถอะนะ อยู่นานๆข้าคงหงอยเหมือนนกในกรงที่เราจับมาย่างแน่ เมืองก็ใหญ่นะ แต่หาต้นไม้ใหญ่ ขึ้นมานั่งเล่นได้ซักต้น มันยากชะมัด สู้บ้านเราไม่ได้” ฟ้าลั่นบ่น
“นั้นซินะ หายใจก็ไม่โล่งจมูกเลย”
เมียวดีเอามือแหย่รูจมูกออกมาดู
“เอ็งดูซิ รูจมูกดำปี๋เลย”
เมียวดียื่นไปที่หน้า ฟ้าลั่นปัดทิ้ง
“เฮ้ย อีนังนี่ โสโครกจริง ออกไปห่างๆข้าเลย เอ็งนะ รู้จักทำตัวหอมๆแบบเมียนาย เอ๊ย! เพื่อนนายบ้างซิวะ”
“เอ็งดมมาแล้วเหรอไอ้หมาลั่น”
“ยัง” ฟ้าลั่นยิ้มกริ่ม “แต่แค่เดินผ่านยังหอมเลย”
ฟ้าลั่นเคลิ้ม นึกไปถึงที่โรงพยาบาล ขณะที่อัญชิสาเดินผ่านเขาไปที่เตียงทรงเผ่า เขาจำกลิ่นหอมๆจากตัวเธอได้ดี
“ก็แค่หอมน้ำอบ น้ำปรุง ไม่ใช่กลิ่นตัวจริงๆซักหน่อย”
เมียวดีนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล ขณะที่เธอเข้าไปดูแผลที่ขาทรงเผ่า
“ยังเจ็บอยู่มั้ยนาย”
เมียวดีตั้งท่าเอื้อมมือจะไปแตะ อัญชิสาตีมือทันทีเพี้ยะ!
“อย่าเอามือแตะนะจ๊ะ”
เมียวดีก็เงื้อมมือทันทีเหมือนกันตามสัญชาตญาณ อัญชิสาตกใจผงะหนี
“อุ๊ย!”
เมียวดียั้งมือ เอามือลง ก่อนจะมองหน้า ถามนิ่ง ๆ
“ทำไม”
“อ้าวก็หมอทำแผลไว้แล้ว เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าไป แผลก็อักเสบอีกนะซิจ๊ะ”
“ตอนอยู่ในป่า เราก็เอามือนี่แหละป้อนยานาย ไม่เห็นนายจะตายเลย”
“สูตรยาของเมียวดี รักษาไข้ป่าได้ชะงัดดีเหมือนกันนะครับคุณหวาน”
ทรงเผ่าเล่า อัญชิสายิ้มหวาน ตอบนิ่มๆ
“ตอนนั้น มันเป็นการรักษาไปตามบุญตามกรรม แต่ใครจะรู้ ถ้าอยู่นานกว่านั้นอาจจะแย่ก็ได้ค่ะ อุ๊ย ขอโทษนะจ๊ะ เมียวดี ฉันไม่ได้ตั้งใจดูถูกตำรายาของเธอนะ ฉันหมายความว่า เมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าเราก็ไม่ควรเสี่ยงจริงมั้ยจ๊ะ” นึกๆแล้วเมียวดีเม้มปากอย่างเก็บอารมณ์
“หึ หึ เอ็งอิจฉาละซิอีเมียว ก็เอ็งนะปีหนึ่งอาบน้ำแค่หนเดียวเท่านั้น อาบน้ำทีปลาตายเป็นฝูง” ฟ้าลั่นเยอะ
“อิจฉาทำไม จับปลายังไม่เป็นเลย เอาเป็นเมียก็อดตาย” เมียวดีโต้
“ผู้หญิงกรุงเทพนะ ไม่ต้องจับปลากินเองหรอกโว้ย ข้าเคยดูในหนังขายยา เค้าเอามาให้กินถึงที่”
“งั้นยิ่งแล้วใหญ่ รอผัวเลี้ยงอย่างเดียว เหนื่อยตายชัก”
“ก็จริงของเอ็งนะอีเมียว แต่แหม ทั้งขาว ทั้งหอมแบบนั้น ถ้าข้าเป็นนายข้าก็ยอมวะ” ฟ้าลั่นเพ้อทำท่าเหมือนกอดลม “ชื่นใจ”
“ไอ้ทะลึ่งหมาลั่น นี่!”
เมียวดีโมโห เอาชมพูที่เด็ดมา ยัดปากฟ้าลั่น แล้วผลักฟ้าลั่นเต็มๆ ฟ้าลั่นหงายหลังตกไป
รับฟ้าลั่นตกลงมาที่พื้น ด่าดังลั่น
“อีกระแต อีหมาลอบกัด! หนอยๆ เล่นทีเผลอนี่หว่า”
“เออ งั้นเอ็งเตรียมเจอของจริงได้เลยไอ้หมาลั่น”
เมียวดีกระโดดลงมาจากต้นไม้ทันที
ในครัว...วงศ์กับบัวคลี่อยู่หน้าเตา กำลังตุ๋นน้ำแกง
“ได้ที่หรือยังแม่วงศ์” บัวคลี่ถาม
“จวนแล้วค่ะ เคี่ยวอีกซักชั่วโมงก็ใช้ได้แล้ว รับรองไก่ตุ๋นโสมฝีมือดิฉัน คุณเผ่าได้ทานต้องแข็งแรงขึ้นแน่ๆ”
“จ๊ะ”
ทันใด จันสาวใช้อีกคนวิ่งเข้ามา
“คุณคะ แย่แล้วค่ะ คุณเหมียวค่ะ คุณเหมียวกับนายฟ้าลั่นฟัดกันใหญ่แล้วค่ะ”
“ตายจริง” บัวคลี่ตกใจ
“จัน ฟัดนะ เค้าใช้กับหมา...เอ่อ สุนัขรู้มั้ย เอามาใช้กับคนมันไม่ถูก” ป้าวงษ์ดุ
“ขอโทษค่ะ คุณแม่บ้าน หนูพูดตามที่เห็น”
“เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งอบรมภาษาไทยกันอยู่เลย รีบไปเถอะ แม่เหมียวคงกำลังแย่ เฮ้อ! กล้าหาญชาญชัยเหลือเกินต่อยตีกับผู้ชายเนี่ยนะ”
ทั้งสามคนรีบวิ่งออกไป
บัวคลี่ วงศ์ จัน วิ่งหน้าตื่นออกมาจากครัว แต่ต้องเบรค เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“โอ้ยยยยย” ฟ้าลั่นร้อง
เมียวดีนั่งทับหลังฟ้าลั่นอยู่ อีกมือก็เกี่ยวรูจมูกฟ้าลั่นที่ดิ้นอยู่
“ไหนเธอบอกว่า แม่เหมียวแย่ไง ฉันว่าคนที่แย่คือนายฟ้าลั่น” บัวคลี่บอก
“โอ๊ย อกอีกแป้นจะแตก” ป้าวงษ์ทำท่าจะเป็นลม
“อีเมียว อย่าเกี่ยวจมูกซิวะ ข้าไม่ใช่ควายนะโว้ย” ฟ้าลั่นโวย
“ข้าก็คิดว่าเอ็งใช่นะซิ เดี๋ยวจะเอาเชือกมาสนตะพายเอ็ง”
“อีบ้า ปล่อยนะโว้ย ข้าเอาจริงขึ้นมา เอ็งโดนดีดแน่”
“ก็เอาซิ ถ้าเอ็งดีดข้าได้”
เมียวดีก้มลงกัดหู ฟ้าลั่นดิ้นพยายามดึงหัวเมียวดีออก
“ยายเหมียว หยุดนะ ฉันบอกให้หยุด” บัวคลี่ร้องห้าม
“หยุดไม่ได้เมียพ่อนาย ไอ้หมาลั่นมันจะหาว่าเราไม่แน่จริง”
“นายฟ้าลั่น ฉันบอกให้หยุดไง” บัวคลี่หันไปห้ามฟ้าลั่น
“ฟ้าลั่นยังไม่ได้ทำอะไรเลย เมียพ่อนาย ต้องสั่งอีนังหมาบ้านี่ต่างหาก”
“ก็จริงของนายฟ้าลั่นนะคะ คุณ“ วงศ์บอก
บัวคลี่รีบหันไปสั่ง วงศ์ กับจัน
“จะยืนกันอยู่ทำไม งั้นก็รีบไปแยกออกมาซิ”
วงศ์กับจัน เข้าไปจับเมียวดีช่วยกันดึงออกมาตอนแรกก็ดึงออกมาได้ ฟ้าลั่นเห็นมีคนจับ รีบลุกขึ้นฉวยโอกาสเข้ามา ผลักหน้าผากเมียวดีจนหน้าหงาย
เมียวดีโมโหเลยเหวี่ยง แม่วงศ์กับ นิด ออกไปล้มลง ตัวเองหลุดออกมาหันมาเอาเรื่องฟ้าลั่นต่อ
“ ไอ้หมาลั่นวันนี้ เอ็งตาย”
ฟ้าลั่นเห็นท่าไม่ดี วิ่งหนีทันที เมียวดีตั้งท่าวิ่งตาม บัวคลี่รีบตะโกนบอกว่ารวดเร็วแทบไม่หายใจ
“หยุดนะ เมียวดี ลืมไปแล้วเหรอว่านายเธอสั่งให้ว่าห้ามดื้อไม่งั้นจะกลับมาจัดการ!”
เมียวดีชะงักหยุดทันทีเมื่อได้ยินคำว่านาย บัวคลี่หันมามองกับวงศ์ทำนองว่าได้ผล
“อืม เราจำได้ แต่ตอนนี้นายไม่อยู่สักหน่อย”
พูดจบก็วิ่งตามฟ้าลั่นทันที บัวคลี่ทำได้แค่ถอนใจ
ฟ้าลั่นวิ่งหนีนำ เมียวดีตามพลางโวยวาย
“ไอ้หมาลั่น แน่จริงอย่าวิ่งหนีซิวะ”
“ข้าไม่แน่โว้ย ขืนไม่หนีเอ็งก็กัดหูขาดนะซิ”
ฟ้าลั่นวิ่งไปพร้อมกับหันพูดไป ก่อนจะหันกลับมา เจอเชอรี่ที่กำลังนั่งซักฟ้าอยู่พอดี ฟ้าลั่นเบรคไม่ทัน เหยียบลงกะลามังซักผ้าที่มีฟองอยู่เต็มพอดี
“ว้าย!”
ทั้งฟองทั้งน้ำ เข้าหน้าเชอรี่ เปียกไปหมด ส่วนตัวฟ้าลั่นเองก็ตัวลื่นล้มลงไปนอนวัดพื้น
เมียวดีตามมาเห็นพอเห็นฟ้าลั่นล้ม ก็หยุดหัวเราะอย่างสะใจ
ฟ้าลั่นตะลึงเมื่อมองไปเห็นเชอรี่กำลังสะบัดผมที่เปียกน้ำ มีฟองสบู่เล็กๆ ลอยอยู่รอบตัว เชอรี่ดูเซ็กซี่ประหนึ่งนางเอกในมิวสิค
“ไอ้หมาลั่น เอ็งกลายเป็นไอ้ลูกหมาตกน้ำแล้ว ฮะๆๆๆ” เมียวดีหัวเราะอย่างสะใจ
“ขำอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าคนกำลังซักผ้าอยู่ เปียกไปหมดแล้ว! ผ้าเผ้อ ไม่ต้องซักกันพอดี เซ็งอ่ะ”
เชอรี่เดินสะบัดหน้าออกไป
ฟ้าลั่นยังนั่งอ้าปากค้าง เคลิ้มอยู่ไม่พูดไม่จา เมียวดีเดินเข้าไปดู โบกมือผ่านหน้าไปมาให้ฟ้าลั่นรู้สึกตัว
“ไอ้ฟ้าลั่น เอ็งเป็นอะไรวะ เฮ้ย”
“นางฟ้า” ฟ้าลั่นเคลิ้ม
ในห้องนั่งเล่น...เชอรี่จีบปากจีบคอฟ้องบัวคลี่ กับ ทนง
“เชอรี่กำลังซักผ้าจะเสร็จอยู่แล้วเชียว แต่เพราะสองคนนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ ทำผ้าสกปรกหมด แบบนี้ คุณท่านต้องให้ความยุติธรรมนะคะ เชอรี่ไม่ได้อู้งาน”
“จะมาจากไหน ก็มาจากที่วิ่งไล่ตีกันนั้นแหละค่ะคุณพี่ อิฉันห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง” บัวคลี่บอก
“ว่าไงเจ้าเหมียว ที่เค้าพูดกันมาจริงมั้ย”
ทนงหันมาถามเมียวดีที่นั่งอยู่ข้างฟ้าลั่น เมียวดีย้อนถามอย่างนักเลงเต็มที่
“..พ่อนายจะให้ทำยังไง ก็ว่ามาแล้วกัน”
“เจ้าฟ้าลั่นล่ะ มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย ฟ้าลั่นว่าไง”
ฟ้าลั่นเงียบไม่ตอบ เมียวดีเลยหันรำคาญมองไป เห็นฟ้าลั่นยังคงเขินส่งตาหวานให้เชอรี่ที่ทำเชิดๆ ว่าตัวเองสวย เมื่อโดนฟ้าลั่นมอง เมียวดีเลยป้องปากตะโกนใส่หูฟ้าลั่น
“ไอ้หมาลั่น พ่อนายเรียกไม่ได้ยินเหรอ”
“เอ็งตะโกนทำไมวะ อีเมียว นั่งกันอยู่แค่นี้ น้องเชอรี่ตกใจหมด” ฟ้าลั่นยิ้มให้เชอรี่อย่างเอาใจ
เชอรี่ชะม้ายตาอย่างเย่อหยิ่ง รู้ค่าตัวเอง
“ฟ้าลั่นเป็นลูกผู้ชายพอ ทำผิดแล้วก็ยอมรับ ฟ้าลั่นขอรับผิดชอบเรื่องนี้เอง พ่อนาย” ฟ้าลั่นหันมาทางเชอรี่ “พี่ฟ้าขอโทษน้องเชอรี่จากใจจริงของพี่จ๊ะ”
“แค่คำพูดมันไม่ช่วยให้ผ้าหายสกปรกหรอกนะ”
ฟ้าลั่นแมนสุดขีด
“ถ้ามันจะน้องเชอรี่หายโกรธพี่ฟ้าลั่นคนนี้ละก็ จะให้พี่ทำอะไรก็ว่ามาได้เลย”
“จริงเหรอ!” เชอรี่ตาวาวทันที
หลังบ้าน...เมียวดีกับฟ้าลั่นซักผ้ากองใหญ่ เมียวดีเอาผ้าเหวี่ยงๆพื้น อย่างที่ชาวเขาทำกัน คือใช้ทุบๆกับก้อนหิน พลางโวยวายไปด้วย
“ไอ้หมาลั่นเอ๊ย เอ็งนี่มันมีปากเหมือนมีตูดแท้ หาเรื่องจริงๆผ้ากองใหญ่ขนาดนี้ พรุ่งนี้จะซักเสร็จหรือเปล่า”
“ทำๆไปเดี๋ยวก็เสร็จเองแหละอีเมียว เราเป็นคนผิด ก็ต้องช่วยน้องเชอรี่เค้า” ฟ้าลั่นพูดแล้วก็เขินเอง”ผู้หญิงอะไรชื่อน่ารัก น่ากิน สมตัวเหลือเกิน...เชอรี่”
“ลำไย ป้าวงศ์บอกว่าเมื่อก่อนมันชื่ออีลำไย”
“อีเมียว เอ็งอย่าขัดได้มั้ย ลำไยหรือเชอรี่มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”
เมียวดีส่ายหน้าไม่อยากพูดกับอาการเพ้อของฟ้าลั่น เชอรี่ถือตะกร้าผ้ามาอีก
“ตายแล้วๆ นั้นเรียกว่าซักผ้าเหรอ แล้วมันจะสะอาดได้ยังไง”
“ที่บ้านเรา เค้าก็ซักกันแบบนี้ทั้งนั้น” เมียวดีบอก
“แล้วมันจะสะอาดได้ยังไง นี่ มันต้องแบบนี้”
เชอรี่หยิบผงซักฟองมาเทใส่กะลามัง
“ก่อนอื่นก็เทผงซักฟอง แล้วก็ตีๆ ๆเข้าไปให้เป็นฟอง อุ๊ย”
เชอรี่ผงซักฟอกเข้าตา
“น้องเชอรี่เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“แสบตานะซิถามได้”
ฟ้าลั่นรีบเข้าไปดูที่ตาให้ และแล้วเมื่อได้สบตากัน ต่างคนต่างก็ชะงักสบตากัน แล้วก็เริ่มเขินกันไปมา
เมียวดียืนมองทั้งคู่ แล้วก็ทนไม่ไหว เลยเดินหนีไปทางข้างรั้วหลังบ้านอย่างเซ็ง ๆ เห็นช่องเล็กๆข้างรั้ว พยายามมองออกไปข้างนอกแต่เห็นไม่ถนัด จึงปีนรั้วทันที
เมียวดีเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามถนน รถมอร์เตอร์ไซค์วิ่งมาแต่ไกล บีบแตรใส่เมียวดี ที่เดินเกือบกลางถนน เมียวดีหันหลังกลับไปมอง ตัดสินใจยืนตั้งท่ารับ
รถมอร์เตอร์ไซค์ขับเข้ามาเหมือนจะไม่ยอมหยุด เมียวดีก็ยืนเฉย วัดใจกัน ในที่สุดมอร์เตอร์ไซด์ที่นั่งซ้อนมา 2 คนก็หักหลบเอง
“เดินดูรถหน่อยดิน้อง”
“คนเดินอยู่ทั้งคน รถก็ดูคนบ้างซิ”
จิ๊กโก๋มองตอนแรกจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นเป็นผู้หญิง ก็พูดดีด้วย
“นักเลงเหมือนกันนะเรา แบบนี้พี่ชอบ จะไปไหนล่ะพี่ไปส่งมั้ย”
“ไป...ข้างนอก...” เมียวดีลังเลนิดหน่อย ก่อนจะตอบอีก “...โรงพยาบาล”
“อ๋อ...โรงพยาบาล เดี๋ยวพี่บอกทางให้ แต่ เอ๊ะดูท่าทาง เราไม่ใช่คนแถวนี้มั้ง”
“ฮือ ไม่ใช่”
“งั้น ถ้าบอกไปก็ไปไม่ถูก เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่านะ”
“ได้” เมียวดีพยักหน้ารับ
ที่ลานซักล้าง...ฟ้าลั่นกับเชอรี่ มองตากันไปมา นั่งซักผ้ากันอยู่ ช่วยกันขยี้ผ้า คิกๆ คักๆ กันไป
ฟ้าลั่นจับมือเชอรี่ในกะลังมัง
“อุ๊ย อะไรกันเนี่ย ปล่อยนะ”
“มือน้องเชอรี่นิ่มๆ แล้วก็ หอมด้วย” ฟ้าลั่นยกขึ้นมาดม
“บ้า” เชอรี่ยันโครม
“บ้าก็บ้ารัก เพราะหัวใจของพี่ฟ้า ให้น้องเชอรี่ไปหมดแล้ว”
ฟ้าลั่นเบียดเข้ามาอีก เชอรี่ผลักไปอีกที
“ถ้ารักจริง ก็ต้องซักผ้าทั้งหมดเนี่ย ให้เชอรี่ก่อน ถึงจะเชื่อ เดี๋ยวเชอรี่จะนั่งให้กำลังใจอยู่ตรงนี้”
เชอรี่รีบล้างมือ แล้วลุกขึ้นมานั่ง อย่างสบายใจ ที่หลอกให้ฟ้าลั่นซักผ้าให้ ขณะเดียวกันวงศ์เดินมา “ฟ้าลั่น เชอรี่”
เชอรี่รีบกลับไปนั่งซักผ้าเหมือนเดิม เพราะไม่อยากโดนด่า
“ทำไมอยู่กันสองคนล่ะ แล้ว คุณเหมียวไปไหน”
ฟ้าลั่นกับเชอรี่รีบมองหา ส่ายหน้าไม่รู้
เมียวดีมาหยุดมองหน้าตึกร้าง แล้วหันมามองจิ๊กโก๋ทั้ง 2 คนที่เธอซ้อนรถมาด้วย
“นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล”
จิ๊กโก๋ยิ้มให้อย่างกวนๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“มันเป็นทางลัด เอาไว้ขึ้นสวรรค์ไง”
จิ๊กโก๋ชักมีดออกมาจี้เมียวดีทันที
บริเวณหน้าตลาด...สาวๆแม่ค้า รุมล้อมหมวดอั๋น ตำรวจรูปหล่อขวัญใจของทุกคน พร้อมเสียงกรี๊ด วี๊ดว๊ายอย่างชื่นชมเป็นระยะ บางคนก็ใช้มือถือถ่ายรูป มีนักข่าวตามถ่ายด้วย อั๋นถือเอกสารขับขี่ปลอดภัย ใส่หมวกกันน็อคแจกตามตลาด
“ขอความร่วมมือด้วยนะครับ อย่าลืมใส่หมวกกันน็อกทุกครั้งนะครับ”
“เป็นตำรวจจริงๆ หรือเป็นดาราค่ะหมวด ปากแด๊ง แดงหล่อเชียว” แม่ค้าแซว
“ขอบคุณครับที่ชม แต่ผมรักการเป็นตำรวจดูแลประชาชนมากกว่า นี่ครับ ฝากด้วยนะครับ”
“หมวดขาขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
“ได้ครับ” อั๋นแอบจัดทรงผมนิดหน่อย อย่างห่วงหล่อ
อั๋นหันไปถ่ายรูปคู่กับสาวๆที่ใช้มือถือถ่ายรูป นักข่าวหันพูดกับกล้อง
“และนี่คือตำรวจยุคใหม่ที่เข้าถึง และยืนเคียงข้างประชาชนด้วยใจ นนทุก ถ่ายภาพ นันทา รายงาน
นักข่าวเดินมาหาหมวดอั๋น ที่อยู่ยังอยู่ในวงล้อมสาวๆ”
รายงานข่าวเรียบร้อยแล้ว นักข่าวเดินมาบอกอั๋น
“ขอบคุณมากนะคะ ผู้หมวด ที่ให้ติดตามภารกิจในวันนี้”
“เราต้องขอบคุณมากกว่าครับ ที่ช่วยมาทำข่าวให้เรา อย่าลืมนะครับน้องใส่หมวกกันน็อกทุกครั้งเมื่อขับขี่มอเตอร์ไซค์”
อั๋นหลิวตาให้อย่างขี้เล่น นักข่าวหัวเราะตอบ อั๋นหันไป แจกแผ่นพับต่อ ช่างภาพแอบกระซิบ
“เวลาไล่จับผู้ร้าย หมวดเค้าจะยังผมเรียบกริบ แบบนี้มั้ย”
“หมวดอั๋นเค้าอยู่ส่วนประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ฝ่ายปราบปรามหรอกพี่ แถมได้ข่าวว่าพ่อหมวดนะ เป็นถึงรองอธิบดี คงไม่ให้ลูกชายไปเสี่ยงแบบนั้นหรอก”
“อ๋อ” ช่างภาพพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ทันใดเด็กชายวัย 7 ขวบปั่นจักรยานเข้ามา พร้อมกับตะโกนเรียกแม่แม่ค้าที่คุยอยู่กับอั๋น
“แม่ๆ หนูเห็นมีผู้หญิงถูกลากเข้าไปในตึกร้าง ท้ายซอย”
“ไอ้พวกมารสังคมลากผู้หญิงไปรุมโทรมอีกแน่ๆ คุณตำรวจค่ะ ไปจัดการเลยค่ะ”
ทุกคนมองไปอั๋น อย่างฝากความหวังเต็มที่ไปจัดการเลย
“ใช่ๆๆ” ทุกคนสนับสนุน
“ผมเหรอ”
อั๋นอึกอักนิดหน่อย แล้วก็ต้องโชว์แมนเมื่ออยู่หน้าประชาชน
“เอ่อ...แน่นอนอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่ดูแล และปกป้องประชาชน!“
อั๋น กับจ่าจืด มารออยู่หน้าตึกร้าง อึกๆอักๆไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่ค่อยได้ทำงานแบบนี้ ทำแต่งานเอกสาร
“จ่า วอบอกสน.ในพื้นที่ขอกำลังมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับหมวด”
“แล้วทำไมยังไม่มาอีกน่า หรือเราจะรอให้เขามากันก่อนดี”
เสียงเมียวดีดังขึ้น
“อย่านะ!”
“เสียงผู้หญิง นี่”
อั๋นมองหน้าจ่า รีบควักปืน แล้วตัดสินใจบุกเข้าไป อั๋นวิ่งเข้าไป แล้วตัดสินใจถีบประตูไปสองที แต่ประตุไม่เปิด แถมเจ็บขาอีก
“ทำไมไม่ออกวะ” อั้นเรียกจ่าให้จัดการแทน “จ่า”
จ่าจืดเลยถีบแรงๆ ประตูถึงเปิด อั้นเข้าไปตั้งท่าอย่างดี
“หยุดนะ ยกมือขึ้น”
แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นมองไป เห็นจิ๋กโก๋คนหนึ่งนอนหมอบอยู่ โดนมัดมือหลังจากโดนซ้อมจนน่วมแล้ว อีกคนเมียวดี กำลังเหยียบหลัง ตั้งท่าจะมัดมือ
“บอกว่าอย่าลุกขึ้น เดี๋ยวกระทืบซ้ำเลย”
“นี่มันอะไรกัน ก็ไหนว่า มีผู้หญิงโดนลากเข้ามา”
“อ๋อ ไอ้สองคนนี้ มันอยากได้เราทำเมีย แต่ไม่ยักกะยอมพูดดีๆ เราก็เลยกระทืบมัน”
“งั้นเหรอ” อั๋นงงที่เรื่องกลับตาลปัตร “แล้วเราบ้านอยู่ไหน”
“....โน้น บนภูเขา”
“ กรุงเทพไม่มีภูเขา อยู่ต่างจังหวัดงั้นเหรอ แล้วมากรุงเทพได้ยังไง”
“ก็เค้าพามา”
“ใคร”
“นาย”
อั๋นหันไปมองหน้าจ่า เข้าใจเป็นอีกเรื่อง
“แล้วนายเธอเค้าพาเธอมาอยู่ไหน”
“ก็มาอยู่บ้านนายนะซิ แต่เราเลยหนีออกมา”
จ่ากระซิบ
“ชักจะกลิ่นไม่ดีแล้วครับหมวด”
“สงสัย โดนพวกแกงค์ค้ามนุษย์ ล่อลวงมา เรื่องใหญ่แน่ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
อั๋นกลับไปซักเมียวดีต่อ
“แล้วจำได้มั้ย ว่าบ้านนายที่เธอหนีออกมาอยู่ไหน”
เมียวดียิ้มตาวาว
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ทรงเผ่าคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงคนไข้
“อะไรนะ เมียวดีหายไปงั้นเหรอ เปล่าครับ ไม่ได้มาที่นี่ ได้ข่าวอะไรรีบโทรมาบอกผมด้วยนะครับ ป้าวงศ์”
ทรงเผ่าวางโทรศัพท์ แล้วก็ตัดสินใจค่อยๆประคองตัวเองลงมาจากเตียง หยิบเสื้อธรรมดามาใส่คลุมเสื้อคนไข้ พยายามจะเดินออกไป อัญชิสาเข้ามาพอดี
“คุณเผ่า จะไปไหนค่ะ”
อัญชิสาเข้าไปช่วยประคอง
“เมียวดี หายไปครับ แม่วงศ์โทรมาถาม คิดว่าแกจะหนีมาหาผม”
“แกจะมาที่นี่ถูกได้ยังไง ก็คุณบอกไม่ใช่เหรอค่ะ ว่าแกเพิ่งเคยมากรุงเทพครั้งแรก หวานว่า แกอาจจะไปเดินเล่นก็ได้ตกใจกันมากไปหรือเปล่า”
“หากันทั่วบ้านแล้วครับ ไม่มีใครเห็น ผมถึงได้เป็นห่วง เมียวดีไม่รู้จักใครในกรุงเทพเลย ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก ที่นี่ไม่ใช่ป่าแถวบ้านแก”
“แต่คุณยังไม่แข็งแรงเลย จะไปได้ยังไงกันค่ะ แล้วจะไปตามที่ไหนก็ไม่รู้”
“ ผมดีขึ้นมากแล้วครับ แต่เป็นห่วงเมียวดีมากกว่า”
“กรุงเทพไม่ใช่แคบๆนะคะ ตรอกซอกซอยเยอะแยะ ถ้าเกิดแกหายไปจริงๆ หวานว่าเราน่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจมากกว่า”
“แต่ผมต้องรับผิดชอบ ผมเป็นคนพาแกมา!“
ทรงเผ่ายืนยันจะไป แกะมืออัญชิสาออก
“ไปไม่ได้คะ!” อัญชิสาตัดสินใจ “คุณเผ่าค่ะ ถ้าหวานจะขอร้อง ให้คุณเห็นแก่หวาน อยู่ที่นี่ก่อนจะได้มั้ย!”
หน้าโรงพยาบาล...เมียวดียืนมองชื่อโรงพยาบาล ยิ้มอย่างพอใจที่หลอกอั๋นมาส่งได้สำเร็จ อั๋นลงมาจากรถ
“นี่ตกลงยังไงกันแน่ ให้ฉันพามาที่โรงพยาบาลทำไม”
“ก็เราบอกแล้วไง ว่าเราจำบ้านไม่ได้แต่ จำได้แต่ชื่อโรงพยาบาลที่นายอยู่”
“แล้วไหนล่ะนายเธอ”
“นั้นไง!” เมียวดีรีบชี้ไปอีกทาง อั๋นหันไปมองโดยอัตโนมัติ
เมียวดีรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วปะปนในคนไข้
“เฮ้ย เดี๋ยว”
“ขอบใจมากนะ ที่มาส่ง เราไปก่อนล่ะ”
อั๋นรีบตาม
ในห้องคนป่วย...ทรงเผ่ายังคุยกับอัญชิสา
“นี่แปลว่า คุณหวานจะไม่ให้ผมไปตามเมียวดีใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“ไม่ผมอยากเชื่อเหลือว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
เสียงเคาะประตู ทรงเผ่าหันไปมอง รำพาเข็นรถเข็นเข้ามา
“มาแล้วค่ะ รถคนป่วย นี่แม่เอามาให้เองเลยนะคะ”
รำพาเพิ่งเห็นสีหน้าสองคน ทรงเผ่ายกมือไหว้รำพา
“ผมแข็งแรงพอเดินได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็นแล้วครับ”
“เอาไว้เถอะค่ะ จะได้ดูสมบทบาท”
ทรงเผ่างง
“อุ๊ยตาย นี่จะใส่เสื้อคลุมแบบนี้เหรอค่ะ เท่ห์มากค่ะ แหม เป็นฮีโร่นี่ค่ะ ทำอะไรก็ดูดีฮะๆๆ ไปเถอะค่ะนักข่าวมารออยู่เต็มไปหมดแล้ว”
“นักข่าว! งั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อุ๊ย นี่ลูกยังไม่ได้บอกคุณเผ่าเหรอจ๊ะ ว่าเราจะมีงานแถลงข่าววันนี้!”
ทรงเผ่ามองอัญชิสา
ในลิฟต์...ทรงเผ่านั่งอยู่บนรถเข็น อัญชิสาเหลือบมองทรงเผ่ารู้ดีว่าทรงเผ่าไม่พอใจ ตัดสินใจพูด
“เดี๋ยวหวานจะไปบอกคุณแม่เองให้ยกเลิกการแถลงข่าวทั้งหมด”
“คุณแม่คุณหวานเตรียมงานทั้งหมดไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ช่างเถอะค่ะ หวานไม่อยากบังคับใจคุณ คุณมีเรื่องสำคัญต้องทำ มากกว่า”
“ผมไม่ชอบงานอะไรแบบนี้ แล้วเรื่องที่เกิดก็เป็นเรื่องบังเอิญ ผมไม่ได้ทำเพราะอยากเป็นข่าว”
“ค่ะ หวานเข้าใจแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของหวานเอง ที่ไม่สามารถห้ามคุณแม่ได้”
ทรงเผ่าชักเริ่มใจอ่อนเมื่ออัญชิสาเล่นบทอ่อนแอ น้ำตาคลอ
“หวานรู้ตอนนี้ในสายตาคุณ หวานเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เป็นผู้หญิงใจร้าย ไม่สงสารเด็กผู้หญิงที่หลงทางอยู่ในเมืองหลวง ห่วงแต่หน้าตา ชื่อเสียงตัวเอง เป็นผู้หญิงที่ใช้ไม่ได้เลย คุณเผ่าไปตามเมียวดีเถอะค่ะ”
ทรงเผ่าใจอ่อนยวบ
“คุณหวาน!”
ทรงเผ่าเอื้อมือมาจับมือ อัญชิสาเบือนหน้าหนี
“หวานพูดจริง หวานก็รับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ที่ต้องบังคับให้คุณทำแบบนี้ หวานเป็นคนไม่ชอบฝืนใจตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากฝืนใจคนอื่น โดยเฉพาะยิ่งเป็นคนที่หวาน...แคร์”
“โธ่ คุณหวาน ไม่เลยครับ ผมเต็มใจทำ ให้สัมภาษณ์นักข่าวแค่นี้ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ผมยอมรับว่าเป็นห่วงเมียวดีแกมากไปหน่อย แต่นั้นก็เพราะ แกคือคนที่ช่วยชีวิตผม ผมขอโทษ ที่ผมใจร้อน ไม่ได้คิดถึงความลำบากใจของคุณหวานเลย ผมขอโทษจริงๆนะครับ”
อัญชิสาเช็ดน้ำตา
“งั้น หลังเสร็จงานแถลงข่าว เราจะไป ตามหาเมียวดีด้วยกันดีมั้ยค่ะ”
ทรงเผ่าพยักหน้า อัญชิสาก้มลงกอดทรงเผ่า
ด้านนอกเมียวดีเข้ามาข้างใน มองหาทางที่จะขึ้นไปห้องทรงเผ่า ประตูลิฟต์เปิดออกพอดีเมียวดีหันมาเห็นพอดีสองคนกอดกันอยู่พอดี หยุดยืนมองนิ่ง อั๋นวิ่งตามมา
“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องกลัว ฉันไม่ได้จะจับเธอ แต่ ต้องการจับคนที่หลอกเธอมาต่างหาก”
“ นั้นไงคนที่พาเรามา”
“ไหนอยู่ไหน”
เมียวดีตะโกนดังลั่น เพราะหมั่นไส้ที่เห็นทรงเผ่า กับอัญชิสากอดกันอยู่
“นาย”
ทรงเผ่ากับอัญชิสาผละออกจากกัน
“เมียวดี!” ทรงเผ่าดีใจที่เจอ
เมียวดีหันมาบอกอั๋น
“อ้าว หมวดเข้าไปจับซิ นั้นไงสงสัยกำลังหลอกผู้หญิงอีกคนแล้ว”
ทรงเผ่ากับอั๋นต่างคนต่างชี้ จำได้เหมือนกัน
“พี่เผ่า”
“อั๋น”
เมียวดีอึ้งไปเลย
ที่บ้านทรงเผ่า...ทุกคนที่ออกไปตามหาเมียวดี วิ่งเข้ามาหาทนงที่รอฟังข่าวอยู่
“ว่าไง เจอมั้ย” ทนงถาม
ทุกคนส่ายหน้า
“หาทั่วบ้านหมดแล้วไม่เจอ หรือว่าแกจะออกไปข้างนอกค่ะ คุณพี่” บัวคลี่ถาม
“งั้นซิค่ะ อาจจะไปเดินๆ แล้วก็จะไปโดนรถชนก็ได้นะคะ” เชอรี่ออกความเห็น
“พูดอะไรยังงั้น เชอรี่” บัวคลี่ปราม
“อ้าว ก็เค้าอยู่แต่ในป่า ข้ามถนนเป็นเสียที่ไหน เดินไปอาจจะไม่ได้ระวังรถ แล้วรถในกรุงเทพก็เยอะแยะ ชนเปรี้ยงเดียว แล้วหนีไปเลย ปล่อยให้นอนชัก กะแด็กๆ อยู่ข้างถนน”
“จริงเหรอ น้องเชอรี่ โธ่ อีเมียว ไม่น่าเลยอยู่ในป่าอยู่ดงเจองูเจอเสือ ยังรอดมาได้ ต้องมาตายเหมือนหมาอยู่ในกรุงเทพ ฮือๆๆ”
ฟ้าลั่นร้องไห้ แล้วก็ถือโอกาสซบกับเชอรี่ บัวคลี่ก็ชักใจไม่ดีมองหน้าทนง
“คุณพี่ค่ะ”
“คิดในทางที่ดีกว่าได้มั้ย เชอรี่” ทนงปราม “เอาล่ะใจเย็นๆ ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตูน เจ้าเหมียวถึงมันจะข้ามถนนไม่เป็น แต่มันก็คล่องแคล่วปราดเปรียวจะตาย ดูซิ มันปีนต้นไม้ได้ไวยังกะลิง”
“พวกลิงที่อยู่ในสวนสัตว์ แล้วหลุดออกมาแล้วโดนรถชนตายก็มีนะคะ” เชอรี่ออกความเห็นอีก
ทนงมองหน้าเชอรี่
“เชอรี่”
เชอรี่เลยเงียบไปอีกรอบ แต่ยังแอบพูด
“แต่หนูเห็นในข่าวจริงๆนะคะคุณท่าน”
“ถ้าพูดอีกคำฉันจะตัดเงินเดือนเธอ”
ทนงพูดคราวนี้ เชอรี่เงียบกริบ
“นี่แม่วงศ์หายไปไหน ให้ไปโทรหาเจ้าเผ่าตั้งนานแล้ว ยังไม่มาอีก”
แม่วงศ์วิ่งกึ่งเดินเข้ามา
“เจอแล้วค่ะ เจอตัวคุณเหมียวแล้วคุณท่าน”
ทุกคนถามถามพร้อมกัน
“ที่ไหน!”
ในโทรทัศน์...มีภาพในงานแถลงข่าว...
ทรงเผ่ากับอัญชิสา โดนนักข่าวรุมล้อมให้สัมภาษณ์อยู่
“โอ้โห้ พ่อนายมีจอหนังขายยาเป็นของตัวเองด้วยเหรอ” ฟ้าลั่นโวยวายเมื่อเห็นโทรทัศน์จอใหญ่
“ไม่ใช่หนังจอหนังขายยา เค้าเรียกโทรทัศน์” วงศ์บอก
“นั้นแหละๆฟ้าลั่นรู้จัก ฟ้าลั่นก็เคยเห็นเหมือนกัน ตอนลงไปที่หมู่บ้านข้างล่าง อีเปลวร้านขายของมันก็มี แต่จอมันไม่ใหญ่เท่าจอหนังขาย ยาเหมือนบ้านพ่อนายนี่”
“ฮะๆๆ ใครว่าเจ้าฟ้าลั่นมันโง่ มันรู้จักเปรียบเทียบต่างหาก เป็นเจ้าของโรงหนัง ก็ดูโก้ดีเหมือนกันนะ” ทนงชอบใจ
ฟ้าลั่นโวยวายเมื่อตัดมาเห็นเมียวดี ยืนหน้าบึ้งอึดอัดอยู่กับอั๋น
“นั้นๆอีเมียวนี่พ่อนาย มันไปเล่นหนังขายยาตั้งแต่เมื่อไร” ฟ้าลั่นตื่นเต้นมาก
ในห้องแถลงข่าว...นักข่าวรุมล้อมถามกันวุ่นวาย รำพาพยายามจัดแจงให้เป็นระเบียบ
“ทีละคำถามนะคะ คุณทรงเผ่ายินดีตอบอยู่แล้วค่ะ”
นักข่าวแย่งกันถาม
“คุณรู้ หรือทราบข่าวจากไหนว่ามีโรงงานผลิตยาเทพติดอยู่บนภูเขา”
“แล้วสืบอยู่นานมั้ย”
ทรงเผ่าตอบเลี่ยงๆ
“ผมบอกไปแล้วว่า ผมเป็นแค่ช่างภาพธรรมดาคนหนึ่ง ที่บังเอิญผ่านไปเห็น และคิดว่าถ้าใครเจอสถานการณ์อย่างผม ก็คงต้องทำแบบนั้น”
“ โรงงานผลิตยาอยู่ลึกขนาดนั้นคุณเข้าไปได้ยังไง”
อีกมุมหนึ่งสาทิศเดินเข้ามาเงียบๆ ยืนฟังอยู่อย่างนิ่งๆ ทางด้านทรงเผ่าชักไม่พอใจ
“เอ๊ะ คุณถามแบบนี้ หมายถึง ผมทำผิดไม่ควรเข้าไปใช่มั้ย”
อัญชิสาที่อยู่ข้างๆรู้สึกได้ว่าทรงเผ่า เริ่มหงุดหงิด จับแขนทรงเผ่าทำนองเตือน ยิ้มให้นักข่าว
“คือคุณเผ่ายังเจ็บแผลอยู่นะคะ เลยหงุดหงิดนิดหน่อย ขอโทษพี่ๆด้วยนะคะ”
“แล้วคุณทรงเผ่า เล่าอะไรให้คุณหวานฟังบ้างมั้ยค่ะ” นักข่าวหันมาถามอัญชิสาแทน
“ตอนแรก คุณเผ่าเค้าก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยค่ะ กลัวหวานจะเป็นห่วง”
อัญชิสาพยายามพูดให้ดูดี
เมียวดียืนอยู่กับอั๋นอีกมุมไม่ไกล ได้ยินทุกอย่าง ถามอั๋นงงๆ
“ตกลงนายเค้าทำผิดเหรอหมวด พวกนั้นถามนายเหมือนนายเป็นคนร้ายเลย”
“นั้นซิ เฮ้ย ไม่ใช่ นักข่าวเค้าแค่อยากได้ข่าวคำพูดจากปากพี่เผ่าเท่านั้น”
“แล้วทำไมต้องแย่งกัน คนเมืองก็แปลกดีนะ ชอบแย่งกันเหมือนแมลงวันตอมขี้”
“เออจริง เฮ้ย...เรานี่ปากคอเราะร้ายจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์ดัง อั๋นดูเบอร์โทรศัพท์
“ตายล่ะ ลืมสนิทเลยฉันมีงานอีกอย่างต้องทำ บอกพี่เผ่าด้วยว่าฉันกลับก่อน แล้วเรายืนก็อยู่ตรงนี้นะอย่าไปไหน”
อั๋นรับโทรศัพท์
“ครับนาย กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้ครับ..” อั๋นเดินออกไป ทิ้งเมียวดีไว้ เมียวเซ็งเลยเดินออกมา ชนกับไหล่นักข่าวที่ยกกล้องถ่ายรูปอย่างเดียว
“เฮ้ย เดินดีๆซิน้อง!”
นักข่าวมองเมียวดี ตอนแรกไม่พอใจ แต่พอเห็นชุดที่เมียวดีใส่ ก็คิดได้
“เอ๊ะ นี่เราใช่เด็กที่พาคุณทรงเผ่าเข้าไปในป่าใช่มั้ย”
“ใช่ แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม”
นักข่าวคนอื่นได้ยิน เลยหันมาหาเมียวแทน กรูเข้ามาถ่ายรูปกันใหญ่ พร้อมยิงคำถาม
“เป็นเด็กผู้หญิงด้วยเหรอ แล้วเข้าไปอยู่ในป่าได้ยังไง”
“เคยเห็นที่นั้นมาก่อน แล้วไปบอกเจ้าหน้าที่ใช่มั้ย”
“หรือว่าพ่อ แม่เคยทำงานในโรงงานนั้นมาก่อน”
“เป็นชาวเขาเหรอ เผ่าอะไร ตอบซิ ฟังภาษาไทยออกหรือเปล่า”
แฟลชเข้าตาเมียวดีวูบวาบไปหมด คนเบียดเข้ามาพร้อมคำถามเซ็งแซ่ เมียวดีเริ่มอึดอัด ได้ยินแต่เสียงลมหายใจตัวเอง เอามือบังแสงแฟลช มองนักข่าวแต่ละคนดาหน้าเข้ามา หน้าตาถมึงทึง ถามเมียวดีอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมียวดีทนไม่ไหว
“โว้ยยยย”
แล้วก็ผลักนักข่าวล้มไป คนที่ยังไม่ล้มก็ยังถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพต่อ เมียวดีเลยหันมาแย่งกล่องถ่ายรูป ปัดกล้องถ่ายรูปกระเด็นไปตามๆกันด้วยความโกรธ วุ่นวายกันไปหมด ทรงเผ่ารีบเข้าไป
“อย่าเข้าไปค่ะ เผ่า แกกำลังคลั่ง” อัญชิสาห้าม
ทรงเผ่าไม่ฟังแกะมืออัญชิสาออก ลุกขึ้นจากรถเข็น เข้าไปหาเมียวดี
“เมียวดี นี่ฉันเอง”
เมียวดีหันไปมองทรงเผ่า สายตาค่อยเปลี่ยนเป็นไว้ใจ แต่ยังไม่พูดอะไร ทรงเผ่ามองหน้าเมียวดีพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ จะเข้าไปโอบ แต่เมียวดีถอยหนี
เมียวดีบอกอย่างเจ็บปวด
“เราไม่ใช่ตัวประหลาดของใคร”
เมียวดีหันไปมองหน้าเหมือนขู่ นักข่าว ไม่กล้าเข้า เมียวดีออกไป นักข่าวจะตาม แต่ทรงเผ่าหันไปบอกเสียงเข้มอย่างเอาจริง
“การแถลงข่าวจบแล้ว เชิญพวกคุณกลับไปได้”
ทรงเผ่ารีบตามเมียวออกไป นักข่าวไม่กล้าตาม รำพาที่ยืนอยู่กับอัญชิสาไม่พอใจ
“ต๊ายแล้ว หมดกันงานแถลงข่าวของแม่จบกัน”
อัญชิสาพูดไม่ออก ต้องเก็บความโกรธไว้ ได้แต่ยืนมองตาเขียว
ทรงเผ่าตามเมียวดีมาในสวนหย่อมของโรงพยาบาล มองหาว่าเมียวดีอยู่ไหน
“เมียวดี ๆ”
มาหยุดอยู่ที่ต้นไม้
“เมียวดี เธออยู่ไหน พวกนั้นกลับไปหมดแล้ว ออกมาเถอะ”
เมียวดีนั่งกอดเข่าแอบอยู่ที่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่
“ตอนเด็กๆ พ่อพาเราลงไปเที่ยวตลาดข้างล่าง มีคนจับหมูป่าสามขามาใส่กรง เก็บตังค์ให้คนดู”
ทรงเผ่าเดินเข้ามาหาจนเจอ นั่งลงฟังใกล้ ๆ
“บางคนก็แกล้งดึงหางมันบ้าง เด็กบางคนเห็นหน้ามันก็ร้องไห้กลัว แต่เราเห็นสายตามัน เรารู้มันตกใจแล้วก็กลัวคนพวกนั้นมากกว่าอีก...เราไม่ใช่สัตว์ประหลาด เราเป็นคน”
ทรงเผ่าอึ้ง เมียวดีฮึดกลับมาใจแข็งเหมือนเดิม
“นายจะด่าอะไรเราก็ว่ามาเลย”
ทรงเผ่านิ่งไป
“.. สำหรับเรื่องวันนี้ .....ฉันก็ไม่ชอบ แล้วก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกับเธอนั้นแหละ เมียวดี”
เมียวดีหันไปมองหน้าทรงเผ่าน้ำตาคลอ ทรงเผ่านั่งเงียบไม่พูดอะไรอีกแต่เข้าใจกัน
รำพากับอัญชิสายืนรอส่งนักข่าวที่ทยอยกลับ หลังจากที่งานจบอย่างไม่เป็นท่า
“ขอโทษด้วยนะคะ น้อง...ขอบคุณนะคะที่มา...ขอโทษอีกครั้งนะคะ” รำพาพยายามยิ้มหวาน
นักข่าวเริ่มทยอยเดินออกไป อัญชิสาระงับความโมโห จนต้องหันหน้าหนี มองไปเห็นสาทิศยืนอยู่
“คุณสาทิศ”
อัญชิสาเดินไปคุยกับสาทิศ
“คุณหวาน สนิทกับคุณทรงเผ่านานหรือยังครับ”
“เรารู้จักกันตั้งแต่เรียนเมืองนอกค่ะ”
“แล้วสนิทกันมากมั้ยครับ”
“หวานขอพูดตามตรงนะคะ หวานอยู่ในสังคม มีเพื่อนเยอะแยะ แล้วหวานก็เป็นคนที่ให้ความสนิทสนมกับเพื่อนทุกคนเท่าๆกัน ไม่เคยแยกว่า ผู้หญิง หรือผู้ชาย”
“เช่นกันผมครับ ผมก็มีทั้งเพื่อนผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายเหมือนคุณหวาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ ถ้าคุณหวานยังไม่แต่งงานผมก็ถือว่า ผมยังมีโอกาสแล้ว ผมก็เป็นเพื่อนคุณหวานเท่าๆ กับคุณทรงเผ่า จริงมั้ยครับ” อัญชิสายิ้มอย่างพอใจ
“แน่นอนค่ะ...เอ๊ะคุณสาทิศแวะมาที่นี่ได้ยังไงค่ะ”
“อ๋อ บังเอิญ ผมมาเยี่ยมเพื่อนนะครับ เห็นคุณหวาน ก็เลยแวะเข้ามาดู”
สาทิศเปลี่ยนเรื่อง จับมืออัญชิสาขึ้นมา
“เราไม่ได้ทานข้าว ด้วยกันนานแล้วนะครับ”
“ช่วงนี้หวานต้องดูแลคุณเผ่าเลยไม่ค่อยได้ไปไหน แต่ว่าคุณเผ่าก็ดีขึ้นมากแล้ว...หวานจะลองหาเวลาดูก็แล้วกันนะคะ”
อัญชิสาทิ้งท้ายให้มีความหวัง
อัญชิสาสบายใจที่เคลียร์กับสาทิศได้ เปิดประตูห้องคนไข้เข้ามา พบทรงเผ่าอยู่บนเตียงแล้ว
“คุณเผ่า หวานเดินหาคุณจนทั่วโรงพยาบาลเลยนะคะ”
“ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง ผมไปตามเมียวดีนะครับ”
“อ้าว แล้วไหนล่ะคะ ตายจริง หรือว่าแกเตลิดหายไปอีก”
“เจอแล้วครับ แล้วผมโทรบอกพ่อให้มารับตัวแกกลับไปแล้ว”
“หวานไม่คิดเลยนะคะ ว่าแกจะตื่นตกใจขนาดนั้น หวานรู้สึกผิดยังไงไม่รู้ที่ หวานไม่น่ายอมให้นักข่าวสัมภาษณ์แกเลย”
ทรงเผ่าดีใจ
“นี่คุณหวานไม่โกรธเมียวดีใช่มั้ยครับ ผมคิดแล้วว่าคุณหวานต้องเข้าใจแก”
“ไม่โกรธหรอกค่ะ สงสารแกมากกว่า ดูเหมือนแกจะไม่คุ้นกับการใช้ชีวิตแบบคนเมืองเลย คงจะยากซักหน่อยถ้าจะให้แกเข้าใจ แต่ก็ช่างเถอะค่ะ อีกไม่นาน แกก็กลับไปใช้ชีวิตของแกอย่างเดิมอยู่แล้ว”
“เรื่องนี้แหละครับที่ผมอยากคุยกับคุณหวานให้เข้าใจ”
“ค่ะ”
“ผมสัญญากับตาจั่น พ่อของเมียวดีก่อนตาย ว่าจะเป็นคนดูแลแก ผมถึงพาแกเข้ามาในเมืองและตั้งใจว่าจะดูแลแกให้ดีที่สุด ผมจะให้แกอยู่ที่นี่กับเราครับ”
“อะไรนะคะ”
อัญชิสาอึ้งไปทันที
รำพาหงุดหงิดกระแทกกระเป๋าวางบนโต๊ะ เมื่อกลับมาถึงบ้าน
“แม่อุตส่าห์บอกเลิกบรรดาขาไพ่ โทรเชิญนักข่าวด้วยตัวเอง เพื่อจัดงานนี้ แต่ดูซิ โดน ยายเด็กชาวป่าที่ไหนไม่รู้มาแย่งซีนไปหมด”
“นั้นซิค่ะ เด็กบ้าอะไรไม่รู้อาละวาดเสียจนงานเราพังป่นปี้ นักข่าวเค้าขอถ่ายรูปดีๆ แทนที่จะยิ้มแย้ม โพสท่าให้ แค่นี้ก็หมดเรื่อง กลับไปทำร้ายเค้าอีก ดีนะที่เค้าไม่เอาเรื่อง”
“ใช่ค่ะ ลูกขา ป่าเถื่อนมากๆ แล้วตกลงมันเป็นคนช่วยคุณเผ่าออกมาจากป่าจริงๆ เหรอค่ะ”
“โอ๊ย หนูไม่รู้หรอกค่ะ รู้แต่ว่าคุณเผ่าซาบซึ้งมาก จะเอามันมาเลี้ยงเป็นเรื่องเป็นราวเลยล่ะ”
“ตายแล้ว ไม่ได้นะจ๊ะหวาน เรื่องนี้ หนูต้องอย่ายอมเด็ดขาด เด็กนั้นนะยังไงมันก็เป็นผู้หญิงนะ โบราณว่าไว้น้ำตาลใกล้มดเราไม่ควรไว้ใจ”
“แม่ค่ะ หนูคือ อัญชิสา ชุติมากร ลูกสาวคนเดียว ของคุณหญิงรำพา หนึ่งในสิบสาวฮ็อตและน่าสนใจที่สุดของกรุงเทพ เพราะฉะนั้น อย่าเอาหนูไปเปรียบเทียบกับเด็กบ้านป่าอย่างนั้น แล้วหนูก็มั่นใจ คุณเผ่าเค้าฉลาดพอที่จะรู้ว่าใครคือกรวด ใครคือเพชร แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
อัญชิสาบอกอย่างมั่นใจในความสวยของตัวเอง
จบตอนที่ 5 อ่านต่อ แก้วกลางดง ตอนที่ 6
แก้วกลางดง ตอนที่ 6
ฟ้าลั่นกับเชอรี่นั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่น ข้างสนามบ้านทรงเผ่า...ฟ้าลั่นกำลังโม้ให้เชอรี่ฟัง
“รู้มั้ยน้องเชอรี่ อีเมียวนะ มันเป็นดาราแล้ว”
เชอรี่เบ้หน้า
“แหม...กะอีแค่โผล่ในโทรทัศน์นิดเดียวเท่านั้นเอง”
“แล้วน้องเชอรี่เคยมั้ยล่ะ”
“คนอย่างเชอรี่...จะออกเมื่อไรก็ได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง”
“ก็แสดงว่าไม่เคย...ตอนนี้ถึงจะนิดเดียวแต่ต่อไปนะ ก็ต้องมีคนมาชวนอีเมียวไปเล่นหนังขายยาแน่นอน”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ...ตายจริง งั้นต่อไป เชอรี่ก็จะได้เป็นเพื่อนสนิทของดารานะซิ แล้วก็จะมีคนมาขอสัมภาษณ์ไปออกรายการโน่นนี่ ดีไม่ดีอาจจะไปสะดุดตาผู้จัด ติดต่อให้ไปเล่นละคร เดินแบบ”
เชอรี่ฝันเฟื่อง เมียวดีเดินมาหา
“ไอ้หมาลั่น นังลำไย”
เชอรี่ตั้งใจจะต่อว่า แต่พอนึกขึ้นได้ว่าต้องพึ่งพาเมียวดีเลยต้องข่มความโกรธ พูดหวานใส่
“บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันชื่อเชอรี่ เป็นไง หายเมารถแล้วเหรอ”
ฟ้าลั่นนึกได้
“เออจริง กลับจากโรงพยาบาลมาถึงเอ็งก็หลับไปเลย”
“ฮือ! หายแล้ว แต่หิวจัง มีอะไรให้กินบ้าง”
“กรี๊ด” เชอรี่ร้องลั่น
ฟ้าลั่นตกใจ
“มีอะไร น้องเชอรี่ บอกพี่ฟ้ามา”
เชอรี่ชี้ไป เมียวดีมองตามเห็นกบเกาะอยู่ไม่ไกลที่ก้อนหิน
“กบ มันจ้องหน้าฉัน อี๊ย หลุดมาจากไหนเนี่ย”
เมียวดีหันมามองหน้าฟ้าลั่น ยิ้มตาวาวอย่างดีใจ
เมียวดี กับฟ้าลั่น ไล่ตะครุบกบกัน ฟ้าลั่นไล่ตะครุบก่อนแต่พลาด
“ไอ้หมาลั่น เอ็ง ถอยไปเลย ข้าจัดการเอง”
“อ๊าย มันมาทางนี้แล้ว...อ๊าย”
เชอรี่ยืนเต้นกรี๊ดอยู่ ฟ้าลั่นได้โอกาสเข้าไปกอดทันที
“น้องเชอรี่ ไม่ต้องกลัวนะ พี่ฟ้าอยู่นี่แล้ว”
เมียวดีมองอย่างรำคาญ รู้ทัน แล้วก็หันไปจับกบต่อ
“ไอ้หมาลั่น ถ้าจับได้ข้าจะไม่แบ่งเอ็ง ชีกอนัก”
“ข้าอยากช่วยเอ็งนะอีเมียว แต่ติดที่ข้าต้องปลอบน้องเชอรี่เค้า ขวัญเอ๋ยขวัญมานะ”
วงศ์วิ่งมา
“มีอะไรค่ะคุณเหมียว เกิดอะไรขึ้น เชอรี่ร้องทำไม”
“ก็สองคนนี่ซิป้า เล่นพิเรนทร์อะไรกันก็ไม่รู้”
เมียวดีไล่จบกบต่อ
“ไม่ได้เล่น เอาจริง เดี๋ยวเราจะแกงให้กิน”
“จับให้ได้ซิ อีเหมียว ชักเปรี้ยวปากแล้ว”
เชอรี่ทำท่าขยะแขยง
“อี๋ย์”
“จริงๆนะน้องเชอรี่ เอามาย่างไฟหอมๆนะ เนื้องี้หวานเหมือนเนื้อไก่เลยล่ะ”
“ถ้าแถวบ้านเรานะ เอาไม้แหลมแทงทีเดียวก็อยู่แล้ว แต่ที่นี่หาไม้มาจิ้มฟันยังยากเลย...เฮ้ยๆๆ”
เมียวดีโวยวาย เมื่อกบกระโดดไปแหมะอยู่บนไหล่วงศ์
“เอ้อ...อะไรค่ะ คุณเมียว”
“อยู่เฉยๆนะ อย่าขยับ”
เมียวดีตะปบทันที ก่อนจะชูกบแกว่งมาตรงหน้าวงศ์
“ได้แล้ว เห็นฝีมือเราหรือยัง”
วงศ์ช็อค
“อ๋อ กบ!...เอิ๊ก”
วงศ์เป็นลมไปทันที
วงศ์เป็นลมนอนยาว เชอรี่ให้ดมยาอยู่ เมียวดีหน้าตามอมแมมนั่งอยู่กับฟ้าลั่น บัวคลี่มองเมียวดีตาเขียว
“เล่นอะไรกันไม่เข้าท่าเลยนะ แม่เหมียว เกิดแม่วงศ์แข้งขาหักไปทำไง”
“ก็บอกแล้ว ไม่ได้เล่น จะเอามากินจริงๆ”
“คนในเมือง เค้าไม่กินสัตว์อะไรแบบนี้หรอกนะ”
“เสียดาย คนในเมืองไม่ยอมกิน ของอร่อย” ฟ้าลั่นบ่น
บัวคลี่หันขวับมองหน้า ฟ้าลั่นเลยเงียบ
“ฮื่อ...ใช่อยู่บ้านเรา เราก็กินแบบนี้ ตัวอะไรก็กินได้ทั้งนั้น”
เมียวดีพูดไป เอามือเกาหัวงงๆ บัวคลี่ถอนหายใจ ตัดสินใจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหมียว...ตอนนี้เธออยู่ในเมือง ก็ต้องหัดกินแบบคนเมือง จะกินหมูกินไก่ก็บอก แต่ห้ามไปเที่ยวไล่จับกบมากินอีก ดูซิ หน้าตามอมแมมเหลือเกิน”
เมียวดี รีบเอามือป้ายหน้าเช็ดหน้าเช็ดตา ทำให้บัวคลี่ได้สังเกตเห็นแขนขา ที่ดำๆติดรอยยางไม้ที่ทาไว้
“ทำไมแขนขา มันดำ แบบนั้น ไปอาบน้ำเสียไป๊”
“อาบน้ำ...อาบทำไม”
“ก็อาบน้ำให้เนื้อตัวสะอาดนะซิ”
“ยังไม่ถึงเวลาอาบซักหน่อย”
บัวคลี่มองอย่างแปลกใจ
“นี่ยังไม่ถึงเวลาอาบอีกเหรอ เที่ยวไล่คลุกฝุ่นคลุกดินมาขนาดนี้ งั้นถามหน่อย เราอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ย”
“โอย...อีเมียว มันอาบน้ำ ปีละครั้งเท่านั้นแหละ เมียพ่อนาย!” ฟ้าลั่นบอก
บัวคลี่ตาโต
“ตายจริง!”
เมียวดีด่ากลับทันที
“เสือกนักไอ้หมาลั่น เดี๋ยวเถอะข้าจะเอาหมาเน่ายัดปากเอ็ง!”
บัวคลี่เสียงดังห้ามเมียวดี
“หยุด! ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
บัวคลี่เดินเข้ามา หน้าตาเอาจริง เมียวดีส่ายหน้า ทันทีเดินถอยหนี รู้ว่าบัวคลี่จะบังคับให้อาบน้ำ
“อย่าเข้ามานะ!”
เมียวดีไม่ยอมอาบน้ำอาละวาดขว้างทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ ระเนระนาดไปหมด วงศ์กับเชอรี่ ต้องคอยหลบ บัวคลี่คอยสั่งการให้เข้าไป
“ข้าวของพังหมด ไม่มีชิ้นดีแล้ว ค่ะคุณ” วงศ์บอกอย่างเอือมๆ
“ไหนๆก็พังแล้ว ต้องลากออกมาให้ได้”
เชอรี่กับวงศ์หลอกล่อ เข้าไปคนละทาง จนจับเมียวดีไว้ได้ วงศ์กับเชอรี่ช่วยกันจับแขนเมียวดีแล้วช่วยกันลาก บัวคลี่ คอยกำกับ เมียวดีดิ้นพลาด
“ปล่อยๆนะ ปล่อยเรา ถุยๆ”
เมียวดีถุยน้ำลายใส่ เชอรี่ขยะแขยง
“อี๊ย...น้ำลาย สกปรกอ่ะ”
เชอรี่ตั้งท่าจะปล่อย บัวคลี่รีบบอก
“อย่าปล่อยนะ เชอรี่ เดี๋ยวฉันให้แกร้อยหนึ่ง”
เชอรี่เลยยอมจับต่อ
“จับให้แน่น อย่าปล่อยนะ แม่วงศ์ เชอรี่ เอาตัวไปที่ห้องน้ำเลย”
เมียวดีทำตัวแข็ง จับประตูห้องเอาไว้ เชอรี่นึกอะไรได้
“จี๋เอวดีกว่าค่ะ แกจะได้บ้าจี้ ปล่อยมือ”
วงศ์เห็นด้วย
“ก็ได้...เธอจี้ซิ”
เชอรี่เข้าไปจี้เอวเมียวดี แต่ปรากฏว่าเมียวดีไม่บ้าจี้ กลับถีบเชอรี่กระเด็นลงไปนั่ง
“อู๊ย”
เชอรี่เจ็บสะโพก บัวคลี่ทนไม่ไหว เข้าไปจัดการเอง แกะนิ้วทีละนิ้วของเมียวดีที่เกาะประตูไว้ มือเมียวดีหลุดจากกรอบประตู
รถเข้ามาจอดหน้าบ้าน...ทนงลงจากรถ ฟ้าลั่นที่นั่งยองๆรออยู่ รีบวิ่งไปช่วยถือของ
“วันนี้บ้านเงียบจริงๆ สาวๆ เค้าหายไปไหนหมดล่ะ ฟ้าลั่น”
“ถ้าพ่อนายหมายถึง น้องเชอรี่ อยู่กับเมียพ่อนายนั้นแหละ แต่ป้าวงศ์...”
ฟ้าลั่นทำหน้าไม่แน่ใจ ทนงสงสัย
“ทำไมวะ แกสงสัยอะไร”
“ก็อย่างป้าวงศ์นี่แถวบ้านฟ้าลั่น ถ้าแก่ขนาดนี้ยังไม่เอาผัว เค้าต้องเรียกสาวเทื้อนะนาย เค้าไม่เรียกสาวเฉย ๆ”
“เออจริง ฮะๆๆๆ”
“เป็นผู้หญิงแต่ไม่รู้จักเอาผัว มันเสียของจริงๆนะพ่อนาย พ่อนายน่าจะรวบเป็นเมียอีกคนนะ”
“ก็คิดอยู่เหมือนกัน เฮ้ย” ทนงคิดได้ “ไอ้ฟ้าลั่น ข้าก็เลือกนะ...แล้วตกลงเค้าอยู่ไหนกัน”
“ไปช่วยกันอาบน้ำให้อีเมียวนะพ่อนาย ทั้งน้องเชอรี่ของฟ้าลั่น ป้าวงศ์แล้วก็เมียพ่อนาย”
ทนงแปลกใจ
“อาบน้ำให้เจ้าเหมียวคนเดียวเนี่ยนะ แล้วทำไมต้องแห่กันไปขนาดนั้น”
ฟ้าลั่นหัวเราะในคอ
“หึหึ...คงไปช่วยๆ กันนั้นแหละพ่อนาย”
“เจ้าเหมียวมันก็ตัวนิดเดียว สามคนจะช่วยกันขัดให้ตัวมันเป็นทองหรือยังไง”
“เอ...ก็เห็นเมียพ่อนายบอกว่างานนี้ต้องจัดการให้เด็ดขาด!”
ทะนงฟังงงๆ
เมียวดีโดนลากมาที่ห้องน้ำ บัวคลี่สั่งการ
“เชอรี่ เตรียมเปิดน้ำไว้เลย”
“ค่ะ”
เชอรี่หันไปเปิดฝักบัว เมียวดีเห็นหยุดดิ้นทันที
“ฝนตกเหรอ ตกจากไหน ทำไมไม่ทั่วห้อง”
เชอรี่ยิ้มขำ
“เค้าเรียกฝักบัว อะไรกัน ไม่รู้จักฝักบัวเหรอ นี่ๆเปิดอย่างนี้”
เมียวดีหน้าตื่น
“ทำฝนตกได้ด้วยเหรอ ไหน”
บัวคลี่พยักหน้าให้เชอรี่ส่งให้ เพราะคิดว่าจะจูงใจเมียวดีให้อาบน้ำได้ เมียวดีลองเปิดปิดดูแบบกลัว ๆ ก่อนตอนแรก แล้วก็เริ่มสนุก บัวคลี่ยิ้ม
“ดีมั้ยล่ะ สนุกใช่มั้ย งั้นก็อาบน้ำได้แล้วนะ”
“ฮือ”
เมียงดียิ้มแล้วก็ฉีดใส่ที่วงศ์ บัวคลี่และเชอรี่ทันที ทั้งหมดหลบกันให้วุ่น
ในห้องนั่งเล่น...ทนงเหลือบมองเห็นทุกคนเปียกโชกไปทั้งตัวกันโดยทั่วหน้า ทุกคนหน้าบึ้ง เว้นแต่เมียวดี
“ตกลงใครเป็นคนอาบน้ำกันเนี่ย”
ทุกคนได้แต่ค้อน มีแต่เมียวดีที่นั่งยิ้ม ทนงเลยทักเมียวดีต่อ
“หน้าตาสดใสเชียวนะเราเจ้าเหมียว”
“บ้านพ่อนาย ทำฝนตกได้ด้วย สนุกดี”
บัวคลี่รีบพูดขึ้นทันที
“งั้นก็อาบน้ำทุกวันเลยซิ”
เมียวดีส่ายหน้าดิก บัวคลี่ถอนหายใจ
“แค่อาบน้ำ ทำไมมันถึงยากเย็นแบบนี้ ดูซิค่ะ แขนขา ยังดำอยู่เลย ชุดก็ไม่ยอมเปลี่ยน”
ทนงมองหน้าเมียวดี
“รู้มั้ย ว่าถ้าไม่อาบน้ำเค้าไม่ให้ไปโรงพยาบาล”
“ทำไมไม่ได้ ก็ไปมาตั้งหลายครั้งแล้ว”
“เอ่อ...ก็นั่นฉันขออนุญาตให้เป็นพิเศษ ไม่อาบน้ำเชื้อโรคมันจะไปติดแผลนายเรา”
“นายก็ใกล้หายแล้วไม่ติดหรอก”
บัวคลี่เหนื่อยใจ
“ดูซิค่ะ คุณพี่ เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆเฮ้ย”
“เราไม่ได้เถียง เราพูดความจริง”
บัวคลี่หน้าตาจริงจังมองเมียวดีเข้มๆ
“เมียวดี ฉันขอบอกเป็นครั้งคำสุดท้ายนะ ว่าถ้าเราจะอยู่ที่นี่ เราจะต้องปฏิบัติตัวเหมือนคนเมือง”
ทุกคนเงียบมองหน้ากัน เมียวดีไม่ยอม
“งั้นเราก็ขอบอกเมียพ่อนายว่าเรา ก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับเหมือนกัน”
ค่ำนั้น...บัวคลี่นอนหันหลังให้ ทนงทำปูไต่มาตามแขนของเธอ
“คุณๆคืนนี้หนาวเนอะ”
บัวคลี่ปัดมือทิ้งเพราะงอนเรื่องเมียวดีอยู่ ทนงค่อยๆไต่อีกไปสะกิด บัวคลี่ปัดทิ้งอีก ทนงตัดสินใจถาม
“อ่ะ...ว่ามา ไหนมีเรื่องอะไร”
บัวคลี่ยอมหันหน้ามาคุยด้วย ลุกขึ้นนั่ง
“ก็คุณพี่ไม่ได้ยินที่ยายเหมียวพูดเหรอค่ะ แกท้าทายดิฉัน”
“คุณจะไปถือสาแกทำไมเด็กมันอยู่ป่าอยู่ดอยจู่ๆ จะลุกขึ้นมาทำอะไรที่มันไม่เคยทำมันก็ต้องขัดขืนเป็นธรรมดาน่า อย่าคิดมากเลย นอนกันดีกว่านะ”
“นี่ไง...คุณพี่เข้าข้างยายเหมียว แล้วแบบนี้ดิฉันจะดูแลคนในบ้านได้ยังไง”
ทนงรีบปฏิเสธ
“ผมเปล่าเข้าข้างแกนะ แต่ไม่อยากให้คุณจริงจังกับแกมากนัก”
บัวคลี่เสียงสูงทันที
“คุณพี่ คุณพี่ลืมไปแล้วหรือค่ะ ว่าดิฉันคือ นางงามสงกานต์ปีพ.ศ 2520 และยังควบตำแหน่งมารยาทไทยดีเด่น”
“จ๊ะ ผมจำได้ ก็เพราะเวทีนี้ ผมไปเป็นกรรมการเอง ถึงได้เจอคุณ...”
“แล้วแบบนี้ จะให้ดิฉันยอมให้เด็กเหมียวมีกริยา มารยาทเหมือนไม่ได้รับการอบรมได้ยังไง ถ้าคุณเผ่าคิดจะเอายายเหมียวมาดูแล อย่างจริงจัง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่เราจะต้องจัดการ”
“โอเค ผมเห็นด้วย”
“คุณพี่น่ารักที่สุด”
“เอาล่ะ งั้นเราก็...เล่นปูไต่กันต่อดีกว่านะ”
“เซี้ยวจริง คุณพี่เนี่ย...แก่กันขนาดนี้กันแล้ว”
ทนงเอื้อมมือไปปิดไฟ โน้มตัวบัวคลี่ลงนอนดึงผ้าห่มมาคลุม
เช้าวันใหม่...บัวคลี่มาเยี่ยมทรงเผ่าที่โรงพยาบาล เธอคุยกับเขาเรื่องของเมียวดี
“ขออนุญาต จัดระเบียบเมียวดีงั้นหรือครับ” ทรงเผ่าย้อนถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ค่ะ น้าอยากให้แกเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย”
ทรงเผ่าหัวเราะ
“ฮะๆๆๆ ผมก็ว่าแกปกติดีนี่ครับ”
“คุณเผ่าค่ะ ไอ้วิถีชีวิตแบบชาวป่า มันเอามาใช้กับที่นี่ไม่ได้นะคะแกจะต้องหัดเรียนรู้ ถ้าคุณเผ่าไม่อยากให้แกเป็นตัวประหลาด”
“ผมนะยอมครับ แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะยอมหรือเปล่า แต่ผมขอเตือนก่อนนะครับ ยายกระแตป่าตัวเนี่ยแสบมากนะครับ ฤทธิ์เยอะไม่ใช่เล่น ผมเจอมาแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องนั้นน้าจัดการเอง ขอแค่ความช่วยเหลือจากคุณเผ่านิดหน่อยเท่านั้น”
“อะไรหรือครับ”
ทรงเผ่าฟังอย่างตั้งใจ
เมียวดีกับฟ้าลั่นตักข้าวเอาไก่ย่างมานั่งกินที่โต๊ะอาหารในครัว ทั้งสองใช้มือเบิบข้าว บัวคลี่เข้ามาตีมือเพี๊ยะ
“ไอ้ฉิบ...” เมียวดีจะด่าแต่พอมองไปเห็นบัวคลี่ ก็เลยชะงัก “เราจะกินข้าว”
“ก็กินซิ แต่กินให้ดีๆ”
วงศ์ยื่นช้อนให้
“เอ๊า ใช้ช้อนนี่ตัก”
เมียวดีไม่สน
“มือก็มี จะใช้ช้อนทำไม”
“กินด้วยมือมันสกปรกค่ะ” วงศ์บอก
“ก็ล้างซิ มีมือไม่ใช่ มีตีนไม่เดินแล้วจะมีทำไม”
ฟ้าลั่นเห็นด้วย
“จริงด้วยเมียนาย กินกับมือถนัดดีอยู่แล้ว กินกับมือ ก็ล้างแค่มือ กินกับช้อนต้องล้างทั้งช้อนทั้งมือ เสียเวลา”
บัวคลี่หันไปพยักหน้าให้เชอรี่เข้ามา
“แต่ถ้าพี่ฟ้าลั่นจะทำอย่างนั้น ก็อย่ามาพูดกับเชอรี่อีกก็แล้วกัน”
ฟ้าลั่นจ๋อยไป
“ถ้าน้องเชอรี่ทำแบบนั้น พี่ฟ้าคงอกแตกตายแน่ๆ”
เชอรี่ยื่นช้อนให้
“งั้นก็เลือกเอา”
“ขอช้อนสั้นได้มั้ย จับถนัดหน่อย”
เชอรี่มองหน้า ฟ้าลั่น ตัดสินใจเอื้อมไปเอาช้อนมา ตักข้าวใส่ปาก เมียวดีตะคอก
“ไอ้หมาลั่น ไอ้บ้าผู้หญิง เห็นนังลำไยเน่าดีกว่าเพื่อนเหรอ”
“อ้าว อีเมียวด่าน้องลำไยเอ๊ย เชอรี่ข้าทำไม น้องเค้าแนะก็ถูกแล้วนะ ตอนนี้เราอยู่ในเมือง เราก็ต้องกินแบบคนเมือง”
“ทำไมต้องทำตาม อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับบ้านแล้ว”
วงศ์มองอย่างเหนื่อยใจ
“คุณเหมียวขา อย่าดื้อนักเลย”
“ช่างเขาเถอะแม่วงศ์ ฉันตั้งใจว่ากินข้าวเสร็จจะพาไปเยี่ยมคุณเผ่า แต่ถ้าเธอไม่กินก็ไม่ต้องไป”
เมียวดีชะงัก
“จริงเหรอ”
บัวคลี่ยื่นช้อนกลับมาอีกรอบ เมียวดีรับช้อนมา...เมียวดีกินข้าวกับช้อนส้อมไม่ถนัดนักแต่ก็พยายาม ข้าวหกเรี่ยราด วงศ์ดูอยู่แอบกระซิบกับบัวคลี่
“ให้ทำดีๆ แกก็ทำได้นะคะเพียงแต่ไม่ยอมทำ”
บัวคลี่พาเมียวดีมาที่ห้างสรรพสินค้า เมียวดีเดินตามอย่างเซ็งๆ
“ไหนว่าจะไปหานาย แวะมาทำไมที่นี่”
“ก็จะแวะซื้อของหน่อย”
บัวคลี่ดูเสื้อผ้า
“สวยมั้ย ชอบตัวไหนเลือกได้เลยนะ เดี๋ยวฉันซื้อให้”
เมียวดีส่ายหัว
“ชุดเราก็สวยอยู่แล้ว”
“นี่เหรอสวย เอ่อฉันหมายถึงมันเก่า แล้วก็เหม็นมาก” บัวคลี่หยิบเสื้อมา “ชุดนี้เป็นไง ลองใส่ชุดนี้ดูดีกว่า”
บัวคลี่ยื่นให้
“ไม่เราจะใส่ชุดของเรา” เมียวดีชักเอะใจ “อ๋อ...นี่หลอกเราใช่มั้ย โธ่เอ๋ย...แก่เสียเปล่า แต่ไม่รักษาคำพูด ตอแหลที่สุดต่อไปเราจะไม่เชื่ออีกแล้ว”
เมียวดีเดินออกจากร้าน บัวคลี่ตกใจ
“ยายเหมียวกลับมาก่อน”
เมียวดีวิ่งออกไป บัวคลี่รีบตามร้องสั่งคนขับรถที่รออยู่หน้าร้าน
“นายชมจับไว้”
ชมจะคว้าตัว เมียวดีก้มหัวรอดหลบไปได้ ผลักชมล้มกลิ้งไป บัวคลี่ออกมา
“ตายจริง หายไปไหนแล้ว”
“ทางโน้นครับ”
“งั้นก็รีบตามซิ”
เมียวดีวิ่งมาหยุดหน้าร้านมองซ้ายมองขวา ไม่รู้ไปไหนเหมือนกัน ชมวิ่งตามมา เมียวดีรีบหลบข้างกำแพง ให้ชมเดินไปก่อนแต่พอเดินออกไปอีกทาง ก็เห็นบัวคลี่มากับรปภ.ของห้าง เมียวดีเลยเดินหลบไปอีกทาง บัวคลี่หันมาพอดี
“ยายเหมียว!”
เมียวดีชะงัก บัวคลี่รีบบอกรปภ.
“นั้นไง”
เมียวดีรีบวิ่ง รปภ.ตาม บัวคลี่ถึงกับหยุดหอบ แต่ก็กัดฟันตามต่อ...เมียววิ่งขึ้นมาชั้น 2 เป็นทางเดินริมระเบียง ชมตามขึ้นมาดัก เมียวดีไม่รู้จะเอายังไงดีจะวิ่งไปอีกทาง แต่ปรากฏว่าบัวคลี่กับรปภ.ก็วิ่งมาถึง เมียวดีโดนขนาบกลางยืนชิดราวกำแพง มองลงไปข้างล่าง บัวคลี่ตะโกนสั่ง
“ยายเหมียว หยุดนะ”
เมียวดีตัดสินใจปีน บัวคลี่ตกใจ
“อย่านะยายเหมียว อย่าทำอะไรบ้าๆเด็ดขาด มันสูงนะ”
“รู้เหรอว่าเราจะทำอะไร คนโกหก”
“เข้ามาคุยกันก่อน ให้ฉันอธิบายเรื่องทั้งหมดก่อน อย่าทำอะไรผลีผลามเด็ดขาด รู้มั้ย ถ้าตกลงไปนะ...โอ๊ย ไม่อยากคิด ฉันจะกลับไปบอก คุณพี่ บอกคุณเผ่ายังไง”
เมียวดีแกล้งชะโงกลงไปดู
“มันไม่ได้สูงกว่าหน้าผาแถวบ้านเราเท่าไหร่”
เมียวดีพูดจบก็กระโดดลงไปทันที บัวคลี่ร้องลั่นปิดตาไม่กล้าดู
“กรี๊ด”
สักครู่บัวคลี่ก็เอามือลง ปรากฏว่าที่ระเบียง ไม่มีเงาเมียวดีอยู่แล้ว
“เมียวดี!”
บัวคลี่ค่อย ๆ ทรุดตัวเป็นลม รปภ.กับชมต้องวิ่งมาดูบัวคลี่แทน...มือเมียดีเกาะอยู่ที่ขอบพื้นระเบียงค่อย ๆ ดันตัวขึ้นมาเธอแกล้งทำเป็นโดด แต่จริง ๆ เกาะห้อย ต่องแต่งอยู่ เธอมองบัวคลี่ที่เป็นลมกองอยู่ก็ยักไหล่ประมาณอะไรกันเป็นลมไปเสียแล้ว
รปภ.กับชมพาบัวคลี่มาที่ห้องพยาบาลของมอลล์ บัวคลี่ฟื้นขึ้นมาเห็นเมียวดียืนอยู่ก็อึ้งตะลึง
“ยายเหมียว นี่เธอยังมีชีวิตอยู่”
“ใช่”
บัวคลี่สำรวจเนื้อตัวเมียวดี
“แขนขาครบถ้วนไม่มีส่วนไหนหัก”
“สูงขนาดนั้น ใครจะบ้าโดดลงไปคอหักตายกันพอดี”
บัวคลี่นึกได้ว่าโดนเมียวดีแกล้ง
“นี่เธอหลอกฉันเหรอ”
“เมียพ่อนาย ก็หลอกเราเหมือนกัน”
บัวคลี่ข่มความโกรธ หากระเป๋า กดโทรศัพท์ก่อนจะยื่นให้ เมียวดีเห็นหน้าทรงเผ่าก็หน้าตื่น
“นาย!”
“ถามนายเธอดูซิ”
เสียงทรงเผ่าดังออกมาจากโทรศัพท์
“เมียวดี เป็นไง เที่ยวสนุกมั้ย อ้าว ว่าไงเงียบไปเลย”
เมียวดีพลิกโทรศัทพ์ไปมา ประมาณว่า ไม่รู้ว่าพูดโต้ตอบกันได้ บัวคลี่จึงบอก
“ตอบซิ คุณเผ่าเค้าก็เห็นเธอเหมือนกัน”
“เมียพ่อนาย ไม่รักษาคำพูด หลอกว่าจะพาเรามาหานาย นายหายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่กลับบ้านเสียที เราไม่ชอบอยู่ที่นี่”
บัวคลี่แย่งพูดบ้าง
“น้าผ่านร้านเสื้อก็แค่แวะดูเท่านั้น เห็นว่าชุดที่แกใส่อยู่มันสกปรกเผื่อแกจะเปลี่ยนใจ”
เมียวดีค้อน
“เหอะ แต่งตัวสวยแต่ใจดำเราไม่เอาด้วยหรอก”
ทรงเผ่ารีบพูดออกมา
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆก่อนเมียวดี คุณน้าโทรบอกฉันแล้วว่าจะพาเธอมาหาฉัน”
เมียวดีค่อยสงบลง บัวคลี่มองเมียวดีประมาณว่ายังไงล่ะ เชื่อหรือยัง
“ฉันก็เลยให้คุณน้าช่วยแวะซื้อของให้ฉันนะ แต่อาจจะหลายอย่างหน่อยนะ ขอโทษทีถ้าทำให้เธอเข้าใจผิด”
เมื่อรู้เรื่องรู้ราวจากทรงเผ่าแล้ว เมียวดีก็ยอมนั่งรถไปกับ บัวคลี่พาเมียวดีไปแวะซื้อชองที่ตลาดเมียวดีจำใจเดินตามเซ็ง ๆ
ชมขับรถออกจากตลาดรถติดยาวเป็นแพ เมียวดีชะเง้อมองเห็นรถติดยาว บัวคลี่แอบสังเกตอาการเมียวดี รถขยับไปทีละนิด เมียวดี เริ่มเวียนหัวเอนตัวพิงกับเบาะ หลับตากลืนน้ำลายให้หายพะอืดพะอม บัวคลี่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ่นเบา ๆ
“วันนี้รถติดเหลือเกิน ไม่รู้ติดอะไรนักหนา”
รถเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าร้านเค้กเล็กๆ
“เอาล่ะเหลือแวะซื้อเค้กที่ร้านนี้อีกอย่าง ก็เสร็จแล้ว คุณเผ่าเธออยากกิน”
เมียวดีฝืนพยักหน้า หน้าซีดเพราะเมารถ บัวคลี่มองอย่างห่วงๆ
“ตายจริง เป็นอะไรจ๊ะ ยายเหมียว หน้าซี๊ดซีด เมารถหรือเปล่า เวียนหัวมั้ย”
เมียวดีพยักหน้า แล้วก็พะอืดพะอม บัวคลี่เห็นอาการก็รู้ทันที
“กลั้นเอาไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งอาเจียรออกมานะ เดี๋ยวนะฉันขอหาถุงก่อน”
เมียวดีกั้นไม่ไหว อาเจียรออกมา ใส่เสื้อตัวเอง ก่อนจะโก่งคอออกไปอาเจียนต่อนอกรถต่อ หมดแรงจนต้องเอาหัวพาดกับหน้าต่าง
บัวคลี่ช่วยลูบหลังให้ แอบยิ้มที่แผนสำเร็จ
อ่านต่อ ตอน 6 หน้า 4
แก้วกลางดง ตอนที่ 6 (ต่อ)
เย็นนั้น วงศ์กับเชอรี่ประคองหิ้วปีกเมียวดีเข้ามาคนละข้างเข้ามานอนที่เตียง เมียวดีหมดฤทธิ์ บัวคลี่หันไปสั่ง
“วงศ์ เดี๋ยวเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ยายเหมียวทีเถอะ ตามแขนขาด้วยนะเช็ดออกให้หมด”
วงศ์ยิ้มกว้าง เพราะรู้กัน
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะจัดการให้สะอาดเอี่ยมเลยล่ะค่ะ”
สองคนยิ้มกัน
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกด้วยแล้วกัน เลอะหมด”
บัวคลี่ยื่นถุงใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมา
“ฉันซื้อมาให้ใหม่แล้ว คงจะใส่ได้”
ทนงเดินเข้ามาดู
“เป็นไงบ้างคุณ”
“แกเมารถค่ะ อาเจียนจนหน้าเขียวหน้าเหลืองใส่เสื้อผ้าเลอะไปหมด”
“งั้นก็ไปไม่ถึงโรงพยาบาลนะซิ”
“ค่ะ เลยตัดสินใจวกรถกลับบ้านดีกว่า แต่คุณพี่ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณเผ่าทราบดี”
ทนงชักจับพิรุธได้
“อ๋อ นี่แปลว่า...เจ้าเผ่าก็เล่นด้วยเหรอเนี่ย”
“ฤทธิ์มากแบบนั้น ถ้าไม่ใช่วิธีนี้จะเข้าถึงตัวแกได้ได้ยังไงละคะ”
ทนงหัวเราะ
“ฮะ ๆๆๆ ความจริงเจ้าเหมียวนะมันก็เก่งพอตัวนะ แถมฉลาดไม่ใช่เล่น ล่าเสือยังทำมาแล้ว ไม่น่ามาเสียท่ากับเรื่องง่ายๆแค่นี้”
“ในป่า แกอาจจะเก่งก็จริง แต่ที่นี่ ป่าคอนกรีต มันก็ต้องดูว่าใครเป็นเจ้าถิ่นค่ะคุณพี่”
บัวคลี่ยิ้มให้ทนง
เช้าวันใหม่...เมียวดีรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจทั้งตัว แล้วก็รู้สึกว่าเสื้อผ้ามันเกะกะ ชักตะหงิดๆ มองดูแขนตัวเอง ขาตัวเอง ก็เห็นว่าสะอาดเอี่ยมไม่กระด่างกระดำเหมือนเดิมเมียวดีตกใจ
“เฮ้ย”
เมียวดีก้มดูเสื้อผ้าตัวเอง ก็กลายเป็นใส่ชุดคนเมืองปกติ เป็นกระโปรง เรียบๆ ยิ่งตกใจรีบจับกระโปรงรวบ เข้าหว่างขาเพราะไม่ชิน เธอนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็โกรธลุกขึ้นออกจากห้อง
ฟ้าลั่นกับเชอรี่เอาเสื้อผ้าเมียวดีมาที่หลังครัวเพื่อเผา
“จะดีหรือจ๊ะ น้องเชอรี่ ถ้าอีเมียวมันรู้ มันต้องฆ่าพี่ฟ้าแน่ๆ”
“ก็คุณบัวคลี่เป็นคนสั่ง ขืนไม่ทำถ้าคุณบัวคลี่ไล่ฉันออกล่ะ ไม่หนักกว่าเหรอ”
ฟ้าลั่นลังเล
“แต่ว่า...”
“นี่ตกลงพี่รักแม่เหมียว มากกว่าฉันใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ๆ หัวใจสี่ห้องของพี่ฟ้ามอบให้น้องเชอรี่ไปหมดแล้ว ถ้าไม่เชื่อแหวะหัวใจของพี่ฟ้าดูก็ได้ แล้วน้องเชอรี่จะเห็นว่าทุกห้องมันมีแต่คำว่า เชอรี่ ๆ ๆ”
ฟ้าลั่นยืดอกให้อย่างแมนๆ เชอรี่เขินๆ
“บ้า...หัวใจใครมันจะเป็นแบบนั้น”
“ก็หัวใจรักของพี่ฟ้าคนนี้ไง”
เชอรี่อายเอามือปิดหน้า ฟ้าลั่นได้จังหวะ ทำปากยาวจะเข้าไปหอมแก้ม ทันใดนั้นเสียงเมียวดีดังขึ้น
“จะจีบกันเลี่ยน ๆ ชวนอ้วกอีกนานมั้ย ไอ้หมาลั่น นังลำไยเน่า”
เชอรี่กับฟ้าลั่นสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นเมียวดี ยืนตาขวางอยู่ มองดูชุดที่อยู่ในมือของเชอรี่
“เอาชุดเราคืนมา”
เชอรี่ส่ายหน้าไม่ให้
“ไม่ได้”
เมียวดีเข้าไปดึงกลับ เชอรี่ดึงไปกลับมา ฟ้าลั่นเห็นท่าไม่ดี มาช่วยดึงทางเชอรี่ด้วย จนชุดขาดติดมือกันไปคนละทาง เมียวดียิ่งโมโห
“แกสองคน”
เมียวดีทำท่าเชือดคอ ฟ้าลั่นพาเชอรี่วิ่งหนี กระเจิงกรี๊ดกันลั่น ในที่สุดฟ้าลั่นกับเชอรี่ก็วิ่งแยกกันคนละทาง เมียวดีตามเชอรี่ไป
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน อั๋นไปรับทรงเผ่าลงจากรถ ทนง บัวคลี่ และวงศ์ยืนรอรับ
“ไหนว่าอีกสองวันหมอถึงให้กลับไงล่ะ” ทนงถามอย่างสงสัย
“เมื่อเช้าหมอบอกจะกลับก็กลับแล้วได้ พอดีเจ้าอั๋นไปเยี่ยมนะครับ เลยออกปากให้มาส่ง”
อั๋นยกมือไหว้ทนง
“หวัดดีครับ คุณพ่อ คุณน้า”
ในขณะที่ทรงเผ่า ตรงเข้าไป กอดวงศ์ หอมซ้ายหอมขวา
“คิดถึงจังเลย”
“คุณเผ่าของอิฉัน” วงศ์น้ำตาคลอนิด ๆ “โธ่ เจ็บมากมั้ยคะ”
ทนงมองขำๆ
“ที่ไม่ให้ไปเฝ้าเจ้าเผ่า ก็เพราะแบบนี้แหละ”
ทุกคนหัวเราะ บัวคลี่แปลกใจ
“แล้วนี่ บอกคุณหวานหรือเปล่าค่ะ ทำไมไม่มาด้วย”
“คุณหวานบอกว่าวันนี้ติดธุระครับ เดี๋ยวผมค่อยโทรไปบอก ก็ได้” ทรงเผ่ากระซิบ “ที่รีบกลับมาเพราะอยากรู้ผล เรื่องเมื่อวานเรียบร้อยดีมั้ยครับ”
บัวคลี่ยิ้มให้รู้กัน
“ถ้าไม่ได้คุณเผ่า คงวิ่งไล่จับกันอีกนานเหมือนกันค่ะ”
“ฮะๆๆ อ้อ...อั๋น จำเด็กผู้หญิงที่พาไปหาพี่ที่โรงพยาบาลได้มั้ย”
อั๋นยิ้ม
“อ๋อ ครับ...แกหลอกผมหัวปั่นเหมือนกัน”
“ตอนนี้ ทั้งแม่วงศ์ น้าบัวคลี่ เค้ากำลังพยายามถอดรูปเงาะแกอยู่”
“เอ...จะไหวหรือครับ แม่เสือดีๆนี่เอง แกจัดการพวกจิ๊กโก๋เสียหมอบราบไปเลย”
วงศ์ค้อนชายหนุ่ม
“แหม...แต่อย่าลืมซิค่ะว่าช้างเผือกอยู่ในป่านะคะ แล้วคุณเหมียว ก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงแล้วนะคะ”
“อ๋อ...ครับไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดา แต่เป็นเด็กผู้หญิงกะโปโลที่แสบมากใช่มั้ยครับป้าวงศ์ ฮะ ๆๆ”
ฟ้าลั่นที่วิ่งหนีเมียวดีเข้ามากลางวง ปากตะโกนบอก
“พ่อนาย เมียพ่อนาย อีเมียวมันจะฆ่าน้องเชอรี่ของฟ้าลั่นแล้ว ช่วยด้วย”
บัวคลี่ถอนหายใจ
“มีเรื่องปวดหัวกันไม่เว้นแต่ละวัน”
ทรงเผ่าขำๆ
“สงสัยช้างเผือกของป้าวงศ์ เกิดตกมันอาละวาดแล้วละครับ”
เชอรี่หนีขึ้นไปบนต้นไม้
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
เมียวดียืนมองอยู่ใต้ต้นไม้
“คิดว่าต้นไม้แค่นั้นเราขึ้นไปไม่ได้เหรอ”
“อย่าขึ้นมานะ พี่ฟ้าลั่นอยู่ไหน ช่วยด้วย ไอ้ฟ้าลั่นที่อย่างนี้หายหัวไปก่อนเลยนะ”
เมียวดีถลกกระโปรงปีนขึ้นต้นไม้ อย่างคล่องแคล่ว มือหนึ่งก็จับขาเชอรี่ดึงลงมา ฟ้าลั่นวิ่งหน้าเริดเข้ามา
“น้องเชอรี่ ไม่ต้องกลัวพี่ฟ้ามาช่วยแล้ว”
“สิบไอ้หมาลั่น ก็ช่วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวให้เราจัดการกับนังลำไยเน่านี่ก่อน เดี๋ยวจะไปจัดการเอ็ง ไอ้หมาลั่นทรยศ”
พวกทรงเผ่าตามมา บัวคลี่ตบอก
“ตายๆนั่นปีนต้นไม้ไปทั้งกระโปรงเลยเหรอ”
ทนงตกใจ
“เฮ้ย...เอากับเจ้าเหมียวมันซิ”
อั๋นตามมาด้วยจะเข้าไป ก็ชะงัก จะเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็ไม่กล้ามอง รีบถอยหลัง ทรงเผ่าตะโกนเรียก
“เมียวดี...ลงมาเดี๋ยวนี้”
เมียวดียังไม่หันมามอง
“อย่ายุ่ง เดี๋ยวถีบกระเด็นอีกคนเลย”
“ก็ลองซิ ฉันบอกให้ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
เมียวดีชะงักชักคุ้นเสียง ห้อยหัวลงมา
“นาย!” เมียวดีดีใจ “นายกลับมาแล้วเหรอ!”
ทั้งหมดพากันมาที่ห้องรับแขก ทรงเผ่ามองดูเมียวดี อย่างพูดไม่ถูก เพราะชุดไม่เข้ากับเธอเลย
“ก็...ดีนะ ดู...สะอาดสะอ้านขึ้น”
อั๋นแอบหัวเราะ
“ป้าวงศ์ครับ นี่เหรอครับ ช้างเผือกของป้าวงศ์ เหมือนจับลิงมานุ่งผ้ายังไงไม่รู้”
วงศ์ค้อน
“คุณอั๋นคะ อย่าทำให้เสียความมั่นใจซิคะ”
“ก็จริงนะ ไอ้ตำรวจก้านยาว หน้าแหลมมันพูดถูก เราก็ไม่ชอบเสื้อพวกนี้ เราอยากได้ชุดเราคืนนะนาย”
“ชุดมันขาดไปแล้วจะเอาคืนมาได้ยังไง” เชอรี่แย้ง
เมียวดีหันขวับไปมองเอาเรื่องตวาดกลับ เชอรี่รีบมุดหลังฟ้าลั่น
“ก็หมาตัวไหนล่ะที่มันจะเอาชุดเราไปเผาตั้งแต่แรก”
ทั้งเชอรี่ทั้งฟ้าลั่นชี้ไปที่บัวคลี่ทันทีพร้อมเพรียงกัน บัวคลี่รีบออกตัว
“ก็มันสกปรกมากเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เอาเป็นว่า เดี๋ยวฉันจะหากางเกงมาให้เธอใส่แทนกระโปรงก็แล้วกัน”
ทนงส่งเงินให้
“เอางี้...เจ้าเหมียว ถือว่าฉันชดใช้ให้ เอาเงินนี่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เราชอบแทนตัวนี้ก็แล้วกันดีมั้ย”
เมียวดีมองดูเงิน ไม่เอา แล้วก็ลุกขึ้นยืน โกรธจัด
“นายหายแล้ว งั้นเราก็จะกลับบ้าน ไอ้ฟ้าลั่นเอ็งจะกลับหรือเปล่า”
ฟ้าลั่นอึกอัก
“เอ่อ...อยู่อีกหน่อยไม่ดีเหรออีเมียว เมืองกรุงก็สนุกดีนะ”
“เอ็งไม่กลับ ข้ากลับคนเดียวก็ได้”
ทรงเผ่ารีบขัดขึ้น
“ขี้ขลาด เธอมันไม่เหมาะเป็นลูกสาวตาจั่นซักนิดเดียว”
เมียวดีชะงักกึก
“นายว่าไงนะ”
“เธอมันขี้ขลาด แต่แกล้งกลบเกลื่อนใช่มั้ยล่ะ ตอนอยู่ในป่า เธอเป็นคนสอนฉันเอง ว่าต้องเคารพและรู้จักกฎของป่า แต่ เมื่อเธอมาอยู่ในป่าของฉัน เธอกลับวิ่งหนี ไม่ยอมรับกฎของที่นี่ เพราะเธอทำไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”
“นายพูดเพราะต้องการท้าเราใช่มั้ย”
“แล้วเธอกล้าหรือเปล่า”
เมียวดีเชิดหน้า
“อาบน้ำทุกวัน กินข้าวกับช้อน แล้วก็ใส่ชุดเห่ยๆแบบนี้ใช่มั้ย ตีรังแตนยังยากกว่าเลย...เราจะทำให้นายดู
วันใหม่...เมียวดีเดินตามวงศ์มาในห้องน้ำ วงศ์หันไปเปิดน้ำอุ่น
“เดี๋ยววันนี้สระผมด้วยนะคะ”
วงศ์หันกลับมาเสื้อผ้าเมียวดีไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว วงศ์สะดุ้ง
“ว๊าย ตาเถรยายชี ทำไมถอดผ้าแบหราแบบนี้ล่ะคะคุณเหมียว”
“อ้าว...ก็ไหนว่าให้อาบน้ำ ก็ต้องถอดซิ อาบน้ำนุ่งผ้าตัวจะสะอาดเหรอ”
“ไอ้อยู่คนเดียว จะนุ่งลมห่มฟ้าก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แต่คุณนะโตเป็นสาวแล้ว คนอื่นอยู่ด้วยมันก็ไม่งาม...อิฉันไม่อยากเป็นตากุ้งยิงตอนแก่”
“เป็นคนในเมืองนี้เรื่องมากจริงเนอะ อยากให้อาบน้ำ แต่ก็ต้องไม่แก้ผ้า ถ้าจะแก้ผ้าก็ต้องอาบคนเดียว”
“ก็จริงของคุณ” วงศ์พลอยขำไปด้วยก่อนจะตะโกนเรียก “เชอรี่...หยิบผ้าถุงมาให้คุณเหมียวหน่อย”
“ค่ะ คุณแม่บ้าน”
ฟ้าลั่นเดินถือผ้าถุงตามหลังเชอรี่มาหยุดหน้าห้องเมียวดี เชอรี่แบบมือฟ้าลั่นยื่นผ้าถุงให้ เชอรี่ถือผ้าถุงเดินเข้าไปในห้อง ฟ้าลั่นแอบชะโงกหน้ามาดู เชอรี่ยื่นมือมาผลักหน้าหงาย ทันใดนั้นเสียงเมียวดีกับวงศ์ดังออกมาจากห้องน้ำ
“โอ๊ย แสบตา ฉิบหายแล้วตาบอดแน่ ไม่เอาแล้ว”
“อย่าดิ้นซิคะคุณเหมียว หลับตาไว้ ไม่งั้นแชมพูเข้าตาแบบนี้แหละ”
“โอ๊ย...อย่าเกาแรงซิแสบกบาลจะตายอยู่แล้ว”
“ถ้าไม่เกาแรงๆ แล้วมันจะหายสกปรกหรือคะ”
ฟ้าลั่นอดสยองกับเสียงโวยวายของเมียวดีที่ดังรอดออกมา
หลังจากอาน้ำสระผมเสร็จ เมียวดีนั่งขัดสนามให้วงศ์สางผมให้ ผมเธอยาวถึงบั้นเอว
“ผมยาวขนาดนี้ น่าจะตัดสักหน่อยนะคะ จะได้ดูแลง่ายๆ”
“ตัดผมอายุสั้น ตายเร็ว แถวบ้านเราไม่มีใครตัดหรอก แม่เราผมยาว ถึงนี้”
เมียวดีชี้ให้ดูว่าถึงก้น
“งั้นเหรอค่ะ”
เชอรี่เข้ามา
“เสร็จหรือยังคุณแม่บ้าน คุณเผ่าให้มาเร่ง แกจะพาคุณเหมียวไปข้างนอก เมียวดีลุกขึ้นออกไปทันที
“เสร็จแล้ว”
วงศ์ตกใจ
“เดี๋ยวค่ะ คุณเหมียวยังไม่ได้มัดผมเลย”
วงศ์ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู
ทรงเผ่าพาฟ้าลั่นและเมียวดีมายื่นอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า ฟ้าลั่นตื่นตาตื่นใจมาก
“โอ้โห้ แม่เจ้าโว้ย ทำไมมันใหญ่โตขนาดนี้ เดินกันสามวันจะทั่วหรือเปล่า”
ทรงเผ่ายิ้มให้เมียวดี
“สองสามวันมานี้ เธอทำตัวดีมากเมียวดี ฉันเลยคิดว่าน่าจะให้รางวัลเธอด้วยการพาเธอมาเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“เห็นแล้วใช่มั้ยล่ะว่าเราทำได้”
“ก็แค่ทำได้ดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องเรียนรู้และการมาเดิน ห้างสรรพสินค้า ก็ถือเป็นการเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
“เดี๋ยวนาย แล้วไอ้หมาลั่นมันเกี่ยวอะไรด้วย”
ฟ้าลั่นมองหน้า
“อ้าว อีเมียว กันท่าเชียวนะเอ็ง ข้านะไม่ได้อยากมาหรอกโว้ย แต่กลัวเอ็งจะทำอะไรเชยๆ ให้นายขายหน้า”
เมียวดีเบ้ปาก
“เชอะ...เอ็งกับข้าก็เหมือนกันนั้นแหละ เอ็งเคยมาเหรอว่ะไอ้ห้างสับ” เธอนึกๆ “สับอะไรเนี่ย”
“อย่างน้อย ข้าเคยเห็นในหนังขายยา แล้วก็รู้ว่าเป็นที่ที่ คนเขามาซื้อของกัน เอ็งไม่รู้เรื่อง ก็เดินตามหลังข้ามา”
ฟ้าลั่นถอดรองเท้า ถือรองเท้าเดินเข้าไป ทรงเผ่าตกใจ
“เฮ้ย ฟ้าลั่น ถอดรองเท้าทำไม”
ฟ้าลั่นหันมาพูดอย่างมั่นใจ
“แหมนาย ถึงฟ้าลั่นจะเป็นชาวป่า แต่ก็รู้ธรรมเนียมอยู่นะ คนเขาเช็ดพื้นจนส่องหน้าได้ขนาดนี้ ใครที่ไหนจะใส่รองเท้าเข้าไป”
ขณะเดียวกันนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กคนเดินผ่านหน้าฟ้าลั่นไป เด็กหันมามองแล้วถามแม่
“แม่ๆน้าเค้าถือรองเท้าทำไม รองเท้าขาดเหรอ”
ฟ้าลั่นถึงกับสะดุ้ง หันมองไปรอบๆ เจอแต่คนใส่รองเท้าเดินเข้าไป เขารีบใส่รองเท้าเหมือนเดิม
ทรงเผ่าได้แต่ส่ายหน้า ขำๆ เมียวดีเองอดขำไม่ได้ที่ฟ้าลั่นทำเป็นอวดดี แล้วหน้าแตก ทั้งสามพากันเดินเข้าประตูไป รปภ.ทำความเคารพแล้วเปิดประตูให้ ฟ้าลั่นกับเมียวดีรีบไหว้กลับทันที
ฟ้าลั่นกับเมียวดียื่นอยู่หน้าบันไดเลื่อน พิจารณากันอยู่พัก ฟ้าลั่นจะก้าว แล้วก็ไม่สามารถวางขาได้ ลื่นไถลไปรีบชักขากลับมา ใจเต้นตึกๆ หันมาถามทรงเผ่า
“โอ้โห้...แค่ขึ้นบันได ทำไมมันต้องเสี่ยงขนาดนี้ละนาย”
ทรงเผ่ามองขำๆ
“เค้าเรียกบันไดเลื่อน ไม่ได้ให้ไว้คนเสี่ยงตาย แต่เอาไว้ให้คนยืนสบายๆ บันไดมันก็จะเลื่อนขึ้นไปเอง”
เมียวดีถอนใจ
“แค่ขึ้นบันไดยังขี้เกียจ แล้วจะทำอะไรกิน”
สาวนุ่งสั้นคนหนึ่งเดินขึ้นไป ฟ้าลั่นมองตาค้าง แล้วก้าวตามไปโดยไม่รู้ตัว ทรงเผ่าหน้าเหวอ
“อ้าว...นั่นฟ้าลั่นขึ้นไปแล้ว เรารีบตามไปเถอะ”
เมียวดีส่ายหน้า
“ไม่อ่ะ”
“ถ้าไม่ขึ้นไป แล้วจะไปซื้อของได้ยังไง มันก็เหมือนเดินขึ้นบันไดธรรมดานั้นแหละ”
“ไม่เอา...เราตาลาย”
เมียวดีก้มลงมองขั้นบันไดก้าวไม่ถูก
“อย่ามองพื้นซิ”
เมียวดีส่ายหน้าดิก ทรงเผ่าตัดสินใจเอื้อมมือมาจับมือเธอไว้ เมียวดีหันมองหน้าเขา
“อย่าไปสนใจพื้น มองฉันไว้ ก้าวไปตามปกติ เชื่อใจฉันนะ เมียวดี ฉันจะพาเธอขึ้นไปเอง”
เมียวดีก้าวตามตามองเขาไม่คลาดสายตา ทรงเผ่าก็เช่นกันไม่ได้สนใจมองคนอื่น จินนี่กำลังลงบันไดสวนกับทรงเผ่าและเมียวดี ถึงกับชะงักเพราะ จำทรงเผ่าได้
จินนี่รีบหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมา ถ่ายรูปทรงเผ่ากับเมียวดีไว้ทันที
อ่านต่อตอนที่ 7