ดอกโศก ตอนที่ 13
อีกค่ำคืนหนึ่ง สมปองโทรศัพท์คุยกับอัศนัยอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน กิริยาสมปองพูดบอก....บอก จนเห็นดอกโศกถือหนังสือเดินออกมา
“เท่านี้นะ ไอ้โศกออกมาจะโทรใหม่” ปิดโทรศัพท์เดินมาหาหลานสาว “โศก”
“น้าปอง หนูจะท่องหนังสือ อย่าเพิ่งพูดอะไรหนูไม่อยากฟัง” ดอกโศกบอก รู้ว่าสมปองจะพูดเรื่องอัศนัย
“เปล่า....เปล่า ไม่มีอะไร....แบบว่าไม่ได้...เอ่อไม่ได้จะพูดอะไร”
เสียงนุ่มนวลคุ้นหูของอัศนัยดังแทรกขึ้น “แต่ผมมี”
สองคนตกใจหันไปมอง
สมปองประหลาดใจ “เอ๊ะ”
“ผมอยู่ตรงโน้น ตอนที่พูดโทรศัพท์กับปอง” อัศนัยรีบบอก
“อ้าว....โธ่เอ้ย งั้นก็พูดกันเองนะ”
ดอกโศกหยิบหนังสือเก็บ จะเดินเข้าบ้าน “จะไปดูข้างใน”
ระหว่างนั้นสมใจเดินออกมา ถือยากันยุงใส่จานมาวางให้
“ยุงชุม เอ้า...คุณมา” หันไปเห็นอัศนัย
อัศนัยมองหน้าสมใจกับสมปองสลับกัน พูดเหมือนตัดสินใจมาดีแล้ว
“ยายครับ ปองด้วย ผมรักดอกโศก ผมขอกับยายวันนี้ ดอกโศกเรียนจบผมจะแต่งงานกับเขา”
ทุกอย่างเงียบ ทุกคนตกตะลึง
“เอ่อ” ยายสมใจหน้าเหรอหรามากๆ
“ยายจ๋า...เข้าบ้านจ้ะ ไม่ต้องฟังเรื่องไร้สาระ”
สมปองเซ็ง “เป็นงั้นไป”
สมใจสนใจฟัง “มันเรื่องอะไรหรือคุณ”
“ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมรักดอกโศก รักมานานเป็นรักที่ผูกพันกับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก ทั้งรักทั้งสงสาร ผมตั้งใจจะแต่งงานจะดูแลเขาไปจนตายครับยาย”
ทุกคนยังนิ่ง
“ยายอย่าคิดขัดขวางเลยครับ” น้ำเสียงอัศนัยเว้าวอนในที
“เปล่า...ไม่คิดแต่ฉัน...”
อัศนัยดูเหมือนไม่ได้ฟังสมใจ พูดต่อ “เพราะดอกโศกก็รักผมครับ”
อัศนัยกลับไปนานแล้ว ดอกโศกเข้านอนในมุ้ง ข้างๆ สมปอง นัยน์ตาครุ่นคิด หวนนึกถึงคำพูดจริงจังของหนุ่มใหญ่คราวพ่อ
“ผมตั้งใจจะแต่งงานจะดูแลเขาไปจนตายครับยาย”
เวลาเดียวกันอัศนัยอยู่ในห้องนอนแล้ว นั่งมองทอดสายตาออกไปข้างนอก ใคร่ครวญ หวนนึกถึงคำพูดเด็กสาวที่เขารักใคร่พันผูก
“ใช่ ดอกโศกรักคุณนัยจ้ะยาย”
สองคนหวนนึกถึงเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำ
สมใจงง เพราะต่างคนต่างรัก “อ้าวก็จะมีปัญหาอะไรล่ะ”
“ตอนนี้ดอกโศกยังเรียนหนังสือ รักใครไม่ได้จ้ะยายจนกว่าจะเรียนจบ” ดอกโศกบอกยาย
เสียงอัศนัยสวนคำออกมา “ทำไมถึงจะรักไม่ได้ รักคุณนัยเหมือนที่ดอกโศกรักอยู่ทุกวันนี้”
เสียงนั้นดังก้องกังาน ใบหน้าขึงขังจริงจังวนเวียนในความคิดคำนึง ดอกโศกรู้สึกปวดร้าวใจ
“คณนัยมีคู่รักอยู่แล้วจ้ะยาย” ดอกโศกบอกสมใจ
สมใจงง“อ้าว...จริงเหรอคุณนัย”
สมปองกังวล “ตายละวา”
“ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้มานาน เขาชื่อปรียากมล” อัศนัยบอกสมใจ
“โห...ชื่อยาวเป็นวา” สมใจว่า
“อภิรมย์ฤดีก็ยาว แล้วยังนามสกุลรัตนชาติพัลลภ รวมกันยาวจริง”
“แล้วแม่มน....มนเนี่ย เค้านามสกุลอะไรเหรอคุณนัย” สมใจถาม
“เขานามสกุล ซิม”
สองคนหน้าเหวอ
สมปองถามก่อนใคร “ซิมอะไร”
“ซิมเฉยๆ”
“เอ๋อ” สมปองหน้าเหวอ
“ทำไมสั้นกุ๊ด” สมใจว่า
อัศนัยสัพยอก “เลยกลายเป็นคุยเรื่องนามสกุล”
บรรยากาศเริ่มดีขึ้น สองแม่ลูกหัวเราะเบาๆ แต่ดอกโศกหน้าเฉยนิ่ง
อัศนัยเล่าต่อ
“เราเคยเป็นแฟนกัน แต่ตอนนี้” ดอกโศกลุกไม่อยากฟัง อัศนัยฉวยแขนไว้ให้นั่งลง “อย่าเพิ่งไปไหน” น้ำเสียงเข้มดุ “ขอให้มีเหตุผลหน่อยเรากำลังพูดเรื่องสำคัญ...สำคัญที่สุดในชีวิตผมครับยาย ผมขอยืนยัน สาบานว่าไม่มีอะไร ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงอดีตที่นับวันจะหายไปจากชีวิตผม”
ดอกโศกเถียงทันควัน “ไม่จริง”
“ตอนนี้เขาอาจจะยังอยู่ แต่เป็นหน้าที่ของคุณนัยที่จะทำให้เขาหายไป”
“ไม่....เขาจะไม่หายไป” ดอกโศกของขึ้น
“ดอกโศก ถ้าคุณนัยพูดถึงขนาดนี้ดอกโศกยังไม่เชื่อ เราก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีกแล้ว”
ดอกโศกกัดฟันแน่น กลั้นก้อนน้ำตาสุดแรงเกิด
“ถ้ายังนับถือ และถ้ายังรัก..” อัศนัยมองเข้าไปในดวงตาดอกโศก “ขอให้เชื่อ ถ้าสิ้นนับถือ ถ้าสิ้นรัก ก็บอกมาเลยดอกโศกต่อหน้ายาย ต่อหน้าน้าปอง คุณนัยจะไปจากตรงนี้ เราจะไม่พบกันอีกจนตาย”
ฟังคำนี้ดอกโศกน้ำตาทะลักทะลาย ก้มหน้าร้องไห้จนตัวสั่น
อัศนัยเข้ากอด ดอกโศกส่ายหน้าไม่ยอม จะเข้าบ้านอัดอั้นตันใจที่สุด
อัศนัย กอด..รั้งร่างสั่นสะท้านของดอกโศกเข้าไว้ในอ้อมอก หลั่งความรักและอุ่นไอปลอบโยนไปเต็มๆ
จนดอกโศกนิ่งอยู่กับอก
มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล
สมใจเห็นแตะอัศนัยให้ปล่อย
ดอกโศกพูดไปสะอื้นไป กลัวปรียากมลจับจิตอย่างไม่มีเหตุผล “ถ้าคุณปรียากมลเขามาพูดกับดอกโศกอย่างที่เขาเคยพูด...ถ้าเขามาอีกครั้ง ดอกโศก...กลัวเขา”
“คุณนัยพูดกับเขา หวังว่าเขาคงเข้าใจไม่มาอีก” อัศนัยบอก...ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าปรียากมลจะหยุด
“แหม...ความรักนะพูดยาก” สมปองส่ายหน้า
“ถ้าเขายังมา ปองต้องคอยดูแลหลานอย่าให้ดอกโศกเผชิญหน้ากับเขาสองคน ปองไปส่งไปรับจากโรงเรียน อีกไม่กี่วันสอบเสร็จแล้วก็อยู่บ้าน รอมหาวิทยาลัยเปิด”
นึกถึงตอนนี้ ดอกโศกถอนหายใจแรง พลิกตัวนอนตะแคงหันไปทางน้าสาวมาดเท่ สมปองนอนมองตาแป๋ว
“น้าปอง”
สมปองตบไหล่ปลอบเบาๆ “นอนให้หลับเดี๋ยวไม่สบาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...ใครจะห้ามได้”
ดอกโศกกระซิบถามเบาๆ “อะไร”
“ทุกอย่าง เตรียมตัวตั้งรับไว้แล้วกัน มันคงจบยากฟังๆ ดู ผู้หญิงคนนี้คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ” สมปองมั่นใจ
เวลาเดียวกันนั้นในแสงไฟสลัวราง....เกือบมืดมิด จนทุกอย่างในห้องคอนโดของปรียากมลเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ร่างชายหญิงทั้งสองกำลังกอด...จูบซุกไซ้เริงโลดโผนทะยานไปตามแรงอารมณ์
เป็นตระกูล กับ ปรียากมล!!
ตระกูลรุกไล่ไปเรื่อยๆ ในแสงสลัวนั้น สักครู่เดียวปรียากมล ก็ยันตัวตระกูลออกไป ไฟเปิดสว่างพรึ่บ ปรียากมลลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า
ตระกูลอารมณ์ค้างคา “ปรียากมล”
“ฉันเรียกคุณมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ใช่เรียกคุณมานอนกับฉัน”
“ก็เกือบแล้ว” เสียงตระกูลพูดครางเบาๆ
“ต่อไปไม่ต้องมาอีก ถ้าคิดแค่นั้น”
“โธ่เอ้ย...ก็คนรักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว” ตระกูลรำพัน มีอารมณ์นิดๆ
“ไปได้แล้ว จำไว้นะไม่มีอะไรมากกว่านี้ ฉันรักอัศนัยไม่ได้รักคุณ”
ปรียากมลตอกผาโลง ตระกูลนั่งนิ่งอึ้ง สีหน้าเจ็บปวดอยู่สักครู่ ไม่ยอมขยับไปไหน
ปรียากมลหยิบกุญแจรถส่งให้ “กลับไปรีบถอดเสื้ออาบน้ำซะ กลิ่นตัวฉันติดตัวคุณเต็มไปหมด เมียคุณไม่โง่นะ”
“ไม่ต้องพูด ผมไม่ลืมหรอกว่าผมมีเมีย”
“เมียที่เกื้อหนุนคุณซะด้วย” น้ำเสียงปรียากมลเยาะแกมหยัน
ตระกูลทำอะไรไม่ถูก ปากุญแจรถที่รับมาไปเต็มแรง เพื่อปลดปล่อยอารมณ์
ปรียากมลนิ่ง ตระกูลลุกอย่างแรงไปหยิบกุญแจรถแล้วออกไป ปิดประตูดังเปรี้ยง!!
กลางดึกคืนเดียวกันที่บ้านรัตนชาติพัลลภ อุ๊ถือหนังสือเรียนอยู่ในมือ แนบหูฟังอยู่หน้าห้องเพ็ญพักตร์ เสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันแว่วๆ
อารมณ์ของสองคนด้านในห้องเตลิดไปตามความรู้สึก แตกต่างแต่รุนแรงพอกัน
เพ็ญพักตร์นั้นอารมณ์ถึงขีดสุดแล้ว “ฉันไม่ฟังคำแก้ตัวของคุณอีกต่อไป กี่คืนที่คุณกลับบ้านดึกขนาดนี้” ยกมือห้าม “ไม่ต้องอ้างเรื่องงานมันไม่จริง บอกฉันมาคุณไปกับแม่ม่ายนั่นใช่มั้ย”
“แม่ม่ายไหน”
เพ็ญพักตร์สะบัดมือฟาดไปที่ใบหน้าตระกูลทันที “ถามทำไมแม่ม่ายไหน คุณมีแม่ม่ายกี่คน”
ตระกูลโกรธแล้ว “ทำไมต้องตบหน้า”
“ชั้นจะตบจะทำไม...ทำผิดจะให้ลอยนวลงั้นรึ”
“ผมทำอะไรผิดคุณเพ็ญ คุณหาเรื่องเองทั้งหมด”
เพ็ญพักตร์ปราดเข้ามาหา ตบอย่างแรงอีกฉาด เสียงดังสนั่น “นี่แน่ะหาเรื่อง” ทั้งทุบ....ตี...เหวี่ยง “หาเรื่อง....นี่แน่ะ...นี่แน่ะ”
อุ๊ ทนฟังอีกไม่ไหวแล้วตัดสินใจทุบประตู ปัง...ปัง... เพ็ญพักตร์เปิดประตูอย่างแรง
“เป็นบ้าอะไรยายอุ๊ เคาะประตูดังอย่างงี้ได้ไง” ตวาดลูกสาวอย่างมีโทสะ
“คุณพ่อ...” เพ็ญตระการโผเข้าไปหาพ่อ
ตระกูลรีบบอก “อุ๊ไปนอนลูก”
“คุณแม่ทำคุณพ่อเจ็บ...ทำไมต้องรุนแรง”
เพ็ญพักตร์ข่มเสียงแต่ยังเป็นตวาด “กลับไปนอน”
“ไม่นอน อุ๊ต้องดูหนังสือ” อุ๊ชูหนังสือ “จะสอบแล้ว ดูไม่ได้เพราะคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกัน เสียงดังใส่กัน” น้ำตากระจุกมาเป็นริ้วๆ “ได้ยินมาหลายคืนแล้วด้วย ทะเลาะกันทำไมเรื่องอะไร”
เพ็ญพักตร์เยาะ “ถามพ่อเธอ”
“อุ๊...ลูกรัก ไม่มีอะไรหรอกลูกเป็นธรรมดาพ่อแม่คนอื่นๆ เขาก็มีมีกระทบกระทั่งกันแบบนี้”
อุ๊ไม่เชื่อ ไม่ฟัง “ตีกันด้วย คุณแม่ทำไมต้องตีคุณพ่อ ไหนคุณแม่เคยบอกว่าคุณแม่เป็นผู้ดี คุณแม่ไม่ตบไม่ตีหรอก”
เหมือนโดนลูกสาวด่า เพ็ญพักตร์สวนคำ “ก็ชั้นบอกให้ถามพ่อเธอ ถามสิ ถามเค้าว่าไปนอนกะใครมา”
ดวงตาเพ็ญตระการเบิกกว้าง จ้องหน้าพ่อเขม็ง ไม่อยากเชื่อ คาดไม่ถึง
“คุณเพ็ญ ลูกกำลังจะสอบพูดอะไรคิดถึงใจลูกมั่ง” ตระกูลโอบร่างลูกสาวไว้
“คุณพ่อ” อุ๊สะบัดตัวตวัดเสียง “จริงเหรอคะ คุณพ่อไป...คุณพ่อมีเมียน้อยหรือคะ”
“อุ๊...ไม่ใช่” ตระกูลหันมาทางภรรยา “คุณเพ็ญคุณต้องระวังหน่อย เห็นมั้ยพูกแล้วได้อะไรขึ้นมานอกจากทำให้ลูกเสียใจ คุณทำร้ายลูกนะ”
“คุณต่างหาก....ถ้าคุณไม่ทำชั้นจะมีอะไรพูด”
“คุณเพ็ญ จนจะแก่ตายไม่รู้เหรอบางสถานการณ์เราต้องเลือกที่จะไม่พูด” ตระกูลด่า เหลืออดแล้ว
เพ็ญพักตร์ปรี๊ด “คุณว่าชั้นแก่เรอะ ว่าชั้นแก่ไม่มีความคิดเหรอ”
“ไม่ได้ว่าผมเปรียบเทียบ”
สองคนขึ้นเสียงใส่กัน แรงขึ้นอีกทั้งสองคน
“หยุด...หยุด ไม่ฟังแล้ว พอ....” อุ๊เดินจะออก หันมาปาหนังสือเต็มแรง “ไม่สอบด้วย ให้มันตกไปเลย”
อุ๊พุ่งตัวออกจากห้องประตูปิดดังเปรี้ยง
ตี 4 วันคืนอันแสนยาวของหลายคน สมปองพลิกตัวมองดู เห็นดอกโศกหลับสนิทแล้ว สมปองขยับตัวลุกขึ้นจะออกจากมุ้ง หันมาทางดอกโศกอีกที เห็นดอกโศกลืมตามองตาแป๋ว
“ไปไหน” ดอกโศกถามเสียงเบา
สมปองตบแก้มหลานสาวเบาๆ “แกนอนต่อ น้าจะไปช่วยยายทำขนม”
ดอกโศกขยับตัวตาม
สมปองจับตัวไว้ กรีดสองตาให้หลับ “นอนๆ...” ไล้มือขึ้นไปลูบผมเบาๆ “เอ่อ...เอ๊ย” ร้องเพลงกล่อม
ดอกโศกหัวเราะคิก ขำท่าทางน้า สมปองเองก็หัวเราะ
ระหว่างนั้นสมใจเปิดมุ้งโผล่หน้าเข้ามา
“โศก....ไม่ต้องช่วยทำขนม ยายทำคนเดียว” ออกไปทันที
สมปองเปิดมุ้งตามแม่ ต่อคำตามนิสัย “อ๊ะ...มีลูกสาวไว้ทำไม”
เสียงยายสมใจเย้าดังแว่วมา “ลูกสาวเหรอ ไม่ใช่ลูกชายเหรอ”
สมปองโต้กลับไป “ครับผม...ลูกชายครับผม”
หลานวันผ่านไป วันนี้ดอกโศกนั่งดูหนังสืออยู่ที่บ้านคุณนายประดับ
คุณนายเดินเข้ามาบอกเสียงเรียบ “เขามา” หมายถึงเขา...อัศนัยนั่นเอง
“คะ....คุณนายบอกเขาว่าไงคะ”
“ยังไม่ได้บอกอะไรเลย”
ครู่ต่อมาคุณนายประดับเดินมาบอกอัศนัยที่รออยู่หน้าบ้าน
“ดอกโศกให้มาบอกคุณว่ากำลังดูหนังสือ สอบพรุ่งนี้”
“ผมซื้อขนมมาฝาก ขอพบ 1 นาทีครับคุณนาย” อัศนัยต่อรอง...ร้องขอ
“คุณคิดว่าคุณทำได้หรือ....เวลาของความรักมันเร็วมากนะคุณ”
อัศนัยหน้าหมองลง “ผม....คิดถึงดอกโศกเหลือเกินครับ”
คุณนายประดับบอกเสียงเรียบ “ความคิดถึงไม่ทำให้คนตาย”
อัศนัยยืนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
“เขายังเด็ก เขารับกับเรื่องอย่างนี้ไม่ไหว อย่าเพิ่งรีบร้อน”
“ครับ”
“ถ้าเขาพบคุณเขาสอบตกแน่” คุณนายยิ้มน้อยๆ “แล้วคุณอาจจะไม่ได้พบเขาอีกเลย”
เวลาเคลื่อนคล้อย สองอาทิตย์ผ่านไป ดอกโศกสอบเสร็จแล้ว
เช้าวันหนึ่ง ดอกโศกแต่งตัวเตรียมไปสมัครงาน สมใจเดินเข้ามาถือสร้อย และจี้ตัวอักษร จีบี (GB) ที่เก็บมานาน สวมใส่ให้หลานสาว
“หนูคิดว่ายายขายไปแล้ว”
“ของของเอ็ง ใส่ไปจะได้ไม่ดูกระจอกเกินไป” สมใจว่า
ดอกโศกยิ้มหวาน “ไปสมัครงานไม่ต้องหรูหรอกจ้ะยาย”
“งั้นก็อาจเป็นเหรียญโชคดี” สมใจยิ้ม
ภักดิ์ภูมิ นั่งดูเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟิศหรูหรา สักครู่ เสียงเลขาเคาะประตู แล้วเข้ามาบอก
“มิสซิสเบนส์ค่ะ”
“อ๋อ” ภักดิ์ภูมิลุกขึ้น “เชิญห้องโน้น”
มิสซีสเบนส์เดินตามเข้ามาพอดี “ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” หันไปทางหลานชาย “เอ็ดดี้”
ภักดิ์ภูมิทักทาย “Good morning Eddie you ‘ re still in Bangkok - สวัสดีครับ เอ็ดดี้คุณยังอยู่กรุงเทพเหรอครับ”
“Will be going to Hue Hin with grandma - จะกลับหัวหินพร้อมคุณย่า” เอ็ดดี้ตอบ
“Look who’s with me - ดูสิใครมากับฉัน”
ดอกโศกขยับตัวออกมาไหว้ภักดิ์ภูมิ
“เดินอยู่ที่ลอบบี้...ฉันถาม...มาทำไมรู้มั้ย” มิสซีสเบนส์ทอดคำไว้แค่นั้น
“ครับ” ภักดิ์ภูมิงง นัยน์ตามองดอกโศก
“มาสมัครงานค่ะ ตามประกาศ”
“อ๋อ” ภักดิ์ภูมิถึงบางอ้อ
ดอกโศกขอตัว “ขอตัวไปแผนกบุคคลนะคะ”
มิสซีสเบนส์สวนออกมา “No…No ที่นี่ เจ้าของอยู่นี่แล้ว”
ภักดิ์ภูมิรีบรับ “เชิญครับ....สมัครกับผมก็ได้”
“ไม่ค่ะ...มันไม่ถูก” ดอกโศกขยับลุกขึ้นยืน “ดิฉันจะไป”
ของบางอย่างตก ดอกโศกก้มลงเก็บ สร้อยจี้ GB หลุดจากที่ใส่ไว้ในเสื้อ ออกมาแกว่งไกวในจังหวะนั้น
ดอกโศกลุกขึ้นยืนตรง สายสร้อยเด่นอยู่บนหน้าอก
“คุณภักดิ์ภูมิ” มิสซีสเบนส์ดวงตาเบิกกว้าง ปราดเข้ามาหยิบสร้อย และดูอย่างพินิจ มองอักษร GB
มิสซีสเบนส์ตะลึง “มายก๊อด...โอ...my god” ทำท่าจะหายใจไม่ออก น้ำตารื้นขึ้นมาเต็มตา ตัวสั่นเทิ้ม หายใจหอบๆ
ดอกโศกตกตะลึง
“Is it yours…..yours? - นี่ของหนูเหรอ...ของหนูใช่มั้ย” มิสซีสเบนส์ละล่ำละลัก
“It belong to my father - เป็นของคุณพ่อหนูคะ” ดอกโศกตอบ
เนื้อตัวหญิงชราวาบหวิวเหมือนจะเป็นลม....ตัวโอนเอน
เอ็ดดี้ตกใจ “Grandma….what ‘s the matter - คุณย่าเป็นอะไรครับ”
มิสซีสเบนส์รวบรวมสติ ทรงตัวนั่งตรง มองจ้องที่ดอกโศก สีหน้าปีตินัก
“แอนเจล่า you ‘re ....เอ้อ” มิสซีสเบนส์พยายามพูดชัดถ้อยชัดคำที่สุด “หนูคือหลานของย่า....ย่าเป็นย่าของหนู เป็นแม่ของพ่อของหนู” เอื้อมือมาจับจี้ “GB คือ จอร์จ เบนส์ ลูกชายของย่า”
ดอกโศกหน้าตะลึงงัน ทุกคนเซอร์ไพรส์ มองอย่างตื่นเต้น
“ย่า” ดอกโศกอุทาน
“หลานของย่า เรียกย่า...เรียกย่าอีกที” มิสซีสเบนส์ดีใจนัก
“ย่า...ย่า” ดอกโศกเรียกอึ้งๆ
มิสซีสเบนส์กอดร่างดอกโศกไว้เต็มอ้อมแขน ตื้นตัน น้ำตาคลอ แล้วความดีใจพลุ่งขึ้นในใจ จนตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว น้ำตาไหลออกมาเต็มหน้า
“พ่อของหนูอยู่ที่ไหนคะ” ดอกโศกถามเป็นคำแรก
เท่านั้นแหละ มิสซีสเบนส์หมดความอดทน ปิดหน้าด้วยสองมือ หันหลังให้ทุกคนร้องไห้เต็มแรง ร่างของหญิงชราสั่นเทิ้ม
ดอกโศกทำอะไรไม่ถูก เอ็ดดี้จับมือดอกโศกดึงไปกอดย่า มิสซีสเบนส์เอนอิงพิงตัวหาดอกโศก
ดอกโศกโอบย่า ลูบหลังปลอบโยน
มิสซีสเบนส์เช็ดน้ำตาเรียบร้อยถึงค่อยหน้าหน้ามา คนแก่ร้องไห้ไม่ค่อยอยากให้ใครเห็น เริ่มเล่า
“เกือบ 20 ปีมาแล้ว จอร์จไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ เขาไปนาน...ทุกครั้งไม่นาน วันหนึ่งเขากลับมา”
เรื่องราวในครั้งนั้นยังฉายโชนแจ่มชัดในความคิดของมิสซีสเบนส์
วันนั้นสองคนแม่ลูกพูดกันแรงอยู่ริมทะเลหัวหิน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทะเลาะกัน แรงขึ้นจอร์จเดินไปมา พูดไป ทำท่าอ้อนวอนบ้างในบางครั้ง แล้วในที่สุด จอร์จก็เดินจากไปอย่างแรง
“เราทะเลาะกันใหญ่ เขาไม่ยอมแต่งงาน มีผู้หญิงลูกสาวของเพื่อนย่า สวย...ดี...จอร์จเขาก็รักอยู่เหมือนกัน”
ทุกคนตั้งใจฟัง
“แต่เขาไปมีเมียที่กรุงเทพฯ เขาจะไปแต่งงาน” คุณย่าว่า
ตอนได้ฟัง ดอกโศกลุ้นเกือบไม่หายใจ
“เขาโกรธมาก ขับรถกลับกรุงเทพฯ...ย่ารู้เย็นนั้นว่ารถชน จอร์จตายที่โรงพยาบาล” มิสซีสเบนส์เล่าเสียงปกติ เศร้านิดหน่อย เพราะรวบรวมอารมณ์ได้แล้ว
ดอกโศกหน้าเสีย
มิสซีสเบนส์แตะคางดอกโศก “หน้าเหมือนจอร์จนิดหน่อย หนูหน้าเหมือนแม่รึ”
ดอกโศกมองย่าแน่วนิ่ง น้ำเสียงที่หลุดจากปากสั่นนิดๆ “หนูไม่เคยเห็นหน้าแม่เลยค่ะ”
มิสซีสเบนส์อุทาน “Oh….god!”
เอ็ดดี้สงสารนัก “ Angela …What happened?”
“แม่ทิ้งไปตั้งแต่หนูเกิด...ยายเลี้ยงหนูมา” ดอกโศกคลี่ยิ้มนิดๆ เพราะเรื่องนี้ทำใจได้นานแล้ว “ยายเป็นแม่ค่ะ”
“Oh….she ,s an angel too - โอ...ยายคือนางฟ้าเหมือนกัน”
เวลาต่อมา ดอกโศกพา มิสซีสเบนส์ เอ็ดดี้ มาที่บ้านในสลัม ครอบครัวอยู่กันครบ
สีหน้าแววตาสมใจ กับสงหวัง ดูตลกทั้งคู่ มองดูมิสซีสเบนส์ ที่นั่งก้มอยู่กับพื้นตรงหน้า มองสำรวจตลอดทั้งตัว
สายตาสมใจ มองเสื้อผ้าสวยงาม ดูมีราคาเป็นผู้ดี ส่วนสายตาสมหวัง จดจ่อเพ่งดูแต่เครื่องประดับ ดูกระเป๋าถือใบใหญ่ แต่หน้าตาดูตลกทั้งสองคน
“ฉันเป็นย่า” มิสซีสเบนส์บอกสมใจ
สมใจพยักหน้าหงึกๆ
“ยาย” ชี้ตัวสมใจ
“ใช่....ยาย” สมใจชี้ที่ตัวเอง
สมหวังภูมิใจนำเสนอ “นี่....ตา”
“เป็น...ผัวยาย” มิสซีสเบนส์ถาม
“อ๊ะ...งั้นสิ นี่...เลี้ยงมาจนโตงี้เห็นมั้ย” สมหวังอวดโอ้พลางชี้ไปที่ดอกโศก
คุณย่ายิ้มเยื้อน “ขอบใจมาก”
“เสียเงินไปเยอะ” สมหวังบอก
“ขอบใจ คุณเป็นคนดี”
“แต่เสียเงินเยอะนะ....เยอะมาก” คราวนี้สายตามองกระเป๋ามิสซีสเบนส์
“ขอบใจแล้ว”
“ไม่เอา” สมหวังตอบทันควัน
“ไม่เอาอาราย” มิสซีสเบนส์งง
“ไม่เอาขอบใจ”
ฟังที่สมหวังบอกย้ำคำเดิม สีหน้ามิสซีสเบนส์งงงัน ยังไม่เก็ท!!
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 13 (ต่อ)
เวลาผ่านไป...
ตอนค่ำของวันหนึ่งภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดเล็ก ของโรงแรมภาวินาของภักดิ์ภูมิ ได้ต้อนรับแขกเหรื่อ ประมาณ 20 คน
วันนี้มิสซีสเบนส์จัดงานเลี้ยงรับขวัญหลานสาว เป็นงานปาร์ตี้ ค๊อกเทลเรียบง่าย แต่โก้เก๋ ไม่มีป้ายชื่องานติดเวทีใดๆ ทั้งสิ้น แขกที่มาร่วมยินดี นอกจากญาติ เพื่อนที่ระกใคร่ของดอกโศก ล้วนเป็นคนในแวดวงธุรกิจโรงแรมวัย 40-50 อัพ ทุกคนล้วนแต่งตัวสวยดีมีรสนิยม ผู้ชายโก้และผู้หญิงสวยเป็นผู้ดี
ภายในงาน มีวงดนตรี 3 ชิ้น เล่นเพลงขับกล่อม อยู่ในมุมห้อง
แขกอยู่กันพร้อมหมดทุกคนแล้ว ต่างทักทายพูดคุยกัน มิสซีสเบนส์คุยกับเพื่อนฝรั่ง ภักดิ์ภูมิคุยอยู่กับหนุ่มๆ คนไทย
ฉัตรทองคุยกับสาวๆ คนไทย จังหวะหนึ่งมิสซีสเบนส์เคลื่อนตัวมาคุยกับเพื่อนธุรกิจโรงแรม เรียกภักดิ์ภูมิมาร่วมคุย ภักดิ์ภูมิขอโทษแล้วเดินมาที่ย่า รวมวงคุยกัน
ฉัตรทอง ย้ายไปคุยกับผู้หญิงฝรั่ง ผู้ชายฝรั่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ครู่ต่อมา คุณพ่ออันโตนิโย เดินเข้าในงาน พบกับเจนนิเฟอร์ที่เดินมาทักทายก่อนใคร
“Jenifer. surprised to see you today, coming to congratulate Angela - เจนนิเฟอร์ แปลกใจจริง มายินดีกับเอนเจล่าหรือ”
เจนนิเฟอร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “I ‘m working in this hotel. - หนูทำงานที่นี่ค่ะคุณพ่อ”
“Good it’s so good for Angela - ดีมากดีสำหรับแอนเจล่ามาก”
“ครอบครัวสม” สมใจ สมหวัง สมปอง และสมหมาย รวมกับเฉลย ยืนจับกลุ่มแอบๆ อยู่ในมุมหนึ่งของห้อง กลัวๆกล้าๆ สมหวังนั้นยืดนิดหน่อย เวลาเห็นบ๋อยเดินมา
สมหมายเอ่ยขึ้น “หิว”
“กินสิ...ไป” สมหวังบอก
“ไม่เอา....ไม่กล้า” สมหมายว่า
“เฮ้ย นั่นเขาหยิบไปกินทุกคน...ไป ไอ้หมาย”
สมปองรีบบอก “พ่อ อย่าเพิ่งเลย ยังไม่มีใครกินซักคน”
“นั่นสิตาหวัง แกอย่ารุ่มร่ามเดี๋ยวเค้าก็ไล่หรอก” สมใจขู่
“เฮ้ย...งานหลานข้านะเว้ยมาไล่สิ...ปั้ดเหนี่ยวให้เลย” สมหวังคุยโอ่
สมปองเหน็บเอา “อู๊ย...เหนี่ยว แนวจริ้ง”
“หลานข้า...ชะ ตอนนี้ล่ะเป็นหลานข้าขึ้นมาทันที ตะก่อนล่ะ...” สมใจเยาะ
“ใครเถียงแกล่ะ....ไม่เถียงเลยโว้ย ไป...ไอ้หมาย”
ว่าพลางสมหวังเดินนำไป โดยนึกว่ามีสมหมายเดินตาม หันกลับมาไม่เห็นลูกชาย ก็เขินจนเดินจ้ำกลับมาอย่างเดิม มาถึงเขกหัวสมหมายดังป๊อก สมหมายคอย่น
“ทำไมไอ้โศกยังไม่มา ไหนว่างานเลี้ยงรับขวัญไงเจ้าตัวไปไหนล่ะ” สมปองว่า
ขาดคำ สมใจมองไปเบื้องหน้า ตรงประตูทางเข้าแล้วร้องออกมา “แม่เจ้าโวย”
ดอกโศกเดินเข้ามา มีสุดสวยตามมาใกล้ๆ เคียงข้างเข้ามาด้วยกัน ดอกโศกสวยซึ้งจนทุกคนตกตะลึง
มิสซีสเบนส์หันไปแล้ว จูงดอกโศกมายืนหน้าห้อง เอ็ดดี้เอ่ยขึ้น
“May I have your attention please - โปรดฟังหน่อยครับ”
แขกทุกคนหันมา
“Grandma has good news to tell you - คุณย่ามีข่าวดีจะบอกท่าน and she ‘s very..very happy about that - และท่านมีความสุขมากกับข่าวนี้”
คุณย่าปล่อยมุก “ฉันจะพูดภาษาไทย เพราะเวลานี้มีคนไทยมากกว่าคนฝรั่ง”
แขกหัวเราะกันเบาๆ
“ผมคนไทยครับ” ฝรั่งคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วหัวเราะกันอีก หันไปพูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่ง
มิสซีสเบนส์กล่าวต่อ “ฉันอยู่ที่ประเทศไทยมายี่สิบปี ประเทศไทยเป็นบ้านของฉัน ฉันเป็นสุขมากแม้ว่าสามีฉันจะ เห็นผู้หญิงคนอื่นสวยกว่าฉัน”
มีเสียงหัวเราะเกรียว ตามด้วยเสียงตบมือด้วยเบาๆ
“จอร์จ ลูกชายฉันทำให้ฉันเป็นสุขที่สุด จนวันหนึ่งเขาก็ตายโดย Accident รถชน ฉันต้องทำใจมาก วันนี้จอร์จกลับมาหาฉัน ในตัวเด็กผู้หญิงคนนี้”
ดอกโศกก้าวออกมาอย่างงามสง่า
“ขอแนะนำ Angela Bens ลูกสาวของจอร์จ”
แขกตบมือดังกราวใหญ่ สุดสวยยิ้มแย้ม ค้อมตัวรับเสียงตบมือ
คุณย่าพาดอกโศกเดินทักทายแขกกับฝรั่งก่อน ดอกโศกพูดกับคนเหล่านั้น
“She speaks perfect English. - เธอพูดภาษาอังกฤษดีมาก” ฝรั่งในงานกล่าวชมกับมิสซิสเบนส์
“Father Antonio…who teaches her English.” คุณย่าบอก
“Ah….You’re so great.” ฝรั่งหันมาทางคุณพ่ออันโตนิโย
คุณพ่อยิ้ม “Thank you ma’am…It’s her strong intention.”
“Really Angela.” ฝรั่งคนนั้นหันมาทางดอกโศก
“Not without his. - เป็นเพราะความอดทนของคุณพ่อค่ะ” ดอกโศกหมายถึง his intention
คุณพ่อยิ้มขอบคุณ “Thank you Angela.”
ที่สุดครอบครัวสม และเฉลยก็ได้กินกันแล้ว โดยบ๋อยเอามาให้ชุดใหญ่ เต็มไม้เต็มมือ
“นั่งกับพื้นกินได้มั้ยวะเนี่ย.....เมื่อยจริงๆ” สมใจปรารภ
“ถอดเกือกสิแม่สมใจ” เฉลยบอก
สมใจย้อนถาม “ได้เหรอ”
“ไม่มีใครเห็นหรอก” เฉลยว่า
ขาดคำสมใจถอดเกือก ยืนเท้าเปล่า “ค่อยยังชั่วเกือบชิบ...” สมปองรีบเอามือปิดปากแม่เสียก่อน..ก่อน หายจะโผล่ “เออ...รู้แล้ว” สมใจบอก
สมหวังเรียกบริกร “บ๋อย...บ๋อยครับ หยิบเหล้าให้ผมหน่อยครับ ผมเป็นตาของคุณอันจะล่าครับ”
สมปองท้วง “แอน-เจ-ล่า”
“ของแกพูดชัดกว่าชั้นตรงไหนไอ้ปอง บ๋อย...ไหนเหล้า” สมหวังไม่ยอม
บ๋อยหันมาบอก “สักครู่ครับ”
สมหวังยิ้มย่องผ่องใสมีคนพินอบพิเทา เอาใจ
งานเลี้ยงดำเนินไป ความรัก ความสุข และความยินดี คลุมครอบไปทั่วทั้งห้อง
สุดสวยคุยอยู่กับอ้น เพื่อนอ้น และเจนนิเฟอร์ สีหน้าแววตาสุดสวยยิ้มแย้มเบิกบานมากกว่าปกติ ชำเลืองมองผู้คน คนโน้น คนนนี้ด้วยสีหน้สระรื่นผิดปกติ เฉลยแยกจากครอบครัวสม เดินเข้ามาสบทบด้วย
“น้าสวยครับ” อ้นเอ่ยขึ้น
สุดสวยที่กำลังตั้งท่าจะเดินไปหาหนุ่มคนหนึ่ง ชะงัก “ทำไม...” สุดสวยตวัดเสียงเขียว
“ผมว่ากลับกันเถอะครับ....ดึกแล้ว”
“ไม่กลับ...แกกลับไปคนเดียวตาอ้น”
“คุณสวยคะ....ไปค่ะ....ไปกับเหลย” เฉลยผสมโรง
“ไม่ไป.....ไปไหนเหรอเหลย...”
“ไปบ้านสิคะ ท่านอาจจะคอยอยู่”
“พูดทุกวัน....ไม่เห็นมาเลย” สุดสวยไม่เชื่อแล้ว เพริดอยู่กับผู้คนตรงหน้า
จังหวะหนึ่ง ดอกโศกเดินเคียงมากับเอ็ดดี้ ตรงไปหาภักดิ์ภูมิและฉัตรทอง
“I’m breathtaking … - ผมเกือบไม่ได้หายใจ”
ดอกโศกเหลือบมองยิ้ม รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
“You know.. - คุณรู้” เอ็ดดี้ทอดจังหวะ “That cause of what - ว่าเพราะอะไร”
“it’s common speaking… - พูดตามสูตร” ดอกโศกค้างคำ “by men - ของผู้ชาย”
เอ็ดดี้ขำหัวเราะเสียงดังมาก ภักดิ์ภูมิพาฉัตรทองเดินมาพอดี
“Angela….ผมเกือบจำคุณไม่ได้...” สายตาภักดิ์ภูมิชื่นชมอย่างเปิดเผยมาก
ฉัตรทองชำเลืองมองภักดิ์ภูมิแวบเดียว “จริง...เอ็ดดี้จะมีข่าวดีในไม่ช้ามั้ง”
“ขอบคุณค่ะคุณภักดิ์ภูมิคุณฉัตรทอง”
ในขณะที่ภักดิ์ภูมิ และเอ็ดดี้กำลังพูดคุยอยู่กับดอกโศก ที่บริเวณประตูห้องจัดเลี้ยงที่เปิดกว้าง อัศนัยยืนอยู่มองเข้ามาด้วยนัยน์ตาเย็นชา และระแวง
อัศนัยกลับบ้าน ตรงเข้าห้องวาดรูป นั่งวาดดอกโศก วันนี้เต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวงชุดเจน ตวัดฝีแปรงแรงๆ
ปรียากมลเข้ามากอดด้านหลัง “ฮัลโหล” กระซิบคำพูดที่ริมหู
“ผมกำลงทำงาน คุณต้องปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
“ปรียากมลอย่าทำอะไรให้เป็นเรื่อง”
ปรียากมลไม่ฟัง ยังซุกไซ้ไม่หยุดหย่อนจากทางด้านหลัง “ฉันชอบมีเรื่อง”
อัศนัยเดินออกไป ลากปรียากมลไปด้วย ไปรินเบียร์ ดื่มรวดเดียว
“ไหนดูซิ....คอแข็งแค่ไหน” ปรียากมลเข้าซุกไซ้ที่คออัศนัย
อัศนัยตะโกน “หมื่น....ไอ้หมื่น”
หมื่นวิ่งพรวดเข้ามา “ครับคุณนัย”
“พาคุณปรียากมลกลับบ้าน ...ขับรถเธอไป”
“ไม่ได้เอารถมา นั่งแท็กซี่มาครับ” หมื่นบอก
อัศนัยอึ้ง หงุดหงิดขึ้นมาเป็นริ้วๆ พยายามสะกดกลั้นความโกรธ สุดความสามารถ
อัศนัยพาปรียากมลมานั่งอีกห้องหนึ่ง สั่งหมื่นไปเอาผ้าเย็น
“ทำไมอยู่ห้องนั้นไมได้ ...กลัวมันเห็นงั้นหรือ…” ปรียากมลเหน็บแนม
อัศนัยเสียงแข็ง “ใช่”
ปรียากมลกรี๊ดทันที หยิบหมอนปาไปที่อัศนัย “คนใจร้าย”
อัศนัยสวนออกมา ทันควัน “คุณใจร้ายกับผมก่อน”
ปรียากมลลุกพรวดเข้าหาอัศนัย รุกกอดพันพัว
อัศนัยเรียก “หมื่น”
หมื่น มาพร้อมหม่อน สองคนเข้ามาอย่างเร็ว ปรียากมลยอมปล่อยอัศนัย ไปนั่งวาดท่านางพญาบนโซฟา
“พาไป เรียกแท็กซี่มา”
“ไม่ต้อง...แกสองคนออกไป” ปรียากมลตวาด
สองคนยังรีรอ
“ฉันบอกให้ออกไป ฉันไม่ทำอะไรเจ้านายแกหรอก...ออกไป” ปรียากมลจ้องสองแม่ลูก
อัศนัย “ไม่ต้องออก อยู่ก่อน”
ปรียากมลตวาดสุดเสียง “ไป...ไป๊.....ไปเดี๋ยวนี้”
สองคนออกไปเร็วๆ
“ปรียากมล ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ...พอแล้ว หยุดได้แล้ว อย่ามายุ่งเกี่ยวกับผมอีก เราสองคนไม่มีอะไรต้องทำให้กัน”
ปรียากมลนิ่ง
“ผมจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดอีก จำไว้นะปรียากมล นี่คือครั้งสุดท้าย”
ปรียากมลชอกช้ำใจมาก
“ถ้ามันเป็นครั้งสุดท้ายของคุณด้วย ....เรายังคงเป็นเพื่อนกันได้ แต่ถ้าไม่คุณจะ....”
“พอ...หยุดเถอะ...ไม่ต้องพูดอีกแล้ว”
อัศนัยหยุด ปรียากมลจ้องอัศนัย นัยน์ตาร้าวรานใจที่สุด
ปรียากมลยกมือปาดน้ำตาแรงๆ “ฉันย้อมแพ้.....” ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “คุณจะไม่เห็นหน้าฉันอีก”ปรียากมลเดินออกจากห้อง อัศนัยมองผ่านด้านหลัง มีแต่เสียงลอยมา
“ขอให้มีความสุขกับความรักของคุณ ...รักแท้...เฮอะ”
ปรียากมลไปแล้ว อัศนัยกุมขมับ ถอยไปนั่ง หมดแรง
ป้าหม่อนเอาผ้าเย็นมาวางให้ “คุณนัย”
“อือม์..”
“เช็ดหน้าเสียหน่อย” หม่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“จะขึ้นห้องแล้ว” อัศนัยบอก
“ได้ไง ยังวาดรูปคุณหนูไม่เสร็จ” มองจ้องสายตามีความหมาย “จะวาดทิ้งๆ ขว้างๆ ครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้ไม่ได้นะคะ”
อัศนัยจ้องหม่อน มองหมื่น อ่านสายตา
“จริง....ฉันต้องวาดให้เสร็จ...ดอกโศก....” อัศนัยลุกขึ้นยิ้มให้หม่อน “ป้าหม่อนน่าจะเห็น สวยมากวันนี้”
“ป้าดูจากรูปที่คุณนัยวาดไงคะ”
อัศนัยหันไปวาดรูปดอกโศกต่อ
ตอนเย็นของวันต่อมา...
เสื้อชุดสวยที่ดอกโศกจะใส่ในงานเลี้ยงวันนั้น แขวนอยู่ที่บ้านยาย ดอกโศกหยิบมาบรรจงพับ แล้วเปลี่ยนใจ แขวนไว้อย่างเดิม
“อ้าว...ทำไม” สมปองสงสัย
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์หนูจะช่วยยายขายขนมก่อน วันจันทร์ถึงจะไปอยู่กับย่า”
“เฮ้ย..ไม่ต้อง น้าเสร็จงานที่ปั๊มจะมาช่วยขายเอง แกกลับไปนอนโรงแรมย่าเหอะ เดี๋ยวไปส่ง”
ดอกโศกหันมามองสมปองนิ่งๆ
“เออ...เรื่องอะไรของกูวะ”
สมหมายฟังอยู่ “นั่นดิ....ก็ว่ายังงั้น” รู้ทันรีบหลบหมัดสมปอง
สมหวังเอ่ยขึ้น “ออกไปหาไอ้นวม” ลุกขึ้น แล้วหยิบเสื้อมาใส่
“อย่ากินเหล้ามานะตาหวัง” สมใจบอกไปงั้นๆ
“เล่นหมากรุกโว้ย มือไม่ว่างหยิบแก้วเหล้าหรอก”
“อ้อ เลยเอามือสาวๆ หยิบให้” สมใจหันไปบอกสมปอง “สาวๆ ของตานวม”
สมหวังหันมายักคิ้ว “หึงเหรอยายใจ”
“อย่าพูด” สมใจบอกหน้าตาเฉย
“ทำไม” สมหวังงง
สมใจพูดใส่หน้า “จะอ้วก”
ดอกโศกรีบตัดบท “ตา...” ลุกตามไป “หนูจะไปโบสถ์ เดินไปด้วยกันนะ”
สองคนเดินมาด้วยกัน ดอกโศกเดินพลางพูดพลาง
“ตาน่ารักที่สุด”
ตาหวังหยุดกึก หันมามอง ดอกโศกมองสบตาตาหวัง)
“แกจะว่าอะไรชั้นไอ้โศก”
“เวลาตาไม่โมโห ไม่ตียาย...” ดอกโศกพูดต่อจบจบประโยค
สมหวังนิ่งอึ้ง...แล้วหันเดินต่อไป แต่สีหน้าขรึมลง
“ตาตียายเรื่องเงินทุกครั้ง ตอนนี้หนูก็ทำงานได้เงินเดือนแล้ว”
สมหวังอึ้งอีก “เงินของแกไม่ใช่ของชั้น”
“แปลว่าตาจะไม่เลิกตียายเหรอจ๊ะ”
“แกไปโบสถ์เหอะ” สมหวังไล่
“เงินหนูก็เหมือนเงินตา” ดอกโศกบอกอีก
“บอกให้ไปไงเล่า”
ในขณะที่ดอกโศกก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มๆมา ปรียากมลเดินอยู่ไกลจากดอกโศกหน่อยๆ เรียกไว้
“ดอกโศก”
ดอกโศกสะดุ้งสุดตัว หน้าซีดเผือด “คุณ”
ปรียากมลเข้าหาดอกโศกไวมาก กิริยาเดินเร็วเหมือนแม่เสือกำลังเข้าตะครุบเหยื่อ
ดอกโศกตัวสั่น เหมือนจะวิ่งหนี
ปรียากมลมาถึงตัวพอดี จับข้อมือทันที “พูดกันก่อน”
“หนู...หนูจะไปโบสถ์ค่ะ”
“ไปทำไม...สารภาพบาป?”
“ปล่อยหนูเถิดค่ะ”
“ไปตรงโน้น ไปพูดกันก่อน” ปรียากมลกระชากแขนดอกโศกไปทันที
ดอกโศกไปตามมือก่อน แล้วดึงรั้งไว้ “ไม่ค่ะ หนูไม่มีอะไรจะพูด”
“แต่ฉันมี” ปรียากมลบอก
“คุณคะ...ให้หนูไปเถอะค่ะ” ดอกโศกบอกเสียงเรียบ ไม่กลัว ไม่อ้อนวอน
“ดอกโศก อย่าใช้วิธีนี้ เธอจะหนีไปไม่ได้ถึงไหนหรอกนะ ยังไงๆ เธอก็ต้องตกที่นั่งแย่งสามีฉันอยู่ดี”
ดอกโศกหยุดชะงัก คำพูดประโยคนั้นเสียดแทงใจมาก
ปรียากมลจ้องหน้าดอกโศกนิ่ง
ดอกโศกกัดฟันแน่นไม่อยากร้องไห้ให้เห็น
ปรียากมลรุก “เข้าใจคำว่าศีลธรรมมั้ย เธอกำลังทำผิดศีลธรรม...ศีลข้อสามน่ะรู้จักมั้ย หรือว่าเธอไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแล้ว ถึงทำเป็นลืมศีลห้า...ว่าไง ดอกโศก ลืมแล้วเหรอ”
“หนูไม่ลืม”
“ฉันถามอยู่นี่ไงว่าศีลข้อสามรู้จักมั้ย ตอบมาสิ” ปรียากมลคาดคั้น
“รู้จักค่ะ รู้ด้วยว่าคุณผิดศีลข้อสี่”
“หมายความว่าไง”
“ศีลข้อสี่ค่ะ...คุณผิด” ดอกโศกย้ำ
ปรียากมลสวนคำเสียงดังขึ้นอีกหน่อย “ก็มันคืออะไรล่ะ... ฉันถามอยู่นี่ไง”
“คุณผิดศีลข้อสี่ แต่หนูไม่ได้ผิดศีลข้อสาม”
ปรียากมลสะอึก ความโกรธพุ่งขึ้นมา สะบัดหลังมือเบาๆ ตบหน้าดอกโศก แม้จะไม่แรงมาก แต่ดอกโศกก็ตัวเซไปนิดๆ
แต่ตั้งสติได้ ยืนตรงอย่างมั่นคงแล้วตอนนี้ “คุณไม่มีสิทธิ์ตบหน้าหนู”
“ฉันจะตบเธอทั้งๆ ที่ฉันไม่มีสิทธิ์นี่แหละเธอจะทำไม”
“คุณเป็นผู้ใหญ่กว่าหนูตั้งเยอะ หนูตบตอบคุณไม่ได้คุณก็รู้”
ปรียากมลยั่ว “เธอจะตบชั้นก็ได้ ก็เอาสิ ชั้นจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอแค่ไหน เธอก็โตจนแย่งผัวชั้นได้แล้วมันจะแปลกอะไรล่ะ”
ดอกโศกตอกหน้านิ่งนิ่ม “คุณผิดศีลข้อสี่...คุณพูดไม่จริง”
“เธอมันบ้า...โง่ ตามืดตามัวเชื่อเขา เธอก็เห็นว่าฉันกับเขา...แค่ไหน ยังจะโง่งมเชื่อเขาอีกว่าเขาไม่ได้มีอะไรกับชั้น”
ดอกโศกนิ่งไป
“ชั้นอยู่บ้านเดียวกับเขา นอนห้องเดียวกับเขา เธอคิดว่าเขาเป็นเทวดามาจากสวรรค์วิมานไหนเหรอ ถึงไม่สนใจผู้หญิง”
ดอกโศกพูดไม่ออก
“เอาล่ะ ชั้นรู้ว่าเขายังไม่ทำอะไรเธอ แต่เธอคิดว่าเขาจะไม่ทำอะไรชั้นเหมือนกันเหรอ...ฉันไม่เหมือนเธอดอกโศก”
“หนูเห็นแล้ว” ดอกโศกเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบา
“เห็นอะไร”
“ว่าคุณไม่เหมือนหนู....แต่หนูก็เชื่อคุณนัย” ดอกโศกหันหลังกลับ เดินหนีไป
ปรียากมลยืนนิ่งอั้น...ในใจร้อนรุ่มอยากจะฆ่าเด็กคนนี้ ได้แต่จ้องมองตามหลังไป
จากสีหน้าคั่งแค้น ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียใจ วิตก กังวล เห็นลางพ่ายแพ้รางๆ
คืนนั้น...พอดอกโศกกลับจากโบสถ์ สองคนน้าหลานยืนพูดกัน ท่าทางเคร่งเครียด
สมปองเอามือแตะแก้ม “ทำไมปล่อยให้เขาตบอยู่ข้างเดียว”
“ก็น้าปองไม่ไปกะหนูด้วย” ทำเป็นพูดเสียงขำๆ ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่สบายใจ
“นั่นน่ะดิ เจอกันก็สวย แกไอ้โศกชั้นสอนตั้งหลายหนแล้วว่าตามันต้องต่อตา ฟันมันต้องต่อฟันเว้ย”
ดอกโศกพูดเสียงเบาๆ ไม่มองหน้าสมปอง “ตาบอกกะฟันหัก...เลือกไม่ถูก”
“อู้ย...ไอ้โศก มุกเหรอเนี่ย” สมปองว่า
“ทำไม...แป้กเหรอ”
“แกเล่นมุกขำ แต่นัยน์ตาแกยังโศกอยู่เลยเว้ย”
ดอกโศกหยุด สีหน้าครุ่นคิดสักครู่ “หนูว่าวันนี้แค่เริ่มต้น ก็เลยหัวเราะเก็บไว้เป็นทุน”
สมปองอึ้ง “ทุน?”
“เผื่อต้องร้องไห้วันพรุ่งนี้” ดอกโศกบอก
“เข้าใจ”
สมปองพยักหน้าหงึกๆ เดินเข้าประตู ยินเสียงพูด “ง่วงแระ”
ดอกโศกตามมา สมปองเหลียวขวับมาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้โศก”
“จุ๊ยะ..” รีบเอานิ้วปิดปาก “เสียงดังน้าปอง” ดอกโศกเข้ามุ้งไปแล้ว
“ถามอีกคำ” สมปองตามเข้ามา
“หลายคำก็ได้” ดอกโศกหันไปจัดเก็บชายมุ้ง
“เฮ้ย...คำเดียวแกเชื่อคุณนัยเค้าได้แค่ไหนเนี่ย”
“เชื่อได้...เต็มร้อย”
สมปองหันมา หน้าตาจริงจัง มองตาเต็มๆ “แกรู้จักผู้ชายดีแค่ไหน”
“หนูไม่รู้จักผู้ชาย แต่...หนูรู้จักคุณนัย”
ดอกโศกบอกน้ำเสียงมั่นใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ดอกโศก มิสซีสเบนส์พร้อมกับพนักงานขายของห้องเสื้อ อยู่ในห้องที่โรงแรมหรูแห่งนั้น เบื้องหน้าสามคนเป็นเสื้อผ้า ทั้งแขวนทั้งพาด รอให้ดอกโศกลอง เป็นเสื้อผ้าราคาแพง สวยหรู ทั้งสิ้น
ดอกโศกลองจนถึงชุดสุดท้ายแล้ว “พอแล้วนะคะ ย่า หนูจะไปทำงานแล้วค่ะ”
“ไม่ต้องไป ย่าบอกคุณภักดิ์ภูมิว่าหนูจะไม่ไปอีกแล้ว”
“ไม่ค่ะย่า”
“ย่ามีเงินเยอะมากให้หนูทั้งหมด” มิสซีสเบนส์บอกเสียงอ่อนโยน
“ย่าคะ ขอโทษนะคะ หนูไม่รับเงินของย่าค่ะ”
“ทำไม” หญิงชราฉงนนัก
“หนูจะหาเองค่ะ” ดอกโศกยิ้ม
“ไม่จำเป็นเลย”
“จำเป็น เพราะหนูต้องเรียนหนังสือ”
“แอนเจล่า หนูอย่าดื้อกับญาติผู้ใหญ่ ย่าจะส่งหนูไปเรียนที่อเมริกา มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด” มิสซีสเบนส์บอก
“หนูจะเรียนเมืองไทยค่ะย่า” ดอกโศกบอกอีก
มิสซีสเบนส์ตบโต๊ะแรงๆ เพราะเหลืออดแล้ว “ไม่ได้...Why you’re too stubborn - ทำไมดื้อจริง”
ดอกโศกตกใจ “หนูขอโทษ”
“วันนี้พอก่อน ไปทำงาน ย่าจะไปด้วย” มิสซีสเบนส์ลดเสียง เย็นลงหน่อย
ครู่ต่อมามิสซีสเบนส์ และดอกโศกเดินออกจากลิฟท์ ตรงไปยังลอบบี้ เอ็ดดี้เดินยิ้มเข้ามาคุณย่าที่สีหน้ายังขุ่นใจเรื่องดอกโศกขัดใจไม่หาย
“Morning Eddie… - มาเช้าจริง”
“Yes grandma…I’ll give you a ride. - ผมจะพาไปส่ง”
“What….ขับรถแล้วหรือเอ็ดดี้” คุณย่าฉงน ถามเป็นภาษาไทย
เอ็ดดี้รีบบอก “Hotel cab... - รถของโรงแรม”
คุณย่าหัวเราะ หันมาบอกดอกโศกว่า “ตลกดี” ดอกโศกหัวเราะด้วย แต่ลักษณะหน้าตาฝืนๆ ทั้งสองคน
อัศนัยนั่งมองอยู่ หน้าตาเครียดมาก
สามคนเดินออกมา ดอกโศกใจหายวูบ เห็นอัศนัยยืนอยู่ตรงหน้า
คุณย่า เอ็ดดี้ไม่รู้จัก แต่อัศนัยยืนจ้อง ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดอกโศก....เอ้อ...แอนเจล่า เพื่อนของหนูหรือ” มิสซีสเบนส์ถามขึ้น
ดอกโศกเอ่ยแนะนำเบาๆ
สี่คนเดินมาถึงประตูใหญ่โรงแรม
“คุณอัศนัย” มิสซีสเบนส์ซึ่งออกเสียงเรียกเป็นอาศนัยว่า “ลาล่ะ”
อัศนัยไหว้ “ครับ”
“คงได้พบกันอีก...Sometimes”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ไหนรถโรงแรมเอ็ดดี้” มิสซีสเบนส์หันมาทางหลานชาย
อัศนัยอาสา น้ำเสียงสุภาพมาก “ผมพาดอกโศกไปก่อนนะครับ”
“อะไรนะ” หญิงชรางง
“ผมจะพาดอกโศกไปส่งที่ทำงานครับคุณย่า”
เอ็ดดี้รีบท้วง “แต่.....grandma… ไปส่งเองครับ ผมเรียกรถแล้ว”
“นั่นสิ แอนเจล่า” มิสซีสเบนส์หันมาพูดกับอัศนัย “แอนเจล่าจะไปกับย่าของเขา คุณเป็นเพื่อนคุณจะ...”
อัศนัยขัดขึ้นทันที “ขอโทษครับ ผมเป็น boy friend ของแอนเจล่าครับ”
มิสซีสเบนส์อุทานออกมา “boy friend…oh, god หนูมีคนรักแล้วหรือ”
ดอกโศกมองอัศนัยเป็นเชิงขอร้อง พร้อมกับส่ายหน้า
“ดอกโศก คุณนัยขอโทษ” กระซิบบอกเบาๆ “ไม่มีอะไรที่คุณนัยคิดว่าต้องทำมากกว่านี้เลย” อัศนัยเน้นคำตรง ต้องทำ ชัดเจน
ดอกโศกหน้าหมองลง “เรื่องจะยุ่งยากโดยไม่จำเป็น” กระซิบบอก
“ยกโทษให้คุณนัยเถิด”
ดอกโศกหันไปหาคุณย่า “คุณอัศนัยเป็นคนที่เมตตาหนูมาตลอด”
อัศนัยสวนคำอีก “และตอนนี้รักดอกโศก และดอกโศกก็รักครับคุณย่า”
เอ็ดดี้นั้นหน้าเสียมาก สบตาคุณย่า มิสซีสเบนส์มองอย่างปลอบประโลมแวบหนึ่ง
“เราจะไม่ยืนพูดกันตรงนี้อีก คุณอาศนัยกลับไปก่อน แอนเจล่าจะไปทำงาน”
“ไปจะไปเอารถมา”
“ไม่ต้อง...เรามีรถโรงแรม”
อัศนัยยอมถอย กลับมาที่ออฟิศ และเวลานี้กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ที่โต๊ะ
เสียงบุรีดังผ่านอินเตอร์คอม “คุณนัยครับ ผมคอนเฟิร์มวันเปิดอัศวาเซรามิกเป็นวันที่ 20 พฤษภานะครับวันอาทิตย์”
อัศนัยขยับทรงตัวนั่ง แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอาการเอางาน “พี่บุรี ผมต้องเช็คบุ๊คผมก่อน เดี๋ยวนะครับ” หยิบสมุดเล่มเล็กออกมา
บุรีบอกต่อ “คุณนัย ผมว่าหาเลขาคนหนึ่งเถอะ! จัดตารางงานเองสำหรับเจ้าของโรงงานสองแห่งมันมากเกินไป” บุรีเย้าเล่น หัวเราะออกมา
อัศนัยดูสมุด “ครับ อาทิตย์ที่ 20 พฤษภา ผมไปเช้าเย็นกลับนะพี่บุรี”
“ครับคุณนัย”
อัศนัยกดปิดอินเตอร์คอม ในจังหวะที่ประตูถูกเคาะ อัศนัยยังไม่ทันพูดอะไร เพ็ญพักตร์ก็เปิดประตูเข้ามา และพาเพ็ญตระการเข้ามาด้วย
อัศนัยไหว้ “คุณเพ็ญพักตร์ อุ๊” รับไหว้อุ๊
“พี่พาอุ๊มาฝึกงานค่ะ รอเอนทรานซ์”
สามคน อัศนัย เพ็ญพักตร์ และอุ๊เดินดูคนทำงานอยู่ในส่วนโรงงาน
สักครู่เห็นวินกับเต้ยเดินเร็วๆ มาหาเพ็ญพักตร์ เพ็ญพักตร์เบี่ยงตัวหยุดคุยด้วยเบาๆ
“ยัง...ยัง ฉันยังไม่พร้อมคุยวันนี้”
“ลายใหม่ของอัศวาเซรามิก ผมเอามาให้คุณเพ็ญดูครับ” วินบอก
“โอเค วางไว้ที่โต๊ะฉันก่อน เต้ยด้วยหรือ”
“ค่ะ คุณเพ็ญ เต้ยลงสีไว้แล้วด้วย” เต้ยว่า
“ดี...ขอบใจ”
ขณะนั้นอัศนัยพาอุ๊เดินไปห่าง
อัศนัยนึกสงสัยและเป็นห่วง “ทำไมถึงจะฝึกงาน ไม่ดูหนังสือสอบหรือ”
อุ๊จ้องหน้าอัศนัย สายตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คือรักก็รักแต่ทำใจได้แล้วว่าไม่มีหวัง กลายเป็นสีหน้าน่าสงสาร
“คุณแม่บอกว่าอุ๊น่าจะรู้เรื่องธุรกิจนี้ เพราะต่อไปจะเป็นของอุ๊ อุ๊ไม่ทราบ แต่...” อุ๊กัดฟัน “ไม่อยากอยู่บ้าน...เบื่อ”
เพ็ญพักตร์เดินมาถึงพอดี “บุรีบ่นเรื่อยๆ ว่าคุณนัยไม่มีเลขาส่วนตัว ให้อุ๊มาฝึกงานเป็นเลขาแล้วกันนะคะ”
เพ็ญพักตร์มัดมือชก!
เวลาเดียวกันฉัตรทองในชุดนักศึกษา กำลังพูดกับภักดิ์ภูมิเบาๆ ชำเลืองไปที่ดอกโมกที่นั่งโต๊ะมุมห้อง
“ตำแหน่งอะไรนะคะ”
“เลขา” ภักดิ์ภูมิบอก
ฉัตรทองอึ้งไปชั่วอึดใจหนึ่ง “พี่ภูมิมีพี่ใจเอื้ออยู่แล้ว”
“อภิรมย์ฤดีเป็นเลขาส่วนตัว ดูแลเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจด้วยใจเอื้อไม่ได้ทำ”
ฉัตรทองพูดไม่ออก สักครู่ เดินไปหาดอกโศก “ขอโทษนะอภิรมย์ ฉันมีธุระส่วนตัวจะพูดกับพี่ภูมิ เธออกไปข้างนอกสักครู่ได้ไหม”
“ได้ค่ะ” ดอกโศกยิ้มแย้ม ลุกออกไป
ฉัตรทองหันขวับมาทางภักดิ์ภูมิ “ฉัตรไม่ชอบใจเลยค่ะพี่ภูมิ”
ภักดิ์ภูมิงง “เรื่องอะไรหรือครับฉัตร”
“เขาไม่ได้มาสมัครงานตำแหน่งที่ไม่เคยปรากฏในภาวินาโฮเต็ล จู่ๆ พี่ภูมิก็ตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมารับเขา จะให้ฉัตรคิดยังไงคะ นอกจากพี่ภูมิอยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ ในห้องเดียวกันพี่ภูมิแบบนี้”
“ฉัตรก็เลิกคิดอย่างนั้นสิครับ เพราะมันไม่ใช่ความจริง”
“พี่ภูมิพูดง่าย คิดถึงใจฉัตรว่าจะคะได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือคะ”
ภักดิ์ภูมิเสียงเข้มขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้เหมือนพูดเล่นๆ “ฉัตรต้องคิด ฉัตรไม่มีทางเลือกอื่น พี่รับเขาเข้าทำงานแล้ว contract ก็ sign แล้ว”
ฉัตรทองไม่พอใจ “ทำไมต้องทำเสียงแบบนี้ พูดดีๆ ไม่ได้หรือคะ”
“เพราะฉัตรพูดไม่ดีกับพี่ ฉัตรข่มขู่พี่”
ฉัตรทองรีบบอก “ฉัตรกลัวพี่ภูมิจะตายอยู่แล้ว”
ภักดิ์ภูมิหัวเราะนิดๆ “จริงเหรอ...ฉัตรกลัวพี่ทำไม”
ฉัตรทองหน้าเสีย มองเหมือนจะร้องไห้ “พี่ภูมิก็รู้ว่าเราหมั้นกันเพราะผู้ใหญ่ ฉัตรรักพี่ภูมิแต่พี่ภูมิยังไม่รักฉัตรฉัตรรู้ พี่ภูมิพยายามอยู่ฉัตรก็รู้ อย่างนี้ฉัตรควรกลัวมั้ยคะ”
“ฉัตร...ถึงยังไงเราก็เป็นคู่หมั้น”
“พี่ภูมิสัญญาสิว่าจะไม่ถอนหมั้น เราจะแต่งงานกัน”
“พี่ไม่จำเป็นต้องสัญญา ฉัตรเป็นคู่หมั้นของพี่มีสิทธิ์ครึ้งหนึ่งแล้ว”
“นั่นแหละค่ะที่ฉัตรกลัว กลัวอีกครึ่งหนึ่งที่ยังเป็นสิทธิ์ของพี่ภูมิ”
ภักดิ์ภูมิเดินไปห่าง หยิบของบนโต๊ะ ถือโทรศัพท์พร้อมกุญแจรถ ตัดบท “ไปทานข้าวพี่หิวแล้ว”
ฉัตรทองอัดอั้นตันใจ แต่รู้นิสัยว่าอย่าต่อล้อต่อเถียงนาน และไม่วายเหน็บดอกโศก “เขาต้องไปด้วยรึเปล่า เป็นเลขาส่วนตัวเนี่ย”
ภักดิ์ภูมิโอบไหล่ฉัตรทอง พาเดินไป “เราจะไม่พูดเรื่องไร้สาระนี้อีก”
ฉัตรทองรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาทันทีที่ภักดิ์ภูมิชิ่งลูกหนี ทั้งๆ เห็นอยู่ต่อหน้า จึงเบี่ยงตัวอย่างแรงเกือบจะเป็นสะบัด หันหน้ามาจ้องตาภักดิ์ภูมิ นิ่ง....นาน สายตารู้ทันทุกอย่าง
“ฉัตรมีเรียน” ฉัตรทองหันหลับกลับออกไปเร็วรี่
ภักดิ์ภูมิยืนนิ่งอึ้ง
ในร้านอาหารหรูหรา บรรยากาศเงียบสงบ ที่สองคนเดินเข้ามา ลูกค้าล้วนเป็นผู้ดีมีระดับ ภักดิ์ภูมิและดอกโศกนั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่ง บริกรถอยเก้าอี้ให้อยู่ด้านหลัง
“เดี๋ยวแกรนด์ม่ากับเอ็ดดี้จะมาทานกับเรา”
“อ๋อ”
“สบายใจขึ้นไหม ไม่ต้องนั่งทานกับผมสองคน” ภักดิ์ภูมิสัพยอก
“ค่ะ...ทำไมคุณฉัตรทองไม่มาด้วย”
“ฉัตรมีคลาส” ภักดิ์ภูมิเปิดเมนูดู “ดื่มอะไร...น้ำส้ม?”
“น้ำนางเอก ดิฉันไม่ชอบดื่มหรอกค่ะ” ดอกโศกพูดเสียงขำ “ขอน้ำเปล่า”
“ผมสั่งอาหารให้นะ ทานเนื้อมั้ยครับ”
“ดิฉันไม่เคยมาทานอาหารในร้านอย่างนี้เลย คุณภักดิ์ภูมิสั่งให้เถอะค่ะอะไรก็ได้” ดอกโศกบอก
“โอเค”
ปรียากมลนั่งทานอาหารอยู่กับตระกูลในโต๊ะที่หลบมุมสายตาคน แต่มองเห็นทั้งร้าน ปรียากมลนั่งจ้องไปที่ดอกโศก
ตระกูลมองตาม “เอ๊ะ นั่น...”
“คุณรู้จักหรือ”
“เขาเป็นหลานของคุณเพ็ญ”
“หลานคุณเพ็ญ หลานทางไหน” ปรียากมลแปลกใจ
“ลูกของน้องสาว” ตระกูลบอก แต่ปรียากมลไม่สนใจฟัง
“ฉันเกลียดมันที่สุด นังเด็กคนนี้”
มิสซีสเบนส์กับเอ็ดดี้เดินเข้ามา ทักทายกัน ปรียากมลเห็นหญิงชาวฝรั่งวัยชราคนนั้นกอดดอกโศก ทักทายกันอย่างอบอุ่น
“ใครกันมั่ง” ปรียากมลพึมพำด้วยความประหลาดใจ “เด็กคนนั้นมาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ยังไง”
ระหว่างนั้น อัศนัย เพ็ญพักตร์ และบุรี เดินเข้ามาด้วยกัน บริกรพาไปนั่งโต๊ะอีกมุม
ตระกูลมองเห็นใจหายวาบ ครางเบาเบา “คุณเพ็ญ”
ปรียากมลหันไปดูตาม “นั่งเฉยๆ เขาไม่เห็นเราหรอก”
“ผมขอโทษนะปรียากมล” ตระกูลลุกขึ้นทันที
“โอเค หนีไปเถอะ หนีไป หนีไปให้พ้นนะ”
ตระกูลเดินหลบหลีกคนออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เพ็ญตระการซึ่งขอตัวเข้าห้องก่อนเข้าร้าน เดินออกมาจากห้องน้ำ เจอกับตระกูลเดินดุ่มๆ ออกมา ไม่ทำท่าเหลียวมองหรือมีพิรุธใดๆ
“คุณพ่อ” อุ๊แปลกใจ
“อุ๊”
“คุณพ่อจะไปไหน กลับหรือคะ”
“กลับ”
“อุ๊มากับคุณแม่ อานัยด้วย คุณพ่อไปหามั้ย” เพ็ญตระการชวน
“อุ๊...พ่อขอร้อง อย่าบอกคุณแม่ว่าเจอพ่อ”
อุ๊นึกสงสัย “คุณพ่อมากับใคร”
ตระกูลสายตาดูเป็นกังวลอยู่มาก “พ่อมากับเพื่อน...เขาเป็นแค่เพื่อน เชื่อพ่อ”
“อุ๊ไม่เชื่อ ไม่งั้นคุณพ่อจะหลบทำไม”
“เพราะคุณแม่เขากล่าวหาพ่อ”
“กล่าวหาหรือคะคุณพ่อ”
“อุ๊ไม่เข้าใจหรอกลูก วันนี้เราจะคุยกัน พ่อไปก่อนนะ” ตระกูลเดินไปอย่างเร็ว
สามโต๊ะอยู่ห่างกันพอสมคควร
“ร้านนี้เงียบสงบดี เคยอ่านพบในแม็กกาซีน แต่ไม่เคยมา คุณมาบ่อยหรืออัศนัย” เพ็ญพักตร์เอ่ยขึ้น เลือกได้อาหารถูกใจแล้ว จึงปิดเมนู
“ร้านประจำผม อาหารอร่อย ลองนะครับ” อัศนัยบอก
ระหว่างนั้นอุ๊เดินเข้ามา สีหน้ายังเครียดเรื่องพ่ออยู่
“ขอโทษนะคะ” อุ๊นั่งลง
“สั่งอาหารก่อน เขาคอยนานแล้ว...เป็นอะไรอุ๊หน้าตาแปลกๆ”
อุ๊พยายามรวบรวมอารมณ์ “อะไรอร่อยคะอานัย”
อัศนัยไม่ตอบ เห็นดอกโศกแล้วจึงจ้องเขม็ง
ในเวลาต่อมาภักดิ์ภูมิเซ็นชื่อในเครดิตการ์ด อาหารบนโต๊ะเก็บไปหมดแล้ว มีถ้วยอาหาร จานผลไม้ที่เหลืออยู่ชิ้นสองชิ้น บริกรส่งสลิปและการ์ดคืนให้ภักดิ์ภูมิ ทั้งหมดเตรียมตัวลุกขึ้น
อัศนัย เพ็ญพักตร์ บุรี และอุ๊ เดินมาถึงพอดี
ปรียากมลจ้องไปที่โต๊ะนั้น เห็นว่าทักทายกันไปมา เห็นเพ็ญพักตร์จับมือกับมิสซีสเบนส์
เอ็ดดี้ทักทายกับอุ๊ แล้วหันไปค้อมตัวจับมือกับเพ็ญพักตร์ ปรียากมลหรี่ตามองสนใจขึ้นมา
ปรียากมลจับจ้องที่มิสซีสเบนส์ และดอกโศก แล้วเลื่อนสายตามาที่มิสซีสเบนส์ เขม้นมองใบหน้าหญิงชรา
ปรียากมลสังหรณ์ใจอย่างประหลาด ทำไมผู้หญิงฝรั่งคนนี้ถึงมีท่าทีรักใคร่ดอกโศกนัก
เพ็ญพักตร์เอ่ยทักทาย “It ‘s very nice to meet you Mrs. Bens”
“Yes it really is” มิสซีสเบนส์ทักกลับ
เพ็ญพักตร์ออกเดิน แตะหลังมิสซีสเบนส์เบาๆ “Les ‘s go’ อุ๊ take care of Mrs. Bens - อุ๊ ดูแลคุณเบนส์ด้วย”
“Yes mother please Mrs. Bens - ค่ะคุณแม่ เชิญค่ะ” อุ๊รับคำแม่
“Thank you darling - ขอบใจนะจ๊ะที่รัก” เพ็ญพักตร์ว่า
ปรียากมลมองไป ไม่ได้ยินเสียง เห็นแต่ทุกกิริยาเคลื่อนไหว
ทั้งหมดพากันเดินออกไป ภักดิ์ภูมิรั้งท้ายเพราะมัวหยิบโทรศัพท์ หยิบกุญแจรถบนโต๊ะ แล้วเห็นผ้าเช็ดหน้าวางอยู่
“Mrs.Bens” ภักดิ์ภูมิเรียกเสียงดังพอประมาณ
จังหวะนั้นปรียากมลเดินเลียบๆ ออกมา หันหลังยืนนิ่ง ยกโทรศัพท์แนบหูทำท่าเหมือนกำลังพูดโทรศัพท์
มิสซีสเบนส์หันมา
“It this belong to you, Mrs.Bens?” ภักดิ์ภูมิว่า
คำเรียกท้ายประโยค กระแทกเข้าหน้าปรียากมลเต็มแรง
“Mrs. Bens” ปรียากมลอุทานออกมา แล้วอึ้งไปในทันที
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 13
หลังงานเลี้ยง ในตอนเย็นวันหนึ่ง มิสซีสเบนส์แวะมาคุยเรื่องดอกโศก กับสมใจ สมหวัง ที่บ้านในสลัม
“ฉันขอแอนเจล่าไปพักกับฉันที่โรงแรมสักคืน”
“อ๋อ” สมใจรับรู้
แต่...สมหวังท้วง “เอาไปทำไม”
“เออ...นั่นสิ เอาไปทำไม” สมใจสงสัย
“ไปนอนกับฉัน...เราจะพูดกัน” มิสซีสเบนส์บอก
“พูดอะไร”
“ทุกวันไม่พูดกันเลยหรือแหม่ม?”
มิสซีสเบนส์เหล่ตานิดๆ อ่านออกด้วยความฉลาด จึงก้มหน้าก้มตาเปิดกระเป๋า “คุยกัน...ใช่มั้ย แอนเจล่า” หันมาทางดอกโศก ที่นั่งอยู่ด้วย
“ค่ะ....คุยกัน”
สมหวังยิ้มมีความหวังมาก ใบหน้านั้นน่าขำ แต่เก็บอาการไม่ได้ชะโงกหรือออกท่าชัดเจน
มิสซิสเบนส์ส่งเงินให้สมหวังห้าพัน “เงิน...ฉันให้”
“เอ....เงินอะไรหรือแหม่ม” สมหวังทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ไม่ต้องหรอกแหม่ม เงินเรามี” สมใจไม่ยอมรับ
สมหวังรับมาอย่างเร็ว “จะเอาไว้ซื้อของให้โศกมันแล้วกันนะแหม่ม”
มิสซีสเบนส์ทักท้วง “ไม่แบ่งยายหรือ”
“ยายใจเงินเยอะแล้วมันไม่เอาหร้อก” สมหวังว่า
คุณย่าหยิบเงินส่งให้สมใจต่างหาก อีกหมื่น “ให้ยายอีกอย่าแย่งเขานะ”
“เท่ากันป่ะล่ะ” สมหวังถาม
“ไม่เท่า ของยายเยอะกว่า แต่เขาซื้ออาหาร เขาต้องได้มากกว่า” มิสซีสเบนส์ปลดนาฬิกาข้อมือ “ไว้ดูเวลา” ส่งให้สมใจ
สมใจเก็บเงินใส่กระเป๋าใบเล็กๆ ซุกไว้ที่หนึ่ง ดอกโศกกับย่าไปแล้ว
สมหวังพุ่งเข้ามาทันควัน “ไหน.....ดูซิ”
สมใจรู้ทัน หันมา เงินชูตรงหน้า สมหวังมองเหล่
“ฉันได้หมื่น แกได้ห้าพัน เอาไปอีกสาม แกได้แปดชั้นได้เจ็ด พอใจยัง”
“เอานากามาดูซิ คงแพง”
“เอาไว้ให้โศกมันเถอะ” สมใจบอก
“เดี๋ยวย่ามันก็ให้เองแหละ”
“อย่าของมันไปอย่าเลยตาหวัง ...ให้มันมั่งเหอะ” สมใจอ้อนวอน
สมหวังนิ่งไปเหมือนจะคิดได้ “งั้นเอาเจ็ดพันของแกมา”
“ทำไมแกเป็นคนอย่างนี้”
“คนยังไง”
“คนงกสิวะ” สมใจชักทนไม่ไหวแล้ว อุตส่าห์พูดดีๆ “เหลือไว้พันนะ” ส่งให้อีกหกพัน
สมหวังซัดหลอกๆ แต่ก็แรง ป๊าบเข้าที่ไหล่ ควักเงินได้แล้วไปทันที
สามคน ยาย ย่า และหลานเดินออกมา มิสซีสเบนส์หันกลับไปยืนมองสารรูปของบ้าน แล้วเหลือบไปสบตากับสมหวังที่ชะโงกหน้าต่างมอง สมหวังแตะหน้าผากท่าตะเบ๊ะด้วยมือที่ถือเงินปึกหนึ่ง แล้วผลุบเข้าไป
ดอกโศกกระซิบยาย “หนูไม่อยากให้ตารับเงินจากย่าเลย”
สมใจถอนใจ “รับมาแล้ว”
“ไม่อยาก” ดอกโศกย้ำ
“เอาเหอะ ย่าแกเขามี แล้วเขาก็เห็นว่าเราไม่มี” ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ชำเลืองไปในบ้าน “ตาแกดีใจยิ้มปากฉีก ย่าแกเขาก็คงดีใจเหมือนกันที่ให้ตังค์ตาแก”
“ยายรู้เค้าได้ไง”
“ดูหน้าเค้าสิ” สมใจพยักเพยิด บุ้ยใบ้ให้ดู
ใบหน้ามิสซีสเบนส์ อิ่มเอิบ แล้วก็หันมา
“ฉันจะคุยกับยาย...ได้มั้ย”
ครู่ต่อมาสองคนนั่งม้าหินหน้าบ้าน คุยเบาๆ
“มีอะไรเหรอแหม่ม”
“แม่ของแอนเจล่าอยู่ที่ไหน”
สมใจนิ่งอึ้งไปนาน คุณย่าฝรั่งมองอย่างพอเดาๆ ได้ “แต่งงานใหม่รึ”
“บอกจริงๆ นะแหม่มฉันไม่รู้หรอก”
“ไม่รู้...ทำไมไม่รู้” มิสซีสเบนส์สงสัย
“เขาไม่อยู่นี่ตั้งนาน...นานมากที่เขาออกไป...ไปจากฉันเหมือนตาย”
“เขาตายจริงเหรอ”
“ไม่ใช่...แหม่มฟังดีๆ เหมือนตายแปลว่ายังไม่ตาย” สมใจแปลไทยเป็นไทย
“อ๋อ...เขาไปเมื่อเขาอายุเท่าไหร่”
สมใจจำแม่น “สิบห้า”
คุณย่าฉงนนัก “สิบห้า..ไม่เรียนหนังสือรึ”
“มันก็จบ ม.3 แล้วล่ะ กะลังจะขึ้นม.4”
“ทำไมเขาถึงไป...”
สมใจนิ่งอึ้ง สะเทือนใจ หน้าเบะๆ แล้ว จะร้องไห้ “เขาโกรธฉัน...เมื่อเร็วๆ นี้เห็นเขายังไม่ทัก”
“โกรธเรื่องอะไร”
“แหม่มอย่ารู้เลย...เขาไปได้กับลูกชายแหม่มฉันก็ไม่รู้เรื่องนะ วันหนึ่งเขากลับมาก็อุ้มดอกโศกมาทิ้งไว้ให้เลี้ยง...เขาก็ส่งเงินมาเรื่อยๆ”
คุณย่าเหลียวมองไปที่ดอกโศก เห็นดอกโศกคุยอยู่กับป้าจาดห่างไปอีกนิด
มิสซีสเบนส์หันมา “เขาหน้าตาไม่ค่อยเหมือนจอร์จ เขาเหมือนแม่เขาหรือ”
“ไม่...เขาไม่เหมือนแม่ เหมือนใครก็ไม่รู้”
“เขาเป็นเด็ก...นิสัยดีไหมยาย”
สีหน้าแววตาของสมใจภาคภูมิใจนัก
“แหม่ม...แหม่มจะไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนเป็นเด็กดีเท่าไอ้โศก ฉันรับรอง...ฉันเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กฉันรู้ดีมันดีเหมือนใครฉันก็ไม่รู้เพราะอย่างชั้นเนี้ย...แหม่มก็เห็น เราคนจนปากกัดตีนถีบ หนทางที่จะทำดีมันก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่หนทางที่จะทำไม่ดี” หัวเราะนิดๆ “เห็นมั้ยล่ะ...แถวเนี้ย อย่าไปหวังอำนาจฝ่ายสูงจะทำให้คนทำดีเล๊ย...มีแต่อำนาจฝ่ายต่ำรอบตัวไปหมด”
มิสซีสเบนส์ มองไปทั่วบริเวณ เห็นเด็กๆ วิ่งไล่กัน ทะเลาะกันก็มี ไม่สนใจ แต่จับจ้องท่าทางผู้คน
“เอ้ะ แหม่มจะฟังรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”
“พยายามฟัง...พยายามฟังอยู่นะยาย”
“แต่ไม่ใช่ไอ้โศก ฉันรับรองด้วยเกียรติของคนจนที่ไม่ค่อยจะมีนี้แหละ” สมใจบอกน้ำเสียงขำๆ “ว่า...มันเป็น” เด็กดี
ย่ามิสซีสเบนส์สีหน้าอิ่มเอิบ ดีใจ ยายสมใจก็อิ่มเอิบ ย่า ยายนั่งคู่กันคุยกันเรื่องดอกโศกอย่างเป็นสุข
ปรียากมลนั่งนิ่งอยู่ในรถ บริเวณใกล้โบสถ์ สีหน้าสายตา คิดหนัก คิดคลางแคลงใจ สงสัยและไม่อยากคิด ปะปนกัน
ภาพดอกโศกอยู่กับมิสซีสเบนส์เวียนวนแจ่มชัด เสียงเรียกภักดิ์ภูมิ “Mrs. Bens” ดังก้องกังวาน
ปรียากมลฉงนใจมาก คิดไม่ตก ทำไมดอกโศกอยู่กับมิสซิสเบนส์ เปิดรถ ก้าวลงเดินไปช้าๆ เพื่อขจัดความคลางแคลง เป้าหมายมีในใจแล้ว
ที่หน้าโบสถ์วันนี้ ไม่ต่างจากวันอื่น ผู้คนย่านชุมชนแห่งนั้น ทำกิจกรรมคุ้นเคยของตัวเองไป ปรียากมลเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม โดดเด่น ด้วยเครื่องแต่งตัว รูปร่าง
ป้าผ่องเดินเร็วๆ สวนมา เด็กคนหนึ่งวิ่ง หันรีหันขวางตรงมา
“เฮ้ย...ระวังเว้ย” ป้าผ่องบอกเด็ก หอบวูบ จนตัวเซ ไปชนปรียากมล
ปรียากมลจำต้องจับแขนไว้ ป้าผ่องทรงตัวได้หันมามอง
“ขอบใจจ้ะ...เอ๊ะ” ป้าผ่องมองเพ่ง
ปรียากมลปล่อยแขนเร็ว แล้วเดินอย่างงามสง่าผ่านไป
ป้าผ่องเดินตาม เพ่งมอง
ระหว่างนั้นสมใจวิ่งเข้าหาปรียากมล ปรียากมลหยุดยืนนิ่ง มองจ้องแม่
สมใจยืนประจันหน้ากับลูกสาว มองจ้องนัยน์ตาตื่นเต้นจนน้ำตาคลอ แล้วค่อยๆ หมองลง หมองลง
“สุดจิตต์” เสียงสมใจครางเบาๆ
ปรียากมลไม่พูด สายตาสับสนอลหม่านในหัวใจ มองแม่นิ่งๆ
“ทิ้งแม่ไปเกือบยี่สิบปี ทำไมไม่กลับมาหาแม่มั่งเลย ใจดำเหลือเกินลูกเอ๊ย” สมใจเอ่ยต่อ
“ฉันส่งเงินมา” ปรียากมลว่า
“ได้แล้ว...ได้ตลอด แต่มันไม่เหมือนลูกมาเอง ...แม่คิดถึง” น้ำตาเริ่มคลอสะอึก
ปรียากมลเหลียวมองไปรอบๆ เห็นคนบางคนเริ่มมองมาแล้ว โดยเฉพาะหน้าป้าผ่อง ลอยอยู่ ทำท่าจะเดินเข้ามา
“ไปพูดกันที่อื่นเถอะ”
ปรียากมลเปิดประตูรถ สมใจมองรถอย่างเกรงๆ นิดหน่อย แล้วขึ้นไปนั่ง ปรียากมลขึ้นนั่ง ที่คนขับ แล้วปิดประตู
“จะไปไหน แม่ต้องซื้อกับข้าว”
“ลูกฉัน...อยู่ที่ไหน” ไม่ใส่ใจเรื่องใดอื่น
“ก็อยู่กับแม่ แม่เลี้ยงมันมาจนโต มันโตเป็นสาวแล้วนะ”
“เรียนชั้นไหน”
“มันจะเอนแล้ว จบ มอ. แล้ว มอ. อะไรหว่า มอ.หก” สมใจว่า
“อยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ไหน...แกถามยังไง ก็อยู่กับแม่”
“ผัวแม่ล่ะ” ประโยคนี้ปรียากมลกระแทกเสียง
สมใจสะอึกนิดๆ “เขาก็...อยู่นี่แหละ”
“ระวังด้วยแล้วกัน”
สมใจหน้าจ๋อยลง รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร “สุดจิตต์”
“พอแล้วแม่ อย่าเรียกฉันสุดจิตต์” เสียงตวัด “ฉันเปลี่ยนชื่อแล้ว เพราะฉันไม่อยากจำ..รู้ไว้ด้วยฉันอยากลืมอดีตทุกอย่างที่นี่” ปรียากมลพูดแทบเป็นตวาด
สมใจนิ่งไปนิด หน้าเบะๆ โดนตวาด “แต่ยังไงแกก็ยังเป็นสุดจิตต์ของแม่”
“ไม่ใช่...อย่าพูดอย่างนี้อีก ไม่อยากฟัง... เข้าใจมั้ยไม่อยากฟัง”
สมใจสะอื้นนิดๆ ซับน้ำตา ไม่อยากสะอื้น “ทำไม ทำไมล่ะ”
“เพราะ... “ปรียากมลหันมาจ้องแม่แน่วนิ่ง “เพราะฉันไม่ใช่ลูกของแม่ ..วันที่ฉันหนีไป แม่ไม่มีลูกคนนี้” ตีอกชกตัวเอง “วันนั้นแม่มีแต่ลูกใหม่ มีแต่พ่อของพวกมัน ที่เป็นผัวใหม่ของแม่”
สมใจนึกสะท้อนใจ สะอื้นเงียบๆ
“ขนาดผัวแม่มันจะเอาฉันเป็นเมีย...แม่ก็รู้ แต่แม่ทำอะไร”
สมใจยังนิ่ง
“แม่ทำอะไรมั่ง ไม่ทำอะไรเลยเพราะอะไร เพราะแม่กลัวมันจะไม่อยู่กับแม่ แม่เห็นแก่ผัวแม่มากกว่าลูก”
“พอเถอะ...พอ แกอย่าพูดอะไรอีกเลย แม่ผิดไปแล้วแม่ยอมรับ แต่รู้ไว้ด้วยนะสุดจิตต์ แม่คิดถึงแกตลอดเวลา ทำไมแกไม่มาหาแม่มั่ง แกหายไปเหมือนตาย...”
ปรียากมลสวนคำออกมา “พูดให้ตายฉันก็ไม่เชื่อ แม่ไม่เคยรักชั้นเพราะแม่เกลียดพ่อชั้นเพราะเค้าแก่แล้วบังคังแม่เป็นเมีย แม่เกลียดพ่อแม่ก็เลยเกลียดลูก”
สมใจก้มหน้าลงร้องไห้กระซิกๆ
ปรียากมล มองออกไปข้างนอก สายตาเจ็บปวดเพ่งมองไปไกลๆ
สมใจเอ่ยขึ้น “อยากพบลูกมั้ยสุดจิตต์...”
ปรียากมลหันมา ใจสั่นสะท้านเมื่อเอ่ยปากถามเสียงเรียบ “ลูกสาวฉัน....ดอกโศกใช่มั้ย”
สมใจตอบแบบธรรมดาๆ ไม่เน้น “ใช่ ก็มันโศกเศร้ามั้ยล่ะ ชีวิตมันพ่ออยู่ไหนก็ไม่รู้ แม่มาเบ่งทิ้งไว้แล้วก็ทิ้งไปเหมือนลูกหมูลูกหมา”
เสียงนั้นของสมใจดังแว่วๆ ในหูปรียากมล ที่ตัวแข็งชาไปทั้งตัวจนต้องหงายไปพิงพนัก หัวใจวาบหวิวเหมือนเป็นลม
เสียงสมใจพรั่งพรู ปรียากมลได้ยินแว่วๆ
“แม่ก็ได้แต่เลี้ยงมันให้โต แต่มันดี กตัญญู ช่วยงานที่บ้านทุกอย่าง ทำมาหากินตั้งแต่เล็กๆ ขายหนังสือพิมพ์ ขายของทำทุกอย่างให้ได้เงินมาเว้นตอนที่ตามันเอาไปเลี้ยงนั่นแหละ”
ปรียากมลหันมา “ใครเอาไปเลี้ยงนะ...ไม่ใช่ย่าเหรอ”
“ตา ตานายทหารมันเอาไปเลี้ยงตั้งตะยังไม่สิบขวบจนโตเป็นสาว ตายไปไม่ทิ้งให้ซักกะตังค์ มันกลับมาอยู่กับชั้นแต่ตอนหลังเพิ่งเจอย่า ย่าแกรวยมาเอาไปอยู่ด้วยวันสองวัน ไม่เอาไปเลยทีเดียวหรอก แต่เขาให้สมบัติเยอะแยะ อย่างกันว่า....”
ปรียากมลหันขวับฉุกคิด “แม่” ซักกลางคัน “มันมีคู่รักแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ มีแล้วชื่ออัศนัย นั่นก็รวยเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงลูกแกมันสบายแล้ว เขาว่าเรียนจบจะแต่งงาน ผู้ชายเขาดีอยู่หรอก” สมใจพูดพาซื่อ
ปรียากมลตวาด “พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก”
“อ้าว แกถามเอง” สมใจงวยงง
“แม่กลับบ้านเถอะ แล้วฉันจะมาหาใหม่” เปิดกระเป๋า หยิบเงินให้หมดทั้งกระเป๋า “มีเท่านี้ แม่เอาไปก่อน”
“เออ...ขอบใจ ถ้าแกอยากพบลูก” สมใจต้องหยุด ปรียากมลขัดขึ้น
“ฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
สมใจกำลังจะถาม แต่มองหน้าปรียากมลแล้วเปลี่ยนใจ พยักหน้ารับรู้ เปิดประตูรถ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
สมใจถาม “จะมาหาแม่อีกมั้ย”
ปรียากมลพยักหน้า กดรับสาย “ฮัลโหล”
สมใจลงรถ กำลังจะปิดประตู
“กำลังพูด...ปรียากมลกำลังพูดได้ยินมั้ย”
สมใจได้ยินเต็มสองหู
นึกถึงคำพูดอัศนัยที่บอกว่าคู่รักชื่อปรียากมลดังก้องในหู
สมใจอ้าปากค้าง มองดูลูกสาว ช็อคคาที่
“แม่...” ปรียากมลเอ่ยขึ้น งงๆ
“สุดจิตต์ แกรู้....แกรู้จักดอกโศกใช่มั้ย แกเป็น...เป็น” เสียงสมใจขาดๆ หายๆ ละล่ำละลัก
ปรียากมลไม่ตอบ มองแม่นัยน์ตาเข้มจัดมาก
สมใจ มือไม้เงอะงะทำอะไรไม่ถูก ส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าอย่านะ
ปรียากมลออกรถ สมใจตกใจ รถเพิ่มความเร็ว
สมใจวิ่งตามไป “อย่านะสุดจิตต์ สงสารลูกมันน่ะ เดี๋ยว สุดจิตต์ประตูยังไม่ปิด”
ปรียากมลขับรถเหวี่ยงให้ประตูปิดเอง รถแล่นพรวด ทะยานไปอย่างเร็ว
สมใจยืนงงงัน ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำหูน้ำตาออกมาเลอะเทอะเปื้อนปนเต็มหน้า ร้องไห้น่าเวทนามาก
สมใจนอนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาชอกช้ำ ทุกข์ใจเหลือเกิน สมหวัง นอนกรนอยู่ข้างๆ ไม่รับรู้ใดๆ
ปรียากมลอยู่ในชุดเดิม นอนซบ พาดลำตัวนอนขวางเตียง คราบน้ำตาเปรอะไปหมด
จังหวะหนึ่งพลิกตัวนอนหงาย มองเพดาน คิดหนัก
ครู่ต่อมาปรียากมลนั่งห้อยขา หน้าก้มต่ำ อยู่ข้างเตียง
ปรียากมลนั่งชันเข่าสองข้าง พิงฝา หน้าแหงนเงย แก้วเหล้าในมือเอียง น้ำเหล้าในแก้วไหลลงทีละหยด
ปรียากมล อยู่ในชุดสวยเปรี้ยว เตรียมจะออกไปข้างนอก กุญแจรถอยู่ในมือแล้ว เดินเซๆ ไปเปิดประตูออกไป ตระกูลยืนอยู่
“มาทำไม...” ปรียากมลพูดใส่หน้า เสียงอ้อแอ้...เมาค้างอยู่ “ยังไม่ได้เรียก”
“ผมเป็นห่วงคุณ”
ตระกูลเช็ดหน้าให้ ปรียากมลนอนบนโซฟา “ตัวคุณร้อน น่าจะมีไข้นิดหน่อย” ตระกูลบอก
ปรียากมลกินยา ส่งแก้วคืนให้ตระกูล
ตระกูลถือชุดนอนมาด้วย “เปลี่ยนเสื้อนอนเถอะ คุณจะนอนสบายกว่า”
ปรียากมลใส่ชุดนอน นอนซบเซาอยู่บนเตียง ตระกูลห่มผ้าให้ เห็นชุด ถูกเหวี่ยงอยู่บนเตียงหมิ่นๆ จะร่วงลงพื้น
ตระกูลถือชุดเหล่านั้น แล้วไปใส่ตะกร้าผ้ามุมห้อง แล้วยืนนิ่งมองปรียากมล
ตระกูลก้มลง จูบเบาๆที่แก้ม ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ เหมือนเสียงละเมอ
ที่ห้องในโรงแรม คืนวันนั้น
“Eddie” มิสซีสเบนส์เดินออกมจากห้องข้างในห้อง เห็นสองคน
เอ็ดดี้กำลังคุยอยู่กับดอกโศก หันมามองคุณย่า
“You should go back to your room. - กลับห้องได้แล้ว”
“We’re not sleepy yet grandma. Have many stories to talk. - ยังไม่ง่วงครับคุณย่า..มีเรื่องคุยเยอะ” เอ็ดดี้บอกคุณย่า
“It’s getting late - ดึกแล้ว” มิสซีสเบนส์บอกต่อ “ Angela has to work tomorrow. - แอนเจล่าต้องไปทำงาน”
“She can be a little bit late cuz ภักดิ์ภูมิ has something to do before getting to the office. - ไปสายได้นิดหน่อย เพราะภักดิ์ภูมิมีบางอย่างต้องทำก่อนไปทำงาน”
“That’s not good for her you know.(มันไม่ดีเธอก็รู้) Angela should be there before ภักดิ์ภูมิ arrives in. - แอนเจล่าควรถึงก่อนภักดิ์ภูมิ”
“All right grandma….going now. - ครับคุณย่าไปเดี๋ยวนี้”
มิสซีสเบนส์กลับเข้าไปห้องนอน
“Haven’t told you about สายชลโฮเต็ล - ไม่ได้เล่าเรื่องโรงแรมสายชล Have I ? - เอ๊ะหรือเล่าแล้ว” เอ็ดดี้หมายถึงโปรเจ็คท์โรงแรมที่หัวหิน
“not yet (ยัง) But grandma’s gonna tell by herself she said. - คุณย่าจะเล่าเอง” ดอกโศกว่า
“That’s not fun at all (ไม่สนุกหรอก) should be me (ต้องผมเล่า) There’s a lot of funny stories. (มีเรื่องขำๆเยอะ”
ดอกโศกส่ายหน้า ผายมือให้ไปได้
“O.K.” เอ็ดดี้ลุกขึ้นคุกเข่า ชะโงกหน้าเข้าไปถามแซว “How much you love him? - รักเขามากมั้ย”
ดอกโศกขำ หมุนตัวนิดๆ อยู่ตรงหน้า ส่ายหน้า ไม่บอก
เอ็ดดี้อ้อน “Please.”
“I’m a student. Nobody wants students loving instead of learning. - ฉันเป็นนักเรียน ไม่มีใครอยากให้นักเรียนรักมากกว่าเรียนหรอก” ดอกโศกบอก
“Cool answer. - ตอบได้เจ๋งมาก”
“But…..? do anyway. แต่ ฉันก็กำลังรัก”
“Pity me - สงสารตัวเอง”
“Good night….Eddie.”
“Sweet dream. - ฝันหวานนะ”
ดอกโศกหัวเราะคิก เดินไปส่งที่ประตู
“Why?” เอ็ดดี้หันมาถาม
“Why do I laugh?” เอ็ดดี้...yeh ดอกโศกพูดต่อ “ที่คุณพูดมันเชยมาก”
“เชย...ภาษาอังกฤษไม่มี แต่ผมอยากให้คุณฝันหวานจริงๆ นะ...แอนเจล่า”
ว่าพลางเอ็ดดี้จับมือดอกโศก จูบเบาๆ บนหลังมือ แล้วไป
ดอกโศกล้างมืออยู่ในห้องน้ำ ล้างรอยจูบที่เอ็ดดี้จูบ เสร็จแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมามองแล้วตก
หน้าจอขึ้นข้อความว่า “อัศนัย 5 miss call”
ดอกโศกอยากกดตอบกลับ แต่ลังเล ดูนาฬิกา เห็นเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว ดอกโศกเปลี่ยนใจเก็บมือถือใส่กระเป๋า เดินไปห้องนอน
สองคนนอนเคียงกัน ดอกโศกนอนหงายมองเพดาน นิ่งอยู่ คิดว่าย่าหลับ
ดอกโศกหลับตาแล้วหันหลังให้ย่า
“Life is beautiful Angela. - ชีวิตสวยงามนะแอนเจล่า”
ดอกโศกหันมามอง
“and love is beautiful too. - ความรักก็สวยงามเหมือนกัน”
ย่าเอื้อมมือมาลูบผมเบาๆ ดึงดอกโมกเข้าไปในอ้อมแขน
“ย่ารักพ่อของหนูมาก เขาเป็นชีวิตของย่า เขาตายไป เหมือนย่าชีวิตไม่มี แต่วันหนึ่งหนูก็มา...ย่าจะอยู่ถึงอายุร้อยปี”
ดอกโศกซาบซึ้งกอดย่า หัวเราะเบาๆ
“I do love you Angela.”
“I love you too.” ดอกโศกยิ้มสวยซึ้ง
สองคนไม่รู้ว่าคืนเดียวกันนั้น สมใจนั่งร้องไห้อยู่ในบ้านอย่างขมขื่น ทุกข์ใจแสนสาหัส
อ่านต่อ ตอนที่ 14 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.