ดอกโศก ตอนที่ 8
สมปองขึ้นนั่งประจำที่คนขับบนรถตุ๊กตุ๊กแล้ว มองกลับขึ้นไปที่หน้าตึกโรงพยาบาล เห็นอัศนัยยืนมองดอกโศกอยู่ ในขณะที่ดอกโศกก้มหน้าท่าทางเศร้าสร้อย อัศนัยก้าวเข้าไปใกล้ ก้มลงมองหน้าอีกนิด
สมปองเพ่งมองภาพนั้นด้วยสีหน้าพิศวง นึกตรึกตรอง และยังคงมองภาพนั้นอยู่
ต่อมาสมปองเห็นอัศนัยตบหลังดอกโศกอย่างปลอบโยน แล้วจูงมือดอกโศกมาทางที่รถตุ๊กตุ๊กจอดอยู่
สมปองเปลี่ยนสายตา มองหน้าทั้งคู่ยิ้มๆ ขณะสตาร์ทเครื่อง
“ขึ้นรถ...ไอ้โศก”
“พาไปส่งถึงบ้านนะปอง” อัศนัยบอก
“โอ้ย...ใครจะไปส่งถึงบ้านเดี๋ยวส่งหัวถนนเนี้ยก็พอแล้ว” สมปองนึกอยากลองใจอัศนัย
“อ้าว!” อัศนัยอึ้ง
สมปองเรียกซ้ำ “ขึ้นรถ”
ดอกโศกรีบไหว้ลา ก้าวขึ้นรถทันที
อัศนัยเปลี่ยนใจ “ฉันไปส่งดีกว่า...ปอง เดี๋ยวก่อน ดอกโศกลงมา..มาไปกับ...คุณนัย”
“ไม่ต้องฉันไปล่ะ” เสียงเร่งเครื่องดังบึ๊น...บึ๊น รถตุ๊กตุ๊ก แล่นพรวดไป
“เฮ้ย....เดี๋ยว”
สมปอง หันมายกมือทำท่าโอเคให้อัศนัย..พร้อมกับยิ้มล้อๆ
อัศนัยที่กำลังวิ่งตามรถ หยุดกึก แล้วส่ายหัวกับตัวเอง รู้ตัวว่าโดนหลอก
“เฮ้อ...ปองนะปอง”
ดอกโศกเปิดประตูเดินเข้าห้องตัวเอง พอเปิดเข้ามา เห็นเพ็ญตระการยืนขวางทางอยู่
ดอกโศกมองนัยน์ตาเฉยเมย
“ไปไหนมา ชั้นคอยตั้งนาน”
“ขอโทษ”
“ไปขอโทษกับคุณตาเถอะ” พูดจบก็หันหลังกลับ
ดอกโศกยืนนิ่งงัน
ดอกโศกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินดุ่มๆ ตามอุ๊ เพื่อตรงไปยังห้องนายพลสุดเขต
อุ๊พูดออกมาอีก “งานยังต้องทำอย่าลืม”
ดอกโศกเดินหลีกไป สีหน้าเฉยแบบกวนประสาท
“อีบ้า” อุ๊พูดเสียงคำว่าอีอยู่ในคอ “บ้า...บ้าจริงๆ” ด้วยความโมโหหันไปมา แล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ตรงนั้นปาใส่เต็มแรง
ดอกโศก คะมำไปทันที แล้วทรงตัวยืนนิ่ง
“รีบไปก่อนที่ชั้นจะเอาอะไรปาอีก”
ดอกโศกยังยืนเฉย สีหน้าเข้มจัด
“เธอมันบ้า เป็นคนบ้า กวนประสาท ทำเป็นคนดีไม่พูดไม่จา ที่แท้ใจเธอคิดด่าคนอยู่ตลอดเวลา” ว่าแล้วอุ๊กก็ขยับเดินเข้าผลักซ้ายผลักขวาเพราะอดโมโหไม่ไหวแล้ว “ใช่มั้ย ชั้นดูนัยน์ตาเธอก็รู้”
ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน
“ฉันเกลียดเธอดอกโศก” อุ๊พูดแทบเป็นตวาด
ดอกโศกทำสีหน้าเหมือจะพูดว่าแล้วฉันไม่เกลียดเธอหรือ
“ตัวมาร...มารทุกอย่าง เกลียด...เกลียด”
ระหว่างโอ๋โผล่เข้ามาพอดี “พี่อุ๊...เป็นไรเหรอ เสียงดังเชียว”
“โอ๋ นี่ดูยัยบ้านี่”
“ทำไมเหรอ”
“มันกวนโมโหพี่ พูดด้วยเค้าไม่ตอบ ทำหน้าเหมือนคนบ้า...ประสาทจริงๆ”
“เหรอ...พี่อุ๊พูดด้วย ทำไมไม่พูด ฮึ เธอ...จะพูดอะไรก็พูดสิ” ว่าดอกโศกแล้วจึงหันมาพูดกับอุ๊ “พี่อุ๊ว่าอะไรเค้าล่ะ”
“แค่บอกว่าเกลียดเท่านั้นแหละ” อุ๊บอก
“จริงดิ....โอ๋ก็เกลียดเพราะแบบว่าเค้าน่ะมาอยู่แล้วมีแต่เรื่องเนอะ”
อุ๊จ้องหน้าดอกโศก “ว่าไง ดอกโศกจะพูดอะไรก็พูดมาเดี๋ยวนี้นะ เพราะชั้นจะหมดความอดทนแล้วเธอจะเจ็บตัวมากกว่านี้”
“พูดสิ...พูด” โอ๋จับดอกโศกเขย่าแขน “บอกให้พูด”
“เอาเลยโอ๋ เขย่าให้แขนหลุดเลย” อุ๊ยุส่งอย่างสะใจ
“นี่แน่ะ...นี่แน่ะ”
ดอกโศกจับแขนโอ๋แน่นและมั่นคง มองตาโอ๋นิ่ง
“พี่อุ๊...” โอ๋เหลียวหันมาหาอุ๊เสียงสั่นนิดๆ
“กลัวมันทำไมโอ๋”
“เจ็บนะ” โอ๋บอกออกมา
“หัดมีความคิดของตัวเองมั่ง โตแล้ว” ดอกโศกบอกจ้องหน้าโอ๋
“พี่อุ๊...”
อุ๊กระชากแขนดอกโศกจนถลา แล้วผลักไปเต็มแรง
“ว่าน้องชั้นทำไม เค้าจะยังไง เธอไม่ต้องเดือดร้อน” อุ๊ตวาด ตาโตใส่
“เค้าก็เป็นน้องชั้นเหมือนกัน เธอทำให้เค้าไม่ได้ใช้สมอง”
“ไม่ใช่น้องย่ะ เค้าไม่ใช่น้องตัว” โอ๋บอก
“ได้ยินหรือเปล่าไม่มีใครนับญาติกับเธอไม่จำเป็นอย่าอยู่ที่นี่เลย กลับไปอยู่บ้านกระจอกของเธอเถอะ...ไป๊” อุ๊ตะเพิด
ดอกโศกหันหลังแล้วเดินไป
“เกลียดมันที่สุด”
“ทำไมเค้าว่าโอ๋ ไม่ใช้สมองล่ะพี่อุ๊” โอ๋ยังติดใจคำพูดประโยคนั้น
“ไม่รู้...คิดเองสิ” อุ๊เดินหนีไปอย่างเร็ว
ปล่อยให้โอ๋ยืนหน้าขุ่นมัวอยู่ตรงนั้น
โอ๋เดินออกมาที่สนามหน้าบ้าน โอ๋ยืนคิด นึกถึงคำพูดดอกโศก
“เธอทำให้เค้าไม่ได้ใช้สมอง”
ส่วนดอกโศกนั่งอยู่ต่อหน้าคุณตาในห้องแล้ว
“ไม่ได้กลับบ้านพร้อมอุ๊เหรอ...ทำไม”
“หนูไปหาป้อมค่ะ”
สุดเขตหน้าตึงขึ้นมา “ไปหาป้อม...เพื่อนผู้ชายเจ้าน่ะหรือ”
“ค่ะ...เขาโดนซ้อมเจ็บมากอยู่โรงพยาบาลค่ะ”
สุดเขตนิ่งอึ้ง สายตาจับจ้อง “เขาไม่ได้เป็นคู่รักของเจ้าแน่นะ”
“แน่ค่ะ”
“ใครซ้อม โดนซ้อมเรื่องอะไร”
เวลาเดียวกันโอ๋ ยืนอยู่ที่เดิมกับอ้นที่เดินเข้ามาหา โอ๋เล่าเรื่องให้อ้นฟัง ท่าทางเศร้า
อ้นคิดตาม
“แต่โอ๋รู้แล้วเค้าว่าโอ๋โง่ ไม่มีปัญญาคิดอะไรเอง”
อ้นถอนหายใจยาว “ตัวเองโง่จริงมั้ยล่ะ”
“คงใช่มั้งพี่อ้น คุณพ่อก็ว่าโอ๋โง่เรื่อยเลย”
“ลุงพฤกษ์ไม่รู้นะ แต่ฉันจะพูดที่ดอกโศกว่า” อ้นบอก
“ทำไมพี่อ้นว่าจริงเหรอ”
“ฮื่อ” อ้นพยักหน้า
โอ๋หน้าสลด “งั้นโอ๋ก็โง่จริงด้วย”
“เพราะโอ๋น่ะ อุ๊ว่าอะไรก็ว่าอย่างนั้น” อ้นพูดต่อ
“ก็โอ๋คิดเหมือนกันนี่” โอ๋แย้งขึ้นมา
“ไม่ใช่หรอก เพราะโอ๋เชื่ออุ๊ แล้วอุ๊น่ะคิดแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น...ก็เรื่องดอกโศกนั่นแหละ ดอกโศกไม่ดีอย่างนั้น...ไม่ดีอย่างนี้”
“ยังไม่เห็นเกี่ยวกะโอ๋โง่เลย” โอ๋ยังคิดไม่ได้อีก
“เกี่ยวตรงที่ถ้าให้โอ๋คิดเองโอ๋ก็ไม่คิดอย่างอุ๊ เพราะโอ๋ไม่ได้มองใครๆแง่ร้ายเหมือนอุ๊แต่เพราะโอ๋เชื่ออุ๊ทุกอย่าง อุ๊พูดอะไรโอ๋ก็เชื่อ ถามหน่อยเหอะ โอ๋เห็นจริงๆ เหรอว่าดอกโศกเค้าเป็นคนไม่ดี”
คราวนี้โอ๋นิ่ง
“ถอยออกมาห่างๆ อุ๊ แล้วคิดทุกครั้งที่อุ๊พูดว่าดอกโศกไม่ดี” อ้นสอนน้อง
โอ๋คิดตาม
“เหมือนที่ดอกโศกเค้าพยายามเตือนโอ๋ว่าให้ใช้สมองของตัวเองซะมั่ง”
แม้จะคุยเรื่องซีเรียสจริงจัง แต่ทั้งโอ๋ และอ้น ต่างพูดจากันแบบเด็กวัยรุ่นม.ปลายทั่วไป
นายพลสุดเขตกังวลเรื่องป้อม ไม่อยากให้ดอกโศกไม่ยุ่งเกี่ยวมากนัก
“เพื่อนของเจ้ามีปัญหามาก เจ้าควรจะระมัดระวังตัว อย่าพัวพันกับเขามากนัก”
“เขาไม่มีใครเลยค่ะคุณตา แม่เขาตายญาติพี่น้องก็ไม่มี” ดอกโศกบอก
“แล้วไง เขาไม่มีใคร แล้วเจ้าก็เลยจะเป็น “ใคร” ให้เขาล่ะ”
“ไม่เป็นใครค่ะ เป็นเพื่อน...เป็นเพื่อนตายของหนูคนเดียวในโลกนี้ค่ะ” ดอกโศกบอกต่อ
สุดเขตได้ฟังคำนี้ นิ่งอึ้งไปเลย
ดอกโศกเล่าต่อ “เขาโตขึ้นมาแบบตัวคนเดียว หนูก็โตมาแบบตัวคนเดียว ตอนนี้หนูสบายกว่าป้อม หนูไม่มีวันทิ้งป้อม เขาเดือดร้อนอะไรถ้าหนูช่วยได้หนูต้องช่วยค่ะ”
“เจ้าโตแบบตัวคนเดียว ทั้งยาย ทั้งน้า เขาไม่รักเจ้าเลยหรือ” สุดเขตจ้องหน้าหลานสาว
ดอกโศกยิ้มปลอบใจตัวเอง ทั้งๆ น้ำตาคลอๆ “รักค่ะ แต่เขาก็มีปัญหาของเขาเองมากอยู่แล้วค่ะ”
“ปัญหาอะไร” สีหน้านายพลสุดเขตฉงน
ปัญหาของยาย...สมใจ ก็ไม่ต่างจากวันอื่นๆ ในชีวิต สมใจถูกสมหวังทำร้ายทุกครั้งที่ทำอะไรขัดใจ เหมือนอย่างในเวลาเย็นของอีกวันต่อมา
สมหวังฟาดซ้าย ฟาดขวา จนสมใจลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ใกล้ๆ หาบขายขนมที่วางอยู่ สมใจยังตามไปกระชากแขนขึ้นมาแล้ว ฟาดตีไปตามเนื้อตามตัว บางจังหวะหิ้วแขนขึ้นมา เขย่าไปมา
สมใจอึดนัก ยังไม่ร้องสักแอะ แต่เห็นสีหน้าเหมือนระเบิดจะทนไม่ไหว
เป็นเรื่องปกติ ที่สมใจจะไม่ร้องไม่โวยวาย สุดท้ายทนไม่ได้ กรี๊ดใส่หน้าตา เสียงดังมาก จนสมหวังตกใจ พอตั้งตัวได้สมหวังจึงตบเปรี้ยงอีกที จนร่างสมใจคะมำคว่ำไป
สมใจเงยหน้า เลือดกบปาก
เวลาเดียวกัน บริเวณทางเดินเข้าบ้านสลัม ดอกโศก อยู่ในชุดนักเรียน เดินมากับสมปอง
“ขอตังค์แม่แกคงให้ แต่แกยังไม่รู้ว่าป้อมมันย้ายไปไปอยู่ห้องพิเศษรู้โวยแน่...เออ เอางี้ ค่าห้องพิเศษน้าออกให้เอง...เงินยังมี” สมปองเอ่ยขึ้น
ดอกโศกไหว้ “ขอบคุณน้าปอง”
“ไม่ต้อง...ไม่ต้อง เงินทองของนอกกายเว๊ยอย่าไปให้มันสำคัญมากกว่าน้ำใจ”
“จ้ะ น้าปอง”
“เงินน่ะ หมดง่าย แต่น้ำใจหมดยากนะ จำคำน้าไว้”
เหตุการณ์ในบ้านสมใจเวลานั้น สมใจถลันลุกพรวดขึ้นมา
“โว๊ย อะไรของมึงวะ กูไม่ใช่กระสอบทรายนะเว้ย คน...กูเป็นคน มึงซ้อมกูเป็นหมูเป็นหมาหยั่งเงี้ยะ มึงใช่คนรึเปล่า”
“นี่แน่ะ” สมหวังตบอีกฉาด “นังตัวดี กล้าเถียงกูเรอะ”
สมใจเลือดเต็มปากแล้วพูดไปร้องไห้ไป ทั้งน้ำมูกปนน้ำตาปนเลือดเปรอะเต็มหน้า เถียงอย่างเหลืออด
“เออ กูเถียง มึงมันหมาไม่ใช่คน กูเป็นเมียมึงทำมาหากินให้มึงใช้ มึงกินอยู่ทุกวัน กูก็ยอมนึกว่ากูเลี้ยงหมาก็ต้องให้หมากิน นี้หมามันกัดกูทุกวัน ฮือ..ฮือ ทำไมข้าวกูไม่มียาง กูจะปล่อยมึงกัดกูทำไม ฮือ...ฮือ กูไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว” สมใจคว้ามีดตรงนั้นชูขึ้น “เข้ามาสิวะ ไอ้สมหวัง”
ดอกโศกกับสมปองเข้ามาเรียก “ยาย” เรียก “แม่” พร้อมกัน
สมใจได้ยินหันมาดู อาศัยจังหวังสมใจเผลอสมหวังเตะสูง มีดกระเด็นจากมือ
ดอกโศกกับสมปองร้องวี๊ด ผวาเข้าไป
สมหวังพุ่งเข้ามาชี้หน้า “อย่านะมึง ใครเข้ามากูเอาตาย นังสมใจ มึงอย่าหือ รู้แล้วว่าหือแล้วเป็นไง....รู้แล้วใช่มั้ยวะ” ว่าพลางถลันเข้ามาอีก
สมปองร้องเสียงหลง “พ่อ อย่า”
“อย่าจ้ะตา” ดอกโศกอ้อนวอน
“มึงสองคนไปให้พ้นหน้ากู ไม่งั้นแม่มึงตาย” สมหวังขู่
“ทำไมล่ะ ทำไมต้องฆ่าให้ตาย ฆ่าแม่ตายแล้วอะไรดีขึ้น ใครจะหาเงินให้พ่อกินเหล้าเล่นหวย” สมปองเหลืออดแล้ว ร้องไห้ออกมาอย่างเหลือใจ
“มึงอย่าขึ้นเสียงนังปอง ถ้าไม่งั้นกูเอามึงตายอีกคน”
“เอาเล๊ย ฮือ....ฮือ เอาสิฆ่าชั้นให้ตายอีกคน ต่อไปคนตายก็พ่อนั่นแหละ.....อดตาย”
“นังปอง” สมหวังปราดเข้ามา เงื้อแขนขึ้นสุดแรงเกิด
ดอกโศก คว้าแขนสมปองหลบไป สมหวังฟาดฝ่ามือลง เสียงดังฉาด...ดอกโศกหน้าสะบัดไปทันที ทรุดฮวบลง
“โศก....โธ่เอ้ยโศก เจ็บมั้ย พ่อทำมันทำไมมันตัวนิดเดียว ดูซิ...ฟันหักมั้ย เลือดออกด้วย”
“กูจะทำให้หมด ใครขวางอย่าอยู่เลยวะ” สมหวังเลือดขึ้นหน้า
“เฮ้ยหยุด มานี่ มึงมาเอาเงินไป แล้วหยุดเป็นหมาบ้าซะที” สมใจยุติเหตุการณ์
“แม่...ไม่ต้องให้เงินพ่อ เก็บเงินไว้ให้ป้อม” สมปองบอก
สมหวังยิ่งยั๊วใหญ่ “อะไร ให้ไอ้ป้อม เอาเงินให้ไอ้ป้อมเรอะ อีปอง อีสมใจ อย่านะมึง ถ้ามึงให้ไอ้ป้อม แม้แต่สตางค์เดียว กูจะฆ่าไอ้ป้อมซะเลย”
“เออ...ไม่ให้ มึงมาเอาไป” สมใจบอก
“แต่ชั้นให้....ทำไมเงินของชั้น ชั้นทำมาหากินเองจะให้ใครก็ได้” สมปองตะโกนใส่หน้าพ่อ
สมหวังตบอีกฉาด หน้าสมปองสะบัดไปตามแรงทันที
ระหว่างนั้นสมหมายโผล่พรวดเข้ามา “อะไรกันเนี่ย พ่อ....อาละวาดอีกแล้วเรอะ”
“ไอ้หมาย....มึงหุบปากไม่ใช่เรื่องของมึง” สมหวังตวาดสมหมาย
“แม่...พี่ปอง โห....เลือดเต็มปากเลย พ่ออะไรกันนี่ทำไมซ้อมลูกซ้อมเมียอีกแล้ว” สมหมายเห็นสภาพแต่ละคน น้ำตาคลอลงนั่งจับเจ่า “ทำไมพ่อไม่เป็นลูกผู้ชายเลย”
สมหวังเข้ามาตบหลังหมายอย่างแรง จนร่างสมหมายคะมำ สมหมายพุ่งตัวไปหาแม่ กอดแม่ไว้แน่น
ดอกโศก ยืนกุมแก้มตลอดเวลาเพราะเจ็บมาก
“โศก เฮ้ย โดนด้วยเรอะ พ่อทำมันทำไมมันไม่ได้อยู่นี่แล้วนี่โห...โดนหมดทั้งสามคนเลยเรอะเนี้ย”
“มึงจะโดนเป็นคนที่สี่” สมหวังถลาเงื้อง่าแขนเข้ามา
“ตา....พอเถอะจ้ะ” ดอกโศกพนมมือไหว้ “หนูขอร้อง เจ็บกันทุกคนแล้ว”
ทุกคนเงียบงันไปหมด ต่างอยู่ในอิริยาบถที่น่าสงสารของตน เจ็บ...จนน้ำตานองหน้า พูดไม่ออกถ้วนทั่ว
“นังสมใจเอาเงินมา”
สมใจหยิบเงินส่งให้
“แล้วอย่าเอาเงินให้ไอ้ป้อม ถ้ากูรู้ พวกมึงไม่ตายดีหรอก”
สมหวังเดินออกจากบ้านไป เจอะนัยน์ตาดอกโศกมองจ้องอยู่
“มึงไปหาทางช่วยไอ้ป้อมเอง อย่ามาเดือดร้อนคนบ้านนี้ ไอ้ป้อมมันผัวมึงนี่”
สมหวังเดินออกไปผ่าวงเพื่อนบ้าน 2- 3 คน ที่เดินมาดูเหตุการณ์ สมหวังตวาดใส่ “ดูอะไรวะ ไม่เคยเห็นผัวเมียตีกันเรอะ กูตีกันทุกวันมึงยังจะดูอยู่ได้” เสียงนั้นดังแว่วๆ ห่างออกไป
เพื่อนบ้านคนหนึ่งเขม้นมองเข้าไปในบ้าน สีหน้าครุ่นคิด
ครู่ต่อมาสมปองส่งเงินให้ดอกโศก “พรุ่งนี้ไปเอาไอ้ป้อมออกจากโรงพยาบาล” นึกขึ้นได้ “เอ้ะ แต่โศกต้องไปโรงเรียน งั้นน้าจัดการเอง”
“น้าปอง เดี๋ยวหนูหาเงินเอง น้าปองเก็บเงินไว้เถอะ” ดอกโศกบอก
“บอกแล้วว่าจะให้” สมปองพูดจริงจัง
“แต่ตอนนี้ให้ไม่ได้แล้ว เงินต้องเก็บไว้ให้ตา”
สมใจสะท้อนใจสะอื้นเบาๆ ดอกโศกโผเขาไปกอด ยายยิ่งสะอื้นใหญ่อัดอั้นเหลือเกิน เหลียวหน้าไปทางอื่น ร้องไห้กับตัวเองไม่อยากให้หลานเห็น
ดอกโศกไหว้ยาย แล้วทำท่าจะไป สมใจจับมือปลอบ
“ดีๆ นะลูก” ทำดีที่สุดให้หลานได้เพียงคำพูด...เท่านี้
ค่ำแล้ว ดอกโศกเดินมาตามทาง...เดียวดายเหลือแสน ความอ้างว้างเกาะกินหัวใจ เดินมาเรื่อยๆ
เห็นแม่จูงลูก สองคนเกาะกุมมือกันแน่น ท่าทางเป็นห่วงใย ดอกโศกมองภาพนั้นแล้วสะท้อนใจ
ทอดสายตามองไปอีกมุมเห็นคนตาบอดถือไม้เท้าเดินมา ตรงมาที่ก้อนหินหรืออะไรที่ขวางอยู่ ดอกโศกไปเก็บของที่ขวางไปข้างๆ ทาง
คนตาบอดหยุด “ขอบใจนะ”
“ค่ะ”
ชายคนตาบอดเดินไปต่อ แม่ค้าขายของหาบตระกร้าเดินเข้ามา เป็นคนมักคุ้นกันแต่เด็ก
“โศกเรอะ เออวันนี้ยายเอ็งขายดี หมดแต่วัน ขายได้อย่างนี้ทุกวันรวยตาย” หาบของผ่านไป
ดอกโศกยืนหน้าหมอง เงินที่ยายหามาทั้งวัน หายไปหมดแล้ว
คืนเดียวกันนั้น อัศนัยอยู่ที่บ้าน สองแม่ลูกป้าหม่อนกับหมื่น อยู่ตรงนั้นด้วย
“คุณนัยจะไปเชียงใหม่เมื่อไหร่” ป้าหม่อนถามขึ้น
“หมื่นไปด้วยนะ” หมื่นเสนอหน้า
“มากไป....มากไป คุณนัยไปทำงาน” หม่อนปรามลูกชาย
“คุณนัยเอารถไปใช่มั้ย หมื่นขับให้นะครับ” หมื่นยังหาเหตุต่อ
“เรื่องอะไรเอารถไปให้เหนื่อย ไปเครื่องเถอะคุณนัย” หม่อนบอก
“เป็นอันว่าจะกีดกันให้ถึงที่สุดใช่มั้ย” หมื่นหันมาทางแม่
“ใช่” หม่อนบอกขึงขัง
“ด้วยเหตุใด”
“ด้วยเหตุที่ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
“แก่จะแย่ทำไมอยู่คนเดียวไม่ได้” หมื่นเย้า
“ไม่เกี่ยวกะอายุเว๊ย”
“แล้วทำไม อย่าบอกว่าคิดถึงลูกนะ”
“เฮ้ย” หม่อนร้องเสียงหลง “ไม่บอกหรอก”
“งั้นทำไม”
หม่อนไม่ตอบหันมาทางอัศนัย “คุณนัย...จะเอามันไปด้วยก็เอาไปเถอะ”
หม่อนลุกเดินออกไป แล้วชะงัก เห็นปรียากมลเดินเข้ามาพอดี อัศนัยที่นั่งฟังแม่ลูกเถียงกันแบบขำๆ เบื่อๆ ลุกขึ้น
“มาเสียค่ำ” หม่อนพึมพำออกมา
ปรียากมลได้ยิน รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียง “นี่ ป้าหม่อนจะให้ฉันมาตอนไหนล่ะจ๊ะ”
“มาวันๆสิคะ คุณเป็นสาวเป็นนาง” หม่อนบอก
“พูดเล่นๆ น่ะได้ แต่ถ้าพูดจริงๆ อย่าพูดอีก เพราะนี่มันเรื่องของฉัน” ปรียากมลด่ากระทบ
“ค่ะ” หม่อนออกไป
“หมื่นไปเอาน้ำส้ม เอ๊ะ หรือกาแฟครับ หรือว่าวิสกี้...” หมื่นเสนอตัว
“ไม่ต้อง...เอาตัวเองออกไป” โดนอีกดอก
“ครับ”
“คุณจะเป็นศัตรูกับสองคนนี้ผมว่าไม่ค่อยสวยนะ” อัศนัยปราม
“ไม่หรอก ฉันแค่รำคาญ คุณไม่รำคาญเหรอ” ปรียากมลไม่ยี่หระ
“นิดหน่อย ส่วนที่ไม่รำคาญมีมากกว่า”
“ส่วนไหน” ปรียากมลซัก
“ส่วนที่เขาทำให้ผมรู้ว่า เขารัก เขาซื่อสัตย์ เขาดูแลผมเป็นอย่างดีจริงใจ ไม่ใช่เพื่อเงินอย่างเดียวน่ะสิ”
คำพูดประโยคนั้นปกป้องคนในบ้านของตนชัดทุกคำ ปรียากมลนิ่งอึ้งไป
“รอสักครู่ คุณหิวรึยังผมขอโทรศัพท์เดี๋ยวเดียว”
ดอกโศกกลับถึงบ้านรัตนชาติพัลลภแล้ว เวลานั้นนั่งนิ่งอยู่ในห้องนอน รอคอย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดอกโศกถือโทรศัพท์อยู่ในมือรับทันที
“ดอกโศก”
ปรียากมลหันมาทันทีได้ยิน สีหน้าขรึมลง แล้วเดินออกไปทันทีไม่อยากฟัง
“คุณนัย”
“เป็นอะไรเสียงอู้อี้ร้องไห้เหรอนั่น”
“เปล่าค่ะ”
อัศนัยจับน้ำเสียงได้ “ไม่จริง ร้องไห้มีเรื่องอะไรหรือ”
ดอกโศกนิ่ง
“วันนี้ปองรับไปโรงเรียนรึเปล่า”
“รับค่ะ”
“ขากลับล่ะ”
“ขากลับน้าปองก็ไปรับค่ะ ดอกโศกไปหายาย”
“แล้วไง...มีเรื่องอะไรที่บ้านยาย”
“ยาย...โดนตาตีค่ะ”
“เฮ้อ...อีกแล้ว ยายเป็นไงมั่ง”
“ก็เจ็บ...แต่ยายไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”
“ตาตีเรื่องอะไร อ๋อ คุณนัยรู้แล้วดอกโศกขอเงินยายใช่มั้ย ตาจะไม่ให้ก็เลยตียาย” อัศนัยเดาเรื่อง
“ตาตียายอยู่ก่อน ดอกโศกไม่ทราบว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องเงินน่ะสิ ไม่มีเรื่องอะไร...ได้เงินให้ป้อมมั้ย” อัศนัยถาม
“เอ้อ...”
ดอกโศกอึกอัก อัศนัยรู้ปัญหาทันที
“ดอกโศก คุณนัยจะจัดการเรื่องป้อมเอง ไม่ต้องเอาจากยาย ถ้าดอกโศกเอาเงินจากยาย ยายก็เจ็บอีก ดอกโศกไม่สงสารยายหรือ”
“ค่ะ คุณนัย”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินค่ารักษาป้อม”
ดอกโศกสงสัย “อยู่ที่อะไรเหรอคะ”
“อยู่ที่ทำยังไงถึงจะให้ป้อมหลุดจากวงจรที่มันทำร้ายป้อมน่ะสิ” อัศนัยบอก
“จริงหรือคะคุณนัย”
“จริงสิดอกโศก คุณนัยคิดว่าป้อมน่าเป็นห่วงมาก ไม่รู้หลงเข้าไปแค่ไหน มีอะไรเกี่ยวกับยาเสพติดรึเปล่า”
ดอกโศกเดินออกมาที่สนามบ้านคุณตาเจออ้น สองคนคุยกัน ดอกโศกหารือเรื่องป้อม
“เค้าเป็นแฟนตัวเองรึเปล่า” อ้นถามขึ้น
“อ้น...ดอกโศกบอกตั้งหลายหนแล้วว่าเป็นเพื่อน”
“ทำไมห่วงมากงี้ล่ะ” อ้นคาใจไม่หาย
“ก็เป็นเพื่อนไง”
“ชั้นว่านะ พวกเด็กแว๊นเนี่ย ไงๆ ก็ต้องมีมั่งล่ะ”
“อะไร” ดอกโศกงง
“พวกยาไง”
“ยาอะไรมั่งเหรออ้น” ดอกโศกใจหาย ซักทันที
“ก็มีตั้งแต่น้อยๆ ไปถึงเยอะๆ”
“อะไรน้อย อะไรเยอะ”
เอาเข้าจริงอ้นไม่รู้อะไร “ไม่รู้”
“อ้าว” ดอกโศกอึ้ง
“รู้แต่ว่ายามีหลายเกรด รู้แค่นั้น เอาเถอะแล้วจะถามมาให้”
“เร็วๆนะอ้น” น้ำเสียงร้อนรน จนคนฟังจับได้
“นี่อภิรมย์ คนเรานะมันต้องมีสติ ถ้าทำอะไรไม่มีสติ ต่อให้ใครไปเตือนเขายังไงเขาก็ไม่ฟังหรอก”
ดอกโศกมองหน้าอ้น นัยน์ตามีคำถาม
“จะถามใช่มั้ยว่าชั้นเป็นกะเทย ชั้นมีสติรึเปล่า” อ้นย้อน
“ไม่เห็นเคยคิดจะถามยังงั้นเลย เรื่องอะไรต้องถามดอกโศกรู้ว่าอ้นมีสติสมบูรณ์เต็มที่...ที่จะเป็นกะเทย จริงมั้ย”
“โห...โดน เขาเรียกว่า โดน” อ้นซึ้ง ทำสุ้มเสียงน่าขำมาก
“อ้นโชคดีที่พ่อเป็นคุณลุงพจน์” ดอกโศกพูดสำทับ
“เราทุกคนโชคดีที่เกิดเป็นคน ถึงจะเป็นลูกลุงพฤกษ์ เราก็ต้องคิดแก้ปัญหาให้ได้ เพราะเราเป็นคน...นี่ มีนี่” อ้นเอามือชี้ที่สมอง
ทั้งสองคนจับมือกันเขย่า แล้วยิ้มให้กัน
เพ็ญพักตร์ยืนอยู่หน้าตึกใหญ่ เขม้นมองดอกโศกกับอ้นที่จับไม้จับมือกันอยู่
“เด็กสองคนนี่มีอะไรประหลาดๆ พอกัน”
ตระกูลยืนสีหน้าเครียด อยู่ด้านหลัง ไม่สนใจคำพูดเพ็ญพักตร์ เพราะได้ยินแต่เสียงปรียากมลในโทรศัพท์
“คุณตระกูล ถ้าฉันอยากมีคนทานข้าวด้วย เป็นคุณ ฉันจะบอกเอง”
“ไม่น่าไว้ใจ” เพ็ญพักตร์ว่าจบ หันมาต้องประหลาดใจ “อ้าว”
ตระกูลหายไปแล้ว
เพ็ญพักตร์เดินตาม พูดวางอำนาจเช่นเคย “ตระกูล...ตระกูล อย่าทำอย่างนี้กับฉันอีก เตือนไว้ก่อน”
ตระกูลเดินขึ้นบันไดมาอย่างเร็วด้วยอารมณ์
“ปรียากมล ผมคิดถึงคุณนะ ขอไปหาที่คอนโดได้มั้ย”
อีกประโยคจากปากปรียากมล “คุณพูดไม่รู้เรื่อง พอนะ”
เสียงกริ๊กของโทรศัพท์มือถือ ปรียากมลวางสาย ตระกูลวิ่งถึงชั้นบน
เพ็ญพักตร์วิ่งตาม “หยุด...ฉันบอกให้หยุด” คว้าแขนแรงมาก จนตระกูลหันมา เพ็ญพักตร์ตวาดเขย่าแขนแรงๆ ต่อว่าเสียงค่อนข้างดัง “อย่าทำอย่างนี้ ฉันเรียกต้องหยุดอย่ายั่วโมโห” แต่ในที่สุดตระกูลก็สะบัดตัวเดินหนีไป เพ็ญพักตร์ตามติด
เพ็ญตระการอยู่ชั้นล่าง ได้ยินเต็มสองหู ใบหน้าหมองไปทันที
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
ดอกโศกตอนที่ 8 (ต่อ)
อัศนัยนอนด้วยท่าทีสบายๆ บนโซฟาในคอนโดปรียากมล และกำลังร้องบอกเจ้าของห้องที่กำลังรินเหล้าอยู่
“ผมขอกาแฟ” อัศนัยเอ่ยขึ้น
“ทำไม” ปรียากมลทำหน้าสงสัย
“ผมไม่ให้คุณมอมผมไง”
ชั่วอึดใจต่อมา แก้วกาแฟถูกวางลงข้างหน้า อัศนัยเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว
ปรียากมลหัวเราะชอบใจ “คุณกลัวฉันมากจริงๆ นะอัศนัย”
“ใช่ กลัว”
ปรียากมลดื่มเหล้า อัศนัยดื่มกาแฟ เสียงโทรศัพท์ปรียากมลดัง
“ฮัลโหล...คุณตระกูล ขอร้องนะโปรดเข้าใจหน่อยว่าถ้าจะมีการพูดกันทางโทรศัพท์ ฉันจะเป็นคนโทรก่อน” กดปิดแรงๆ อย่างมีอารมณ์
“ปรียากมลผมเตือนคุณอีกครั้งเรื่องคุณตระกูล”
ยังไม่ทันขาดคำ ปรียากมลหันขวับโผเข้าหาอัศนัย กอดคอซุกหน้าลงในอ้อมอก
“คุณรักฉันมากขึ้นมั้ย จากวันก่อน”
“ก็...ถ้าผมไม่รักคุณผมคงไม่มานั่งตรงนี้”
ปรียากมลมองจ้องหน้าอัศนัยนิ่งๆ “โอเค....โอเค ฉันขอแค่นี้...คุณรักฉัน วินาทีนี้โลกเป็นของฉัน”
“อย่าลืมว่า ยังมีวินาทีต่อไปเพราะโลกหมุนตลอดเวลา” อัศนัยเปรียบเปรยขึ้น
“คุณหมายความว่าไง”
“ผมก็หมายความว่า ชีวิตไม่ได้หยุดตรงนี้”
“แต่ฉันจะหยุดชีวิตกับคุณ...ตรงนี้”
“การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจจธรรม” อัศนัยว่า
“พูดให้งงอีกแล้วหมายความว่าไง”
“หมายความว่า อย่าหวังว่าอะไรๆ จะหยุดนิ่งไปจนนิรันดร์”
“ลึกซึ้งมาก เช่น....”
“เช่น วันนี้คุณรักผม วันข้างหน้าคุณก็เปลี่ยนเป็นเกลียดผมได้”
“ไม่มีวัน...”
“งั้นเปลี่ยนเป็นผมรักคุณและอาจจะเกลียดคุณวันหนึ่ง”
คราวนี้ปรียากมลนิ่งอึ้ง ก้มหน้าดูแก้วในมือตัวเอง กัดฟันแน่น
“ปรียากมล”
อัศนัยเรียก ปรียากมลยังนั่งนิ่ง
อัศนัยขยับเข้าไปนั่งใกล้ มองหน้า แตะคางปรียากมลให้เงยหน้าขึ้นมา เห็นน้ำตาเต็มสองตา
อัศนัยใจอ่อนยวบ โอบร่างปรียากมลมาในอ้อมอก ปลอบโยน ปรียากมลยิ่งร้องไห้ใหญ่ สะอึกสะอื้น ซับน้ำตา อัศนัยแสดงกิริยาปลอบโยนอย่างนุ่มนวล
จังหวะนั้นปรียากมลคุกเข่าตรงหน้าอัศนัย จับมืออัศนัยด้วยสองมือของตัวเอง แล้วจูบกลิ้งเกลือกหน้าบนมือคู่นั้น
อัศนัยมองอย่างงงงัน
เช้าวันรุ่งขึ้น หมื่นลงบันได แล้ววิ่งหายไป ถือกุญแจรถไปด้วย ป้าหม่อนตามมา ถือกระเป๋าเอกสาร พร้อมกับแฟ้มทำงานของอัศนัยพะรุงพะรัง
อัศนัยกลัดกระดุมข้อมือพลางวิ่งมา “ไอ้หมื่นยังไม่เอารถมาอีก”
“ไปแล้ว....ไปแล้วค่ะ”
“วะ บอกให้ไปเร็วๆ...” อัศนัยดูนาฬิกา “ไม่ทันแล้ว”
“จะรีบไปไหน คุณนัย” หม่อนแปลกใจนัก
“ไปรับดอกโศกไปโรงเรียน”
“ทำไมต้องไปรับ”
“เหอะน่า” หันไปเห็นหมื่นขับรถมา โบกมือให้มาเร็วๆ “เร็ว”
หมื่นจอดรถ อัศนัยรีบขึ้น ขับทะยานออก
เป็นจังหวะเดียวกับที่รถสปอร์ตสวยงามของปรียากมล ขับเข้ามาจอดทันที
“เฮ้ย” อัศนัยตกใจ
ปรียากมลรีบลงมา “อัศนัยฉันไปด้วย”
“ไปไหน”
“วันนี้ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ใช่หรือ...ฉันไปด้วย”
“ไม่ ผมจะรีบไปที่อื่นก่อน”
“ไม่เป็นไร ฉันไปกับคุณก่อน หมื่น...เก็บรถฉันด้วย” พลางโยนกุญแจลอยละลิ่วไปให้หมื่น
ส่วนดอกโศกเปิดประตูบ้านรัตนชาติพัลลภออกมา แล้วเดินพรวดๆ อย่างเร็วไปตามถนน รถอัศนัยมาอีกทาง ยูเทิร์นกลับอย่างแรง จอด
“ดอกโศก”
ดอกโศกหันมา เห็นปรียากมล ไหว้
“ขึ้นรถ....”
“แต่....รถเมล์มาแล้วค่ะ” ดอกโศกบ่ายเบี่ยง
อัศนัยคาดคั้น “เร็ว...”
รถอัศนัยแล่นวื้ดผ่านหน้าบ้านไป รถนายสมขับออกมาพอดี เพ็ญตระการชะเง้อมองตาม
แน่นอน...พอมาถึงโรงเรียน อุ๊ซักฟอกดอกโศกทันที มี เพื่อนอุ๊ และเจนนิเฟอร์อยู่ด้วย
“รถอานัยฉันจำได้เขามารับเธอเหรอดอกโศก เขานัดเธอเหรอ หรือเธอขอให้เขามารับ”
“ฉันไม่เคยขอ บังเอิญเขาผ่านมา”
“ไม่เชื่อ”
“จะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ดอกโศกเหนื่อยหน่าย
“บอกความจริง”
“ก็บอกไปแล้ว”
“โกหก”
ดอกโศกมองอย่างปลงๆ “ก็ตามใจ”
เจนนิเฟอร์สอดออกมา “นั่นน่ะสิ พูดกะเค้าอยู่ได้ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อย่ะ”
“ไปให้พ้นยัยเจนไม่ได้พูดกับเธอ” อุ๊ไล่ตะเพิด
“ฝรั่งเหมือนกันเค้าก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว” เพื่อนคนหนึ่งอุ๊ว่า
เพื่อนอีกคนของอุ๊ เสริม “จริงดิ หัวอกเดียวกัน ไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนกันรึเปล่า”
เจนนิเฟอร์สุดจะทนไหว “อภิรมย์ไปจากตรงนี้เถอะ คนแถวนี้พูดจาน่ารำคาญ นี่เพ็ญตระการอภิรมย์เค้าไม่เคยโกหก เธอก็เคี่ยวเข็ญให้เค้าโกหกเพราะอย่างเธอคงโกหกจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วใช่มั้ยล่ะ”
อุ๊ขยับจะเข้าไปหาเจนนิเฟอร์ แต่เจนนิเฟอร์คว้าแขนดอกโศกเดินแกมวิ่งออกไป
“อย่าหนีสิ....” ยืนหน้าบึ้ง
“ตาม?” เพื่อนอุ๊ว่า
“หยุด....ไม่ต้องตาม มันไม่พ้นมือชั้นหรอก”
อีกมุมหนึ่งในโรงเรียน เป็นมุมที่ลับตาคน ดอกโศก คุยอยู่กับเจนนิเฟอร์
“คนที่ชื่ออานัย เป็นใครเหรอ”
“เขาเป็นคนที่เมตตาฉัน...สงสารฉัน”
“ผู้ชาย?”
“ใช่”
“หนุ่ม?....แก่?”
“ยังไม่แก่ไม่รู้เค้าอายุเท่าไหร่”
“หล่อ? หน้าตาดี?”
“ก็ดี....ดี”
“งั้นฟันธง ยัยเพ็ญตระการเค้าหึงเธอ”
ดอกโศกถึงกับอ้าปากค้าง “หึง!!!”
“ใช่ เค้าคงชอบคุณคนนี้”
“อะไรนะ ???” ดอกโศกไม่อยากจะเชื่อ
“ยัยอุ๊เค้าชอบอานัยคนเนี้ย แต่อานัยไม่ชอบเค้าแต่ทำท่ามาชอบเธอ เค้าก็เลยหึงแล้วเค้าก็...” เจนนิเฟอร์พูดเป็นตุเป็นตะ
“เจน...พอแล้ว หยุดเถอะ”
“ทำไม นี้อภิรมย์เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
“เด็ก...เรายังเป็นเด็กยังมีเวลาอีกเยอะ ฉันยังไม่คิด...ฉันไม่อยากคิด”
“แต่”
“เจน...ฉันไม่ฟังเธออย่าพูดอีก อย่า....” ดอกโศกยกมือห้าม
จังหวะนั้นดอกโศกหันหน้าไปทางอื่น เริ่มรู้ตัวดีว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจแล้ว
ภายในห้องประชุม ที่ออฟฟิศอัศนัยวันเดียวกันนั้น อัศนัย และปรียากมล พร้อมผู้ถือหุ้น 3 คน ชายวัย 40 ปี หญิงวัย 50 ปี และหญิงอายุ 35 ปี โดยมีเลขานุการ เตรียมบันทึกวาระการประชุมด้วยคอมพิวเตอร์
ระหว่างนั้นเลขานุการแจกเอกสารบางๆ ประมาณ 3-4 แผ่นให้กรรมการทุกคน อัศนัย ปรียากมลนั่งใกล้กัน ตรงที่นั่งตระกูลยังว่างอยู่
บริเวณทางเข้าออฟฟิศ เพ็ญพักตร์เดินนำหน้า เชิด ท่วงท่าสง่างาม ขณะที่ตระกูลเดินตามหลัง
เลขาอัศนัยเดินมารับไหว้ทักทาย ผายมือไปทางห้องประชุม
“ฉันไม่เข้าล่ะ ขี้เกียจไม่มีอะไรมากใช่มั้ย”
“รายงานผลประกอบการตามปกติ กับเลือกชื่อโรงงานเซรามิกที่เชียงใหม่...ที่พวกพนักงานส่งประกวด”
“งั้นเหรอ”
โทรศัพท์ตระกูลดังขึ้น ตระกูลรับ เพ็ญพักตร์ไม่สนใจเดินไปนั่งโต๊ะรับแขกตรงโถงแห่งนั้น
“ฮัลโหล ปรียากมล” ตระกูลลดเสียงลง “คุณมีอะไรครับ”
“วันนี้คุณประชุมผู้ถือหุ้นใช่มั้ยคุณตระกูล” เสียงปรียากมลพูดทางปลายสาย
“ครับ...กำลังจะประชุม”
“ฉันต้องเข้ามั้ย”
“อ๋อ ไม่ต้อง...ไม่จำเป็น ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกครับ”
“งั้นเหรอ....ฉันไม่ต้องเข้าจริงๆ นะ”
“ครับ..คุณอยู่ไหนครับนั่น”
“อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง โอเค....เท่านั้นนะฉันถามแค่เนี้ย” ปรียากมลกดปิดวางสาย
ตระกูลหันมาทางภรรยา “คุณเพ็ญ คุณไม่เข้าประชุมหรือ เดี๋ยวชื่อโรงงานเขาเลือก คุณไม่พอใจอีก”
“ฉันอยากดูลายใหม่ที่เต้ย เขาร่างส่งมา” พลางเพ็ญพักตร์ขยับแฟ้มที่ถือมาด้วย
“โธ่...ไม่นาน...”
“นี่ตระกูลอย่าเซ้าซี้น่า ชื่ออะไรก็เลือกไปเถอะฉันมีงานสำคัญกว่าไม่เห็นหรือ” เพ็ญพักตร์ฉุนนิดๆ
“โอเค” ตระกูลเดินหนีไปรวดเร็ว ไม่ฟังจนจบความ
เพ็ญพักตร์มองตามสีหน้าไม่พอใจ “ตระกูล....ทำอีกแล้วนะ”
ภายในห้องประชุม เมื่อครู่ปรียากมล พูดโทรศัพท์เบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแบบมีแผน โดยเธอกะ Surprised ตระกูล ไม่รู้ว่าเพ็ญพักตร์มาด้วย
กรรมการคนอื่นๆ คุยกันบ้าง ดูเอกสารบ้าง รอเวลาประชุม
ตระกูลเปิดประตูเข้ามา ไหว้ทักทาย ขอโทษขอโพยที่มาสาย โดยที่ยังไม่เห็นปรียากมล
พอหันมาเห็นปรียากมล ก็ตกใจแทบช็อก ยืนละล้าละลัง
“ครบองค์ประชุมแล้วนะครับ ผมขอแนะนำเป็นทางการอีกครั้งนี่คุณปรียากมลหุ้นส่วนคนใหม่ของเราครับ” อัศนัยเริ่มการประชุมแล้ว
ปรียากมลไหว้
ตระกูลมองปรียากมลแบบต่อว่า สองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ปรียากมลยิ้มยั่วๆ ตระกูลใจสั่นสะท้าน
“ผมขอเปิดประชุมนะครับ วาระที่ 1. รับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 3”
กรรมการเปิดเอกสารดู
“มีใครแก้ไขอะไรมั้ยครับ หน้าแรกครับ” อัศนัยถาม
กรรมการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “มีพิมพ์ผิดหลายที่นะครับ อยากให้ปรู๊ฟให้ถูกต้องด้วยอย่างคำว่า อนุญาตไม่มีสระอิ ที่ ต.เต่านะครับ คำว่าสังเกตไม่มีสระอุนะครับ”
ระหว่างนั้นตระกูลทำท่ากับปรียากมลต่อ ว่าทำไมทำอย่างนี้ ปรียากมลผายมือสองข้าง ยิ้มล้อๆ
ส่วนเพ็ญพักตร์นั่งตรวจลายเครื่องเบญจรงค์ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น หันไปทางห้องประชุมหน้าบึ้งจัด
ภายในห้องประชุม อัศนัยกำลังรายงานต่อที่ประชุม
“วาระที่สองนะครับ เรื่องแจ้งที่ประชุม คือ คุณปรียากมลเป็นหุ้นส่วนคนใหม่ ถือหุ้นมีมูลค่าเท่ากับ 5 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมด”
กรรมการทำท่ารับรู้ อัศนัยแจ้งที่ประชุมต่อ
“วาระที่สาม รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ครับ”
ปรียากมลลุกขึ้น ก้มหัวพูดเบาๆ “ขอโทษนะคะ” เดินออกไปจากห้อง
ตระกูล ก้มหน้าอ่านเอกสาร ไม่เห็น เงยหน้าขึ้นมารู้สึกตกใจมาก เหลียวขวับไปดูประตู เห็นประตูปิดตามหลังปรียากมลที่เดินออกประตูไป ตระกูลใจหายวาบ ทำอะไรไม่ถูก
“มีใครสงสัยอะไรมั้ยครับ ผมให้เรียกหัวหน้าแผนกการเงินแล้วครับ” อัศนัยถาม
ตระกูล ลุก..ก้มหัวนิดหนึ่ง แล้วออกไปทันที
หัวหน้าแผนกเดินสวนเข้าไปในห้อง พร้อมกับถือแฟ้มเอกสารอันโต 2 แฟ้ม ตระกูลไล่ตามปรียากมลออกมาเร็วรี่ มองปราดไปที่หมู่เก้าอี้ ไม่มีร่างเพ็ญพักตร์อยู่ตรงนั้นแล้ว
“คุณปรียากมลครับ” ตระกูลเรียก
“คะ...เป็นไง surprised มากมั้ย” ปรียากมลยิ้มล้อๆ
“ภรรยาผมมาด้วย” ตระกูลบอกเสียงเคร่ง
“อ๋อ...ก็ดีสิเดี๋ยวฉันจะขอบคุณที่ขายหุ้นให้ฉัน”
“เขาไม่รู้ว่าผมขายหุ้น”
“อ้าว! ...หมายความว่าไง” ปรียากมลไม่เข้าใจ
“คุณเพ็ญไม่เคยสนใจเอกสารอะไรทั้งสิ้น ผมทำคนเดียว”
“คุณเก็บเงินค่าหุ้นที่ฉันซื้อไว้เอง?”
“ผมผลักเป็นผลกำไร เป็นเงินปันผล เข้าแบงค์ไปแค่นี้คุณเพ็ญพอใจแล้ว”
“แน่ใจ?” ปรียากมลไม่อยากจะเชื่อนัก
“นั่นมันเรื่องของผม”
“โอเค เรื่องของคุณ คุณจะให้ฉันทำยังไง ถ้าเจอภรรยาคุณให้ฉันโกหกว่าไง”
ระหว่างนั้นเพ็ญพักตร์เดินมาพอดี แต่กำลังบีบครีมทามือจากหลอดเล็กๆ แล้วนวดมือตัวเอง ยังไม่เห็น
“ไม่ต้อง บอกว่าคุณมาประชุม” ตระกูลพูดเร็ว
เพ็ญพักตร์เงยหน้ามาเห็นพอดี “เอ๊ะ”
ปรียากมลไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณเพ็ญพักตร์”
เพ็ญพักตร์ฉงน “กำลังคุยอะไรกันท่าทางเรื่องสำคัญ”
“อ๋อ...ไม่สำคัญหรอกค่ะ เผอิญดิฉันมา...” ทำทีเป็นแกล้งทำอะไรบางอย่างตกพื้น ก้มลงเก็บ
ตระกูลใจหาย เพ็ญพักตร์จดสายตาจ้องคอยฟัง
“ขอโทษค่ะ...”
“คุณมาทำไมนะ” เพ็ญพักตร์คาดคั้น
“อ๋อ....” ปรียากมลมองหน้าตระกูล “ดิฉันมาหาอัศนัยค่ะ”
ตระกูลลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ขอตัวนะคะ คุณตระกูล” ยิ้มหวานมาก “ยินดีที่ได้พบค่ะ เชิญทานกลางวันกับเรานะคะวันนี้ ฉันกับอัศนัยจะไปทาน....”
ปรียากมลพูดไม่ทันจบ เพ็ญพักตร์พูดสวนออกมา “ขอตัววันนี้เรามีนัดแล้ว” ส่งยิ้มให้
“มีนัดแล้ว เอ๊ะ ก็เมื่อกี้คุณตระกูลบอกว่ากลางวันนี้ว่างนี่คะ”
ตระกูลทำหน้าพูดไม่ออก
“คุณตระกูลพูดอะไรอย่าเชื่อค่ะ บางครั้งฉันกำหนดไว้แล้วแต่เขาไม่รู้” เพ็ญพักตร์วางอำนาจ
“โอ...ได้เห็นผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้ารู้สึกดีจัง คุณตระกูลทันสมัยมากนะคะยอมเป็นช้างเท้าหลัง” ปรียากมลหยัน
“ผมขอตัวไปประชุมต่อ” ตระกูลเดินไป สีหน้าพยายามปรับสุดขีดแต่เหลืออด หันกลับไป “คุณเพ็ญ คุณไปทางกลางวันกับพวกที่เรานัด” เน้นคำ “นะครับ ผมขอตัวทำงานต่อ”
“ไม่ได้” จากท่าทีที่พูดแบบธรรมดาๆ เพ็ญพักตร์เสียงเข้มขึ้นนิด “ทุกคนอยากพบคุณ”
“ผมขอตัว...ผมขอโทษ” ตระกูลเดินหนีเข้าห้องไปทันที
เพ็ญพักตร์ยืนอึ้งมองตาม
ปรียากมลยังยืนดูสถานการณ์ เพ็ญพักตร์หันมาสบตาปรียากมล นิ่งๆ สักครู่ ทำท่าจะเดินหนีไป
“ตายจริง ช้างเท้าหลังทำท่าจะไม่เดินตามเท้าหน้าซะแล้ว” ปรียากมลเยาะอยู่ในที
เพ็ญพักตร์มองนิ่ง สายตาดูแคลน
ปรียากมลสำทับ “หรือไม่จริง”
“คุณปรียากมล คุณเป็นคนไม่มีมารยาท ไม่ทราบว่าเล่าเรียนมาขนาดไหน แต่คงไม่มากเพราะมารยาทสังคมคุณไม่มีเลย”
“ตรงไหนหรือคะ” ปรียากมลย้อนถาม
เพ็ญพักตร์ไม่ตอบคำถาม “กรุณาไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ด้วยฉันจะทำงาน”
“นั่นเป็นคำพูดที่มีมารยาทมากเลยหรือคะ” ปรียากมลเยาะ
“ไม่มี...เพราะคนอย่างคุณไม่จำเป็น”
“ค่ะ สวัสดีนะคะ” ปรียากมลไหว้ ยิ้มแย้ม เดินหนีไปอีกทาง
เพ็ญพักตร์ยืนสีหน้าเครียด
สองพี่น้องต่างมารดา ปะทะกันและตั้งรับกันไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครยอมใคร
รถจอดรออยู่ที่หน้าโรงเรียน นายสมยืนคอย อุ๊ วิ่งออกมากับเพื่อน โบกมือร่ำลากันแล้วไปขึ้นรถ
“สม...ไปเร็ว”
“ไม่ทันแล้วครับคุณอุ๊”
ดอกโศกเปิดประตู ก้าวขึ้นมานั่ง หน้านิ่งสงบ
อุ๊ส่งเสียงดังๆ อย่างไม่พอใจดัง “บ้าจริงเชียว”
รถแล่นออกไป
อัศนัยทำงานอยู่ในห้อง อ่านเอกสาร เซ็นเอกสาร รวดเร็วแคล่วคล่อง ปรียากมล นั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้มุมห้องเงยหน้าสบตากันนิดหนึ่ง ปรียากมลแตะริมฝีปากส่งให้
อัศนัย ทำหน้ารับจูบนั้น ปรียากมลลุกขึ้นทันที รวดเร็วมาก เข้าไปกอดจูบแรงๆ
มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะ ปรียากมลผละไปนั่งที่เดิม บุรีเข้ามา อัศนัยเชิญให้นั่ง
อัศนัยหายใจแรงๆ มองปรียากมลส่งสายตาปรามๆ ปรียากมล แลบลิ้นให้นิดๆ พองาม เป็นกิริยาที่ยวนใจ
อัศนัยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ครับ พี่บุรี” หันมาทักบุรี
ส่วนดอกโศกทำงานบ้านอย่างรวดเร็ว อุ๊เข้ามามอง ดอกโศกไม่สน
“ถ้าครบ 7 วัน ฉันตรวจพบว่าห้องไม่สะอาดตรงไหน เธอต้องมาทำให้ฉันอีก”
ดอกโศกเสร็จพอดี เดินออกไม่มองหน้า “ไม่...ฉันจะทำให้ครบ 7 วันตามที่เธอสั่งแล้วไม่ทำอีก”
“ไม่เหรอ...งั้นไปทำห้องน้าสวยต่อ”
“ถ้าครบ 7 วัน ฉันจะไม่ทำห้องไหนอีก” ดอกโศกบอกเสียงเรียบ
“แน่ใจนะ” เดินพรวดเดียวถึงประตู เปิดออก “น้าสวย...เขาไม่ยอม เขาว่าไม่ใช่คนใช้น้าสวย ให้น้าสวยทำเองสิ”
สุดสวยเข้ามาเหมือนพายุ ตรงเข้าชาร์จทันที ดอกโศกหลบแล้ว แต่ไม่ทัน จึงถูกสุดสวย ลากแขนดอกโศกถูลู่ถูกังไป
สุดสวยเปิดประตู ลากดอกโศกเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วเหวี่ยงลงไปนอนกองกับพื้น
“จะทำหรือไม่ทำ” สุดสวยคาดคั้น
“ไม่ทำค่ะ”
“จะทำหรือไม่ทำตอบใหม่”
“ไม่ค่ะ”
“นี่แน่ะ” สุดสรวยปราดเข้ามา แล้วตีตรงตัวอย่างแรง 2-3 ที
ดอกโศกฟุบไปกับพื้น
“ทำมั้ย”
“ไม่ทำค่ะ” ดอกโศกจ้องหน้าไม่ยอมให้
สุดสวยร้องกรี๊ดเสียงลั่น แล้ววิ่งพรวดออกไป
สุดเขตอยู่ในห้องทำงานหันมาเห็น สุดสวยวิ่งพรวดเข้ามา
“คุณพ่อขา...คุณพ่อ ลูกไม่ยอม คุณพ่อจัดการ...ลูกถึงจะยอม” สุดสายพิลาปรำพัน
“จ้ะ...จ้ะ บอกพ่อเรื่องอะไร”
สุดสวยส่งเสียงร้องไห้ดังมากขึ้น
“สุดสวยเงียบก่อนนะลูก...พูด...บอกพ่อ”
ดอกโศกนั่งหน้าเฉยอยู่ในห้อง เฉลยเดินเข้ามาเงียบๆ
“ท่านให้หา”
ดอกโศกเหนื่อยใจ รู้ดีว่าเรื่องอะไร ลุกขึ้น
“คุณอดทนมาหลายปีอดทนต่ออีกนิด” เฉลยปลอบ...เท่าที่จะทำได้
“ก็ทำไมล่ะ....ทำไม ต้องทนขนาดไหนกันถึงจะพอ” เสียงดอกโศกแหลมสูง หอบหายใจอย่างแรง
เฉลยนิ่ง นัยน์ตาเห็นใจ
ดอกโศกพยายามสะกดอารมณ์ลงไป...กดลึกลงไปอีก แล้วลุกออกไปอย่างอัดอั้น
ที่สนามหน้าตึกดอกโศกนั่งก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าคุณตา
“น้าสวยเขามีปัญหาเจ้าก็รู้ใช่มั้ยอภิรมย์” สุดเขตเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ
“ทราบค่ะ”
“ตาขอเจ้าอย่างหนึ่งนะ” สุดเขตเอ่ยเสียงจริงจัง
“ค่ะ” ดอกโศกรู้อยู่แล้ว
“สงสารน้าเขานะ...อภิรมย์ฤดี...สงสารเขา”
ดอกโศกหน้าเฉยนิ่ง กำลังทำใจอย่างหนัก
“ช่วยตาหน่อย”
“ค่ะ คุณตา” ดอกโศกมองอย่างแน่วแน่ นัยน์ตาจริงใจ “หนูเข้าใจค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องไปทำงานให้เขานั่นมันแค่ส่วนประกอบ ส่วนสำคัญที่ตาขอให้เจ้ามีให้เขาคือ หัวใจที่อ่อนโยนต่อเขา”
ดอกโศกเช็ดโต๊ะห้องสุดสวย มีสุดสวยชี้ให้ทำตรงนี้ ตรงนั้น ตรงโน้น ชี้และชี้...และชี้ ดอกโศกทำตามไม่เกี่ยงงอน สีหน้าสงบนิ่ง มองสุดสวย เห็นใจ บางจังหวะยิ้มให้บ้าง
สุดสวยพอเห็นดอกโศกยิ้มให้ก็หน้าเหวอนิดหน่อย ขมวดคิ้ว สงสัย
ดอกโศกเช็ดมาถึงที่สุดสวยยืน สุดสวยไม่ขยับ ดอกโศกยิ้มให้แล้วจับแขนสุดสวยให้ขยับไปนิด
สุดสวยสงสัยมากขึ้น ดอกโศกเช็ดไปเรื่อยๆ
สุดสวยหน้าเครียด สงสัยไม่ไว้ใจ และในที่สุดหันมาขยุ้มดอกโศกเต็มแรง ดอกโศกตกใจ ไม่ทันระวัง หันไปจะสู้ คิดถึงเสียงคุณตา จึงนิ่ง
“จะหลอกชั้นเหรอ นี่แน่ะ...นี่แน่ะ ยิ้มทำไม...ยิ้มให้ใคร”
ร่างดอกโศกถูกเหวี่ยงกระเด็นกระดอน ล้มทรุดลงกับพื้น สุดสวยตามไปถล่ม ดอกโศกคลานหนี แล้วดึงตัวเองออกแทบจะเป็นคลานสี่ขา ซมซานออกไปจากตรงนั้น
รถยนต์คันหนึ่งขับผ่านประตูชื่อบ้านรัตนาชาติพัลลภ ที่แท้เป็นรถอัศนัยขับเข้ามา จังหวะนั้นปรียากมลหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่มาคลุมตัวเอง
“แอร์แรงจริง...หนาว”
“หรี่สิ ผมคิดว่าคุณชอบเย็นๆ”
ระหว่างนั้นดอกโศกวิ่งลงมาหน้าตึกร่างเซไปเซมา อัศนัยขับรถเข้ามามองเห็นดอกโศกวิ่งถลันเกือบจะล้ม แล้วถลาออกไป
“ดอกโศก” อัศนัยจอดรถเต็มแรง เปิดประตูแล้วลงวิ่งตามดอกโศกไปทันควัน “จะไปไหน...มานี่ก่อน”
“อัศนัย” ปรียากมลอุทาน อึ้ง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นในยามนี้
ดอกโศกลับตัววิ่งหนีไป อัศนัยวิ่งตามไปอย่างเร็วรี่
ดอกโศกซมซานมาที่ริมน้ำ ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ พยายามกัดฟันไม่ให้ใครได้ยินเสียงร้อง
แต่ในที่สุดแล้วก็ทนไม่ได้ เสียงสะอื้นเป็นริ้วๆ แล่นออกมาจากในอก แล้วค่อยๆ ดังขึ้น...ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงร้องไห้จนร่างสั่นสะท้าน พริบตานั้นดอกโศกลุกขึ้น เดินเปะปะเล็กน้อย อัศนัยวิ่งมาจนทัน และมองเห็นดอกโศก
แต่แล้วดอกโศกก็เกิดสะดุดอะไรตรงนั้น เซแล้วตกน้ำไปต่อหน้าต่อตา
“ดอกโศก” อัศนัยตกใจ และตกตะลึง
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 8 (ต่อ)
อัศนัยวิ่งตามมาสุดแรงเกิด มองไปในน้ำเห็นร่างดอกโศกโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำวูบหนึ่ง แล้วจมหายลงไปใหม่ ไวเท่าความคิดอัศนัยพุ่งหลาวลงไปในน้ำสุดตัว
ภายใต้ผืนน้ำดอกโศกดิ้นรนสุดชีวิต ทะลึ่งพรวดขึ้นไปเหนือน้ำ ดอกโศกฟาดฟันแผ่นน้ำ แล้วหมดแรง เวลาเดียวกันใต้ผืนน้ำเดียวกันอัศนัยควานหาตัวดอกโศกอย่างร้อนรุ่มใจ เพราะน้ำขุ่นทำให้มองไม่เห็น
จังหวะต่อมาอัศนัยโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำ อนิจจา...เป็นเวลาเดียวที่ดอกโศกจมหายลงไปอีก
อัศนัยเห็นพรายน้ำ ตัดสินใจดำวูบลงไปตรงนั้น อัศนัยมองหา ควานมือออกไปรอบๆ หวังว่าจะเจอ
เวลานั้นดอกโศกหมดสติแล้ว ร่างลอยห่างออกไป อัศนัยว้าวุ่นหนัก เพิ่มแรงมากขึ้น ทั้งควานหาทั้งมองหา วินาทีนั้นเขาเห็นบางสิ่งไหวๆ อยู่เบื้องหน้า ใช่แน่ เห็นร่างดอกโศกแล้ว อัศนัยพุ่งตัวไปอย่างแรง โอบร่างดอกโศกเข้ามา ปล่อยร่างขึ้นเหนือน้ำ
ครู่ต่อมาอัศนัยคุกเข่าอยู่ข้างกายดอกโศกที่นอนแน่นิ่ง อัศนัยตัดสินใจช้อนตัวพาดบ่า ตบหลังเบาๆ ให้น้ำออก แต่ดอกโศกยังนิ่ง
“ดอกโศก...ดอกโศก” อัศนัยส่งเสียงเรียก
ดอกโศกยังคงนิ่งเงียบ อัศนัยพุ่งพล่านในใจ แล้วเอาแต่พร่ำเรียกชื่อ ทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดอัศนัยตัดสินใจ ช่วยด้วยวิธีปากต่อปาก ถอนตัวขึ้นมาแล้ว แต่ดอกโศกยังเงียบไม่ไหวติง อัศนัยใจหายวูบวาบ
พร่ำเรียกอีก “ดอกโศก ฟื้นสิ...อย่าเป็นอะไรนะดอกโศก ฟื้นมาหาคุณนัย”
ดอกโศกเงียบ เหมือนคอจะตกนิดๆ
“ดอกโศก”
สีหน้าอัศนัยวิตกหนัก นัยน์ตาแดงก่ำ ทำทุกวิธีที่นึกออก พร่ำเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงสะท้าน
จนกระทั่งร่างของดอกโศก สะดุ้งพรวด น้ำพุ่งออกมาจากปาก สายตาอัศนัยจดจ้อง ห่วงใยสุดๆ สีหน้าละล้าละลัง
“ดอกโศก” น้ำเสียงสั่นพร่าเต็มไปด้วยความดีใจ
“คะ...คะ คุณนัย” ดอกโศกมองเขม็ง
“ดอกโศกตกน้ำ...เป็นอะไร เป็นลมเหรอ”
“ตกน้ำเหรอคะ” ดอกโศกงงงวย
“ใช่....หัวทิ่มลงไปเลย...เป็นไงมั่งตอนนี้ ปวดหัวมั้ย”
“ปวด...นิดหน่อยค่ะ” จังหวะนั้น ดอกโศกสำลักจนไอออกมา
อัศนัยลูบหลังให้ดอกโศกไปมา “ทีหลังมาตรงนี้คนเดียวไม่ได้นะ จำไว้นะอย่ามาคนเดียว”
“ค่ะ” เสียงดอกโศกดังอุบอิบ
“ไม่เอา...พูดดังๆ แล้วอย่าดื้อ อย่าอวดดีอีก เป็นเด็กต้องทำตัวให้เป็นเด็ก ไม่งั้นคนเขาจะว่าเอาได้ว่า ดื้อ...อวดดี...จองหอง”
ดอกโศกตะลึง ไม่เคยเจอคำพูดแรงๆ แบบนี้จากปากอัศนัย
อัศนัยนั้นพอว่าคำนั้นออกไปแล้วก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน “ขอโทษ...เพราะดอกโศกดื้อคุณนัยจะช่วยอะไรไม่ยอม รู้มั้ยว่าคุณนัยเป็นห่วงดอกโศกมาก อย่างเนี้ย...คุณนัยไม่มาเห็นก็จมน้ำตายไปแล้ว รู้ตัวว่าไม่สบายมานั่งริมน้ำทำไม” พูดไปของขึ้น โมโหปนห่วง
ดอกโศกนิ่งก้มหน้าน้ำตาตก ไอในคอเสียงค่อยๆ
“ทำไมถึงคิดว่าไม่มีคนรักไม่มีคนห่วง ยายล่ะ น้าปองล่ะ แล้วคุณนัยล่ะ คุณนัยรักดอกโศก ห่วงดอกโศกมาเป็นนานสองนานแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ”
ดอกโศกสะอื้น
“คนเรานะ..เกิดมาชาติหนึ่ง มีคนที่รักเราจริงใจไม่ต้องมากหรอก แค่คนสองคนก็เกินพอแล้ว”
ดอกโศกนิ่งฟัง
“ไม่นับพ่อแม่นะ”
คราวนี้ คำนี้ ดอกโศกเบรกแตกเมื่ออัศนัยพูดถึงพ่อแม่ ร้องไห้สะอื้นแรงมากขึ้นจนเสียงดัง เสียงสะอื้นเป็นระลอก นัยน์ตาอ้างว้างเหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“ดอกโศก....” อัศนัยจับตัวดอกโศกไว้
ดอกโศกไม่ยอม หันหลังกลับ เดินเซซังซมซานออกไป
อัศนัยตามติด “ดอกโศก...เป็นอะไร”
ดอกโศกไม่ฟังเสียง เดินหนี ร้องไห้เสียงดัง อัศนัยตามไปจับตัวไว้มั่น
พร่ำถามออกมา “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“คุณนัยพูดถึงพ่อแม่ทำไม...พูดทำไม” ดอกโศกสะอึกสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าเวทนา
อัศนัยเพิ่งเข้าใจ โอบร่างดอกโศกแนบอก ปลอบโยน ดอกโศกค่อยๆ เงียบลง สงบนิ่งอยู่กับอ้อมอกอัศนัย
สีหน้าของทั้งสองคน มีความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้น...ทีละน้อยๆ
“อัศนัย” เสียงปรียากมลดังขัดขึ้น ในห้วงอารมณ์พิศวง
สองคนผละออกจากกัน อย่างบริสุทธิ์ใจ หันไปดู เห็นปรียากมลยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
“ดอกโศกเป็นอะไร...ตัวเปียก...ตกน้ำเหรอ” ปรียากมลถาม
“ใช่ เป็นลมตกน้ำ” อัศนัยบอก
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก เอ้า...เอานี่ห่มไปก่อน”
ปรียากมลปลดผ้าคลุมไหล่ผืนนั้น เดินไปคลุมให้ดอกโศก
ดอกโศกไหว้..ขอบคุณ
“อัศนัย...คุณว่าจะเข้าไปหาใครนะ...คุณตาดอกโศกใช่มั้ย”
“วันนี้อย่าเพิ่งเลย ดอกโศกไม่เป็นอะไรแล้วนะ” อัศนัยว่า
“ค่ะ”
“รีบไปอาบน้ำใส่เสื้ออุ่นๆ แล้วนอนซะ” อัศนัยบอก
“กินยาแก้ไข้ซักเม็ด” ปรียากมลมองหน้า
“ค่ะ”
อัศนัยตบหัวเบาๆ หนึ่งที ดอกโศกไหว้ทั้งสองคนอีกครั้งแล้วเดินไป
อัศนัยขับรถ แล่นออกจากบ้านรัตนาชาติพัลลภไป
“เหมือนบ้านคนโบราณในนิยาย จะมีฆาตกรรมแย่งสมบัติมั้ย” ปรียากมลเปรยขึ้นมา
“ทุกคนได้สมบัติยกเว้นดอกโศก” อัศนัยว่า
“โธ่เอ๊ย....น่าสงสารจริง เป็นหลานของเจ้าของบ้านใช่มั้ย...ทำไมล่ะ”
รถแล่นผ่านประตูไป ปรียากมลไม่เห็นชื่อบ้านเช่นเดิม
ดอกโศกเดินกะปรกกะเปรี้ยกลับมาจนถึงที่หน้าห้องตัวเอง เสียงสุดสวยฟังดูกราดเกรี้ยวดังขึ้นด้านหลัง
“นังดอกโศก”
ดอกโศกเหลียวไปตามเสียง เห็นสุดสวยเดินหน้าตั้งเข้ามาเลย กะลุยเต็มที่
“ไปว่ายน้ำเล่นมาเหรอ...ฮะ..หนีงานไปว่ายน้ำเรอะ?”
สุดสวดก้าวพรวดมาถึงตัว ดอกโศกไม่ไหวแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า พนมมือไหว้
สุดสวยหยุดกึก แปลกใจ “ไหว้ทำไม”
“อย่าตีหนูเลยค่ะ หนูจะไปทำห้องให้เดี๋ยวนี้” ดอกโศกร้องขอ
ระหว่างนั้นเฉลยเปิดประตูออกมาจากห้องดอกโศก ถือไม้กวาดและถังผ้าขี้ริ้วถูบ้านมาด้วย
สุดสวยหรี่ตามอง ไม่วางใจ “หลอกอะไรชั้นอีกรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้หลอก หนูจะทานยาก่อนแล้วไปทำค่ะ”
“กินยาทำไม...ไม่สบายเหรอ” มองจ้องหน้า
“นิดหน่อยค่ะ”
“เดี๋ยวเหลยทำให้ค่ะคุณสุดสวย” เฉลยอาสา
“ไม่” สุดสวยไม่ยอม
“ไม่ต้องเฉลย ฉันทำเอง” ดอกโศกบอก
“ก็ไม่สบาย”
“กำลังจะกินยา” ดอกโศกขยับตัว ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป
สุดสวย คิด...คิดไปมาสักครู่ แล้วออกคำสั่ง เฉลยเดินไปแล้ว
“เหลย แกไปทำห้องชั้น”
เฉลยยิ้มออก “ค่ะ” เดินไปเร็วรี่
ปล่อยให้สุดสวยยังยืนคิดอยู่อย่างนั้น
สุดสวยนำเรื่องเมื่อครู่มาเล่าให้บิดาฟัง สีหน้าฉงนไม่วางวาย
“ลูกพ่อใจดี..น่ารักจริงๆ ลูก”
“คุณพ่อมันอาจจะหลอกลูกก็ได้ว่าไม่สบาย...ลูกไม่ค่อยเชื่อแล้วล่ะลูกจะไปดูมัน” สุดสวยลุกพรวดขึ้น
“ลูกจ๋า...ลูกคนดีของพ่อ” สุดเขตลุกตามแล้วกอดสุดสวยไว้พามานั่งลง “มันไม่สำคัญว่าเขาจะไม่สบายจริงหรือไม่จริง”
“สำคัญ...ทำไมจะไม่สำคัญ” สุดสวยแย้ง
“แต่ไม่สำคัญเท่าที่ลูกยอมให้เขาไปนอนพัก”
“เค้าคุกเข่าไหว้...เค้าเล่นละครรึเปล่า” สุดสวยคาใจฉากนี้ไม่หาย
“เล่นก็ช่าง แต่ลูกพ่อเป็นคนดีแล้วกัน พ่อมีความสุขที่สุดที่เห็นลูกใจดี..มิน่าวันนี้ลูกสวยมาก” สุดชมชื่นชม
“จริงเหรอคุณพ่อ”
“จริง เสื้อตัวนี้สวยมาก”
“ไม่ค่อยสวย...ตัวใหม่สวยกว่า”
“ตัวใหม่เหรอไปเลย...ไปซื้อเสื้อ ซื้อเพลงใหม่ๆ นะลูก”
สุดสวยโผเข้าหาพ่อ กอดพ่อไว้แนบแน่น ด้วยกิริยาเหมือนเด็กหลงทางแล้วเจอพ่อ สุดเขตกอดนิ่ง สีหน้าหมอง สงสารลูกสาวคนสุดท้องคนนี้เหลือเกิน
ทางด้านอัศนัยพาปรียากมลเข้าบ้าน หมื่นถือของตามมา หม่อนถือถาดใส่น้ำผลไม้มาวางให้
“อาหารพร้อมแล้วนะคะ” หม่อนเอ่ยขึ้น
“ขอบใจป้าหม่อน”
“ค้างมั้ยคะ คุณปรียา” ป้าหม่อนหันมาทางปรียากมล
“เรียกให้เต็มๆ ชื่อ ชั้น ปรียากมล” น้ำเสียงปรียากมลไม่พอใจ
“ยาว...จำไม่ค่อยได้ค่ะ”
“ต้องจำให้ได้”
“โธ่ ทำไมล่ะคะ เรียกยังไงก็เป็นคุณอยู่แล้ว”
“เพราะฉันจะมาเป็นคุณผู้หญิงน่ะสิป้าหม่อน และฉันไม่ชอบให้เรียกชื่อครึ่งๆ กลางๆ”
หม่อนฟังอย่างเบื่อหน่าย “จริงเหรอ คุณนัย” น้ำเสียงไม่ได้ตื่นเต้นใดๆ
“อาจจะจริง ไป...ปรียากมล ทานข้าว”
“ตกลงค้างไม่ค้างคะ”
“ค้าง”
“ก็เท่านั้น” หม่อนบ่นเบาๆ “ไอ้หมื่น....แกเสิร์ฟ แม่จะไปเปิดห้องแขก” เน้นเสียงตรงคำว่าแขกอย่างจงใจ
“รับทราบ...ปฏิบัติ”
หม่อนเดินออกประตู เหลียวกลับมาดู หมื่นเดินออกไปอีกทาง
ปรียากมลโผเข้าไปกอดอัศนัย
“ค้างได้ แต่อย่าปล้ำผมนา” อัศนัยสัพยอก
ปรียากมลชอบใจ หัวเราะกิ๊ก “ระวังตัวไว้ให้ดี”
หม่อนมองภาพนั้นสีหน้าเป็นกังวล
หมื่นรินไวน์ ขณะที่สองคนทานข้าวกันไปในห้องอาหาร
“ที่ฉันเห็นคุณกับดอกโศกวันนี้ยังติดตาฉันอยู่ เด็กมันเป็นสาวเต็มตัว คุณจะปฏิบัติตัวเป็นลุง เป็นอาของแกก็ได้ แต่เขาไม่กอดหลานแน่นอย่างนั้นหรอก” ปรียากมลพูดไปเรื่อยๆ
อัศนัยนิ่งฟัง สีหน้าเริ่มเครียด
“ร้อยคนเห็นเขาก็คิดทั้งร้อยว่า คุณไม่ใช่ปกติกับเด็กคนนั้น”
“หมายความว่าไง”
“ที่ฉันเห็นคือ หนุ่มสาวกอดกัน”
“ผมตกลงที่จะคบกับคุณ คุณยังคิดว่าผมจะไปทำไม่ดีกับเด็กต่อหน้าคุณรึ”
“ฉันยังไม่มานะตอนนั้นน่ะ” ปรียากมลยังติดใจ
“นี่เรากำลังพูดเรื่องไร้สาระ” อัศนัยฉุน หยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก “พี่บุรี เดี๋ยวผมจะเข้าออฟฟิศ พี่บุรีช่วยหยิบแผนงานโรงงานใหม่ให้ผมดูด้วย...ผมจะไปประมาณ...” อัศนัยดูนาฬิกา
ปรียากมล หยิบโทรศัพท์ออกจากมืออัศนัย กดปิด
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าไม่ควรทำแบบนี้และไม่ควรพูดแบบนี้”
“ไม่ต้องไปไหน ฉันจะไม่พูดอะไรที่คุณไม่ชอบอีก”
“บอกตัวเอง” อัศนัยลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปทันที “แล้วทำให้ได้”
ปรียากมลนั่งนิ่ง สำเหนียกได้ว่าอัศนัยไม่พอใจอย่างมาก
หมื่นจะเอาแก้วไวน์มารินเติม ปรียากมลพูดเสียงแข็ง “ พอ”
หมื่นถอยกรูด หน้าเหวอ ท่าทีน่าขำ
“มานี่ แม่รินเอง รับไวน์อีกมั้ยคะ” หม่อนถาม
“ป้าหม่อน เล่าเรื่องเด็กดอกโศกให้ฉันฟังหน่อย”
“ไม่ต้องเล่าหรอกค่ะ เพราะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่” หม่อนบอก
“ไม่ต้องยุ่งกับความคิดฉัน ฉันอยากฟังแต่เรื่องของเด็กคนนี้”
หม่อนยืนนิ่งหน้าเฉย
ปรียากมลคาดคั้น “ป้าหม่อน”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรจะเล่า” หม่อนเดินหนีออกไปทันที
เวลาเดียวกันในห้องนอนดอกโศก ต่อ
ดอกโศกนั่งเอนๆ กับพื้น พิงข้างฝา มือทอดยาวออกไปถือโทรศัพท์ เหลือบดูนาฬิกา...สองทุ่มสิบห้านาที
นึกถึงเหตุการณ์วันนี้ ตอนที่อัศนัยกอด...ปลอบโยน น้ำเสียงปลอบโยน
อีกภาพ...เป็นตอนที่อัศนัยโอบกอดไหล่ปรียากมลหลวมๆ พากันเดินไป
นึกถึงตรงนี้ ดอกโศกหลับตาลงสะอื้นนิดๆ แล้วสักครู่ก็ลุกขึ้น ดอกโศกนั่งดูหนังสือ อย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่
อัศนัยขับรถตรงมายังออฟฟิศ และอยู่ภายในห้องทำงานแล้ว บุรีเอาแฟ้มมาวางให้ อัศนัยกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
บุรีเดินออกไป
อัศนัยเปิดงานดู แล้วคิดถึงเรื่องราววันนี้ เรื่องดอกโศก...ตอนที่ดอกโศกอยู่ในอ้อมแขน ดอกโศกน้ำตาเต็มหน้า ดอกโศกที่พูดถึงพ่อแม่ เสียใจ
อัศนัยรู้สึกหวั่นไหวกับความคิดตัวเอง
กลางดึกคืนนั้น เพ็ญตระการ สะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกัน
เพ็ญพักตร์ของขึ้น ปรี๊ดสุดขีดเสียงดังแล้ว “คุณไม่ต้องเถียงรับฟังอย่างเดียว ชั้นไม่ต้องการให้คุณติดต่อสัมพันธ์กับแม่ปรียากมลนั่นอีก”
ตระกูลเสียงดังเหมือนกัน “คุณเพ็ญ คุณพูดหลายครั้งแล้วนะ ไม่ให้ผมติดต่อสัมพันธ์กับเขา มันหมายความว่าไง ผมไปสัมพันธ์อะไรกับเขา”
“ถึงชั้นใช้คำพูดไม่ถูก แต่คุณเข้าใจ ชั้นไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ชั้นไม่ต้องการให้สามีฉันสนทนาวิสาสะกับเขา”
“แค่สนทนาวิสาสะเท่านั้นหรือ คุณทำท่าทางสุ้มเสียงยังกับผมไปนอนกับเขามาแล้ว”
“อ๋อ อยากใช่มั้ย ถึงได้เข้าใจไปอย่างนั้น” เพ็ญพักตร์พาลแล้ว
ตระกูลหงุดหงิด หยิบกุญแจรถ
“ใช่มั้ย บอกมาอยากใช่มั้ย เห็นหน้าก็รู้แล้ว”
ตระกูลไม่สนเดินออกไป
“จะไปไหน”
ตระกูลไม่หยุด
“จะไปไหน” เพ็ญพักตร์ตามมากระชากไหล่ “ไม่ให้ไป” พร้อมกับดึงหลุนๆ เข้ามา ด้วยกำลังแรงเยอะกว่า
“พอทีเถอะ ผมไม่ยอมให้คุณทำกับผมอย่างนี้อีก พอกันที”
เพ็ญพักตร์ดึงรั้ง ตระกูลจะไป ทั้งคู่สู้กันไปมา
อุ๊ ยืนฟังที่หน้าห้อง สีหน้าเครียด ใจแข็งไม่ร้องไห้ ประตูเปิดออกมาอย่างแรง อุ๊หลบวูบ
ตระกูลเดินออกมาแรงๆ โดยมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกปาตามหลังมา โดนตระกูลเต็มแรง
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมา”
ตระกูลเดินพรวดๆ ลงบันไดไป อุ๊วิ่งตาม
ครู่ต่อมาตระกูลเดินออกมาที่หน้าประตูบ้าน อย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อ”
ตระกูลหันขวับมา อุ๊ยืน ผมยุ่งเหยิง หน้าซีดเผือดมองจ้องอยู่ ตระกูลหยุดนิ่ง คิดว่าจะทำยังไงดี
ครู่ต่อมาอุ๊นั่งลงบนเก้าอี้ ตระกูลนั่งใกล้
“มันเป็นเรื่องธรรมดานะลูก คนเป็นสามีภรรยาเหมือนลิ้นกับฟัน เมื่อคิดไม่ตรงกันก็พูดกัน พูดกันไม่เข้าใจ ถ้าขืนยังพูดกันต่อไปอาจจะเลิกพูดกันตลอดชีวิต”
“คุณพ่อ” อุ๊เสียงสั่น น้ำตามาแล้ว
“อุ๊ฟังดีๆ ลูก ต้องตั้งใจฟัง”
“ก็คุณพ่อบอกว่าจะไม่พูดกับคุณแม่ตลอดชีวิต”
“อุ๊....โตแล้วนะลูก ฟังให้รู้เรื่อง”
“จริงหรือเปล่าคะ”
“พ่อจะออกไปจากบ้านเพื่อจะหยุดพูดกับคุณแม่ชั่วคราว คืนนี้เมื่อเรื่องสงบแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
“จริงๆ นะคะ”
ตระกูลโอบลูกกอดลูบหลังลูบไหล่ ดอกโศกยืนมองอยู่ สีหน้าสะเทือนใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ตระกูลพาตัวเองมาอยู่ที่คอนโดเมียน้อย เวลานั้นตระกูลอยู่ในชุดนอน นั่งกุมหัว ครุ่นคิดหนัก
“หนูขอรถใหม่ได้มั้ยคะ” เมียน้อยพูดเสียงเบา อ่อนๆ
“ทำไม”
“รถคันนี้หมดสภาพแล้วค่ะ ช่างเขาบอกว่ารถอายุ 10 ปีกว่า ต่อไปนี้ซ่อมอย่างเดียว”
ตระกูลนิ่งอึ้ง
“แต่ถ้า...” เมียน้อยจะพูดต่อ
ตระกูลสวนขึ้นก่อน “ไม่เป็นไร แล้วจะหาให้ มือสองนะ” แล้วล้มตัวลงนอน
“ค่ะ” เมียน้อยไหว้ลงข้างๆ ตัวตระกูล เหมือนกราบกรายๆ
ตระกูลลูบผมเบาๆ ถอนหายใจยาว นึกถึงคำพูดเพ็ญพักตร์ก่อนหน้านี้
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมา”
ตระกูลรู้เต็มอกว่า ต้องกลับไปหาเพ็ญพักตร์อยู่ดี
รุ่งสางวันนั้นตระกูลเปิดประตูเข้ามาเบาๆ เสื้อผ้ายุ่งยับนิดๆ ผมยุ่งๆ กิริยาไม่สบายใจ ยืนมองเพ็ญพักตร์สักครู่ เดินมาห่มผ้าให้ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ
“ตระกูล”
ตระกูลหันมา
“ทาครีมให้หน่อย”
“ครับ...คุณเพ็ญ”
ตระกูลหยิบบีบครีม มือตระกูลทาครีมที่ไหล่เพ็ญพักตร์ เพ็ญพักตร์ท่าทางสบาย หลับตาพริ้ม
ตระกูลเกลียดตัวเองเหลือเกิน
ตอนเช้าวันต่อมา ดอกโศกเปิดประตูห้องออกมาอย่างเร็ว แต่ต้องชะงักกึก เห็นอัศนัย ยืนคอยอยู่
ดอกโศกใจสั่น...ยกมือไหว้
อัศนัยเดินเข้ามาหา หยิบกระเป๋านักเรียนไปถือ เดินนำไปที่รถ เปิดประตูให้ขึ้นไปปิดประตูเรียบร้อย ไปขับรถ นั่งนิ่งๆ สักครู่
ดอกโศกก็นั่งนิ่ง ใจยังหวั่นไหว
อัศนัยนิ่งอยู่ ในที่สุดหันมา แตะหน้าผากเบาๆ “ตัวไม่ร้อน ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“คุณนัยไม่ได้โทร.หา”
“ค่ะ”
“คอยรึเปล่า”
ดอกโศกนิ่ง
“คอยมั้ยดอกโศก” อัศนัยถามย้ำ
“คอยค่ะ”
“คิดว่าคง...นอนเร็ว เพราะ...คงไม่สบาย”
“ไม่สบาย คอยใคร..ไม่ได้หรือคะ” ดอกโศกย้อนถาม
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง “นี่สิ...ถึงจะใช่ดอกโศก ใช่มั้ย”
ดอกโศกมองสายตาเป็นคำถาม ออกหวานๆ ค้อนๆ นิดๆ
“ใครๆ ก็คิดว่า ดอกโศกนะเรียบร้อยยยยย...สงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่เถียง โธ่เอ้ย ไม่มีใครรู้จักดอกโศกดีเท่าคุณนัยหร๊อก”
“ไม่มีใคร...แม้แต่ตัวดอกโศกเองหรือคะ”
อัศนัยดีดนิ้ว “นี่แหละ...เจ้าคารมดีนัก” พลางจับจมูกบีบเบาๆ
“เดี๋ยวจมูกบี้” ดอกโศกเอนตัวหนี
“ฮ่ะ...ฮ่ะ โห...จมูกโด่งขนาดนี้เอาคีมมาหนีบยังไม่บี้เลย” อัศนัยเย้า
“แต่หายใจไม่ออก ตายไปเลย”
อัศนัยหัวเราะชอบใจ
“สายแล้วนะคะ”
“โอเค...เอ้ะ วันนี้สุดท้ายแล้วใช่มั้ยที่ต้องไปโรงเรียนเอง” อัศนัยถามขณะสตาร์ทรถ
“พรุ่งนี้ค่ะวันสุดท้าย”
“ดี...พรุ่งนี้ออกมาเช้าๆ ได้มั้ย คุณนัยจะพาไป...” อัศนัยทอดคำ ค้างไว้เท่านั้น
ดอกโศกสงสัย “ไปไหนคะ”
“ยังไม่บอกดีกว่า...พรุ่งนี้ค่อยรู้”
“เผื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มาถึงล่ะคะ” ดอกโศกย้อน
อัศนัยชะงัก “ทำไมพูดอย่างนี้”
“อ้าว...คุณนัยเคยบอกดอกโศกเอง จำไม่ได้หรือคะ”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดอัศนัย วันนั้นที่สนามบ้านอัศนัย ด.ญ.ดอกโศกเก็บช็อคโกแล็ตที่อัศนัยให้ เอาทิชชูห่อ
“เก็บทำไม” อัศนัยสงสัย
“เก็บไว้ทานพรุ่งนี้” เด็กหญิงบอก
อัศนัยหยิบจากมือมา แกะแล้วป้อนใส่ปาก ดอกโศกส่ายหน้า อัศนัยแตะคางทำให้เปิดปาก ป้อนให้อย่างนุ่มนวล
“ทานเสียวันนี้ เผื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มาถึง” อัศนัยบอก
วันนั้นดอกโศกรับฟัง จดจำไว้เต็มหัวใจ...จวบจนวันนี้
อ่านต่อตอนที่ 9 พรุ่งนี้