ติดตามอ่าน "ลูกผู้ชายไม้ตะพด" ตอนที่ 13-14-15 (อวสาน) เต็มอิ่มจุใจ 3 วัน 3 เวลา 9.00น., 12.00น. และ 17.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 13
ค่ำวันนั้นเมื่อเมฆเข้ามาในบ้านก็เห็นบ้านโล่ง เมฆเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของไม้มันไม่เหลือเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเมฆเดินมาที่เตียงเมฆก็พบชุดลูกผู้ชายถูกพับวางไว้บนเตียง เมฆซึม แต่แล้วไม้ก็เปิดประตูเข้ามา ทั้งคู่มองหน้ากัน
“พ่อนึกว่าจะไม่มีวันได้เจอหน้าลูกอีก” เมฆบอก
“พ่อกำลังแย่ ถ้าชั้นไม่อยู่ชั้นคงจะเป็นคนที่แย่มาก เรื่องงานของพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงชั้นจะไปคุยกับเจ๊กีให้ ชั้นเชื่อว่าเจ๊กีต้องเข้าใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกไม้ พ่อน่ะผิดเองจริงๆ งานคนขับรถ อาจไม่เหมาะกับพ่อแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกพ่อ”
“พ่อห่วงแค่เรื่องเดียว พ่ออยากจะขอร้องไม้ อีกแค่ครั้งเดียว...ไม้ตะพดยังอยู่บนรถ พ่อเอามาไม่ได้ พ่ออยากจะให้ไม้ไปเอามันมาจะได้มั้ย พ่อไม่อยากให้มันต้องตกไปอยู่ในมือคนไม่ดี แล้วใช้มันไปในทางที่ผิด”
“ได้สิพ่อ มันเป็นของพ่อชั้นจะไปเอามันมาคืนให้พ่อเอง”
คืนนั้นอบเชยมาที่ชายป่าเพื่อมาหาเวตาลตามสัญญาเธอส่องไฟฉายหาเวตาลไปทั่วแล้วเธอก็ต้องตกใจที่ฉายไฟไปแล้วเห็นเวตาลกำลังกินซากหมาอยู่อย่างน่าเกลียด น่าขยะแขยง
“ว๊าย” อบเชยหันฉายไฟหลบไปทางอื่น
“เจ้ามาเวลาพอดีกับมื้อค่ำของข้า”
“รีบกินให้เสร็จซักที ชั้นไม่อยากเห็น” เวตาลลุกเช็ดคราบเลือดที่ปากด้วยมือดูสกปรก เดินมาหาอบเชย อบเชยมองสะอิดสะเอียน “นี่บ้านไอ้พันเทพมันเลี้ยงดูแบบนี้รึไง ให้หาซากสัตว์กินเองเนี่ยนะ”
“ในวันที่ข้าได้ดูดกินวิญญาณของใครซักคน วันนั้นจะทำให้พลังข้าสมบูรณ์ เมื่อวันนั้นมาถึงข้าจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก ซึ่งวิญญาณนั่นอาจจะเป็นเจ้า”
“ชั้นไม่มีทางแพ้แกหรอก แกอย่าลืมสัญญานะ ถ้าระหว่างทางชั้นพาแกไปหาไม้ได้โดยไม่พูดซักคำ แกจะต้องสารภาพมาว่าทิวามีแผนร้ายอะไรกับไม้”
“แค่ผู้ชายคนเดียว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าแลกกับวิญญาณตัวเอง”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“ถ้าเพียงแต่เจ้าเอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว วิญญาณของเจ้าได้ตกเป็นของข้า”
“แน่นอน” อบเชยเตรียมเชือกออกมามัดเวตาล
“เจ้าจะทำอะไร”
“ก็มัดไง เผื่อแกโกงขึ้นมา บินหนีหายไปไหนต่อไหน ชั้นก็แย่สิ ชั้นรู้ว่าแกน่ะเจ้าเล่ห์ ชั้นต้องปลอดภัยไว้ก่อน”
เวตาลกับอบเชยจ้องหน้ากัน ต่างก็คิดว่าตนเหนือกว่า
อบเชยเดินนำมาตามถนน เวตาลเดินตามไม่ห่างนักโดยมีเชือกผูกที่ข้อเท้าของเวตาล แต่เมื่อชาวบ้านเดินผ่านก็เห็นเหมือนอบเชยกำลังลากเชือกเปล่าๆ เดินคนเดียว เวตาลแต่งเรื่องเล่ามายั่วยวนให้อบเชยพูด
“ข้ามีเรื่องเล่าหนึ่งเรื่องจะเล่าให้เจ้าฟัง เป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินได้ฟังมาเป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่ง กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กหญิงสาวนั้นแอบหลงรักชายหนุ่มมาตั้งแต่จำความได้ แต่ชายหนุ่มน่ะเหรอ เอาแต่มองหาหญิงสาวในฝันอยู่ร่ำไป ไม่เคยหันมามองหญิงสาวเลย หญิงสาว
เองก็ไม่ท้อแท้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อพิชิตใจชายหนุ่มให้ได้ พยายามทำดี ช่วยเหลือและอยู่ข้างกายเค้าตลอดเวลา แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยังเอาแต่ห่วงหาหญิงสาวในฝันของตนอยู่ดี หญิงสาวยังไม่มีค่าเพียงพอให้เค้ารัก แม้เธอจะให้อภัยชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาทำผิด แต่หญิงสาวก็ยังไร้ค่าในสายตาชายหนุ่มอยู่วันยันค่ำ” อบเชยฟังเรื่องที่เวตาลเล่าอย่างทรมาน เพราะมันราวกับเป็นเรื่องจริงของชีวิตเธอ “ถ้าเป็นข้า ใครมาทำกับข้าแบบนี้ ข้าไม่มีวันให้อภัย ข้าจะเอาคืนที่มันมองข้ามหัวใจของข้าให้สาสม ฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆ ดีมั้ย”
อบเชยจะพลั้งปากห้ามว่าอย่ายุ่งกับไม้ แต่เธอก็ตั้งสติได้เงียบเหมือนเดิม
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นไกรมองจากหน้าต่างห้องทำงานตัวเองไปที่รถของเมฆ เขายังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ไกรถอนหายใจยาว
ไม้เดินเข้ามาในท่ารถบขส.มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จึงเดินขึ้นไปบนรถเมฆโดยไม่รู้ว่าไกรที่อยู่ในห้องทำงานกำลังมองมาทางนั้นพอดี ไกรเห็นคนด้อมๆ มองๆ แล้วขึ้นไปบนรถ ไกรเปิดประตูออกไป
ไม้วิ่งไปหยิบคันเกียร์ใต้เบาะยาวของรถจะเอามาเปลี่ยนกับไม้ตะพด แต่ไม้ทำได้แค่ดึงไม้ตะพดออกมา ไกรก็มาถึงพอดี
“นั่นเธอทำอะไรน่ะ”
ไม้ตัวแข็งที่โดนจับได้
“คุณไกรยังไม่กลับ”
“แน่สิ ถ้าชั้นกลับจะเห็นพฤติกรรมของขโมยมั้ยล่ะ”
“ชั้นไม่ได้ขโมย”
“แต่กำลังจะวางยารถคันนี้รึไง กะว่าใครมาขับแทนพ่อเธอก็ให้ตายๆ ไปเลยงั้นสิ”
“เปล่านะครับ”
“แล้วในมือนั่นอะไร เกียร์รถคันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“คือ...”
“เธอนี่มันเลวกว่าที่ชั้นคิดซะอีกนะ”
“ไม่ใช่นะครับ อันนี้เป็นเกียร์ที่พ่อทำพ่อแค่อยากได้คืน แล้วจะใส่เกียร์ใหม่ให้”
“หึหึ มีใครที่ไหนทำเกียร์ใช้เอง เธอโกหกไม่เนียนเอาซะเลยส่งมันมาให้ชั้น”
“ไม่ได้ ผมส่งให้คุณไกรไม่ได้หรอก”
“ชั้นบอกให้ส่งมันมา” ไม้ยืนนิ่ง ไม่ส่งให้ไกร “ชั้นพยายามอดทนกับเธอแล้วนะ นี่เธออยากให้ชั้นใช้
กำลังกับเธอใช่มั้ยไม้”
ไม้ยังนิ่งไม่ส่งคันเกียร์ให้ไกร
ระหว่างนั้นอบเชยเดินมาบ้านเมฆและเวตาลยังเล่าเรื่องต่อไม่หยุด
“วันหนึ่งหญิงสาวอยากจะช่วยชายหนุ่มให้รอดพ้นอันตรายจึงเอาตนเองเข้ามาเดิมพันกับพญามาร โดยไม่เกรงกลัว มีความหวังเพียงอย่างเดียว อยากจะช่วยชายหนุ่มให้ได้แต่หญิงสาวก็หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เธอกำลังหาทางช่วยนั้น เค้าไม่ได้เหลียวแลเธอขึ้นมาเลย” อบเชยกำมือแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่...มันไม่เคยมีค่าหรอก”
อบเชยจะหันไปสวนกลับเวตาลว่าไม่จริง แต่เธอก็ตั้งสติได้นิ่งเหมือนเดิม เวตาลยิ้มที่ยั่วอบเชยได้ ทั้งคู่คุยมาถึงหน้าบ้านเมฆ อบเชยมองเวตาลเคืองๆ ก่อนจะเดินเข้าไป
อบเชยเดินเข้าไปในบ้านเจอกับเมฆ ตลอดเวลาที่เมฆคุยกับอบเชย เวตาลจ้องหน้าเมฆเขม็งจากนอกหน้าต่าง
“มาหาไม้เหรออบเชย” อบเชยพยักหน้ารับ “ไม่ไม่อยู่หรอก ออกไปทำธุระให้อาที่บขส.”
อบเชยทำได้แค่ยกมือไหว้แล้วรีบเดินออกไป เมฆรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ที่หน้าต่างเขาหันไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ระหว่างนั้นไม้กับไกรยังเถียงกันเรื่องไม้ตะพดเกียร์
“ชั้นบอกให้ส่งเกียร์นั่นมา”
“ผมส่งให้ไม่ได้จริงๆ ครับคุณไกร”
“ถ้างั้น แปลว่าเธอก็อยากมีเรื่องกับชั้น ได้” ไกรเข้ายื้อแย่งไม้ตะพดกับไม้ ไม้พยายามยื้อไว้จนไม้ทนไม่ไหวผลักไกรออก ไกรเซ “นี่เธอทำกับคนที่มีบุญคุณต่อเธอแบบนี้เหรอ”
“ผมขอโทษครับ แต่ไม่ได้จริงๆ”
ไกรเข้าลุยกับไม้อีก ฝีมือไกรคล่องแคล่วว่องไวไม่ใช่น้อย ไกรพยายามแย่งไม้ตะพดออกไปจากไม้ ไม้จำใจต้องต่อสู้กับเขาด้วยกรงเล็บพยัคฆ์ ไกรกระเด็นออกไป
“เธอเอาท่าที่ชั้นสอนเธอมาทำร้ายชั้นเหรอ?” ไกรยิ่งเจ็บใจหนักเข้าไปอีก “ไม้...เธอ”
ไม้กำลังรู้สึกผิด ไกรจึงถือโอกาสชิงไม้ตะพดจากมือไม้ทันที พอจับเพื่อต่อสู้มันก็ว่องไววิเศษ ไกรกำลังจะเอาไม้ฟาดกลับไปที่ไม้ อบเชยมาพอดีเห็นไกรกำลังจะทำร้ายไม้เธอตะโกนห้าม
“หยุดนะ ห้ามใครทำอะไรไม้เด็ดขาดนะ”
อบเชยเผลอพูดโดยที่เธอห่วงไม้จนไม่รู้ตัว เชือกที่ขาของเวตาลขาดทันที อบเชยเองก็ตกใจที่ตัวเองหลุดพูดออกไป เสียงเวตาลก้องขึ้นโดยที่ไม่มีใครเห็นตัวตนของเวตาล
“เธอแพ้แล้ว เธอต้องทำตามสัญญา”
เวตาลมองหน้าไม้ก่อนที่มันจะบินหายไป อบเชยหน้าเสีย ทั้งไกรและไม้ต่างมองไปรอบๆ
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“สัญญาอะไร กับใครน่ะอบเชย”
“มันไม่สำคัญหรอกน่า ชั้นสงสัยมากกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยคุณไกร”
“เธอถามไม้ซะก่อนว่าทำอะไรลงไป”
“ชั้นแค่จะมาเอาของของพ่อคืน แต่คุณไกรไม่ยอม”
“นี่มันทรัพย์สินของบริษัท ไม่มีใครเอามันไปได้ทั้งนั้น”
“นี่สองคนเป็นอะไรไปกันเนี่ย ทำไมต้องมาสู้กันเองด้วย” อบเชยต่อว่า
“เธอนั่นแหละเป็นอะไร เธอเองก็เห็นตำตาว่าไม้ไปมีอะไรกับคนอื่น เธอยังจะปกป้องมันอีกรึไง”
อบเชยสะอึกกับคำพูดไกร
“ชั้นขอร้อง…คุณไกรอย่าเอาเรื่องไม้เลย ส่วนไม้กลับบ้านไปพร้อมกับชั้น”
“แต่ไม้นั่น…”
“พอเถอะ สู้กันเองก็มีแต่คนแพ้ทั้งนั้นค่อยมาคุยกันดีๆ ตอนที่ใจเย็นแล้วเถอะ ขอร้อง”
ไม้มองไม้ตะพดในมือไกรอย่างไม่สบายใจนัก แต่เขาก็จำต้องเชื่ออบเชย
ไม้กับอบเชยเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ชั้นไม่สบายใจเลย นั่นไม้ตะพดของพ่อแต่ชั้นทิ้งไว้ที่คุณไกร”
“ก็คุณไกรเค้ายังไม่รู้ว่าคือไม้ตะพด”
“เธอคิดว่าคนฉลาดอย่างเค้าจะไม่รู้ตลอดไปรึไง”
“แต่คุณไกรเค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่”
“แต่เค้าก็ไล่พ่อออกจากงานแล้ววันนี้”
“นี่มันเรื่องอะไรวุ่นวายไปหมด โอ๊ย...เวตาลก็หลุดหนีไปได้ เฮ้อ...”
“เวตาลอะไร”
อบเชยนิ่งมองไม้อย่างน้อยใจ แล้วกลบเกลื่อน
“เรื่องชั้นไม่มีสำคัญหรอก ยังไงมันก็ไม่สำเร็จไปแล้ว แต่เธอกับคุณไกรล่ะมีเรื่องอะไร ไหนจะ
เรื่องทุกข์ใจของเธอที่ชั้นยังไม่รู้อีกล่ะไม้”
ไม้อึดอัดเกินกว่าที่จะเล่า
ไกรเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานอย่างหงุดหงิด เขาโยนไม้ตะพดที่เข้าใจว่าเป็นคันเกียร์ธรรมดาบนโต๊ะ
“อบเชย เธอมันคนประเภทไหนกันแน่ที่ยังเข้าข้างคนที่เอาแต่ทำให้เธอเจ็บปวด ไม้ก็อีกคนทำไมต้องอยากได้นักหนา ไอ้คันเกียร์เนี่ย”
ไกรหันไปมองคันเกียร์อย่างพินิจพิจารณาสงสัย
ที่ชายป่าเวตาลห้อยหัวหลับเหมือนค้างคาวบนต้นไม้ อยู่ๆ ก็มีเสียงมารบกวนเวลานอนของเวตาลเป็นเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ เวตาลลืมตาตื่นไม่สบอารมณ์นัก แม้เวตาลจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว เสียงหัวเราะนั่นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย เวตาลลงจากต้นไม้มาดู
“เจ้าเป็นใคร ใยไม่เกรงใจผู้อื่นหัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วขนาดนี้ ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของข้าเอาซะเลย” ฤๅษีค่อยๆ หันมาหาเวตาล “เจ้าฤๅษีแก่นี่เอง”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเวตาล”
“เจ้าก็รู้ว่าแท้จริงข้าเป็นถึงพญาเวตาลผู้ยิ่งใหญ่”
“ดูจากสภาพเจ้าแล้ว ยังจะให้ข้าเรียกว่าพญาเวตาลอีกได้อย่างไรไม่อายตัวเองรึ”
“แล้วมันมีเรื่องน่าขันอะไรนักหนาหัวเราะเสียดังก้อง” เวตาลถามอย่างไม่พอใจ
“จะไม่ให้ข้าหัวเราะได้อย่างไร ก็ในเมื่อจุดเริ่มต้นของความตายของเจ้ามาถึงแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเจอคนที่จะปลิดชีพเจ้าแล้ว”
“ใครหน้าไหนจะปลิดชีพข้าได้ ไม่มีหรอก”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องป่าอีกครั้ง เวตาลสะดุ้งตื่น
เวตาลลืมตาตื่นอย่างหวาดระแวง มองไปรอบด้าน เสียงหัวเราะของฤๅษียังก้องอยู่จางๆ
“คนที่จะปลิดชีพข้า”
เวตาลนึกถึงหน้าไม้ตอนที่อบเชยพาเขาไปที่ท่ารถจะช่วยไม้ และตอนที่เห็นหน้าเมฆที่เขาเจอที่บ้าน
“ข้าจะต้องได้ดูดวิญญาณเพื่อให้ร่างกายข้าได้กลับมามีพลังที่สมบูรณ์อีกครั้งแล้วจะไม่มีใครทำอะไรข้าได้”
วันต่อมาขณะที่อบเชยเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงกุกกักดังจากในบ้าน อบเชยมองไปก็ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น อบเชยเริ่มระแวงและนึกถึงคำพูดเวตาลที่ตกลงกันไว้ว่าถ้าเธอแพ้เธอต้องยกวิญญาณของเธอให้กับเวตาล อบเชยหวาดระแวงรอบๆ ตัว
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานไกร ไกรเพ่งพินิจคันเกียร์ที่เอามาจากไม้ เขายังไม่เห็นไม้ตะพดที่ซ่อนอยู่ในปลอกเกียร์
“ทำไมอยากได้นัก”
ไกรเดินไปหยิบคันเกียร์เล็งๆ ดู ยังไม่ทันที่ไกรจะคิดออก เจ๊กีก็เปิดประตูห้องทำงานไกรพรวดเข้า
มา
“ลื้อไล่อาเมฆออกเหรออาไกร”
“ใช่ครับ”
“ลื้อไล่อีกออกทำไม ลื้อก็รู้ว่าอีเป็นคนเก่าคนแก่ที่อั๊วไว้ใจ”
“นี่สองพ่อลูกนั่นมาฟ้องหม่าม้าเหรอครับ”
“ไม่มีใครมาฟ้องทั้งนั้นแหละ เค้าพูดกันไปทั่วว่าลื้อกับอาไม้ทะเลาะกัน ตีกัน เพราะเรื่องที่ลื้อไล่อาเมฆออก” ไกรนิ่ง “ลื้อไล่อาเมฆออกทำไม”
“ม้าลองไปไล่ดูย้อนหลังช่วงที่ผ่านมานี่สิครับ เค้าลาหยุดงานตลอดวันทำงานน้อยกว่าวันหยุดซะอีก ผมก็เห็นว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างก็คงต้องเป็นเรื่องวินัยในการทำงาน”
“ทำไมลื้อไม่ตักเตือนอีก่อน ไปไล่อีออกเลยได้ยังไง แล้วอีจะเอาเงินที่ไหนกิน ที่ไหนใช้”
“ผมก็ให้เงินเค้าไปก้อนนึงด้วยนะครับ”
“แย่ อั๊วไม่เคยสอนให้ลื้อเลี้ยงดูคนด้วยการเอาเงินฟาดหัวแบบนั้น เมื่อก่อนลื้อก็ไม่เป็นแบบนี้”
“ผมก็เป็นแบบนี้แหละม้า อีกอย่างเค้าก็ยอมออกไปแล้วด้วย”
“ไม่รู้ล่ะ อั๊วต้องไปคุยกะอีให้รู้เรื่อง”
“คุยอะไรม้า คนมันไล่กันไปแล้ว จะให้กลับมาทำงาน ผมก็หมดความเชื่อถือกันพอดี”
เจ๊กีถอนหายใจ ลำบากใจ
ส่วนที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นอบเชยนั่งกินข้าวกับศรนารายณ์
“งานที่ร้านขนมปังเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีจ้ะพ่อ”
เสียงก๊อกแก๊กดังตามจุดต่างๆ ของบ้าน อบเชยมองตามไม่ค่อยสนใจศรนารายณ์นัก
“พ่อว่าบ้านเราต้องมีรูตรงไหนแน่เลย นูมันถึงได้เข้ามาได้”
“ถ้ามันเป็นหนูจริงๆ ก็ดีสิพ่อ กลัวว่ามันจะไม่ใช่” อบเชยบอกอย่างระแวง
“ไม่ใช่หนูแล้วมันจะเป็นอะไร กระต่ายจะแอบเข้าบ้านคนเหรอ ก็ไม่น่านะ” เสียงก๊อกแก๊กดังตรงมุมโน้นทีมุมนี้ทีไปทั่ว อบเชยระแวง “เดี๋ยวพ่อไปทำงานก่อนนะ”
“ไปแล้วเหรอพ่อ”
“ไม่ไปตอนนี้ก็สายน่ะสิ ไอ้ลูกคนนี้”
ศรนารายณ์ลุกขึ้นเดินออกไป อบเชยอยู่บ้านคนเดียวระแวงพอศรนารายณ์ออกไป บนโต๊ะอาหารที่ศรนารายณ์นั่งช้อนกลางในแกงหมุนวนเหมือนใครกำลังจับมันคน อบเชยผงะแล้วเวตาลก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า”
“แกมาบุกรุกบ้านชั้นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ข้าจะไปที่ไหนก็ได้ที่ข้าอยากไป”
“ไม่มีมารยาทสินะ”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีมารยาทมากกว่า ที่เจ้าทำเป็นลืมสัญญา”
ศรนารายณ์เดินออกมาแล้ว แต่นึกได้ว่าตนลืมของ
“เอ๊า ลืมกุญแจบ้านซะอีก”
ศรนารายณ์ส่ายหน้าระอาตัวเอง แล้วเดินย้อนกลับไปในบ้านอีกครั้ง
ขณะนั้นอบเชยกำลังเดินหนีเวตาล
“ชั้นขอเวลาอีกซักหน่อยได้มั้ย พอดีว่าที่บ้านวุ่นวาย”
“แต่เมื่อคืนเราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้”
เสียงเปิดประตูบ้านเข้ามาอีกที ทั้งคู่หันไปมอง เวตาลหายตัวแว้บไป ศรนารายณ์เดินข้ามา อบเชยวิ่งรี่เข้าไปหาพ่อทันที
“พ่อ”
“พอดีพ่อลืมกุญแจน่ะ” ศรนารายณ์หยิบกุญแจบ้าน
“เดี๋ยวพ่อ เดี๋ยวชั้นออกไปพร้อมพ่อด้วยเลยดีกว่า”
“เอาสิ ไป”
อบเชยหันมองในบ้านก่อนจะรีบออกไปพร้อมศรนารายณ์
ที่ตลาด ขณะนั้นทิวาเดินถือถุงใส่ยาแก้ปวดมาหลายกระปุก ทิวาเดินผ่านชาวบ้านพากันซุบซิบ
“เค้าเม้าท์กันให้แซด ว่าทิวาไม่ใช่ลูกไอ้พันเทพ”
แม่ค้าบอกเจ๊กี
“ลื้อไปรู้ได้ยังไง”
“ใครก็รู้ มีแต่เจ๊ละมั้งไม่สนใจโลกภายนอกเลย”
“ไม่ใช่ลูกพันเทพ แล้วลูกใคร”
“นั่นแน่ อยากรู้เหมือนกันละสิเจ๊”
ยังไม่ทันที่เจ๊กีจะได้คำตอบอะไรทิวาก็มาขวางหน้า
“ยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วนะพวกแก นางนี่” ทิวากระชากคอเจ๊กี “แกนี่ก็ตัวนำเลย อยากตายใช่มั้ย...” ทิวาหันหาชาวบ้าน “พวกแกด้วย ชั้นจะฆ่าเรียงตัวเลย ปากมากดีนัก”
ทิวาเงื้อมมือจะตบเจ๊กี ชาวบ้านแตกตื่น
“อั๊วเปล่า อั๊วไม่เกี่ยวนะ”
ทิวาไม่สนคำขอร้องของเจ๊กี เจ๊กีโดนทิวาฉุดกระชากลากถู
“ปากมากนักใช่มั้ยพวกแกน่ะ ชั้นจะกระทืบให้พูดไม่ได้เลย”
ไม้ปรากฏตัวออกมาห้ามทิวา
“หยุดนะทิวา”
ทิวาหันมองตามเสียงเจอไม้ยืนอยู่
“แกอีกแล้วไอ้ไม้ แกทุกที ทำไมทุกอย่างในชีวิตชั้นแกจะต้องคอยเข้ามาขัดด้วย”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากจะไปพัวพันกับชีวิตแกหรอกทิวา”
“ถ้าไม่มีแกบนโลกซักคน ชีวิตชั้นคงดีกว่านี้แน่”
“แต่มีแกบนโลก ชั้นก็เฉยๆ นะ ชั้นไม่สนใจ”
ทิวาเจ็บจี๊ดกับคำพูดของไม้ขึ้นมาทันที จึงเข้ามาลุยกับไม้ ทิวาต่อสู้ด้วยความโกรธไม่ยั้งมือแต่ไม้ก็รับมือทิวาได้ทุกหมัด
“ชั้นจะฆ่าแกให้ตาย ชั้นจะฆ่าแก”
ทิวาต่อสู้เหมือนหมาบ้าทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างไม่มีชั้นเชิง ทิวาหยิบมีดปังตอจากร้านขายหมูมาได้ กวาดไปเรื่อ ไม้ตะโกนบอกทุกคน
“เจ๊กีพาทุกคนหนีไปก่อน ทิวามันเป็นบ้าไปแล้ว”
เจ๊กีพาชาวบ้านทยอยหนีออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง
“ชั้นเกลียดแก แล้วก็ไอ้เป๋พ่อของแก”
“ทิวา แกไม่ควรเรียกพ่อแบบนั้น”
“มันไม่ใช่พ่อชั้น มันไม่มีทางเป็นพ่อชั้น”
ทิวาบ้าหนักกว่าเดิม ไม้จับตัวทิวามัดมือไพร่หลังไว้ไม่ให้อาละวาดได้มากนัก
“ทิวา ถ้าแกยังไม่เลิกบ้าชั้นจะมัดแกไว้กลางตลาดประจานแกแบบนี้แหละ จากที่คนรู้เรื่องของเราไม่กี่คนจะกลายเป็นรู้ทั้งตลาด แล้วทุกคนก็จะมามุงดูแก”
ทิวาที่คลุ้มคลั่งเริ่มสงบลง
“ไม่ว่ายังไง ชั้นก็จะฆ่าแกให้ได้ ไอ้ไม้”
ไม้เดินออกมาเจอเจ๊กีและชาวบ้านที่กลัวแล้วรออยู่ด้านนอก
“เป็นไงบ้างไม้ ลื้อบาดเจ็บรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วไอ้ทิวาล่ะ”
“ชั้นปล่อยมันไปแล้ว”
“แล้วมันจะไม่ไปทำร้ายใครเหรอ”
“คงไม่หรอกครับ ตอนนี้จิตใจทิวายังไม่ปกติดี ต้องเข้าใจเค้าด้วยครับ”
“ปกติหรือไม่ปกติ อั๊วก็เห็นอีรังควาญคนอื่นเค้าไปทั่วอยู่แล้ว แต่ยังไงอั๊วก็ขอบใจลื้อมากเลยนะอาไม้ที่มาช่วย ไม่งั้นอั๊วกับชาวบ้านหลายคนคงแย่”
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...เจ๊กีครับ ผมก็มีเรื่องให้เจ๊ช่วยเหมือนกัน”
“เรื่องอะไรเหรอไม้ อั๊วยินดีช่วยลื้อทุกเรื่องเพราะอั๊วก็ยังรู้สึกไม่ดีกับลื้อที่อาไกรไล่อาเมฆออก”
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานไกร ไกรนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอยู่ดีๆ คันเกียร์ก็มีแสงเรืองวาบขึ้นมาไกรหันกลับไปมอง
“แสงเมื่อกี้นั่นมันอะไรน่ะ”
ไกรมองไปที่คันเกียร์ที่เค้ายึดมาจากไม้ ไกรเดินมาดูคันเกียร์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เขาหยิบมันขึ้นมาและรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างในมือ ไกรสูดกลิ่นของคันเกียร์ได้กลิ่นหอม
“ไม้หอม...หรือว่านี่จะเป็น...” ไกรจะหมุนดูด้านในด้ามเกียร์ จังหวะนั้นประตูเปิดออกมาทันทีไกรตกใจเมื่อเห็นเจ๊กีเข้ามา “ม้า ทำไมพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ผมตกใจหมด”
“นั่นลื้อกำลังทำอะไรน่ะ”
“เปล่าครับ”
เจ๊กีหันไปด้านนอก
“อาไม้ ลื้อเข้ามาสิ”
ไม้ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง
“เธออีกแล้วเหรอ ต้องการอะไรอีก”
“ลื้อเงียบไปเลยอาไกร อาไม้อีช่วยอั๊วจากที่ตลาดไม่ให้โดนอาทิวาทำร้าย คราวนี้ถึงคราวที่อั๊วต้องช่วยอาไม้บ้าง ไหน ของชิ้นไหนที่ลื้ออยากขอเอาไปให้อาเมฆ” เจ๊กีถามไม้
“มันอยู่ในมือคุณไกรครับ”
“นี่เธอยังไม่จบเรื่องคันเกียร์นี่กับชั้นใช่มั้ย”
“อาไกร ส่งให้อาไม้”
“ม้าครับ นี่เป็นสมบัติของบริษัท”
“แค่เกียร์รถดัดแปลงอันเดียว ลื้อจะให้ไม่ได้เลยเหรออาไกร อั๊วสอนลื้อว่ายังไง ให้รู้จักบุญคุณคน นี่อาไม้ช่วยอั๊ว อั๊วก็ต้องตอบแทนเค้า ส่งมันให้อาไม้เดี๋ยวนี้”
ไกรส่งมันให้ไม้อย่างไม่เต็มใจนัก
“อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้นะ...ว่าคันเกียร์นี่มันพิเศษยังไง”
ไกรจ้องไม้เขม็ง ไม้ยังแสดงท่าทีเคารพไกรเหมือนเดิม
“ขอบคุณครับ”
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทิวากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาบริเวณลานวัดมือเขายังถูกมัดเชือกไว้ด้านหลัง ทิวามองหาสิ่งที่จะแก้มัดเ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นผ่านมา ทิวาเรียก
“เฮ้ย พวกแกมานี่ซิ”
เด็กวัดวิ่งมากัน 2-3 คน
“แกะเชือกให้หน่อย”
“ไปทำอะไรมา ทำไมโดนมัด”
“บอกให้แกะก็แกะ อย่ามาถามมากเรื่อง” ทิวาบอกอย่างหงุดหงิด
“โกรธอะไร เรายังไม่ได้ทำอะไรให้ซักหน่อย”
“ก็พวกแกพูดมาก ไม่เข้าเรื่อง แกะซิวะ” เด็กวัดมองหน้ากันไม่อยากแกะให้ แล้วก็พากันวิ่งหนีไป
“เฮ้ย จะไปไหน”
“ไม่แกะให้หรอก แกะให้ พี่ก็มาตีพวกเราน่ะสิ ไม่เอาหรอก”
เด็กๆ วิ่งหายกันไป ทิวาเจ็บใจ
“โว้ย อะไรกันวะ”
ทิวาทิ้งตัวลงนั่งหงุดหงิดกับทุกอย่างในชีวิต
อบเชยเข้ามาในหอสมุดของวัด เธอพุ่งตรงไปในหอสมุดเก่าแก่
“ตำนานเวตาล ที่นี่มีรึเปล่า”
อบเชยเดินเข้าไปมองหา...ป้ายเขียนว่าหมวดสารคดีเรื่องสั้น อบเชยค่อยๆ ไล่หาหนังสือเวตาล
อบเชยไล่ดูหนังสือจนพบหนังสือใบลานเก่าเก็บที่ชื่อ “ตำนานเวตาล” ในที่สุด อบเชยยิ้มดีใจเธอรีบเปิดไล่ดูทันที อบเชยไล่ดูจนถึงหัวข้อที่ว่า “การดูดวิญญาณของเวตาล”
ขระนั้นทิวายังนั่งเซ็งอยู่ที่ลานวัด แต่แล้วจู่ๆ เชือกที่มือเค้าก็ค่อยๆ คลาย ทิวาแปลกใจแต่แล้วเวตาลก็ปรากฎตัวขึ้น
“แกมาช่วยชั้น”
“เจ้าเป็นสหายของข้า...ข้าไม่ทิ้งเจ้าให้โดดเดี่ยวหรอก”
“ก็ดี งั้นวันนี้เราไปฆ่าไอ้ไม้กันเลย”
“ใจเย็นก่อนเพื่อนข้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ร่างกายของข้ายังไม่สมบูรณ์พร้อม”
“แล้วเมื่อไหร่จะสมบูรณ์ ชั้นรอไม่ไหวแล้วนะ”
“ร่างกายข้าจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ยอมมอบวิญญาณของตนให้ข้า เมื่อข้าได้ดูดวิญญาณแล้ว ข้าจะกลับมาเป็นพญาเวตาลที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
ทิวานั่งฟังสิ่งที่เวตาลพูด โดยไม่รู้ว่าเขากำลังถูกเวตาลเกลี้ยกล่อมโดยไม่รู้ตัว
“ถ้ามนุษย์มอบวิญญาณให้กับเวตาลแล้ว จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไปพร้อมๆ กับพญาเวตาลด้วยเหรอ”
“ใช่สิ ก็ในเมื่อวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นอยู่ในตัวข้า เป็นส่วนหนึ่งของข้า ก็ย่อมยิ่งใหญ่ไปพร้อมๆกับข้า แค่ดวงวิญญาณเดียวที่ข้าอยากได้”
“แล้วมีคนมอบวิญญาณให้เจ้าไปรึยัง”
“มีแล้ว...เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่นานเกินรอหรอกที่ข้าจะช่วยเจ้าไปฆ่าเจ้าไม้ได้”
ทิวาหลงเชื่อคำเวตาลที่จะได้เป็นใหญ่ เขาเริ่มอยากจะมอบวิญญาณให้เวตาลซะแล้ว เวตาลอมยิ้มที่เห็นทีท่าทิวาอยากจะมอบวิญญาณให้ตน
ส่วนอบเชยขณะนั้นเธอกำลังอ่านเรื่องการดูดวิญญาณของเวตาล
“เวตาลจะสามารถดูดวิญญาณของคนที่มอบวิญญาณให้เวตาลได้เท่านั้น ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อเวตาลได้ดูดวิญญาณแล้ว จะมีอำนาจมากพอจนสามารถแปลงเป็นคนๆ นั้น จึงดูคล้ายกับว่ามนุษย์
คนนั้นจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจเหนือธรรมดา ...จึงมีมนุษย์หลายคนเข้าใจผิด ยอมมอบวิญญาณให้เวตาล ทั้งที่ความจริงแล้ว เมื่อมอบวิญญาณให้เวตาลแล้ว ก็จะกลายเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจไปเท่านั้นเอง ...ตายเลยเหรอ” อบเชยหน้าเครียดเมื่อรู้ว่าต้องตาย เธอเปิดไล่หาวิธีแก้ไข “ไม่มีวิธีแก้เลยรึไงเนี่ย วิธีฆ่ามันก็ได้”
อบเชยเปิดหาทั้งเล่ม แต่ก็ไม่มี อบเชยท้อ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเมฆกำลังทำความสะอาดบ้าน ไม้เดินเข้ามาในบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ชั้นมีของบางอย่าจะให้พ่อ”
“อะไรเหรอ”
“นี่ครับ” ไม้ยื่นไม้ตะพดให้เมฆ
“นี่มัน...”
“ของๆ พ่อ ผมคืนให้ ผมไม่ใช่ทายาทของพ่อ ผมคงสืบทอดทายาทลูกผู้ชายให้พ่อไม่ได้”
“มานี่สิไม้ พ่อก็มีอะไรจะให้เหมือนกัน” เมฆพาไม้มานั่ง หยิบชุดลูกผู้ชายที่ไม้เคยพับคืนไว้ให้เมฆ ส่งคืนให้ไม้ “มันเป็นของเธอ”
“ชั้นรับไว้ไม่ได้หรอก พ่อก็รู้ดีว่าผมเป็นลูกของพันเทพ คนที่ก่อปัญหามากมายให้ชุมชนนี้ ชั้นเป็นลูกผู้ชายไม่ได้ แล้วสาเหตุที่สลับตัวผมกับทิวาก็เห็นอยู่ว่าพันเทพอยากได้ไม้ตะพดวิญญาณขนาดไหน ถ้าพ่อยกให้ผมมันก็จะเข้ากับแผนพันเทพทุกอย่าง”
“ก็ใช่ ต่างตรงแค่ตัวลูกเองจะยอมยกไม้ตะพดวิญญาณให้กับพันเทพรึเปล่า พ่อให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเพราะมันเป็นของลูกแล้ว”
“พ่อ...”
ไม้และเมฆโผเข้ากอดกัน เสียงปรบมือดังมาจากด้านหลังพันเทพเดินเข้ามา
“ซาบซึ้งกินใจจริงๆ”
เมฆ ไม้ หันไปมอง เป็นพันเทพที่เดินเข้ามา
“พันเทพ”
“ชั้นมาได้จังหวะพอดีเลยสินะ ตั้งใจจะมาดูหน้าลูกซักหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอภาพอะไรที่ซึ้งขนาดนี้”
ทางด้านอบเชยขณะนั้นเธอเดินซึมกลับมาบ้าน เวตาลก็ปรากฎตัวขึ้นมา
“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกสาวน้อย เจ้าตีตราวิญญาณของเจ้าให้เป็นของข้าแล้ว”
“ชั้นรู้…แต่ชั้นขอเวลาร่ำลาคนที่ชั้นรักก่อนไม่ได้เหรอ”
“คิดว่ายื้อไป ข้อตกลงระหว่างเราจะเป็นโมฆะรึ”
“ไม่ต้องมาย้ำหรอกน่า ชั้นขอเวลาแค่สั้นๆ ไม่นานหรอก แล้วชั้นจะไปหาแกถึงที่เลยไม่ต้องมาคอยตามชั้นแบบนี้”
“เอาล่ะ…ข้าจะรอ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าใครจะมาหาข้าก่อน”
“ใครมาหาแกก่อนเหรอ หมายความว่าไง”
ร่างเวตาลค่อยๆ จางหายไปกับอากาศ ทิ้งปริศนาไว้กับอบเชย อบเชยถอนหายใจ
ส่วนที่บ้านเมฆ พันเทพกำลังชวนไม้ให้กลับไปอยู่กับเขา
“ไม้ กลับบ้านกับพ่อ พ่อจากลูกมายี่สิบปีขอเวลาให้พ่อได้ใกล้ชิดลูกบ้าง”
“ชั้นไม่พร้อมที่จะไปไหนทั้งนั้น”
“แต่พ่อคิดถึงลูก อยากใกล้ชิดกับลูก”
“ถ้าคิดถึง ทำไมถึงทำ ทำไมถึงปล่อยให้ผมโตมากับคนอื่นล่ะ”
“โธ่ลูก อย่าน้อยใจไปเลย” พันเทพมองเห็นไม้ตะพดในมือไม้ เขาตื่นเต้นดีใจ “ลูกช่วยบอกพ่อทีว่าในมือลูกนั่นมัน...”
“มันไม่ใช่ของคนบาป”
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง มันกลายเป็นของลูกของพ่อแล้วจริงๆ ไม้ตะพดวิญญาณ ส่งมันมาสิลูก ส่งมาให้พ่อแท้ๆ ของลูก ไม่ว่าลูกจะเกลียดพ่อยังไง พ่อก็เป็นคนทำให้ลูกเกิดมา ลูกจะไม่ทดแทนบุญคุณพ่อหน่อยเหรอ ส่งไม้มาให้พ่อสิลูก”
ไม้นิ่งคิด เมฆและพันเทพต่างลุ้นในสิ่งที่ไม้จะตัดสินใจ
อีกด้านหนึ่งอบเชยกำลังนั่งซึมอยู่ในบ้าน โศกเศร้ากับชีวิตตัวเองที่จะต้องจากไป ศรนารายณ์เปิดประตูเข้ามา
“ไงลูกพ่อ เหนื่อยมั้ยวันนี้” อบเชยโผเข้าไปกอดพ่อ แน่นเหมือนไม่อยากจากไปไหน “เป็นอะไรลูก ไม่สบายเหรอ”
“ชั้นรักพ่อนะ”
“นี่มาอารมณ์ไหนเนี่ย ซึ้งมาเชียว”
อบเชยไม่กล้าบอกศรนารายณ์เรื่องเวตาล
ส่วนที่บ้านเมฆ เมฆกับพันเทพกำลังลุ้นกับการตัดสินใจของไม้
“คุณรักผมอย่างที่คุณพูดจริงๆ เหรอ” ไม้ถามพันเทพ
“เธอเป็นลูกชั้น ทำไมชั้นจะไม่รักเธอล่ะไม้”
“ถ้างั้น ทำไมคุณไม่ส่งไม้ตะพดเลือดของคุณมาให้ผมล่ะ หรือผมไม่คู่ควรพอ”
“เธอยังเด็กเกินไปที่จะดูแลไม้ตะพดถึงสองอัน”
“หึหึ ไม้ตะพดนี่พ่อเมฆยกให้ผม โดยที่ไม่สนใจว่าผมจะยกไม้ตะพดวิญญาณนี่ให้คุณหรือไม่ พ่อเมฆให้ผมตัดสินใจทุกอย่างเอง”
“ก็เพราะมันโง่ยังไงล่ะ”
“คุณเรียกคนแบบนี้ว่าโง่เหรอ แล้วแบบไหนที่เรียกว่าฉลาด คนที่เลือกไม้ตะพดแล้วปล่อยให้ลูกตัวเองตกเหวลงไปตายงั้นเหรอ” พันเทพนิ่ง เถียงไม่ออก “ผมเกือบตายเพราะพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แต่คนที่ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ยอมกินสมุนไพรเพื่อให้ตัวเองมีแรงมาช่วยผมไว้ จนตัวเองต้องมาความจำเสื่อมก็คือพ่อเมฆ แล้วแบบนี้คุณคิดว่าผมควรจะให้ไม้ตะพดวิญญาณกับคุณอีกงั้นเหรอ”
“เธอต้องให้โอกาสชั้นพิสูจน์ตัวเองบ้างสิไม้”
“ผมให้โอกาสคุณมาตลอดชีวิตผมแล้ว คุณก็ยังทำได้แค่นี้ ผมไม่ให้โอกาสคุณอีก ถ้าคุณอยากได้ไม้ตะพดนี่นัก คุณก็ต้องแย่งมันไปจากมือผมเอง”
“ถ้าเธอเลือกจะทำแบบนั้น เธอจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ไม่มีอะไรน่าเสียใจเท่ากับการมีสายเลือดเดียวกับคุณ”
“ไม้! ได้ ชั้นจะแย่งมันมาจากเธอให้ได้”
ไม้กับพันเทพเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง อย่างดุเดือด แต่แล้วไม้ก็เพลี่ยงพล้ำให้พันเทพจนได้ เพราะพันเทพแกล้งว่าเขาเจ็บแปลบที่หัวใจ ไม้ชะงักเป็นห่วง จึงโดนฤทธิ์ไม้ตะพดเลือดจนนอนนิ่งสลบ พันเทพเกือบจะคว้าไม้ตะพดวิญญาณไปจากมือไม้ได้อยู่แล้ว แต่เมฆก็เข้ามาช่วยผลักพันเทพกระเด็นออกไป เมฆฉวยตะพดวิญญาณเตรียมพร้อมสู้กับพันเทพ
“เจ้าของเค้าไม่ให้ ก็ยังจะดื้อเอาให้ได้นะ แกนี่มันทุเรศจริงเจ้าเล่ห์แม้แต่กับลูกตัวเอง”
“ได้...ชั้นยังไม่เอาวันนี้ก็ได้ แต่ยังไงชั้นก็ต้องได้มันอยู่ดี เพราะว่าถ้าแกไม่เอาไม้ตะพดวิญญาณมาให้ชั้น ทิวาลูกของแกได้ตายแทนแกแน่”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะ”
“แกก็คิดเอาเองละกันว่าชั้นกล้ามั้ย”
พันเทพเดินจากไป เมฆเป็นห่วงไม้รีบไปดูแล
“ไม้ ไม้ เป็นยังไงบ้างลูก”
ไม้ยังสลบอยู่แบบนั้น ทิวาแอบดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นเขากำหมัดแน่น ทั้งเจ็บทั้งแค้นที่ทุกคนสนใจแต่ไม้
เวลาผ่านไป ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นจึงเห็นอบเชยกำลังเช็ดตัวให้เค้าอยู่
“ไม้ฟื้นแล้วเหรอ”
“พ่อล่ะ”
“ลุงเมฆออกไปหาซื้อยา เลยให้ชั้นคอยดูแลไม้แทน ทำไมไม่ดูแลตัวเองเลยปล่อยให้ไอ้พันเทพมันทำรุนแรงขนาดนี้ได้ยังไง”
“ใครอยากให้เป็นแบบนี้ล่ะ”
“นี่ถ้าชั้นไม่อยู่ ไม้ต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะ”
“พูดเหมือนว่าจะไปไหน”
“คนอย่างชั้นจะไปไหนได้”
“นั่นสิ”
“ชั้นต้มยามาไว้แล้วนะ แล้วชั้นก็เขียนวิธีไว้ให้หากว่าไม้อยากจะต้มกินเอง”
“อืม”
อบเชยยื่นกระดาษที่พับรูปหัวใจที่ไม้เคยพับให้เธอ ให้ไม้
“ชั้นอยากให้ไม้เก็บไว้”
“ก็นี่ชั้นพับให้เธอไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่ชั้นอยากให้ไม้เก็บไว้ จะได้คิดถึงชั้นบ้างเวลาที่ไม่เจอกันไง”
“นี่เป็นอะไรเนี่ย”
“แล้วถ้าเกิดไม้อยากมองผู้หญิงคนไหน...ไม้ก็...” น้ำตาอบเชยไหลออกมา แต่อบเชยยังฝืนใจพูด
“มองได้นะ ถ้าถูกใจก็เป็นแฟนกัน แล้ว...”
“นี่เธอพูดอะไร ชั้นงงไปหมดแล้ว”
“ไม่มีอะไรหรอก ชั้นคงต้องไปแล้วนะ”
อบเชยลุกจะเดินไป ไม้ดึงมือเธอไว้
“เธอจะไปไหน ทำไมต้องพูดอะไรแบบนั้นด้วย ชั้นไม่ชอบเลย”
“ปล่อยเถอะ ถ้าชั้นเห็นหน้าเธอนานกว่านี้ ชั้นอาจจะไปไหนไม่ได้”
ไม้ดึงอบเชยมากอดไว้
“ชั้นไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ชั้นเจอเรื่องแย่ๆ แค่ไหน แล้วใครจะอยู่ข้างๆ ชั้นล่ะ”
“ชั้น...ต้องไปแล้วล่ะสายแล้ว เดี๋ยวจะเรื่องใหญ่ ชั้นขอโทษนะไม้ที่ผิดสัญญาที่ว่าจะอยู่ข้างๆ เธอตลอดไป”
อบเชยผลักตัวเองออกจากไม้แล้ววิ่งออกไป ไม้จะลุกตามก็ยังมึนหัวอยู่
“อบเชย กลับมาก่อน”
อบเชยวิ่งมาตามถนนน้ำตาริน
“ขอโทษนะไม้ ชั้นยอมตายซะดีกว่าที่จะมอบวิญญาณให้เวตาล อย่างน้อยชั้นอาจจะยังมีความทรงจำเกี่ยวกับเธอหลงเหลืออยู่บ้าง”
ทางด้านพันเทพเมื่อกลับมาจากบ้านเมฆ พันเทพนั่งเครียดอยู่ในห้องทำงาน ทิวาเปิดประตูเข้ามา
“พ่อไม่มีทางได้ครอบครองไม้ตะพดวิญญาณหรอก”
“ใครอนุญาตให้แกเข้ามาในห้องชั้น”
“พ่อจำคำผมไว้ พ่อไม่มีวันได้ไม้ตะพดวิญญาณ คนที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งลูกของตัวเองน่ะ ไม่มีทางมีความสุขหรอก สุดท้ายพ่อก็จะตายไปกับความเห็นแก่ตัวของตัวเอง”
พันเทพลุกขึ้นมาตบทิวาจนหน้าหัน
“ชั้นทนเลี้ยงแกมาตั้ง 20 ปี ไม่ได้ให้แกมาด่าชั้นฉอดๆ แบบนี้ แกขนของออกจากบ้านชั้นไปเลยนะไปอยู่กับพ่อแกโน่น แต่ชั้นก็ไม่แน่ใจหรอกนะ ว่ามันจะอยากให้แกไปอยู่ด้วยรึเปล่าเพราะเวลานี้แกก็แค่คนที่ไม่มีใครต้องการ”
“พ่อ”
“ไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าพ่อ ไสหัวไป”
ทิวาเจ็บแค้นกับสิ่งที่พันเทพพูด เขาหันหลังเดินจากพันเทพไปโดยไม่หันมามอง
อบเชยเดินมาที่ชายป่าซึ่งเป็นที่อาศัยของเวตาล แม้ว่าจะไม่อยากมาที่นี่นักแต่อบเชยก็เดินอย่างใจกล้าเข้าไป
“เวตาล...ชั้นมาแล้ว แต่อย่าหวังว่าแกจะได้สิ่งที่ต้องการ”
ไม่มีเสียงตอบโต้ใดๆ จากเวตาล แต่อบเชยเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ชายป่าอีกด้านมีแสงสว่างบางอย่างส่องมาเรืองๆ อบเชยเดินไปที่บริเวณนั้น พอเธอชะโงกไปดู แสงบางอย่างที่จ้ามากก็สว่างเข้าตาเธอจนมองไม่เห็นอะไร
อบเชยตื่นขึ้นมาในสถานที่สีขาวโพลน เธอค่อยๆ ลุกจากพื้น มองไปด้านไหนก็มีแต่สีขาวไปหมด
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย ชั้นตายไปแล้วใช่มั้ย” อบเชยไล่เดินอยู่ในห้องขาวๆ ห้องนั้น “นี่เป็นภายในจิตใจของเวตาลงั้นเหรอ”
อบเชยได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ก้าว ดังจางๆ ค่อยๆ เข้ามาหาเธอ เป็นท่านฤๅษีนั่นเอง
“ท่านฤๅษี นี่ชั้นตายไปแล้วจริงๆ”
“อย่าเพิ่งจินตนาการไกลไปกว่าความจริง”
“ท่านฤๅษี ก็ถูกดูดวิญญาณมาเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า…”
“แล้วท่านมาอยู่ในนี้ได้ยังไง”
“ข้าไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง”
“หมายความว่าไง”
“วันนี้ข้าตั้งใจมาพบเจ้า เจ้าดูนี่สิ”
ฤๅษีโบ้ยมือไปที่ผนัง ภาพบางอย่างก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับแสงจ้า ภาพที่เหมือนกับฉายหนังนั้น ค่อยๆ ใหญ่ เต็มจอ จนเห็นทิวาที่หน้าตามุ่งมั่น ใจเต็มไปด้วยความแค้น เข้ามาหาเวตาล
“เวตาล เวตาลอยู่ไหน”
เวตาลปรากฏตัวขึ้น
“เจ้า ไม่ใช่นางที่นัดหมายกับข้า”
“ชั้นไม่สนว่าแกจะนัดใครไว้ แต่หากการมอบวิญญาณให้แกทำให้ชั้นยิ่งใหญ่จริงๆ แล้วละก็ แกต้องดูดวิญญาณชั้นเดี๋ยวนี้”
“แม้ว่าจิตของเจ้าจะเป็นทาสของข้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์งั้นเหรอ”
“ชั้นไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว มีชีวิตอยู่แล้วก็ตายไปอย่างที่ไม่มีใครรัก มันจะมีค่าอะไรล่ะ ให้ชั้นได้กลายไปเป็นพญาเวตาลผู้ยิ่งใหญ่ดีกว่า”
ทิวาแน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองพูด เวตาลแสยะยิ้ม
ทิวานอนราบกับพื้น เวตาลเดินวนรอบตัวเค้าท่องบางอย่างปากขมุบขมิบ เวตาลเอามือของตนจับที่หน้าผากทิวา แรงบางอย่างสว่างขึ้นรอบตัว...ภาพที่ฉายบนผนังสีขาวหายไป อบเชยยังอยู่กับฤๅษี
“หมายความว่า ทิวาโดนดูดวิญญาณแทนชั้น”
“ใช่”
“ความคิดโง่ๆ”
“คนบางคนยอมตายไปกับอำนาจแม้จะรู้ว่ามันเอาติดตัวไปไม่ได้”
“ขอบคุณท่านฤๅษีที่มาช่วยชั้น”
“ช่วยเหรอ” ฤๅษีหัวเราะ
“มีเรื่องอะไรน่าหัวเราะงั้นเหรอ” ฤๅษียิ้ม “ท่านมีลับลมคมใน”
“ข้าหัวเราะให้กับอนาคต”
“อนาคตอะไร อนาคตของชั้นงั้นเหรอ ท่านรู้อนาคตของชั้น?”
“โชคชะตามักเล่นตลกกับคนนะ ว่ามั้ย”
“หมายความว่าไง”
“ข้าต้องไปแล้ว”
“บอกมาก่อนสิ อนาคตของชั้นจะเป็นยังไง”
“มันเรื่องของเจ้า เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
แสงสีขาวจ้าเข้ามาอีกครั้ง อบเชยค่อยๆ รู้สึกตัวและพบว่าตัวเองอยู่ที่บ้านและคนแรกที่เขาเห็นก็คือไม้
“ฟื้นแล้วเหรออบเชย”
“นี่ชั้นฝันไปอีกรึเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้ฝันหรอก ชั้นเป็นห่วงเธอเลยตามไปที่บ้านแล้วชาวบ้านก็มาแจ้งว่าเห็นเธอนอนสลบอยู่ที่ชายป่า เธอไปทำอะไรที่นั่นน่ะอบเชย”
อบเชยคิดทบทวนโผเข้ากอดไม้ ดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาหาไม้อีกครั้ง ศรนารายณ์เดินเข้ามาในห้องพอดี
“เฮ้ยๆๆ น้อยๆหน่อยอบเชย”
อบเชยกับไม้ผละออกจากกันอายๆ
ขณะนั้นร่างของทิวายังนอนแน่นิ่งอยู่ที่ชายป่า เวตาลมองร่างทิวา แล้วเดินหันหลังจากมาด้วยท่าทีที่ผยองกับความสมบูรณ์ของร่างกายตน เมื่อจะเดินออกชายป่าเวตาลค่อยๆ กลายร่างเป็นทิวา
ทิวาเดินเข้ามาในห้องของตนด้วยท่าทีเหมือนเวตาลต่างจากทิวาคนเก่า แต่พอผ่านกระจกก็เห็นว่าเงาสะท้อนคือเวตาล เงาสะท้อนเวตาลในกระจกพูด
“ในที่สุดข้าก็กลับมาเป็นพญาเวตาลผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
เสียงเคาะประตูห้องทิวาดังขึ้น ทิวาเดินไปเปิด
“พี่ทิวาคุยอยู่กับใคร ชั้นได้ยินเสียงประหลาดๆ” แพรวาถาม
“เปล่านี่”
“แพรวาจะไปทำบุญซักหน่อย ไปทำด้วยกันมั้ย”
ทิวาส่ายหน้า
ที่วัดขณะนั้นเจ๊กีพาไกรมาทำบุญถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ
“ขอให้ทุกข์โศก โรคภัย หายไปซะทีนะคะ”
เจ๊กีมองหน้าไกร ไกรมีสีหน้าไม่ค่อยอยากมาเจอหลวงพ่อนัก
“โยมไกรเป็นอะไร ไม่ค่อยอยากมาทำบุญเรอะดูทำหน้าเข้า” หลวงพ่อถาม
“เปล่าครับ” ไกรมองไปทางอื่น
“เห็นแล้วนึกถึงโยมตอนบวชเป็นเณรนะ ร้องไห้งอแงไม่ยอมบวช แต่พอได้บวชแล้วกลับหัวไว ศึกษาธรรมะเข้าใจกว่าพระบางรูปซะอีก”
“อย่าพูดถึงอะไรที่ผ่านไปแล้วเลยครับหลวงพ่อ มองไปข้างหน้าดีกว่า”
“โยมได้ฝึกสมาธิอย่างที่อาตมาได้สอนอยู่มั้ยโยมไกร”
“งานเยอะน่ะครับ ไม่ค่อยได้ปลีกตัวไปทำอะไรหรอก”
“หาเวลาฝึกหน่อยก็ดีนะโยม จิตใจที่ไม่ตั้งมั่น ทำให้เป็นทุกข์”
ไกรเงียบ ไม่ตอบ
“เดี๋ยวอั๊วจะช่วยอาไกรหาเวลาว่างให้มาเยี่ยมหลวงพ่อ มาฝึกซะที่นี่เลยดีมั้ย”
“ไม่ต้องหรอกม้า ยุ่งยากเปล่าๆ”
หลวงพ่อกับเจ๊กีมองหน้ากัน กับท่าทีของไกรที่เปลี่ยนไป
“ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอกโยม อยู่ที่ว่าใจเราจะเห็นว่ามันยุ่งยากรึเปล่า”
“หลวงพ่อนี่ก็พูดอะไรเหมือนๆ เดิมนะ สิบกว่าปีผ่านไป ตั้งแต่ผมยังเป็นเณรหลวงพ่อก็พูดแบบนี้ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังพูดเหมือนเดิม”
“อะไรที่เป็นสัจธรรม มันไม่เคยเปลี่ยนหรอกโยม”
“หลวงพ่อเคยออกไปดูโลกภายนอกบ้างรึเปล่า มันเปลี่ยนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว โจรขึ้นบ้านมันมีทุกวัน ฆ่าข่มขืน ฉกชิงวิ่งราว คนมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว มีแต่คนเลวๆ เต็มไปหมด ความดีรับมือมันไม่ได้หรอก”
“ทำไมลื้อพูดยังงั้นละอาไกร นี่กับหลวงพ่อนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม การแลกเปลี่ยนทัศนะเป็นสิ่งที่พึงกระทำ …ไม่มีเวลาฝึกสมาธิ หัดประคองสติไว้นะโยม”
ไกรมีสีหน้าเบื่อๆ เจ๊กีมองไกรอย่างไม่สบายใจ
“อาไกร ลื้อออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนไป อั๊วขอปรึกษาเรื่องอะไรกับอาตมาซักหน่อย”
“ลาละครับ”
ไกรเดินออกไปอย่างไม่ใยดี เหมือนลำบากใจที่จะอยู่มานานแล้ว
“ดูสิคะหลวงพ่อ อีเปลี่ยนไปมาก อั๊วไม่รู้จะทำยังไง”
“โมหะ โทสะอาจกำลังครอบงำในใจ”
“แล้วควรต้องทำยังไงคะ”
ไกรออกมาเดินเล่นบริเวณที่รถตนจอดอยู่ ก็เห็นรถแพรวาเข้ามาจอดพอดี แพรวาถือถุงสังฆทานลงมาจากรถ เด็กวัดหนุ่มมาช่วยแพรวายกไกรแอบมองแล้วหึง
“ขอบใจมากนะจ้ะ”
“ผมขอลายเซ็นคุณแพรวาได้มั้ยครับ”
“เอาไปทำไม ชั้นไม่ใช่ดาราซักหน่อย”
“ก็คุณแพรวาสวยนี่ครับ”
เด็กวัดยื่นกระดาษให้แพรวาเซ็น แพรวารับมาเซ็นให้ เด็กวัดได้ลายเซ็นก็รีบวิ่งไปอย่างดีใจ แพรวามองยิ้มๆ
“แม้แต่เด็กวัดก็ยังไม่เว้น”
แพรวาหันมามองไกร
“ชั้นเป็นคนน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ไกรมองของทำบุญของแพรวา
“เกิดจะกลัวบาปที่ทำไว้ขึ้นมาละสิ ถึงได้เหยียบเข้าวัดได้”
“คุณเปลี่ยนไปมากนะคะไกร”
“อยากรู้มั้ยว่าเหตุผมที่ผมเปลี่ยนไป ใครเป็นคนทำ”
“ถ้าเป็นเพราะชั้น ชั้นก็”
“รู้ตัวด้วยเหรอ...”
“ไกรคะ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ตอนนี้ชั้นกับไม้ก็แทบจะไม่ได้เจอกัน”
“มันเรื่องของเธอสองคน มาบอกชั้นทำไม”
แพรวาเข้าไปจับมือไกร
“คุณไกร ได้โปรด...ฟังชั้นอีกซักครั้ง ชั้นไม่ชอบให้คุณเป็นแบบนี้เลย”
ไกรสะบัดมือแพรวา
“เธอนี่มันมารยาดีจริงๆ นี่ขนาดในวัดนะ เธอยังกล้าจับมือถือแขนผู้ชาย”
“คุณจะให้ชั้นทำยังไง ทำอะไรก็ผิดไปหมด”
“ชั้นว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเธอหรอก”
ไกรฉุดกระชากแพรวาขึ้นรถของแพรวาเอง
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
“ผมก็จะพาคนเลวๆ อย่างคุณไปที่ที่เหมาะกับคนอย่างคุณไง”
“อย่านะ”
ไกรขับรถแพรวาออกไป โดยมีแพรวานั่งไปด้วย
“คุณจะพาชั้นไปไหนกันแน่” แพรวาถามอย่างแปลกใจ
“ไปที่ที่คนอย่างคุณควรจะอยู่ไง”
ไกรเหยียบคันเร่งแทบมิด
ไกรขับรถเข้ามาจอดในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง แพรวาหันมามองไกรอย่างตกใจ
“คุณพาชั้นมาที่นี่ทำไม”
“มันเป็นที่ที่เหมาะกับผู้หญิงอย่างคุณไง”
ไกรลงจากรถ แล้วลากแพรวาเข้าไปในห้อง แพรวาพยายามดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ
ไกรฉุดกระชากลากถูแพรวาเข้ามาในห้อง แพรวาเริ่มไม่ไหวกับไกร เธอสะบัดมือให้หลุด
“คุณเป็นบ้าอะไรคะไกร คุณไม่ใช่คนที่รังแกผู้หญิงแบบนี้”
“อย่ามาบอกว่าผมควรจะเป็นคนยังไง ทั้งที่คุณก็ไม่ดีกว่าผมซักเท่าไหร่ ชอบไม่ใช่เหรอโรงแรมน่ะ นอนกับใครมากี่ครั้งแล้วล่ะ วันที่ผมตื่นมาไม่รู้เรื่องที่นี่คงเป็นเพราะคุณวางยาสินะ”
“ชั้นเปล่า นั่นเป็นเพราะ...”
“จะอ้างคนอื่นอีกละสิ ไม่เบื่อรึไง แก้ตัวอะไรเดิมๆ”
“ไกร ถ้าคุณจะทำแบบนี้เพื่อให้ชั้นรู้สึกเจ็บปวด เหมือนที่คุณรู้สึก ชั้นจะบอกว่าคุณทำสำเร็จแล้ว จริงๆ คุณแค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ชั้นก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ ว่าตอนนี้ผมรู้สึกรังเกียจคนแบบคุณมาก สิ่งที่ผมแสดงออกยังไม่เท่าที่ผมรู้สึก และความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกอยู่น่ะ ผมว่าไม่พอ ผมจะทำให้คุณเจ็บยิ่งกว่านั้น”
ไกรลากแพรวาขึ้นเตียง แพรวาพยายามดิ้นสุดชีวิตแต่ไม่ทีท่าว่าไกรจะยอมลามือ
“คุณไกรพอเถอะ พอเถอะ”
“ทำไม ผมมันสู้ไอ้ไม้ไม่ได้ตรงไหน”
“ไม้ไม่เคยดูถูกชั้นอย่างที่คุณกำลังทำนี่”
“ดี...งั้นผมจะทำยิ่งกว่าดูถูกซะอีก”
แพรวาสู้แรงไกรไม่ไหว
เวลาผ่านไป...แพรวาซุกตัวในผ้าห่มร้องไห้ไม่หยุดไกรเองก็รู้สึกผิดแต่เขาก็กลบมันด้วยความก้าวร้าว
“เงียบซะทีเถอะน่า”
“คุณช่วยฆ่าชั้นให้ตายไปเลยยังดีกว่า”
“อย่ามาทำแบบนี้น่า ทำอย่างกับเรายังไม่เคย”
“ทำไมชั้นต้องมารับในสิ่งที่ชั้นไม่ได้ทำด้วย” ไกรรู้สึกผิดลึกๆ “คุณคิดว่าชั้นไม่มีหัวใจรึไง ทำไมชั้นไม่เกลียดคุณไปตั้งแต่แรก”
แพรวาร้องไห้สะอึกสะอื้น
ไกรขับมาส่งแพรวาที่หน้าบ้าน แพรวาซังกะตายไม่พูดอะไรซักคำ
“เข้าไปสภาพนี้ เดี๋ยวคนก็รู้หมดหรอก”
“ชั้นมีอะไรต้องเสียอีกเหรอ”
“ผมไปละ”
“ต่อไปนี้ชั้นจะพยายามเกลียดคุณ เหมือนกับที่คุณเกลียดชั้น”
ไกรชะงักกับคำพูดที่เย็นชาของแพรวา เขาลงจากรถไปด้วยสีหน้ากังวล
ขณะนั้นพันเทพอยู่ในห้องทำงาน พันเทพกำลังทำความสะอาดไม้ตะพดเลือด แววตาพันเทพยังโลภที่จะได้ครอบครองไม้ตะพดวิญญาณ
“ทำไมชั้นจะไม่มีวันได้ครอบครองไม้ตะพดวิญญาณ ชั้นทำทุกอย่างมาขนาดนี้แล้ว มันต้องเป็นของชั้น”
เวตาลในคราบทิวาแอบดูพันเทพกับไม้ตะพด ใจอยากได้ไม้ตะพดเลือดใจจะขาด พันเทพรู้สึกตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ เขาหันไปดูที่ประตูก็ไม่เห็นใคร
พันเทพไม่ทันสังเกตเงาสะท้อนในกระจกที่เห็นเป็นเวตาลมองเขาอยู่ แม้จะไม่มีร่างทิวายืนอยู่
อ่านต่อหน้า 3
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 13 (ต่อ)
ราตรีเดินผ่านหน้าห้องแพรวาได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ราตรีชะงักฟังให้แน่ใจ แล้วเธอจึงเปิดประตูเข้าไป ในขณะที่แพรวานอนร้องไห้เอาหน้าซุกหมอนอยู่บนเตียง
“เธอเป็นอะไรของเธอน่ะแพรวา”
แพรวาไม่เงยหน้ามามองราตรี
“ไป ออกไป”
“อกหักรึไง”
“บอกให้ออกไป ชั้นไม่อยากเห็นหน้าเธอ”
“บ้า คนมาถามดีๆ แท้ๆ”
ราตรีออกจากห้องไปแล้วปิดประตูปังอย่างไม่พอใจ
ราตรีเดินเข้าไปในห้องครัว เห็นทิวาด้านหลังกำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่างหน้าตู้เย็น
“พี่ทิวาทำอะไรน่ะ”
ทิวาหันหน้ามาราตรีถึงกับกรี๊ด เพราะทิวากำลังกินเนื้อสดๆ คาบอยู่ในปาก
“กรี๊ดดดดด”
“ข้าหิว”
“หิวแล้วทำไมไม่ให้แม่บ้านเตรียมอาหารให้ล่ะ”
ทิวาจัดแจงเอามือเช็ดปากแต่ก็ยังดูสกปรกอยู่ดี
“อิ่มแล้ว”
ทิวาเดินออกจากห้องไป ปล่อยราตรียืนช็อคมองตามอย่างขยะแขยง
พันเทพยังอยู่ในห้องทำงานและกำลังเครียดกับเรื่องไม้ จึงคุยกับรูปถ่ายทิพย์
“ทำไมลูกถึงไม่ยอมให้ไม้ตะพดกับผมล่ะทิพย์ ลูกของเรามันรักคนอื่นมากกว่าผม แต่ผมจะไม่ยอมให้มันจบแบบนี้หรอกยี่สิบปีที่ผมอดทนรอ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ต้องแลกด้วยอะไรผมก็จะเอาไม้ตะพดวิญญาณนั่นมาให้ได้”
ราตรีเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง โดยไม่เคาะประตู
“พ่อคะ พี่ทิวา...”
พันเทพรีบเอารูปทิพย์เก็บเข้าลิ้นชัก
“ทำไมไม่รู้จักเคาะประตู”
“ขอโทษค่ะ แต่พี่ทิวา...”
“ทิวามันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน”
“ห๊า...”
“แล้วเราล่ะ งานการที่วินรถตู้ได้เข้าไปดูบ้างรึเปล่า มัวแต่เถลไถลไปวันๆ นั่นล่ะ” ราตรีจ๋อย “ออกไปได้แล้วไป พ่อจะทำงาน”
“ค่ะ”
ราตรีเดินออกจากห้องไป ราตรีออกมายืนอยู่หน้าห้องไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้าน
“นี่คนบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย ไม่มีใครปกติซักคนชั้นจะบ้าตาย”
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานของไกร ไกรนึกถึงคำพูดของแพรวาที่ว่า “ชั้นจะพยายามเกลียดคุณให้เหมือนที่คุณเกลียดชั้น” และนึกถึงที่ตัวเองปล้ำแพรวา ไกรสับสนในตัวเองจึงอาละวาด กวาดข้างของบนโต๊ะจนเสียงดังเอะอะ เจ๊กีเปิดประตูเข้ามา
“เสียงอะไรเอะอะน่ะ...” เจ๊กีเห็นสภาพห้องทำงานไกร “นี่ลื้อเป็นอะไรของลื้ออาไกร ทำไมอาละวาดข้าวของพังแบบนี้ ลื้อไม่เคยก้าวร้าวแบบนี้นะ” ไกรนิ่งรู้สึกผิดที่ทำลงไป “ลื้อมีเรื่องอะไรเล่าให้ม้าฟังสิ เก็บไว้คนเดียวทำไม”
“ไม่มีอะไรครับ”
เจ๊กีถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
คืนเดียวกันนั้นเมฆนอนครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่พันเทพได้พูดทิ้งไว้...ถ้าไม่ให้ไม้ตะพดวิญญาณกับพันเทพ พันเทพจะฆ่าทิวาซะ...เมฆนอนอย่างกลุ้มใจหันไปมองไม้ตะพดที่ไม้เอามันวางไว้ข้างตัวไม่ห่าง แล้ว มองหน้าไม้ ไม้หลับอยู่ ไม้นอนหลับพลิกตัวหันหลังเหมือนนอนดิ้น
“พ่อจะทำไงดี ทิวา”
ไม้ที่นอนพลิกตัวเหมือนหลับอยู่นั้น ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เมฆพูด รู้สึกน้อยใจอยู่ลึก
เมฆดูจดหมายนัดเจอที่พันเทพส่งมาไว้ ในกระดาษเขียนไว้ว่า โกดังร้าง บ่ายโมง แล้วลงชื่อ พันเทพ เมฆขยำกระดาษกำแน่น
ส่วนทิวาเขากระวนกระวายเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ท่าทางคล้ายเวตาล ทิวาเปิดหน้าต่างจะปีนออกไป เสียงกอกแก๊กหน้าประตูห้องดังขึ้นทิวารีบกระโดดขึ้นเตียงทำเป็นหลับ พันเทพเปิดเข้ามา พันเทพมองทิวาทิวาที่หลับแล้วพูดขึ้นมาว่าง
“พรุ่งนี้ชั้นจะเอาแกไปแลกกับไม้ตะพด แกจะได้อยู่กับพ่อแกซะที”
พันเทพเดินออกไปจากห้องทิวา เวตาลในคราบทิวาลืมตาตาโตขึ้นทันที
“นั่นแปลว่าข้าจะได้เจอไม้ตะพด 2 อันในวันพรุ่งนี้สินะ หึหึ”
วันรุ่งขึ้นไม้แต่งตัวดูดีกว่าทุกวัน เดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าว
“แต่งตัวแบบนี้ จะไปไหนเหรอลูก” เมฆถาม
“ชั้นว่าจะไปสมัครงานน่ะ ถ้าขืนช้าเดี๋ยวเดือนหน้าเงินจะไม่พอใช้” เมฆรู้สึกผิด
“อยู่ที่นี่พ่อทำให้ลูกต้องลำบาก ถ้าลูกอยากไปอยู่กับพันเทพพ่อของลูกก็ได้นะ”
“ไม่ลำบากเลยพ่อ พ่อเป็นคนเลี้ยงผมมา ผมก็ต้องตอบแทนพ่อสิ ถึงจะถูก...ผมไปนะพ่อ”
เมฆพยักหน้ายิ้มๆ พอไม้ออกไปจากบ้าน เมฆก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า มีชุดลูกผู้ชายแขวนเด่นอยู่ในตู้ เมฆตัดสินใจ
พันเทพเดินมากับทิวาจะขึ้นรถที่จอดอยู่ ทิวาหันมาหาพันเทพ
“นี่พ่อจะพาผมไปไหน”
“เอาเถอะน่า ไปไหนก็ไปเถอะ อย่ามาเรื่องมากเลย” ทิวามองพันเทพตาขวาง “แล้วทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้เนี่ย ไม่ค่อยได้นอนรึไง” ทิวาเงียบไม่ตอบ “เออ จะอะไรก็ช่างแก ไปขึ้นรถ”
ทิวาขึ้นรถตามคำสั่งพันเทพ
พันเทพขับรถมาจอดที่โกดังร้าง พันเทพลงจากรถ ทิวาตามลงมาอย่างไม่ไว้ใจ
“มาที่นี่ทำไม”
“ก็นัดคนไว้น่ะสิ”
“ใครกัน”
เมฆเดินออกมาจากกองของระเกะระกะในโกดัง พันเทพมองเห็น
“มาจนได้นะแก นึกว่าจะเบี้ยวซะแล้ว”
“ชีวิตคนทั้งคน ชั้นไม่ปล่อยให้แกทำแบบนั้นหรอก”
“แล้วไม้ตะพดวิญญาณล่ะ” ทิวาหูผึ่งเมื่อได้ยินเกี่ยวกับไม้ตะพด เมฆนิ่ง “ ก็ส่งไม้ตะพดวิญญาณมาซะสิ สั้นๆ ง่ายๆ แลกกับชีวิตทิวาลูกของแก” ทิวาเหลียวมองพันเทพ ตาขุ่นมัวแต่มีแววเจ็บช้ำ “มีอะไรก็ไปเคลียร์กับพ่อแกเองนะ หึหึ” พันเทพบอกทิวา
“ชั้นว่ามันอาจจะไม่ง่ายแบบนั้นก็ได้ เพราะชั้นจะไม่ยอมให้ไม้ตะพดแก และไม่ยอมให้ทิวาเป็นอะไร”
“นั่นอยู่นอกเหนือเงื่อนไข ชั้นไม่มีทางปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น”
“ถ้าชั้นยังไม่ตาย ชั้นก็จะไม่ยอมเหมือนกัน” พันเทพหัวเราะ
“แกคงหวังสูงเกินไปแล้วไอ้เมฆ คนอย่างแกจะทำอะไรชั้นได้”
“ก็ลองดู”
เมฆหยิบไม้ตะพดจากที่ซ่อนออกมาควง พร้อมตั้งท่า
“ตกลงแกไม่ทำตามสัญญา ชั้นจะเริ่มจากฆ่าไอ้ทิวาลูกของแกก่อนเป็นไง”
พันเทพจะเอาไม้ตะพดทำร้ายทิวา เมฆรีบเข้าไปดัก การต่อสู้เป็นการที่พันเทพจะทำร้ายทิวาแล้วเมฆเป็นคนปกป้อง และมีการรุกรับสลับกันไป ไม่มีใครยอมใคร โดยพันเทพกับเมฆไม่มีใครรู้ว่าทิวาได้มองวิญญาณตนให้เวตาลไปแล้ว ทิวายืนมองไม้ตะพดทั้งสองด้วยความอยากได้มาก
ขณะนั้นไม้กลับมาบ้านไม่เห็นพ่อ จึงเดินเรียกหา
“พ่อ พ่อ”
อบเชยเดินเข้ามาในบ้าน
“ไม้พอดีว่าพ่อฝากขนมไว้ให้ไม้กับลุงเมฆ”
“อบเชย เห็นพ่อชั้นมั้ย”
“เพิ่งมาถึง ไม่เห็นหรอก”
ไม้สังเกตเห็นไม้ตะพดที่หายไป
“พ่อ! พ่อไปที่ไหน...ต้องมีอะไรพอจะบอกได้ซักอย่างสิ” ไม้เดินหาสิ่งที่จะบอกว่าเมฆไปไหน
“ไม้มาดูนี่สิ” ไม้รีบวิ่งมาหาอบเชย อบเชยเปิดอ่านกระดาษที่พันเทพเขียนนัดเมฆ “หรือว่าพ่อไม้จะไปที่นี่”
“โกดังร้างเหรอ”
ไม้ผลุนผลันออกไปทันที อบเชยรีบวิ่งตามออกไป
“ไม้รอด้วยสิ”
ที่โกดังร้างพันเทพกับเมฆสู้กัน แต่แล้วพันเทพก็พลาดทำไม้ตะพดของตนหล่นไป แต่ยังต้องสู้กับเมฆต่อ ทิวารีบวิ่งไปจะเก็บไม้ตะพด ทิวาจะหยิบได้แล้ว แต่ก็ถูกพันเทพถีบกระเด็นออกไป
“อย่ามายุ่งกับไม้ของชั้น”
เวตาลในร่างทิวามีสีหน้าไม่พอใจนัก เมฆดึงมือทิวามาอยู่ข้างตนอย่างปกป้อง
“แกอย่ารังแกคนที่ไม่มีทางสู้”
“พ่อตัวอย่างงั้นเหรอ”
เมฆกับพันเทพสู้กันต่อ
ขณะนั้นไม้กับอบเชย วิ่งมาหน้าโกดังร้าง
“ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ”
ไม้กับอบเชยรีบรุดเข้าไปด้านใน ซึ่งขณะนั้นเมฆใช้มือนึงจับทิวาไว้อย่างปกป้องโดยไม่รู้ว่าทิวากำลังจะลอบขโมยไม้ตะพดจากด้านหลังของเมฆ ไม้กับอบเชยเข้ามาพอดี
“พ่อ ระวัง”
พันเทพกับเมฆต่างหันไปดูไม้ ชะงักการต่อสู้
“ระวังด้านหลังค่ะลุงเมฆ”
ทิวาเกือบจะคว้าไม้ได้ เมฆแย่งคืนมาได้ก่อน
“เอาไม้มา เอาไม้มาให้ลูกสิพ่อ เอามา”
“มันไม่ใช่ทิวา เวตาลมันดูดวิญญาณทิวาไปแล้ว นี่คือเวตาลต่างหาก”
“อะไรนะ”
พันเทพอึ้งกับเรื่องที่ได้ยิน เขาพิจารณาทิวา ที่แววตาท่าทางเปลี่ยนไป
“พ่อ ขอไม้ให้ชั้นเถอะ พ่อรักชั้นมั้ย ส่งไม้มาสิ”
“พ่ออย่าไปเชื่อมัน”
พันเทพยืนงงกับทิวา ทิวาหันมาขู่พันเทพเหมือนสัตว์
“แกคือเวตาลจริงๆ” พันเทพใช้ไม้ตะพดของตนฟาดไปที่ทิวา ทิวากระเด็นออกไป “แค่นี้ก็คงสิ้นฤทธิ์แล้วไอ้เวตาล”
ทิวาค่อยๆ ลุกขึ้นมาค่อยเดินเข้ามาหาพันเทพ
“เจ้าฆ่าเพื่อนเจ้าได้ลงคอเลยเหรอ แต่ข้าเสียใจด้วย เพราะพลังของข้าตอนนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเจ้าทั้งหมดรวมกันซะอีก ไม้ตะพดอันเดียวฆ่าข้าไม่ได้หรอก”
“ไอ้เมฆ ส่งไม้ตะพดของแกมาให้ชั้น ชั้นจะฆ่าไอ้เวตาลนี่เอง” พันเทพบอก
“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ชั้นไม่มีทางให้ไม้ตะพดตกไปอยู่ในมือของแกหรอก” เมฆบอก
“ถ้างั้นแกก็ต้องใช้ไม้ตะพดฆ่ามันพร้อมกับชั้น”
เมฆลังเล ทิวาหันกลับมาหาเมฆ หน้าเป็นทิวาที่น่าสงสาร ขอบตาไม่ดำ ฟันไม่แหลมคม
“พ่อฆ่าชั้นลงเหรอ ชั้นลูกพ่อนะ”
เมฆส่ายหน้าไม่สามารถฆ่าทิวาได้
“ไอ้โง่เอ้ย เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดนี่หรอก”
ทิวาหัวเราะชอบใจ ทิวาใช้พลังแค่โบกมือนิดเดียวลมก็พัดเอาทุกคนกระเด็น ไม้ตะพดกระเด็นหลุดมือทั้งพันเทพ ทั้งเมฆ ทิวาค่อยๆ กลายร่างเป็นพญาเวตาล เวตาลใช้พลังจับพันเทพขึ้นลอยเหนืออากาศ
“ชั้นจะฆ่าแกคนแรก โทษฐานที่กดขี่ข่มเหงชั้นมาตลอด”
เวตาลไม่ทันสังเกตว่าไม้กับอบเชยต่างคลานไปเก็บไม้ตะพดทั้งสองอันที่หล่นอยู่ ไม้เก็บไม้ตะพดวิญญาณได้ อบเชยเก็บไม้ตะพดเลือด อบเชยหันไปมองไม้
“ไม้”
อบเชยโยนไม้ตะพดให้ไม้อีกอัน ไม้รับไม้ตะพดสองอันไว้ในมือ แล้วไม้ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลอย่างบอกไม่ถูก เวตาลหันมาเห็นไม้ก็ตกใจ เวตาลเห็นเงาของฤๅษีจางๆ ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ไม้
“มันคือคนที่จะฆ่าข้า...ลองดู”
แล้วเวตาลก็ต่อสู้กับไม้ เวตาลเป็นรองแล้วเวตาลก็โดนไม้ตะพดคู่ฟาดจังๆ จนกลายร่างเป็นทิวาล้มไปทางเมฆ ไม้จะเข้ามาซ้ำ ทิวามองเมฆ
“พ่อ...ช่วยด้วย”
เมฆเผลอตัวเข้าไปขวาง ไม้เงื้อมือค้างเสียจังหวะ ไม่กล้าฟาด ทิวากลายร่างเป็นเวตาลอีกครั้งกระแทกฝ่ามือเข้าที่อกไม้ ไม้ฟาดไม้ตะพดทั้งคู่ไปที่เวตาล เกิดแสงจ้า เวตาลกระอักเลือดแล้วจับเมฆเหวี่ยงลอยขึ้นกลางอากาศ ไม้ทั้งที่แย่อยู่ยังห่วงเมฆทิ้งไม้ตะพดลงทั้งสองอัน กระโดดเข้ารับร่างเมฆไว้ก่อนที่จะกระแทกพื้น
เวตาลกระอักเป็นเลือดแล้วนึกถึง ตอนที่ฤๅษีมาบอกว่าเวตาลได้เจอคนที่จะปลิดชีพมันในวันที่เวตาลได้เจอเมฆกับไม้ครั้งแรก มันรีบบินหนีไป พันเทพรีบลุกขึ้นมองเห็นไม้ตะพดที่หล่นจะคว้าไม้ตะพดทั้งสอง แต่คว้าได้แค่ไม้ตะพดของตนอันเดียว พันเทพโดนอบเชยเหยียบมือไว้
“อย่าคิดจะทำแบบนั้นเลยพันเทพ ไม้เป็นคนช่วยแกไว้”
อบเชยรีบหยิบไม้ตะพดอีกอันส่งให้เมฆทันที
“แกไปซะพันเทพ ชั้นไม่มีทางให้ไม้ตะพดแกหรอก แล้วก็ดูแลไม้ตะพดของแกไว้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะชั้นว่าศัตรูของแกจริงๆ คงไม่ใช่ชั้นแล้วล่ะ”
พันเทพกังวลใจในสิ่งที่เมฆพูด เมฆกับอบเชยพยุงไม้ที่นอนไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้น
“ไม้เป็นไงบ้าง” อบเชยถามอย่างเป็นห่วง
“รู้สึกร้อนไปทั้งตัวเลย”
“กลับบ้านกันลูก”
เมฆกับอบเชยพาไม้กลับบ้าน
“ไม้ มันเป็นยังไงบ้าง ตอนได้จับไม้ตะพดทั้งสองอันแบบเต็มๆ น่ะ” อบเชยถาม
“มันบอกไม่ถูก เหมือนจะควบคุมไม่ได้เลย”
“น่าแปลกอยู่อย่าง ตรงที่เวตาล มันก็มีอำนาจขนาดนั้น ทำไมจู่มันก็หนีไป”
“มันดูท่าทางเหมือนกลัวไม้เลย”
“ไม่ใช่หรอก”
“แต่ลูกก็ทำได้ดีอยู่นะ”
“ดีมากเลยล่ะ”
“ช่างเถอะ...ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ เวตาลจะบุกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเราก็ไม่ได้มีไม้ตะพดทั้งสองอันที่จะฆ่ามันได้ด้วย”
“ไอ้ทิวา” เมฆรู้สึกผิด
“ศัตรูของเราคือเวตาลนะลูก”
“ถ้ากำจัดเวตาลก็เท่ากับฆ่าทิวาด้วย”
ไม้มองเมฆที่ได้แต่ก้มหน้า เมฆ ไม้ อบเชย ต่างก็กลุ้มใจ
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วไม้จึงเดินไปส่งอบเชยที่บ้าน
“เธอต้องระวังตัวให้มากนะอบเชย เวตาลนั่นท่าทางน่ากลัวมากเลย”
“อืม ไม้ก็เหมือนกัน ชั้นเป็นห่วงนะ”
ไม้เองเมื่อได้ยินก็เขินๆ
“เหรอ...อืม”
“แต่ชั้นรู้ ยังไงก็ต้องเป็นเธอ คนที่จะฆ่าเวตาลได้”
อบเชยยิ้มเขินๆ ไม้ยื่นมือมาจับมืออบเชย
“ขอบคุณนะ”
เสียงแตรรถดังขึ้น รถแพรวาเข้ามาจอดข้างๆ ไม้ปล่อยมืออบเชย อบเชยเก็บมือตัวเองมาอย่างเก้อๆ แพรวาไขกระจกลง ตาบวมช้ำ
“ไม้ ชั้นขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ...ชั้นขอเวลาไม่นานหรอก” แพรวาบอกอบเชย ไม้จึงหันมาบอกอบเชย
“เดี๋ยวเธอรอตรงนี้นะ เดี๋ยวชั้นจะไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นกลับเองออกบ่อยไป”
“ไม่เอา...บอกให้รอก็รอสิ”
“อืม”
ระหว่างที่ไม้ไปคุยกับแพรวา อบเชยเดินเตะก้อนหินเล่นไปมาแล้วชะเง้อไปดูไม้กับแพรวาที่นั่งคุยกันในรถที่จอดอยู่ไม่ไกล เธอเห็นแพรวาร้องไห้แล้วไม้ก็ดึงแพรวามาลูบตัวปลอบใจอบเชยทนดูไม่ได้หันไปทางอื่น น้ำตาเธอไหล
ไม้หน้าเครียด แพรวาร้องไห้ให้กับสิ่งที่ตัวเองพบเจอมา
“ชั้นขอโทษนะไม้ มันไม่ใช่หน้าที่ไม้ที่ต้องมาฟังแต่ชั้นไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
“คุณไกรทำไมเป็นคนแบบนี้ไปได้ ผมจะไปคุยกับคุณไกร ไปอธิบายทุกอย่างให้รู้เรื่อง ก่อนที่เค้าจะหลงผิดไปมากกว่านี้”
“เค้าไม่ฟังอะไรเลยไม้ ชั้นพยายามแล้ว ไม้ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะอีกไม่นาน ชั้นก็คงจะไปจากที่นี่แล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ชั้นจะกลับไปอยู่ที่อเมริกา ไปอยู่กับแม่ที่โน่น ถ้าชั้นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ชั้นมองหน้าใครไม่ติดหรอก”
“หนีไป...จะช่วยแก้ปัญหาเหรอครับ”
“ก็ดีกว่าต้องเจอหน้ากันไปตลอดชีวิตแน่ๆ” ไม้มองแพรวาอย่างเห็นใจ “ขอบคุณนะไม้ ที่ไม้ดีกับชั้นมาตลอด รับฟังชั้นทุกเรื่องเลย”
“ยังไงเราก็เป็น...พี่น้องกันอยู่แล้ว”
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
“เปล่าหรอกครับ วันนึงคุณแพรวาคงจะเข้าใจเอง”
แพรวายิ้มเศร้าๆ ให้ไม้
ไม้เดินกลับมายังจุดที่ให้อบเชยรอ แต่ไม่เห็นอบเชยแล้ว
อบเชยเดินถึงหน้าบ้าน หันไปด้านหลังไม่มีวี่แววของไม้เดินตามมา น้ำตาที่กลั้นไม่อยู่ก็ร่วงเผาะลงมาอีก อบเชยปาดมันทิ้ง
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
อบเชยเดินเข้าบ้าน ฝนเริ่มลงเม็ดโปรยปราย
ระหว่างไกรมายืนรอแพรวาอยู่หน้าบ้านพันเทพทั้งที่ฝนเริ่มตก แพรวาขับรถจะเข้าบ้านมองเห็นไกรที่ตากฝนเธอทำไม่สนใจแล้วขับเข้าบ้านไป ไกรตะโกนเรียก
“แพรวา แพรวา”
แพรวาไม่จอดรถขับเข้าบ้านไป สมุนพันเทพมาขวางไว้ไม่ให้ไกรตามเข้าไปแล้วจับไกรโยนมาหน้าบ้านปิดประตูสนิท ไกรยืนเศร้าอยู่หน้าบ้าน
แพรวาขับรถเข้ามาจอดแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับพวงมาลัย ท่ามกลางฝนที่ตกอยู่นอกรถ มีสัตว์ปีกขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าไป สัตว์ปีกขนาดใหญ่บินมาโฉบห้องพันเทพ แล้วก็กลายเป็นทิวาที่เปียกฝนลงมายืนมองพันเทพที่ริมระเบียง มองเห็นพันเทพเคลื่อนไหวด้านใน
ขณะนั้นพันเทพอ่านหนังสือเวตาลอย่างขะมักเขม้น...
“จุดอ่อนของมันอยู่ตรงไหน ทำไมไม่มีหนังสือเล่มไหนบอก”
พันเทพรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างจ้องเขาจากริมระเบียง พันเทพเงยหน้าไปดูก็ไม่มีอะไร พันเทพระแวง คว้าไม้ตะพดมาข้างตัว แล้วมองไปทั่วทั้งห้อง
“เพื่อความปลอดภัยของชั้น ชั้นต้องทำอะไรซักอย่าง”
วันต่อมาเจ๊กีมาเคาะประตูห้องนอนไกร
“อาไกร อาไกร อาม้าจะไปท่ารถแล้วนะ อาไกรลื้อจะไปพร้อมกับอาม้ามั้ย” เงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับ “อาไกร อาไกร”
เจ๊กีเริ่มเป็นห่วง จึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง...ไกรนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เจ๊กีเดินเข้ามาที่เตียง
“สายป่านนี้แล้วทำไมยังไม่ตื่นอีกอาไกร” เจ๊กีจับตัวไกรแล้วสะดุ้ง “อั๋ยหยา ตัวร้อนจี๋เลย” เจ๊กีรีบโทรศัพท์หาหมอทันที “อาหมอเหรอ อั๊วเองเจ๊กีนะ ลื้อช่วยมาที่บ้านอั๊วด่วนเลยนะ อาไกรไม่สบาย ด่วนนะ”
เจ๊กีมองลูกชายอย่างห่วงใย “ลื้ออย่าเป็นอะไรนะอาไกร”
ไกรเพ้อเพราะพิษไข้
“แพรวา...ผมขอโทษ”
เจ๊กีได้ยินสิ่งที่ไกรเพ้อก็สงสาร
แพรวาลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้อง ราตรีเดินขึ้นมาพอดี
“นี่เธอจะไปไหนน่ะ”
“กลับอเมริกา”
“เธอจะบ้าเหรอ พ่อรู้เรื่องนี้รึยัง”
“ชั้นฝากเธอบอกพ่อด้วยก็แล้วกัน”
“บ้าสิ พ่ออาละวาดบ้านแตกแน่ อยากไปก็ไปบอกพ่อเอาเองโน่น”
“เธอเกลียดชั้นนักหนา ทำทุกอย่างก็เพื่อให้ชั้นเสียใจอย่างตอนนี้ พอชั้นจะไปให้พ้นๆ เธอ เธอจะช่วยหน่อยไม่ได้เลยรึไง”
แพรวาไม่สนใจจะไปให้ได้ แล้วสมุนก็เข้ามาขัดคอ
“คุณแพรวาครับ มีคนแก่คนนึงมา ยืนยันจะพบคุณแพรวาให้ได้ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังครับ”
“ใครน่ะ”
“ไม่ได้บอกครับ เอาแต่โวยวายพูดภาษาจีนใหญ่เลย”
แพรวาพอจะรู้แล้วว่าเป็นใคร เธอรีบเดินนำสมุนไปทันที
ที่หน้าบ้านพันเทพ เจ๊กีกำลังโวยวายจะเข้าบ้านให้ได้
“ไปตามมารึยัง อั๊วบอกให้ไปตามอาแพรวา”
แพรวาเดินมาหาเจ๊กี
“คุณต้องการอะไร”
“อั๊วขอร้องล่ะ ให้อั๊วยกมือไหว้ก็ได้ ช่วยทำให้อาไกรเป็นเหมือนเดิมที”
“คุณมาผิดคนแล้ว ไม่ใช่ชั้นหรอกที่จะเปลี่ยนเค้าได้”
“เขาไม่สบาย ชื่อเดียวที่ออกมาคือชื่อลื้อ แล้วลื้อจะให้อั๊วไปตามหาใคร”
“ชั้นจะไปจากที่นี่แล้ว ชั้นคงไม่มีเวลามากพอ”
“ลื้อมองดูหนังหน้าอั๊วนะ ลื้อคิดว่าที่อั๊วยอมแบกหน้ามาบ้านศัตรูแบบนี้มันง่ายมั้ย ถ้าไม่ใช่เพราะอั๊วรักอาไกร อยากให้อีกลับมาเป็นคนเดิม อั๊วไม่ได้มาบอกแต่อั๊วมาขอร้อง”
แพรวานิ่งอย่างเห็นใจ ราตรีแอบดูอยู่ห่างๆ
“ยังไม่เลิกกันไปอีกรึไงเนี่ย”
อ่านต่อตอนที่ 14 พรุ่งนี้