ปางเสน่หา ตอนที่ 13
ปรกเดือนมาบ้านเตชิต เมื่อมาถึงเธอยืนมองไปโดยรอบ โดยมีเสียงหวานยืนมองปรกเดือนอย่างพินิจพิเคราะห์ เตชิตเดินถือถาดวางแก้วน้ำเข้ามา
“บ้านน่าอยู่นี่คะ”
“ขอบคุณครับ”
ปรกเดือนเดินมานั่ง
“พอลบอกว่าไว้ใจคุณได้”
“ไอ้พอลนั่นน่ะหรือครับ ขอโทษ...”
“แล้ว...น้องสาวฉันยังอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”
“เธอนั่งอยู่ข้างๆ คุณครับ”
ปรกเดือนหันมามองข้างๆ ซึ่งว่างเปล่าในสายตาปรกเดือนแล้วหันมามองเตชิต
“คุณต้องการให้ฉันทำอะไร”
“ผมกำลังพยายามช่วยให้เธอฟื้นขึ้นมา จึงอยากจะขอความร่วมมือจากคุณ”
“ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ฉันต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ คุณถึงจะถูก”
“น้องสาวคุณมีบุญคุณกับผมมาก” เสียงหวานมองเตชิตเหวอๆ “เธอทำให้ผมรู้ว่า ลูกสาวผมอยู่ในบ้านด้วยตลอดเวลา โดยไม่ได้ไปไหนเลย”
เสียงหวานมองเตชิตแล้วยิ้มออกมา
ช่วงเวลาเดียวกันนั่นพอลกำลังนั่งคุยอยู่กับเสนาที่ห้องทำงาน
“ตกลงนายจะไปคืนนี้เลย”
“ครับพี่ เพราะล่าสุดนี่ไอ้เฮงมันเปลี่ยนแผนหมด ท่าทางมันคงไม่ไว้ใจเดนนิสเหมือนกัน ผมจะไปพบกับไอ้เตกับจ่าธงที่โน่น..แล้วก็สมทบกับตำรวจในพื้นที่”
“ระวังตัวด้วย”
“ขอบคุณครับ”
พอลลุกเดินออกไป เสนามองตามแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ค่ำวันเดียวกันนั้นขณะที่เดนนิสกำลังนั่งคุยอยู่กับพอล ปรกเดือนก็เดินเข้ามา ปรกเดือนชะงักเล็กน้อยหันหลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวซิเดือน” ปรกเดือนหันกลับมา “พอลจะไปทำงานให้ฉันแน่ะ จะไม่อวยพรเขาหน่อยเรอะ”
ปรกเดือนสบตาพอลอย่างรวดเร็ว พอลก้มหัวให้นิดๆ
“ฝากดูปรายดาวด้วยก็แล้วกัน” ปรกเดือนฝืนยิ้ม
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
พอลก้มหัวนิดๆ ให้ปรกเดือนแล้วเดินออกไป
พอลรีบตามมาสมทบกับเตชิตและธงที่สถานีตำรวจแถวชายแดน เมื่อมาถึงพอล เตชิต ธง ตำรวจอีกชุดหนึ่งกำลังวางแผนเพื่อจับกลุ่มเฮงก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานด้วยการเดินทางไปบ้านร้างที่เป็นเป้าหมาย
พอล เตชิต ธงและตำรวจอีกส่วนหนึ่ง ต่างซุ่มเงียบแอบดูความเคลื่อนไหวของเฮง จนกระทั่งมีรถปิ๊กอัพคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด เตชิตหันมาทำสัญญาณให้ทุกคนเตรียมตัว...ประตูรถเปิดออกลูกน้องเฮงก้าวลงมาแล้วมองสำรวจ ขณะนั้นเฮงนั่งรอเวลาอยู่ในรถแต่สีหน้าแววตาของเฮงก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง มือถือปืนวางอยู่บนตัก
รถปิ๊กอัพอีกคันหนึ่งแล่นเข้ามา เตชิตและพอลให้สัญญาณเตรียมพร้อม ประตูรถคันนั้นเปิดออก ทั้งสองฝ่ายเจรจาและแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เตชิตและพอลให้สัญญาณตำกรวจจึงแสดงตัวจนมีการยิงต่อสู้กันเฮงเห็นท่าไม่ดีรีบขับรถออกไป พอลเบือนหน้ามาและยิง เฮงเห็นหน้าพอลอย่างถนัดจึงพึมพำออกมาด้วยความเคียดแค้น
“ ไอ้พอล”
พอลไล่ตามยิงรถเฮง แต่เฮงหลบหนีไปในความมืด
เวลาผ่านไป...เสนายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องทำงานสีหน้าแววตารอคอยบางอย่างจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสนารีบเดินมารับ
“ว่าไง”
“เรายึดของกลางได้หมดครับ ... มีไอ้เฮงหนีไปได้คนเดียว”
“แล้วพวกเราเป็นยังไงบ้าง”
“ตำรวจถูกยิง 2 คนแต่ไม่เข้าที่สำคัญครับ ตอนนี้กำลังลำเลียงส่งโรงพยาบาล”
เสนาพยักหน้าท่าทางดูโล่งใจ
เมื่อวางหูจากเสนา พอลก็โทรหาเดนนิส เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เดนนิสลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กับปรกเดือน
“นอนเถอะ โทรศัพท์ของฉันเอง”
เดนนิสลุกหยิบโทรศัพท์ แล้วเดินออกไปข้างนอก ปรกเดือนลงนอนตามเดิมแต่สีหน้าครุ่นคิด
“ว่าไง” เดนนิสถามเมื่อกดรับโทรศัพท์
“ผมเพิ่งกลับมาที่พักครับ เกือบเอาชีวิตไม่รอด” พอลบอก
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้เฮงมันเกิดนัดส่งยาพอดีกับที่ผมไปถึง” เดนนิสชะงัก
“กับใคร”
“เฮียเพ้งหุ้นส่วนของเสี่ยน่ะซิครับ”
“มิน่า ไอ้เพ้งมันเงียบไปเลยมันรวมหัวกันทรยศฉันทั้งสองคน”
“พวกตำรวจมันจมูกไวมากครับ ผมไปถึงกำลังยิงต่อสู้กัน ทุกคนถูกจับได้บ้างถูกวิสามัญบ้าง แต่ไอ้เฮงมันหนีรอดไปได้ผมจะตามก็ตามไม่ทัน มิหนำซ้ำยังถูกตำรวจไล่ยิงอีก”
“แล้วพวกเราไม่มีใครระแคะระคายเลยเรอะ”
“ไม่เลยครับ แม้แต่ผมก็ยังไม่รู้ มันปิดเสียสนิท”
“แต่ตำรวจก็ยังรู้”
“กลับไปนี่ ผมจะขออนุญาตจัดระเบียบใหม่เลย ไอ้พวกนั้นมันสบายกันมากไป”
“ดี ! ฉันมอบหน้าที่นี้ให้นายไปเลย แล้วก็ทำให้สมกับที่ฉันไว้ใจล่ะ”
“แน่นอนครับ”
พอลวางโทรศัพท์ลง แล้วเอนตัวลงนอน
เดนนิสเดินกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูเบาๆ เดนนิสเดินมาที่เตียงพยายามไม่ให้เสียงดัง
“ใครโทรมาคะ” ปรกเดือนถาม
“อ้าว นึกว่าหลับเสียอีก ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ”
เดนนิสล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ปรกเดือนยังคงนอนลืมตาโพลงเดนิสก็ยังคงนอนลืมตาโพลงเช่นกัน
ส่วนเตชิตเมื่อกลับถึงที่พัก เตชิตนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
“คุณคะ...คุณเตชิต” เตชิตนิ่วหน้าเหมือนรู้สึกตัว แต่ยังไม่ยอมลืมตา “คุณคะ”
เตชิตลืมตาขึ้น
“อะไรกันคุณ ตามมาถึงนี่เชียวเรอะ” เตชิตถามเมื่อเห็นเสียงหวาน
“ก็ฉันไปไหนไม่รอดนี่คะ” เสียงหวานทรุดตัวลงนั่ง “เมื่อกี้ฉันเห็นคุณสู้กับคนร้ายด้วย คุณเก่งจังเลย”
“นี่คุณไม่หลับ ไม่นอนบ้างหรือไง”
“วิญญาณไม่ง่วงหรอกค่ะ”
“จริงซิ คุณเคยบอกผมแล้ว”
“อะไรกัน ฉันเพิ่งบอกคุณเดี๋ยวนี้เอง”
“ขี้เกียจเถียง ผมง่วง...กรุณาอย่ารบกวนผมได้ไหม”
“ได้ค่ะ” เสียงหวานลุกไปนั่งมุมห้อง ขณะที่เตชิตพลิกตัวหันหลังให้ “ไม่รู้เป็นอะไร หมู่นี้ฉันรู้สึกแปลกๆ” เสียงหวานบอกแต่เตชิตหลับไปแล้ว เสียงหวานเดินมาชะโงกดู “คุณ... คุณคะ...”
เตชิตหลับสนิทไม่รู้เรื่อง เสียงหวานเดินกลับไปนั่งเซ็ง
ส่วนเฮงหลังจากหนีรอดตำรวจมาได้ เฮงก็แอบกลับมาบ้านที่กรุงเทพแล้วปลอมตัวมาที่โรงพยาบาลที่ปรายดาวนอนรักษาตัวอยู่ ระหว่างนั้นเตชิตเพิ่งกลับถึงบ้านเหมือนกัน เตชิตเดินเข้ามาในบ้าน เสียงหวานนั่งอยู่บนโซฟาเรียบร้อยแล้ว
“เป็นวิญญาณดีอย่างนี้เอง ...ระหว่างที่คุณนั่งเครื่องบินกลับ ฉันก็มานั่งอยู่บ้านคุณเรียบร้อยแล้ว” เสียงหวานบอก เตชิตวางกระเป๋า “อย่าเพิ่งดุฉันค่ะ คือ ฉันอยากให้คุณไปดูฉันที่โรงพยาบาลหน่อย ฉันรู้สึกแปลกๆ”
“คุณบอกผมมาตั้งแต่เมื่อคืน”
“ค่ะ... แต่เช้าวันนี้ยิ่งแปลกมาก คุณช่วยไปโรงพยาบาลกับฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ แต่ต้องเย็นๆ หน่ออย”
“ไม่ค่ะ ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย” เตชิตขยับจะพูด “ได้โปรดเถอะค่ะ ตอนที่ฉันจำอะไรไม่ได้คุณบอกว่าให้เชื่อใจคุณ ...ฉันก็ยังเชื่อเลย พอตอนนี้ฉันอยากให้คุณเชื่อใจฉันบ้าง”
เตชิตมองสีหน้าแววตาอ้อนวอนของเสียงหวานอย่างชั่งใจ
รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลเฮงสำรวจดูความเรียบร้อยของตัวเอง แล้วหยิบเสื้อกาวน์ลงจากรถ เฮงเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยสีหน้าท่าทางน่านับถือ
เฮงก้าวออกจากลิฟท์ผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลแล้วเดินตรงไปที่ห้องปรายดาว โดยที่ไม่มีใครเอะใจเพราะดูเผินๆ ก็เหมือนหมอคนหนึ่ง
ขณะนั้นเตชิตขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล
“ถ้าหากไม่มีอะไร อะไรที่คุณว่าแปลกละก็ ...” เสียงหวานหายไปก่อนที่เตชิตจะพูดจบ “จะรีบอะไรกันนักหนา เดี๋ยวก็กลับเสียเลย”
เตชิตลงจากรถเดินไปอย่างหงุดหงิด
เฮงเปิดประตูห้องปรายดาวเข้ามา เฮงเดินช้าๆ มาที่เตียง แล้วแสยะยิ้ม
“ไอ้พอล! แกทำให้ฉันสูญเงินมหาศาลและเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะฉะนั้นฉันจะเอาชีวิตแฟนแกเป็นการตอบแทน”
เฮงหยิบหมอนขึ้นมา เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นแล้วร้องออกมาอย่างตกใจ
“อย่า...า....า”
เฮงยกหมอนขึ้น เสียงหวานถลาเข้ามาผลักเฮงเต็มแรงแต่เสียงหวานถลาผ่านเฮงล้มคว่ำไป เฮงกดหมอนลงตรงหน้าปรายดาว เสียงหวานยกมือปิดหน้าร้องแต่ไม่ออก เพราะปรายดาวถูกหมอนกดทับหน้า สีหน้าเฮงตอนนี้ดูเหี้ยมโหดมาก
เฮงกดหมอนบนหน้าปรายดาวแน่นจนเสียงหวานค่อยๆ ลอยหายวูบเข้าตัวปรายดาว จังหวะนั้นประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วแล้วเตชิตเปิดเข้ามา เตชิตเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
เฮงหันกลับมาหมอนเลื่อนหลุดจากหน้าปรายดาว เฮงคว้าแจกันขว้างเพื่อจะหนีออกไป เตชิตกลิ้งหลบแล้วจับเก้าอี้ผลักไปที่เฮงซึ่งก้าวมาเฮงเสียหลักหกล้ม แล้วชักปืนออกมาจะยิง ทั้งสองคนต่อสู้แย่งปืนกัน เสียงหวานซึ่งซ้อนอยู่ในตัวปรายดาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตระหนก
เสียงหวานเบิกตากว้างเมื่อเห็นเฮงใช้ปืนยิงเตชิต เตชิตผงะกระสุนถากแขนไป เสียงหวานกรี๊ดร้องสุดเสียง...ประตูเปิดออกผู้คนวิ่งเข้ามาดูอย่างสับสนวุ่นวาย เสียงหวานเห็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างเลือนรางก่อนจะดับวูบไป
ขณะนั้นพอลมาหาเดนนิสที่บ้านปรกเดือน เดนนิสเอนตัวพิงพนักด้วยสีหน้ากังวล
“ตราบใดที่ไอ้เฮงยังอยู่ เราไม่ปลอดภัยแน่ ไอ้นี่มันจอมอาฆาตด้วย”
ปรกเดือนหน้าตาตื่นเดินแกมวิ่งเข้ามา
“เกิดเรื่องยิงกันในห้องยัยดาวค่ะ”
เดนนิสกับพอลลุกพรวดขึ้นทันที พอลรีบออกไปเดนนิสมองตามด้วยสีหน้าวิตก
ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หมอทำแผลที่แขนเตชิตซึ่งถูกกระสุนถากเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ...คุณหมอ”
ธงและเสนาเดินเข้ามา
“ไอ้เฮงเป็นไงบ้างครับ”
“ตายแล้ว นายแทงถูกที่สำคัญพอดี”
เสนาบอก เตชิตถอนใจเฮือก
“เลยไม่มีหลักฐานสาวไปถึงตัวเดนิสอีกตามเคย”
“ทำไงได้ ถ้านายไม่แทงมัน นายก็ตาย”
“พอดีมีดปอกผลไม้ตกอยู่ใกล้ๆ ตอนที่ต่อสู้แย่งปืนกัน”
“ผู้กองเก่งสุดยอดเลยครับ” ธงบอกอย่างเป็นปลื้ม เตชิตขยับจะลุกขึ้น
“จะไปไหน” เสนาถาม
“ไปดูปราย...เอ๊ย! สถานที่เกิดเหตุครับ”
เสนาออกเดินนำออกไป เตชิตกับธงเดินทาง
ทั้งหมดมาที่ห้องปรายดาวซึ่งเป็นห้องกิดเหตุ ภายในห้องมีเจ้าหน้าที่กำลังถ่ายรูปตามจุดต่างๆ และเก็บหลักฐานกันอยู่ เตชิตมองไปที่เตียงซึ่งว่างเปล่าทันที
“เสียงหวานหายไปไหนครับ” เตชิตถามอย่างตกใจเมื่อไม่เห็นปรายดาว
“เสียงหวาน เสียงขมบ้าบออะไรของแก” เสนาถาม
“ขอโทษครับ ผมหมายถึงคุณปรายดาว”
“ปรายดาวก็ปรายดาวซิ ย้ายไปแล้ว”
“ย้ายไปอยู่ที่ไหนครับ”
“ทำไม แกเป็นอะไรของแกฮึ ไอ้เต”
“คือ...เอ้อ...ผม...ผมเกรงว่าเธอจะได้รับอันตรายน่ะครับ”
“อ๋อ! ปลอดภัยดี เดี๋ยวนายให้ปากคำเสร็จแล้วก็ไปเยี่ยมได้”
เตชิตผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
ปรกเดือนและพอลเดินเข้ามาในห้องปรายดาวที่เธอเพิ่งย้ายเข้ามา
“ดาวเป็นยังไงบ้างคะ” ปรกเดือนถามพยาบาลอย่างเป็นห่วง
“คุณหมอเพิ่งมาดูอาการเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ เธอปกติดี”
“ค่อยยังชั่ว” ปรกเดือนเดินมาที่เตียง จับมือปรายดาว อีกมือเสยผมให้ “ไม่มีอะไรแล้วนะดาว...เธอปลอดภัยแล้ว”
พอลเดินออกไปนอกห้องแล้วกดโทรศัพท์หาเดนนิส
“เสี่ยสบายใจได้แล้วครับ ไอ้เฮงถูกผู้กองเตชิตแทงตาย”
เดนนิสถอนใจยาว
“แล้วไอ้เตชิตล่ะ”
“เตชิตถูกกระสุนปืนถากแขนไป คิดว่าป่านนี้คงทำแผลเสร็จแล้ว”
“ปรายดาวไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ครับ...ตอนนี้ย้ายห้องแล้ว”
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรครับ”
พอลเก็บโทรศัพท์จะเดินไปเข้าห้อง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินไปที่ลิฟท์แทน พอลรอลิฟท์ครู่หนึ่ง แล้วก้าวเข้าไป
ทางด้านเสียงหวานหลังจากหมดสติอยู่ในร่างปรายดาว เสียงหวานรู้สึกตัวเพราะเสียงเรียก เสียงหวานเดินเหลียวซ้ายแลขวาไปตามเสียงเรียก
“ดาว ... ปรายดาว”
“เสียงหวาน ... เสียงหวาน”
“คุณเตชิต” เสียงหวานเรียกเตชิตเสียงก้อง
“ดาว...ทางนี้ ...ทางนี้ “
“เสียงหวาน...ผมอยู่ทางนี้”
“ดาว...กลับมา...กลับมา”
เสียงหวานมีสีหน้าสับสนงุนงง เดินมาตามเสียงเรียกที่ดังสะท้อนก้องไปก้องมาตลอดเวลา
เสียงหวานเดินอย่างสับสนจนเท้าไปสะดุดเตะอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจนเธอเซถลาร้องกรี๊ด
ปรายดาวยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมือปรายดาวเริ่มขยับ แล้วเปลือกตาก็มีการเคลื่อนไหวน้อยๆ มือปรายดาวขยับมากขึ้นแล้วเปะปะเลื่อนมาถูกปรกเดือนซึ่งนอนฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง ปรกเดือนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จังหวะนั้นเปลือกตาปรายดาวขยับมากขึ้น ปรกเดือนเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ดาว”
ปรกเดือนอุทานออกมา ปรายดาวลืมตาขึ้น มองโดยรอบงงๆ แล้วมาหยุดที่หน้าปรกเดือนงงๆ
“พี่เดือน”
“ดาว เธอฟื้นแล้ว ดาวฟื้นแล้ว โอ๊ย... นี่พี่ฝันไปหรือเปล่า”
ปรกเดือนหัวเราะทั้งน้ำตา ปรายดาวเลื่อนสายตามองไปรอบๆ
“นี่ดาวอยู่ที่ไหนคะ”
“โรงพยาบาลจ้ะ พี่เรียกคุณหมอก่อนนะ”
“ดาวอยากเข้าห้องน้ำ” ปรายดาวขยับจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวจ้ะ พี่เรียกพยาบาลดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ดาวอยากลองเดินเอง”
“ไม่ได้ ...เธอนอนมานานมากเดี๋ยวจะหกล้ม”
ปรกเดือนกดกริ่งเรียกพยาบาล ขณะที่ปรายดาวพยายามจะเลื่อนตัวลงยืน ประตูเปิดออกพยาบาลเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ยัยดาวฟื้นแล้วค่ะ ดาวฟื้นแล้ว”
ปรกเดือนบอก พยาบาลพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“เร็ว โทรตามอาจารย์หมอนิวาตเร็วๆ เข้า”
พยาบาลอีกคนรีบออกไปจนเกือบชนกับเตชิตซึ่งเดินเข้ามา เตชิตเบิกตากว้างเมื่อเห็นปรายดาวซึ่งปรกเดือนกับพยาบาลอีกคนช่วยประคองลงมาจากเตียง
“เสียงหวาน” ปรายดาวมองเตชิต “เสียงหวาน คุณฟื้นแล้ว” ปรายดาวคลี่ยิ้มออกทั้งน้ำตาประมาณว่าได้เจอคนที่รัก และคุ้นเคย เตชิตถึงกับตื้นตัน “เสียงหวาน”
ปรายดาวปล่อยมือจากปรกเดือนและพยาบาล แล้วโผเข้ามา เตชิตอ้าแขนรับด้วยความดีใจสุดแสน แต่ปรายดาวกับผวาเข้าหาพอลซึ่งเดินเข้ามา
“พี่พอล”
“ดาว ปรายดาว”
เตชิตเหวออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินออกไปข้างนอกเมื่อรู้สึกตัวเหมือนเป็นส่วนเกิน ปรายดาวกับพอลกอดกันด้วยความตื้นตันใจ ปรายดาวทั้งหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เตชิตมาหาศรีตรังที่ไร่สุขศรีตรังแล้วเล่าเรื่องปรายดาวให้ฟัง จากนั้นเตชิตก็เอาแต่นั่งเงียบจนศรีตรังกับจุรีต้องลอบมองเตชิตซึ่งนั่งหลับตานิ่งๆ แล้วเบือนมาสบตากันอย่างเห็นใจ ศรีตรังแกล้งกระแอมพลางตบไหล่เตชิตเพื่อปลอบใจ
“เฮ้ย เขาเพิ่งฟื้น อาจจะยังจำอะไรไม่ได้หมด ต้องให้เวลาสักนิด ขี้คร้านเขาจะตามมาขอบใจแกที่นี่แทบไม่ทัน จริงมั้ยป้า”
“อะลัดตั๊ดต๊า จริงค่ะ ป่านนี้อาจจะนึกออกแล้วก็ได้ จริงมั้ยคะ คุณหนู”
“จริงค่ะ ดีไม่ดี ป่านนี้อาจจะกำลังขับรถมาที่นี่ จริงมั้ยป้า”
จุรีอ้าปากจะรับ แต่เตชิตขัดขึ้นก่อนอย่างหงุดหงิด
“พอที” จุรีและศรีตรังเหวอ “เลิกอวยกันไปกันมาเสียที จำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ ไม่ต้องมาช่วยกันให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับฉันหรอก”
“เออ คิดได้ยังงั้นก็ดีค่ะ ไอ้เต จะได้ไม่ต้องมาช้ำอกช้ำใจให้เพื่อนประณาม” ศรีตรังบอก
“ป้าเห็นด้วยค่ะ ลูกผู้ชายอกหักแค่นี้ไม่ถึงกับตาย ผู้หญิงดีๆ สวยๆ ในโลกนี้ยังมีอีกเยอะ เช่น คุณหนูศรีตรังของป้า”
“ช้าก่อนป้า แค่เป็นเพื่อนกับมัน ศรีก็จะแย่อยู่แล้ว อย่าให้ถึงกับต้องเป็นเมียมันเลย”
“ยังกับฉันอยากได้แกนักนี่ จะบอกอะไรให้ ไอ้พอลน่ะมันกอดแม่คุณหนูเผือกนั่นเสียแน่นเลย ฉันว่ามันต้องเป็นแฟนกับคุณหนูเผือกแน่ๆ”
ศรีตรังทำท่าไม่หยี่หระ
“ใครสน”
“เออ ทำเป็นปากแข็งดีไปเหอะ”
เตชิตลุกขึ้น แล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมา
“จะกลับละหรือคะนั่น ยังไม่ทันได้ค้างสักคืนเลย”
“ผมจะไปขออาศัยลุงสมนอนครับป้า”
“แล้วไป”
เตชิตเดินออกไป จุมองตามแล้วหันมามองศรีตรัง
“ความจริงคุณหนูเผือกกับคุณชายเผือกนี่ก็เหมาะสมกันดีนะคะ คุณหนู” ศรีตรังเดินขึ้นบันไดไป “อ้าว เลยไปกันหมด”
ศรีตรังกลับเข้าห้องแล้วเดินเนือยๆ มาทรุดตัวลงนั่งแล้วนึกถึงคำพูดของเตชิต
“จะบอกอะไรให้ ไอ้พอลน่ะมันกอดคุณหนูเผือกเสียแน่นเลย”
“กอดก็กอดไป ไม่เห็นเกี่ยวกับเราซักหน่อย”
ศรีตรังบ่นอย่างไม่แคร์ ทั้งที่รู้สึกเจ็บลึกๆ อย่างบอกไม่ถูก
เตชิตมาที่บ้านสมแล้วทรุดตัวลงนั่ง มองออกไปข้างนอกพลางถอนใจยาว สมเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำใบบัวบก
“ด้วยความเคารพ จะรับประทานน้ำใบบัวบกสักแก้วนึงมั้ยครับ” เตชิตหันกลับมาแล้วมองสมเขม็ง สมยิ้มแห้งๆ “ด้วยความเคารพ สายตาแบบนี้น่าจะแปลได้ว่า ไม่รับประทานลุงกินเองก็ได้”
สมยกขึ้นดื่มทีเดียวหมดแก้ว แล้วเดินออกไป
วันต่อมาปรายดาวออกจากโรงพยาบาล ปรกเดือนพาปรายดาวกลับบ้าน พอเข้ามาในบ้านปรายดาวมองไปรอบๆ ซึ่งจัดไว้ต้อนรับ โดยมีแจกันดอกกุหลาบสวยสดชื่นวางไว้ตามมุมต่าง อย่างสวยงาม
“ขอต้อนรับกลับบ้านจ้ะ แจ๋วเขาทำความสะอาดตั้งแต่เมื่อวานแน่ะ”
“ขอบใจนะแจ๋ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ แจ๋วจะไปทำอาหารเช้าให้นะคะ”
“ไปเถอะ” แจ๋วเดินออกไป ปรกเดือนจึงหะนมาถามปรายดาว “เป็นยังไงบ้าง”
“ยังงงๆ อยู่เลยค่ะ... ดาวหลับไปนานตั้ง 2 ปีกว่าเชียวหรือคะ”
“จ้ะ”
“ไม่น่าเชื่อ”
ปรกเดือนเดินมานั่งข้างๆ ปรายดาวแล้วดึงปรายดาวมากอดไว้ด้วยความตื้นตันใจ
“ดาว...พี่ดีใจเหลือเกินที่ดาวกลับมาหาพี่เสียที”
“ดาวก็ดีใจค่ะ”
“เดนนิสเขาจะเลี้ยงรับขวัญ”
“อย่าเลยค่ะ...ดาวแค่อยากทำบุญเท่านั้น ไม่อยากให้มีงานมีการเอิกเกริก”
“งั้นพี่จะบอกเขาให้ เดี๋ยวดาวอาบน้ำอาบท่าให้สบายนะ พี่จะลงไปรับหน้าพอลก่อน ป่านนี้คงใกล้จะถึงแล้ว” ปรายดาวมองปรกเดือนอย่างเพ่งพิศ “ทำไมมองพี่อย่างนั้น ...” ปรเดือนถามอย่างแปลกใจ
“อ๋อ เปล่าค่ะ”
ปรายดาวเดินไปเข้าห้องน้ำ ปรกเดือนมองครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป
ขณะนั้นพอลนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกแล้วเมื่อปรกเดือนเดินลงมา
“นั่นไง มาแล้วจริงๆ”
“เสี่ยล่ะ”
“ไปธุระตั้งแต่เช้า ยัยดาวกำลังอาบน้ำ เดี๋ยวคงลงมา”
“ท่าทางเป็นยังไงบ้าง”
ปรกเดือนถอนใจแล้วส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน ... แกดูนิ่งๆ บางครั้งก็เหม่อๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนเคย ... หรือว่าแกยังจำภาพนั้นอยู่อีก”
“ผมจะพูดให้ดาวเข้าใจเอง”
“เดือนพูดดีกว่า นี่เสี่ยเขาจะเลี้ยงรับขวัญให้ แต่แกไม่เอาบอกว่าจะทำบุญ”
“ดีแล้วละ ที่ดาวกลับมาได้นี่ก็นับว่าเป็นบุญกุศลเหลือเกินแล้ว”
“เดือนน่ะกลัวว่าเสี่ยจะไม่พอใจเท่านั้น”
“ดาวเพิ่งตื่นขึ้น หลังจากนอนหลับไป 2 ปีกว่า เราต้องให้เวลาเขาบ้าง ผมคิดว่าเสี่ยคงเข้าใจ”
ปรกเดือนมีสีหน้าหนักใจ
ส่วนปรายดาวหลังออกจากห้องน้ำ ปรายดาวก็นั่งแปรงผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ปรายดาวจ้องมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างเพ่งพิศแล้วก็นึกถึงเรื่องราวตอนที่ตัวเองกำลังขับรถไปร้องไห้ไป ปรายดาวสะบัดหน้าลุกขึ้น แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง
ปรายดาวจ้องมองเพดานพร้อมกับภาพเหตุการณ์ตอนที่พบพอลและปรกเดือนกอดกันจนเธอขับรถไปชนต้นไม้แว่บเข้ามาในความคิด...ปรายดาวสะดุ้งสุดตัวผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อโทรมหน้า หายใจหอบแรงด้วยความตกใจและหวาดกลัวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ปรกเดือนรู้สึกแปลกใจที่ปรายดาวยังไม่ตามลงมาซักที จึงเบือนหน้ามองขึ้นไปชั้นบน
“ทำไมยัยดาวยังไม่ลงมาอีก “
แจ๋วเดินเข้ามา “ข้าวต้มปลาเสร็จแล้วค่ะ”
“พอลทานก่อนนะ เดือนจะขึ้นไปตามน้อง”
“ผมรอทานพร้อมกันดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะคะ” ปรกเดือนเดินขึ้นข้างบน
ในขณะที่ปรายดาวกำลังนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วสักพักปรกเดือนก็เดินเข้ามา ปรกเดือนตกใจมากที่เห็นน้องสาวร้องไห้
“ดาว ร้องไห้ทำไม เป็นอะไรไป”
“ออกไป๊ ออกไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับดาว ออกไปให้พ้น ดาวเกลียดพี่เดือน เกลียดที่สุดในโลก”
“ดาว ฟังพี่ก่อน”
“บอกให้ออกไป๊ ออกไป...บอกให้ออกไป” ประโยคสุดท้าย ปรายดาวตะเบ็งสุดเสียง
ปรกเดือนร้องไห้ออกมาจากห้องปรายดาว พอลได้ยินเสียงเอ็ดตะโรลั่นบ้านจึงเดินแกมวิ่งขึ้นมา ติดตามด้วยแจ๋ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“พอล”
“แจ๋ว...พาคุณเดือนไปที่ห้องก่อน...ฉันจะไปดูคุณดาวเอง” พอลบอกสาวใช้
“ไปค่ะ คุณเดือน”
แจ๋วพาปรกเดือนมาที่ห้อง พอลเดินไปที่ห้องปรายดาวเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป
พอลเดินเข้ามาในห้องปรายดาว ขณะที่ปรายดาวยืนร้องไห้
“เป็นอะไรไป”
“พี่พอลทรยศ ดาวไม่อยากเห็นหน้าพี่พอลอีก ออกไป”
“ดาวเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดที่เห็นพี่พอลกับพี่เดือนน่ะหรือคะ”
“พี่กอดเดือนจริง แต่ไม่ใช่อย่างที่ดาวเข้าใจ”
“ไม่ว่าใครที่เห็นภาพนั้น ก็ไม่มีทางเข้าใจเป็นอื่นไปได้”
“พี่จะเล่าให้ฟัง...”
“ไม่ ดาวไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ฟังก็ตามใจ แต่ต้องหยุดอาละวาดกับเดือนเสียที...เดือนกำลังท้อง”
ปรายดาวชะงัก
“พี่เดือนท้อง...”
“ใช่”
ปรายดาวทรุดตัวลงนั่ง
“ดาวอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ไม่ได้ก็ต้องอยู่ ดาวไม่ห่วงพี่เลยเรอะ ที่ดาวเจ็บนอนไม่รู้สึกตัวมา 2 ปีกว่า เดือนเขาดูแลตลอด... จ้างนักกายภาพมาช่วยทำกายภาพบำบัดทุกวัน มีอะไรเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยก็ต้องถึงหมอ ดาวฟื้นขึ้นมา เดือนเขาดีใจที่สุดแต่ดาวกลับอาละวาดใส่เขา ดาวใจร้ายมากรู้ไหม” ปรายดาวก้มหน้าลง น้ำตาคลอ พอลเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เสียงอ่อนลง “เรื่องวันนั้นดาวเข้าใจผิด...”
“ดาวไม่อยากพูดถึงมันอีก”
“พี่อยากให้ดาวห่วงพี่เดือนได้สักครึ่งหนึ่งของที่เขารักและเป็นห่วง ดาวก็พอแล้ว ...”
พอลเดินออกไป ปรายดาวมองตามแล้วถอนใจยาว
เตชิตมาหาธากรณ์ที่ออฟฟิศ ธากรณ์มองหน้าเตชิตอย่างเอาจริงเอาจัง
“เอาจริงเรอะ”
“จริง ฉันอยากพบเสียงหวานอีกสักครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจำฉันไม่ได้จริงๆ”
“งั้นฉันจะติดต่อผ่านคุณปรกเดือนให้ ... ว่าแต่ทำไมแกไม่ขอให้ไอ้พอลช่วยล่ะ มันน่ะเหมือนคนในครอบครัวนั้นอยู่แล้ว”
“เอาเป็นว่าฉันไม่อยากยุ่งกับมันก็แล้วกัน”
“ก็ได้ แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จนะ”
“เออ”
ทางด้านปรายดาวเมื่อออกจากห้อง ปรายดาวเดินดูรอบๆ บ้าน เพื่อจะทบทวนความทรงจำ เสียงแตรรถดังขึ้น แจ๋วเดินแกมวิ่งมาเปิด คนรถขับมาจอดหน้าตึกแล้วลงมาเปิดประตูให้ เดนนิสก้าวลงมา เดนนิสมองปรายดาวครู่หนึ่ง แล้วฝืนยิ้มทักปรายดาว
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็... ยัง... มึนๆ งงๆ อยู่ค่ะ”
“เธอโชคดีที่ฟื้นมาได้ พวกเราทุกคนคิดว่าหมดหวังเสียแล้ว”
“มันเหมือนปาฏิหารย์”
“ใช่ ปาฏิหารย์จริงๆ” เดนิสนิสแตะหลังปรายดาวอย่างสุภาพให้เดินมานั่ง “ฟื้นขึ้นมานี่อยากทำอะไรเป็นอย่างแรก”
“อยากทำบุญค่ะ หลังจากนั้นก็อยากไปดูที่ที่เกิดอุบัติเหตุ...”
“ได้เลย ฉันจะจัดการให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาวนัดกับพี่พอลไว้แล้ว”
“งั้นก็ตามใจ ถ้าอยากได้อะไรก็บอกฉัน...ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ปรายดาวยกมือไหว้ขอบคุณเดนนิส เดนนิสเดินออกไป
ขณะนั้นปรกเดือนอยู่ในห้องและกำลังคุยโทรศัพทือยู่กับธากรณ์
“อ๋อ จำได้ซิคะ ถึงตอนนี้ดิฉันยังอยากพบเขาอยู่เลย อยากให้ยัยดาวได้ขอบคุณเขาด้วย”
“งั้นก็พอดีเลยครับ ผมจะเชิญทั้งคุณปรกเดือนแล้วก็คุณปรายดาวไปที่ปากช่อง”
“ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้นล่ะคะ ดิฉันเกรงว่าจะไม่สะดวก”
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นที่บ้านผู้กองเตชิตเลยดีไหมครับ”
“ดิฉันเกรงใจ”
“ไม่ต้องเลยครับ ถ้ายังไงคุณปรกเดือนจะชวนคุณพอลมาด้วยก็ได้”
“ตกลงค่ะ... กี่โมงคะ”
“11 โมงครึ่ง ผมจะให้รถไปรับนะครับ”
“ไปเองสะดวกกว่าค่ะ คุณบอกทางมาเท่านั้น”
เมื่อปรกเดือนรับปากที่จะพาปรายดาวไปพบกับธากรณ์ ธากรณ์จึงโทรศัพท์บอกเตชิต
“ขอบใจมากว่ะ ไอ้กรณ์”
“ไม่รับ แต่อยากให้แกช่วยอย่างนึง”
“น้องศรีตรัง”
“ใช่เลย แกลองชวนเขามาด้วยได้ไหม”
“จะพยายามว่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่านะ”
“ต้องสำเร็จซิวะ แกเป็นเพื่อนรักเขานี่”
เมื่อวางหูจากธากรณ์ เตชิตจึงโทรหาศรีตรังเพื่อชวนเธอมากรุงเทพ...ศรีตรังวางโทรศัพท์ แล้วหันมาทางจุรี
“ป้าจุ พรุ่งนี้ศรีจะเข้ากรุงเทพ ไปด้วยกันมั้ยเห็นบ่นมาหลายวันแล้ว”
“อะลัดตั๊ดต๊า ไปค่ะ... อยากจะไปเปิดหูเปิดตากับเขาบ้างว่าแต่คุณหนูจะพาป้าไปเที่ยวไหนคะ”
“บ้านไอ้เตค่ะ ไอ้เตมันชวนไปกินข้าวบ้านมัน”
“ไปค่ะไป ปลื้มคะปลื้ม ตั้งแต่เกิดมาป้ายังไม่เคยไปบ้านคุณเตเลย”
“โห เล่นนับตั้งแต่เกิดเลยนะคะ ป้า”
“แล้วคุณเจนจิราดาร์ลิ่งล่ะคะ ไม่มีใครอยู่นี่ไม่หนีออกไปเที่ยวหรือคะ”
ไโตๆ กันแล้ว ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าออกไปมีอันตราย ยังดันทุรังจะออก มันก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้นป้าไปเตรียมเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
“ค่ะ แต่ห้ามสวยเกินหนูเด็ดขาด”
“อันนี้ป้าไม่รับรองค่ะ”
จุรีรีบกลับไปบ้าน ศรีตรังมองตามยิ้มๆ
เมื่อกลับมาบ้านจุรีบอกอ้อยเรื่องที่จะเข้ากรุงเทพ อ้อยจึงขอตามไปด้วย
“อ้อยไปด้วย”
“ไปไม่ได้ แกต้องอยู่เฝ้าบ้านและเป็นเพื่อนเจนจิรา”
“ลุงสมกับพี่ทศไง”
“สองคนนั่นเขาต้องไปคุมคนงาน”
“ก็อ้อยอยากไปนี่”
“ไปขออนุญาตนายศรีตรังเอง”
“จ้างก็ได้ไปร้อก...นายศรีตรังเห็นแก่ตัว ทีตัวเองจะไปไหนก็ได้”
“อะลัดตั๊ดต๊า บังอาจตำหนิเจ้านาย”
อ้อยหน้าหงิกด้วยความไม่พอใจ
ค่ำวันเดียวกันนั้นพอลโทรศัพท์หาศรีตรัง ศรีตรังลังเลก่อนกดรับ
“โทรมาทำไม”
“ความจริงก็ไม่อยากโทรนักหรอก แต่พอดีอยู่ว่างๆ”
“แล้วทำไมไม่ไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายล่ะ”
“ไม่ละ ทะเลาะกับคุณสนุกกว่า”
“โรคจิต”
“อีก 2-3 วัน ผมอาจจะแวะไปเยี่ยมคุณ”
“อย่าลืมโทรมาบอกก่อน ฉันจะได้ไม่อยู่บ้าน”
“ผมว่าคุณคงจะตั้งตาคอยมากกว่ามั้ง”
“นี่ คุณพอล ไม่มีอะไรจะทำแล้วเรอะไง ถึงได้โทรมากวนโมโหฉันขอบอกว่าฉันไม่ได้สนุกด้วยหรอกนะยะ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ พอลยิ้มนิดๆ แล้วถอนใจยาว สีหน้าค่อยๆ ขรึมลง
“ต่อไปผมก็คงโทรถึงคุณไม่ได้แล้ว...”
ปรายดาวกลับเข้าห้องแล้วยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับตกอยู่ในภวังค์ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ ดาว ให้พี่เข้าไปได้ไหม”
ปรเดือนร้องถาม ปรายดาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“เชิญค่ะ”
ประตูเปิดออก ปรกเดือนเดินเข้ามา
“พรุ่งนี้พี่จะพาเธอไปทานข้าวกลางวันกับผู้กองเตชิต”
ปรายดาวส่ายหัวทันที
“ไม่ค่ะ”
“พี่ชวนพอลไปด้วย”
“ก็ไม่อีกนั่นแหละค่ะ”
“แต่พี่คิดว่าเธอควรจะไป”
“ดาวไม่ไป”
“ผู้กองเตชิตก็คือคนที่ได้พบกับดวงวิญญาณของเธอ และได้ช่วยสืบเรื่องราวของเธอ...”
“ไม่เชื่อค่ะ”
“เขาเป็นคนที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้จากคนร้าย”
ปรายดาวมีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที ปรกเดือนยื่นมือที่ถือสร้อยไว้ส่งให้
“และเป็นคนที่เอาสร้อยเส้นนี้มาคืนให้เธอ”
ปรายดาวรับสร้อยมา สีหน้าดีใจเมื่อได้ของรักกลับคืนมา
ปรกเดือนเปิดประตูออกมาแล้วจะเดินกลับห้อง ปรายดาวเปิดประตูตามออกมา
“พี่เดือน” ปรกเดือนหันกลับมา “ดาวขอโทษสำหรับ ...”
“เธอไม่ผิด” ปรกเดือนรีบขัดขึ้น
“ผิดค่ะ...พี่เดือนจะผิดหรือไม่ผิด ดาวก็ไม่ควรพูดให้พี่เดือนเสียใจ”
ปรกเดือนเดินมากอดปรายดาว
“พี่ไม่เคยโกรธดาวเลย มันมีหลายอย่างที่พี่อยากจะคุยกับดาว”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เดือนท้องก็เดือนแล้วคะ”
“3 เดือนกว่าแล้วจ้ะ ใครบอกเธอ”
“พี่พอลค่ะ”
“พอลเขารักและเป็นห่วงใยเธอมาก”
“พี่เดือนไปนอนเถอะค่ะ”
ปรกเดือนกอดน้องแน่นอีกครั้งด้วยความตื้นตันใจ แล้วเดินไป ปรายดาวเดินกลับเข้าห้อง
พอเข้ามาในห้องปรายดาวเดินมาทรุดตัวลงนั่งแล้วหยิบสร้อยขึ้นมาดูและนึกถึงคำพูดปรกเดือน
“ผู้กองเตชิตคือคนที่ได้พบกับดวงวิญญาณของเธอ และได้ช่วยสืบเรื่องราวของเธอ”
“เขาเป็นคนที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้จากคนร้าย”
“และเป็นคนที่เอาสร้อยเส้นนี้มาคืนให้เธอ”
“จะเป็นไปได้ยังไง”
ปรายดาวพึมพำออกมาแล้วมองสร้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน
ที่ไร่สุขศรีตรัง เจนจิราเดินมาเคาะประตูห้องศรีตรังโครมๆๆ ครู่หนึ่งประตูเปิดออก เจนจิรายกมือค้าง
“เป็นอะไร้ ทำไมต้องมาทุบประตูห้องเจ้าของบ้านเค้าโครมๆๆ ด้วย”
“ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะหนีไปเที่ยว”
“พูดให้ดีๆ หน่อย หนีไปเที่ยวน่ะเธอ ส่วนฉันจะไปไหนมันก็เป็นเรื่องของฉัน”
“ฉันจะไปด้วย”
“ตามใจ” เจนจิรายิ้มทันที “แต่ว่า ฉันจะไปปล่อยเธอทิ้งไว้ที่บ้านเสี่ยเดนนิส”
“เห็นแก่ตัว ทุเรศ”
“ใครกันแน่ที่ทุเรศ เห็นแก่ตัว”
“ศรีตรัง ฉันรู้นะว่าเธอจะไปไหน... ผู้หญิงอะไรหน้าด้าน อุตส่าห์ไปเสนอตัวให้ผู้ชายจนถึงบ้าน” ศรีตรังส่ายหน้าอย่างปลงสังเวช แล้วปิดประตูโครม “ศรีตรัง ฉันยังพูดไม่จบ”
“ก็พูดไปซิ ระวังพอไม่มีคนฟัง ผีจะมาฟังแทน”
เจนจิราสะดุ้ง มองซ้ายมองขวาแล้วรีบเดินกลับเข้าห้อง
เจนจิราเดินเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงิด
“ว่าไงคะ” อ้อยซึ่งรออยู่ในห้องรีบถาม
“เห็นหน้าฉันแล้วยังเดาไม่ออกอีกหรือยะ”
“อ้อยบอกแล้วว่ายัยศรีตรังน่ะเผด็จการ เห็นแก่ตัว”
“ฉันเบื่อที่นี่เหลือเกินแล้ว”
“แต่ก็ไม่มีที่ไปใช่มั้ยล่ะคะ”
“ต้องมีซิ มันต้องมีที่ไหนซักแห่งนึง”
“หรือไม่ก็ให้สามีของคุณตายเสียก่อน”
“ทำงานอย่างนั้นก็อีกไม่นานหรอก”
สีหน้าเจนจิราถมึงทึง
วันต่อมาศรีตรังเดินทางเข้ากรุงเทพพร้อมกับจุรี เมื่อมาถึงบ้านเตชิต เตชิตเปิดประตูรับแล้วเดินมาช่วยขนของ
“ขนอะไรกันมามากมายครับ”
“ป้าจุน่ะซิ แกคิดว่าที่กรุงเทพ อาจจะไม่มีผักสวยๆ สดๆ เหมือนที่ปากช่องก็เลยขนซื้อมา”
“เดี๋ยวป้าจะแสดงฝีมือทำกับข้าวให้ลือลั่นสนั่นกรุงเลยค่ะ”
“งั้นก็เชิญข้างในเลยครับ”
ทั้งหมดเดินคุยกันเข้าบ้าน
ที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นเดนนิสเดินเข้ามาในห้องรับแขก ปรกเดือนเดินถือกาแฟเข้ามาวาง
แจ๋วหยิบหนังสือพิมพ์มาวางประจำที่เช่นกัน
“วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”
เดนนิสถามปรกเดือน
“ไปค่ะ พอลเขาจะมารับดาวกับเดือนไปทานข้าวกลางวันกัน”
“ทำไมไม่ให้เขาไปกัน 2 คน เธอไปเป็นก้างขวางคอเขาเปล่าๆ”
“เขาอยากให้ฉันไปด้วยค่ะ”
“เขาก็ชวนตามมารยาทน่ะซิ เป็นฉัน... ฉันไม่ไปหรอก”
ปรกเดือนยิ้มนิดๆ แล้วหยิบนมที่แจ๋วมาวางให้ขึ้นดื่ม
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเตชิต จุรีและศรีตรังกำลังช่วยกันทำกับข้าวอย่างสนุกสนาน
“บ้านช่องก็ออกใหญ่โต...ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็มี...หน้าตาหรือก็หล่อเหลา ป้าว่าน่าจะหาแม่บ้านแม่เรือนมาคอยดูแลได้แล้วนะคะ”
“คงไม่มีใครเค้าเอามันมั้ง”
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณหนูนี่แหละ ทำเป็นไม่เข้าใจ”
เตชิตเดินนำธากรณ์เข้ามา
“ผมพาลูกมือมาให้อีกคนแล้วละครับป้า”
ธากรณ์ยกมือไหว้จุรี
“สวัสดีครับ...สวัสดีค่ะ น้องศรี”
“จะอ้วกว่ะ” เตชิตแซว
“ไม่ต้องมาอ้วกเลย ไอ้เตห่าง พี่กรณ์เขาสุดแสนจะเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนแกเป็นทุรบุรุษ”
“เออ... คนดีกับคนดีอยู่ด้วยกันไปเถอะ”
เตชิตเดินออกไป
“ไหน...มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ” ธากรณ์กระตือรือล้นถาม
“อะลัดตั๊ดต๊า”
ระหว่างที่บ้านปรกเดือน ปรายดาวแต่งตัวเสร็จแล้วเธอกำลังสวมสร้อยคอพระ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“คุณดาวขา...คุณพอลมารับแล้วคะ”
“เดี๋ยวฉันลงไป”
ปรายดาวสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง แล้วหยิบกระเป๋าสะพายเดินออกไป
พอลพาปรายดาวกับปรกเดือนมาบ้านเตชิต เมื่อมาถึงปรายดาวมองบ้านเตชิตด้วยสีหน้าพยายามทบทวนความทรงจำ แล้วภาพเหตุการณ์ตอนที่ปรายดาวอยู่ที่บ้านเตชิตก็แว่บเข้ามาในความทรงจำ ปรายดาวสะบัดหน้าเหมือนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ปรกเดือนและพอลมองปรายดาวอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือดาว”
“ไม่รู้ซิคะ”
ปรายดาวเปิดประตูรถเดินลงไป พอลและปรกเดือนก้าวตามลงมา
ขณะนั้นเตชิตกำลังจัดโต๊ะ เมื่อพอล ปรายดาว ปรกเดือน เดินเข้ามา
“ผู้กองคะ”
ปรกเดือนเรียก เตชิตหันมาปรายดาวมองเตชิตด้วยสายตาว่างเปล่า เตชิตมองปรายดาวอย่างตื่นเต้น พอลแตะหลังปรายดาวแสดงความเป็นเจ้าของ ปรกเดือนมองทั้งสองคนแว่บหนึ่งแล้วรีบแนะนำ
“ดาว ... นี่ผู้กองเตชิตที่พี่เล่าให้ฟังไงจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ปรายดาวยกมือไหว้เตชิต เตชิตมีสีหน้าผิดหวังนิดๆ ขณะรับไหว้
“แล้วนี่พอล”
“ผมเป็นคู่หมั้นของดาว”
พอลบอก เตชิตชะงักเช่นเดียวกับศรีตรังซึ่งก้าวออกมาพอดี พอลมองศรีตรังอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าจะพบศรีตรังที่นี่ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัด
“ใครว่าง ช่วยเข้ามายกกับข้าวหน่อยได้ไหมคะ” จุรีร้องบอกจากในครัว
“ไป ยัยดาว…”
“เดือนไปนั่งดีกว่า เดี๋ยวผมจัดการเอง ดาวไปนั่งเป็นเพื่อนพี่เดือนไป้” พอลบอก
“ค่ะ”
ศรีตรังเดินกลับเข้าไปในครัว ตามติดด้วยพอล
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอนที่ 13 (ต่อ)
พอลเดินตามศรีตรังเข้ามาในครัว
“อ้าว คุณชายเผือกมาด้วยหรือคะ” จุรีเอ่ยทักทายพอล
“สวัสดีครับ ผู้กองพอล” ธากรณ์ทักเน้นตรงคำว่า “พอล”
“สวัสดีครับ”
“พี่กรณ์จะให้ศรีถืออะไรคะ”
“น้องศรีไม่ต้องค่ะ...พี่กรณ์เอง”
พอลมองท่าทีและสายตาของธากรณ์ที่มองศรีตรัง อย่างขวางหูขวางตา
“ให้ศรีช่วยเถอะค่ะ”
“งั้นเอาเบาๆ จานสลัดก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
ศรีตรังรับจานผักสลัดมาพลางสบตายิ้มสดชื่นกับธากรณ์แล้วเดินออกไปด้วยกัน พอลมองตามขวางๆ จุรีกระแอม พอลจึงรู้สึกตัว
“ขอโทษครับ”
“นี่ค่ะ” จุรีชี้อาหารที่เหลือ
“ครับ” พอลยกอาหารที่จุรีชี้ออกไป แล้วกลับมาใหม่ “ทำไมป้าเรียกผมว่าคุณชายเผือกครับ”
“อ๋อ เรียกตามคุณหนูศรีตรังค่ะ คุณต้องไปถามเธอเอง”
พอลยิ้มแล้วเดินออกไป
ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยศรีตรังนั่งระหว่างเตชิตและธากรณ์ ซึ่งผลัดกันตักอาหารให้อย่างเอาอกเอาใจเช่นเดียวกับพอลซึ่งคอยตักให้ปรายดาวและปรกเดือน เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วศรีตรังขนจานชามเข้ามาครัวเตรียมล้าง ศรีตรังหันหลังกลับจะเดินออกไป พอลยกของเข้ามาพอดี ศรีตรังทำเป็นมองไม่เห็นจะเดินออกไป พอลจับแขนศรีตรังไว้
“ศรีตรัง”
“กรุณาปล่อยแขนฉันค่ะ”
“ทำไมคุณถึงทำเหมือนไม่เคยรู้จักผมมาก่อน”
“อันที่จริง เราก็ไม่ได้รู้จักถึงขนาดซี้กันนี่ ฉันไม่ได้รู้เรื่องของคุณพอๆ กับที่คุณไม่ได้รู้เรื่องของฉัน”
“คุณหมายถึงที่ปรายดาวเป็นคู่หมั้นผมใช่ไหม”
“อ๋อ ใครจะหมั้นกับใครฉันไม่สน”
จุรีเดินเข้ามา ศรีตรังดึงแขนเกือบจะเป็นกระชากออกจากมือพอลแล้วเดินออกไป
“อะไรหรือคะ” จุรีถาม
“ไม่มีอะไรครับ” พอลบอกแล้วเดินออกไป
“ไม่มี แต่ทำท่าเหมือนมีแฮะ”
ปรายดาวออกมาเดินเล่นรอบๆ บ้านเตชิต เหมือนพยายามจะทบทวนอะไรสักอย่าง เตชิตเดินเข้ามาหยุดมองอิริยาบถของปรายดาวอย่างเพ่งพิศ ปรายดาวยืนมองครู่หนึ่งแล้วกุมขมับปวดหัวก่อนจะหันกลับมา ปรายดาวชะงักเมื่อเห็นเตชิต ขณะที่เตชิตเดินเข้ามาอย่างลืมตัวด้วยความเป็นห่วง
“เสียงหวาน”
ปรายดาวมองเตชิตอย่างแปลกใจ
“อะไรนะคะ”
“ขอโทษครับ...ผมจำชื่อคุณผิด …คุณหน้าตา... คล้ายกับเพื่อนรักของผม ผมเรียกเธอว่า เสียงหวาน”
“ขอโทษนะคะ กรุณาอย่ามาทำเป็นพูดแบบมีลับลมคมในกับฉัน ฉันไม่ถนัดที่จะมาตีความ” ปรายดาวบอกอย่างหงุดหงิด
“ขอโทษที่ทำให้หงุดหงิด”
ปรายดาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจับสร้อยคอ
“พี่เดือนบอกว่า คุณเก็บสร้อยคอของดิฉันได้แล้วเอามาคืน...ขอบคุณมากนะคะ”
ปรายดาวเดินผ่านเตชิตจะเข้าบ้าน
“คุณบอกว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญกับคุณมาก เพราะ...”
ปรายดาวหันขวับมาทันที
“บอกแล้วว่าอย่ามาพูดแบบมีลับลมคมในกับฉัน ...”
“แล้วคุณพร้อมจะฟังเรื่องตรงๆ หรือยังล่ะครับ”
“ยัง ฉันไม่อยากฟังอะไร มัน...ปวดหัว”
ปรายดาวเดินเข้าบ้าน เตชิตมองตามเศร้าๆ
ปรายดาวเดินกลับเข้ามาในบ้าน พอลรีบเดินมาจับมืออย่างเป็นห่วง
“ออกไปเดินเล่นมาหรือ”
ศรีตรังซึ่งกำลังคุยอยู่กับธากรณ์ ปรกเดือน จุรี เห็นท่าทางของพอลจึงมีสีหน้าเหมือนสะเทือนใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“ดาวอยากกลับบ้านแล้วค่ะ”
“เจ้าของบ้านอยู่ไหนล่ะ”
เตชิตเดินเข้ามาช้าๆ สีหน้าพอลเหมือนระแวงแว่บหนึ่ง
“ไอ้เต คุณดาวจะกลับแล้ว” ธากรณ์บอก
“กลับเสียทีก็ดีเหมือนกัน รบกวนคุณเตชิตมานานพอสมควรแล้วจะได้พักบ้าง” ปรกเดือนบอก
“ไม่เลยครับ ศรีตรังกับป้าจุเป็นคนทำกับข้าว ธากรณ์เป็นผู้ช่วยแล้วทุกคนก็ช่วยกันเก็บล้าง ผมไม่ได้เหนื่อยตรงไหนเลย”
“แกไม่เหนื่อย แต่ฉันเหนื่อย ต้องขับรถกลับปากช่องอีก” ศรีตรังบอก
“ดูเหมือนผมจะยังไม่ได้แนะนำอย่างเป็นทางการใช่ไหมครับว่าศรีตรังเป็นเจ้าของไร่สุขศรีตรังที่ปากช่อง”
ปรกเดือนหันไปมองพอลแว่บหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พอลมีสีหน้าปกติ
“แหม แนะนำทั้งทีจะชวนไปพักก็ไม่ได้เพราะถูกมือเลวมันเผาหมดแล้ว”
ปรกเดือนหน้าเสียนิดหนึ่ง
“ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ...น่าเสียดาย”
ปรายดาวมองปรกเดือนแล้วกัดปาก
“เอ้อ ยัยดาวแกเพิ่งฟื้น อาจจะยังไม่ปกติดี ต้องขอโทษแทนแกด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าสร้างรีสอร์ทใหม่เสร็จเรียบร้อยก็ขอเชิญไปพักนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ ไปเถอะพอล”
พอล ปรกเดือน ปรายดาวเดินออกไป โดยมีเตชิตเดินออกไปส่งกับธากรณ์ จุรีสะกิดศรีตรัง
“คุณหนู...คุณหนูมีอะไรในใจกับคุณพวกนั้นหรือเปล่าคะ”
ศรีตรังยิ้มนิดๆ
ระหว่างกลับบ้านปรายดาวเอาแต่นั่งเงียบจนพอลกับปรกเดือนต้องคอยมองปรายดาวด้วยความเป็นห่วง เพราะปรายดาวนั่งพิงพนักแล้วหลับตานิ่งๆ พอลเอื้อมมือมาจับมือปรายดาวบีบเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ มือปรายดาวค่อยๆ ขยับออกจากพอลอย่างไม่ให้น่าเกลียด พอลมีสีหน้าขรึมลง ปรกเดือนซึ่งคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลาเอื้อมมือมาจับแขนปรายดาว
“ไม่สบายเหรอ” ปรายดาวส่ายหน้า แต่ไม่ลืมตา “พี่ไม่ควรพาดาวมา”
“ไม่เป็นไรค่ะ มาแล้วก็แล้วกัน”
ปรายดาวบอกโดยไม่ลืมตา พอลขับรถด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เตชิตและศรีตรังเดินกลับเข้ามาในบ้าน
“คุณธากรณ์ไปแล้วหรือคะ”
“ค่ะ...เดี๋ยวเราก็กลับบ้าง”
“เฮ้ย รอให้แดดร่มลมตกก่อนซิ”
“ทำไม เหงาเรอะ”
“เออ”
“คุณเตก็ขอเป็นทองแผ่นเดียวกับคุณหนูซิคะ”
“คนละแผ่นดีแล้วป้า”
“ไม่แน่เหมือนกันนะครับ เดี๋ยวพอหาใครแต่งด้วยไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องกลับมาแต่งกันเอง”
“โอ๊ย ไม่เอ๊า ฉันยอมอยู่คนเดียวแห้งเหี่ยวหัวโตดีกว่า”
“หรือแกจะรอไอ้พอล”
“ไม่เอา ไม่เอาทั้งไอ้เตและไอ้พอลเลย”
เตชิตและจุรีหัวเราะชอบอกชอบใจ
ทางด้านปรายดาวเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอก็ขอตัวขึ้นห้องทันที
“ดาวขอตัวนะคะ รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
ปรายดาวไม่รอคำตอบ เดินขึ้นข้างบนไป ปรกเดือนมองตาม แล้วหันกลับมาหาพอล
“เดือนชักจะท้อๆ แล้วเหมือนกันนะคะ”
“ใจเย็นๆ คุณต้องให้เวลาเขาบ้าง ดาวหลับมาตั้ง 2 ปีกว่า พอฟื้นขึ้นมาจะให้เป็นปกติเลยคงเป็นไปไม่ได้”
ปรกเดือนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“นั่งก่อนซิคะ...เดือนอยากถามอะไรหน่อย”
พอลนั่งลง
“คุณอยากรู้อะไร”
“เสี่ยเคยพูดกับเดือนก่อนที่ดาวจะฟื้นไม่เท่าไหร่ ถ้าหากดาวฟื้นและคุณยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ... เขาจะให้คุแต่งงานกับยัยดาวเลย” พอลฟังนิ่งๆ “คุณจะว่ายังไงคะ”
“ถ้าหากดาวพร้อม ผมก็พร้อม”
ปรกเดือนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
บทมาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพให้อ่านทันที
ปางเสน่หา ตอนที่ 13 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน ที่ไร่สุขศรีตรัง เจนจิรานอนคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง
“โอ๊ย คุณน้องน่ะอยากจะกลับไปใจจะขาด แต่มันยังกลับไม่ได้” เสียงเคาะประตูดังขึ้น “แค่นี้ก่อนนะ แล้วจะโทรไปหาใหม่”
เจนจิราซุกโทรศัพท์ไว้ใต้หมอน
“ใครน่ะ”
“อ้อยเองค่ะ”
เจนจิราลุกไปเปิดประตู
“มีอะไร”
อ้อยมีสีหน้าตื่นเต้น
“มีแขกมาขอพบคุณเจนค่ะ”
“ใครน่ะ”
“ขืนบอกก็ไม่เซอร์ไพร์สซิคะ เขาอยากจะเซอร์ไพร์สพี่เจน”
แววตาเจนจิราระยิบขึ้นมาทันที
“คุณพอลหรือว่าคุณเต”
“บอกไม่ได้ค่ะ พี่เจนไปพบเขาเองดีกว่า”
เจนจิราเดินออกมา อ้อยเดินตาม อ้อยกำธนบัตรใบละพัน 5 ใบ รีบยัดใส่กระเป๋าเสื้อ
เจนจิราเดินหน้าระรื่นออกมาหน้าบ้านพัก แต่แล้วรอยยิ้มของเจนจิราก็ค่อยๆ หุบลงกลายเป็นหวาดกลัวสุดๆ เมื่อเห็นเดนนิสซึ่งกำลังหันหลังให้ แล้วทอดสายตามองสำรวจโดยรอบหันกลับมา
“สวัสดี เจนจิรา”
เดนนิสยิ้มให้เจนจิรา
“สะ...สะ...เสี่ย...เสี่ย” เจนจิราหันมามองอ้อย “ อ้อย”
แต่อ้อยไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“พวกผู้จัดการเขาตามหากันให้ควั่ก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้หลบมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“เจน...เอ้อ...เจน”
“ฉันเองก็คิดถึงเธอจะแย่ กลับไปด้วยกันไหม” เจนจิราพูดไม่ออก น้ำตาไหลด้วยความกลัว เดนนิสหัวเราะออกมา
“อ้าว เลยร้องไห้เลย”
“ด้วยความเคารพ มาพบใครหรือครับ”
เสียงสมดังขึ้น ทุกคนหันไปมองจึงเห็นสม ตรีทศและคนงานยืนอยู่ เจนจิราโล่งใจสุดๆ
“ลุงสม คุณทศ”
“ผมแค่แวะมาจะเช่ารีสอร์ทพักสัก 2-3 คืน” เดนนิสบอก
“อ๋อ ตอนนี้รีสอร์ทของเรายังให้ใครพักไม่ได้หรอกครับ ไอ้พวกขี้ขลาดมันมาลอบวางเพลิง”
ตรีทศบอก เดนนิสมีสีหน้าขรึมลงขณะที่สมสะดุ้ง
“ด้วยความเคารพ เอายังงั้นเลยหรือครับ”
“ไอ้คนพวกนี้ก็แปลกนะครับ ชาติก่อนคงเกิดเป็น ...” ตรีทศยังคงพูดต่อ สมกระแอมทันที
“... คือ ที่นี่กำลังปิดปรับปรุงน่ะครับ เอาไว้พอเปิดให้เช่าแล้วค่อยมาใหม่ดีกว่า”
เดนนิสพยักหน้า
“พูดแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอางี้ช่วยถามเจ้าของด้วยว่าหมดทั้งไร่ ทั้งรีสอร์ทจะขายเท่าไหร่”
“อ๋อ ตอบแทนได้เลยว่า เจ้าของไม่ขายแน่นอน” ตรีทศบอก
“ลองถามดูก็แล้วกัน ...” เดนนิสหันมาทางเจนจิรา “จะกลับพร้อมกันไหม เจนจิรา”
“เจน...เจน...ยังไม่สะดวกค่ะ”
“ตามใจ สะดวกเมื่อไหร่ก็บอกได้ทุกเวลา”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไปล่ะ”
เดนนิสมองตรีทศเขม็งแล้วเดินไปขึ้นรถ ที่แวดล้อมไปด้วยสมุน เจนจิราถึงกับเซไปทรุดตัวลงด้วยความกลัวสุดๆ
“ด้วยความเคารพ ห้าวสุดๆ เลยนะ คุณทศ” สมหันมาทางตรีทศ
รถเดนนิสแล่นออกจากไร่สุขศรีตรัง เดนนิสเอนหลังพิงพนักสีหน้าแววตาที่ดูยิ้มๆ เมื่อสักครู่ขรึมลง
“เห็นแล้วใช่ไหม ซ้ง”
“ครับ ชัดแจ๋ว”
“ไอ้หมอนั่นอีกคน ฉันไม่ชอบหน้ามัน”
“ไอ้คนไหนที่เสี่ยเหม็นหน้า ผมจะจัดการให้หมดครับ”
ส่วนที่บ้านศรีตรังทุกคนยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม
“มันกล้าเหยียบเข้ามามาถึงที่นี่”
ตรีทศบอก อ้อยค่อยๆ ย่องออกมา
“ไปกันแล้วหรือคะ”
“แม่อ้อยนี่แหละตัวดี ไปตามเจนมาพบพวกมัน”
“อ้าว!พูดดีๆ ซิพี่เจน เขามากันเป็นโขยง แถมโหดๆ ทั้งนั้น อ้อยผู้หญิงตัวคนเดียวจะให้เอาอะไรไปสู้”
“บอกว่าฉันไม่อยู่ก็ได้”
“อ้อยโกหกไม่เนียน”
“มิน่า ผีมันถึงตามมาหลอกมาหลอนทุกคืน”
“เอ๊ะ”
“ด้วยความเคารพ กรุณาหยุดทั้งสองคนเลยครับ”
เจนจิราร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ อ้อยมองแล้วเบ้ปาก ขณะที่สมกับตรีทศสบตากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ในที่สุดเจนจิราก็เดินแกมวิ่งขึ้นข้างบน
“เจ้าน้ำตาชะมัด” อ้อยต่อว่า
“เรามันก็เหลือเกิน”
“ผมกำลังกังวลว่า ไร่ของเราคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ”
“รวมทั้งทุกคนในไร่ด้วย”
ตรีทศโทรบอกศรีตรัง ศรีตรังถึงกับหน้าเครียด
“ค่ะ...ศรีจะรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วถอนใจเฮือก เตชิตจึงถามขึ้นมา
“มีอะไร”
“ไอ้เดนนิสมันบุกไปที่ไร่”
เตชิตและจุรีตกใจ
เตชิตเดินออกมาส่งศรีตรังและจุรีที่รถ
“เฮ้ย ระวังตัวดีๆ ล่ะ”
“เออ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่มันก็น่าเป็นห่วงนะคะ”
“ฉันจะปรึกษากับผู้กำกับว่าจะเอายังไงดี แต่ที่แน่ๆ เจนจิราอยู่ที่ไร่แกไม่ได้แล้ว”
“ถึงเอาไปไว้ที่อื่น ไอ้เดนนิสมันก็ต้องแก้แค้นฉันจนได้ ไปละ”
ศรีตรังกับจุรีขึ้นรถ จากนั้นศรีตรังก็ขับรถออกไป เตชิตจึงโทรบอกเรื่องนี้กับเสนา
“เอางี้ เดี๋ยวจะให้เขาประสานไปทางตำรวจท้องที่ให้ช่วยดูแลไปก่อนแล้วค่อยคิดกันว่าจะเอายังไงต่อไป”
เสนาวางสายตากเตชิตแล้วโทรหาพอล
“ เห็นท่าจะต้องย้ายที่อยู่แล้วละครับ ไม่อย่างนั้นศรีตรังกับทุกคนจะลำบากไปด้วย ครับ...ครับ”
พอลวางโทรศัพท์ลง สีหน้ากังวลสุดๆ
เมื่อศรีตรังกลับถึงบ้าน ศรีตรังและทุกคนจึงนั่งประชุมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่อยู่แค่วันเดียว ก็เกิดเรื่องใหญ่เลย”
“อย่ามาโทษฉันนะยะ ฉันไม่เกี่ยว” เจนจิรารีบออกตัว
“อ้อยก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้เป็นคนพามา”
“ฉันมันผิดอยู่แล้วที่สะเออะให้ที่อยู่คนที่เป็นเป้าหมายของมาเฟียอย่างเจนจิราแล้วก็รับเลี้ยงคนที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างอ้อยใจ”
อ้อยและเจนจิราเม้มปาก
“นังอ้อย แทนที่แกจะเป็นหูเป็นตาให้เจ้านาย...”
“อ้อยเนี่ยนะจะเป็นเป็นตา แค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร นังอ้อยมันผิดทุกที ไปดีกว่า”
อ้อยลุกเดินไปด้วยท่าทางไม่แยแส
“นังอ้อย นั่นแกจะไปไหน” อ้อยไม่พูดไม่จา เดินดุ่มๆ ไป “ดูซิ...นังคนนี้...นังอ้อย ขอให้โดนผีหลอกซะให้เข็ด”
จุรีขยับจะตาม
“ช่างเขาเถอะคะ ถ้าคนเขาไม่ได้ให้ใจเราก็ไม่มีประโยชน์”
“จริงครับ เรามาปรึกษากันดีกว่าว่าจะป้องกัน” ตรีทศบอก
“จะทำอะไรก็รีบทำ ชีวิตเจนกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“ด้วยความเคารพ ดูเหมือนคุณเจนจิราจะไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยนะครับ”
“ไม่ต้องมาแดกดันฉันเฉย...ตาแก่”
เจนจิราพูดพลางเดินออกไป
“ใครที่พามา คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ”
ศรีตรังนึกถึงพอล จากนั้นเธอก็โทรหาพอลทันที
“ผมกำลังจะไปบ้านคุณ ค่ำๆ คงจะถึง คิดว่าจะขออาศัยค้างสักคืนนึง” พอลบอก
“ไม่ได้ ที่นี่ไม่มีที่ให้นอน”
“ผมนอนหน้าบ้านคุณก็ได้ แค่นี้ละ”
พอลเก็บโทรศัพท์
“เฮ้ย นอนกลางดินกินกลางทรายนะ คนบ้า”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินมานั่ง ระหว่างนั้นศรีตรังก็นึกถึงพอลตอนที่ประคับประคองปรายดาง
“ไอ้พอลมันเป็นคู่หมั้นเสียงหวานว่ะ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม ดินทลาย”
เสียงเตชิตดังขึ้นในความคิด ศรีตรังหลับตาลง ....น้ำตาปริ่ม
ค่ำวันนั้นขณะที่เจนจิรากำลังยืนแปรงผมอยู่ที่หน้าต่าง ก็มีแสงไฟจากรถคันหนึ่งแล่นเข้ามา เจนจิรารีบผงะถอยมาจากหน้าต่างทันที
“เสี่ย”
เจนจิรารีบใส่เสื้อคลุม แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ศรีตรังเปิดประตูห้องออก ขณะที่เจนจิราหน้าตาตื่นออกจากห้องเช่นเดียวกัน
“เสี่ย...เสี่ยมาแล้ว” ทันใดไฟก็ดับพรึ่บลง “ว้าย”
“จะร้องให้มันแห่กันเข้ามาเรอะ”
ศรีตรังบอกอย่างหงุดหงิดแล้วรีบเดินไปหยิบปืนยาวแล้วเดินออกไปทันที
“ฉัน...ฉันไม่ลงไปนะ”
“ตามใจ”
ศรีตรังเดินลงบันไดไป เจนจิรารีบปิดประตูทันที
ศรีตรังค่อยๆ เดินลงมา สองมือถือปืนกระชับ ศรีตรังค่อยๆ ย่องอย่างระวังตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาถึงประตู ตาศรีตรังจ้องเขม็งไปที่ประตูจึงเห็นเงาๆ หนึ่งวูบไหวอยู่ใกล้ประตู ศรีตรังตัดสินใจยิงทันที
“โอ๊ย”
ศรีตรังชะงัก รีบเดินออกไป ไฟสำรองสว่างขึ้นแล้วศรีตรังก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นพอลนอนแน่นิ่ง ศรีตรังรีบวางปืนตรงเข้าไปทรุดตัวลงดูพอล
“พอล”
“อูย”
“เป็นยังไงบ้าง อดทนไว้นะฉันจะพาไปส่งโรงพยาบาล”
ศรีตรังค่อยๆ ช้อนส่วนหัวขึ้น พอลโอบไหล่ศรีตรังไว้ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาจอด ตรีทศและสมรีบลงมา
“ช่วยกันหน่อยค่ะ ศรีนึกว่าเป็นคนร้ายก็เลยส่องเปรี้ยง”
ตรีทศกับสมจะเข้ามาช่วย แต่พอลปล่อยไหล่ศรีตรังขยับตัวยืนตรง
“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ...ผมหลบทัน เลยไม่โดนกระสุน”
ศรีตรังโกรธจัดตบพอลเปรี้ยง
“นี่แน่ะ บังอาจหลอกฉัน มันน่ายิงให้ตายนัก”
ศรีตรังเดินไปหยิบปืนแล้วเดินขึ้นข้างบน ทั้งสามคนมองตาม แล้วตรีทศกับสมก็เบือนหน้ามามองพอล พอลเสลูบผมตัวเอง
ศรีตรังเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงิด
“ฉันได้ยินเสียงปืน มันตายแล้วใช่มั้ย” เจนจิราตามเข้ามาถาม
“ยังทั้งๆ ที่น่าจะตายไปให้พ้นๆ”
“โธ่เอ๊ย แล้วทำไมไม่ยิงให้มันตาย”
“เพราะมันไม่ใช่เสี่ย แต่มันคือลูกน้องเสี่ยที่ชื่อพอล”
เจนจิราเบิกตากว้าง
“พอล”
เจนจิรารีบเดินออกไปทันที หน้าบานราวกับคนละคน ศรีตรังเดินตามไปกระชากประตูปิดอย่างหงุดหงิด
เจนจิราถลาลงบันไดมา
“พอล”
ขณะนั้นพอล ตรีทศและสมกำลังคุยกันอยู่ ทุกคนหันมามองเจนจิรา เจนจิราถลาเข้ามากอดคอพอลไว้แน่น
“พอล..เจนไม่ไหวแล้วพวกเสี่ยจะมาฆ่าเจน วันนี้เขาพาลูกน้องมาถึงที่นี่...โอ๊ย เจนกลัวเหลือเกินค่ะ พอลพาเจนไปจากที่นี่เถอะนะคะแล้วพาเจนไปอยู่ที่อื่น เจนมีเงินเยอะแยะ”
พอลตั้งสติได้ จับต้นแขนเจนจิราดึงออกอย่างสุภาพ
“เจน...คุณกลับขึ้นไปได้แล้ว”
“แต่เจน”
“กลับขึ้นไปก่อน มีอะไรค่อยคุยกันตอนเช้า”
“ก็ได้คะ กู๊ดไนท์ นะคะ”
“ด้วยความเคารพ กู๊ดไนท์ครับ”
“ฉันกู๊ดไนท์กับพอลย่ะ คนแก่ด้วย...จนด้วย ฉันไม่กู๊ดไนท์ให้โง่หรอก”
เจนจิราสะบัดหน้าเดินกลับขึ้นข้างบน
“ด้วยความเคารพ สมน้ำหน้าตัวเอง”
“คุณมาทำอะไรที่นี่...” ตรีทศมองพอลอย่างไม่ไว้ใจ
“ผมมีธุระกับศรีตรัง”
“แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้ต้องการจะพบคุณ”
“ผมจำเป็นจะต้องพบเธอ”
“ด้วยความเคารพ โดนเข้าไปเปรี้ยงนึงยังเจ็บไม่พอหรือครับ”
“อีก 2- 3 เปรี้ยงก็ได้ เพราะธุระของผมสำคัญมาก”
“ธุระที่รับคำสั่งไอ้เดนนิสมาฆ่าแม่ดาราใหญ่น่ะเรอะ”
พอลถอนใจเฮือก ท่าทางเริ่มรำคาญ
เจนจิรากลับขึ้นมาหาศรีตรังที่ห้อง
“ศรีตรัง ศรีตรัง”
เจนจิราเคาะประตูเรียกศรีตรัง
“ฉันจะนอนแล้ว”
“ไม่เชื่อ..น่า... เปิดประตูหน่อยน่า”
ครู่หนึ่งประตูเปิดออก ศรีตรังเดินหน้าตาหงุดหงิดออกมา
“มีอะไรก็ว่ามา”
“พอลมา”
“รู้แล้ว”
เจนจิราเดินเข้ามานั่งบนเตียงศรีตรังด้วยท่าทางฝันๆ
“เธอว่าเขาชอบฉันหรือเปล่า” ศรีตรังปิดปากหาวนอน “ฉันว่าเขาคงแอบชอบฉันนานแล้วละ พอเห็นฉันเลิกกับเสี่ย เขาก็เลยกล้าแสดงตัวออกมา เธอว่ามั้ย”
“เธอเลิกกับเสี่ย หรือว่าเสี่ยเลิกกับเธอ”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ที่เขารีบมาคืนนี้ ก็เพราะอยากจะช่วยฉัน ...คงกำลังพยายามหาที่ปลอดภัยอยู่”
“ไม่ใช่เสี่ยส่งเขามาฆ่าเธอนะ”
“ฮื้อ เธอน่ะชอบคิดลบ”
“ถ้าคิดบวกเยอะๆ ป่านนี้อาจจะต้องระเหเร่ร่อนแบบเธอก็ได้”
เจนจิราลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ให้ตายเถอะ เธอนี่น่าเบื่อชะมัดยาด มิน่าถึงไม่มีใครมาจีบซักที ไปนอนฝันถึงพอลดีกว่า”
“แล้วเตชิตล่ะ”
“เออ...จริงซิ แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำยังไงดี”
“เอาไว้พรุ่งนี้ ไปปรึกษากับอ้อยก็แล้วกัน ฉันง่วงแล้ว”
“ก็ได้”
เจนจิราเดินออกไปอย่างมีความสุข
กลางดึกคืนนั้นขณะที่เตชิตกำลังหลับสนิท จู่ๆ ก็มีลมพัดวูบเข้ามาในห้อง ความแรงของลมทำให้ของเบาๆ ที่อยู่ในห้องปลิวตก ลมมาประทะหน้าเตชิตอย่างแรงจนเตชิตต้องลืมตาขึ้น เตชิตเห็นหน้าต่างเปิดอยู่จึงลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่าง ระหว่างนั้นมีเสียงหมาหอนกันเกรียว เตชิตสะดุ้งเฮือก เลิ่กลั่ก แล้วหันหลังกลับจะไปนอน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
เตชิตค่อยๆ เบือนหน้าออกไปมองที่มาของเสียงแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัวเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน
“กะ...กะ...เกษ...เกษริน”
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
เตชิตรีบหันหลังกลับ แล้วสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นเสียงหวานนั่งอยู่ที่ปลายเตียง
“ช่วยเพื่อนฉันด้วยเถอะค่ะ”
เตชิตสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
“เสียงหวาน”
เตชิตพึมพำออกมา ภายในห้องว่างเปล่า เตชิตทอดถอนใจยาว
เตชิตโทรหาศรีตรังแล้วเล่าเรื่องความฝันให้ศรีตรังฟัง
“ฮ้า น้องเขียวเขาไปหาแกถึงโน่นเชียวเรอะ เก่งว่ะ”
“ฉันซีเรียสนะเว้ย ไอ้ศรีตรังเขาคงทุกข์ทรมานจริงๆ ถึงได้ลงทุนเดินทางมาถึงบ้านฉัน มิหนำซ้ำเสียงก็มา”
“อันนี่ฝันเว่อร์ ฝันมั่ว คุณหนูเผือกเสียงหวานแกเข้าร่างไปแล้ว จะมาหาแกได้ไง”
“อาจจะออกมา เวลาเจ้าตัวนอนหลับก็ได้ ... สำหรับฉันเสียงหวานกับปรายดาวเป็นคนละคนกัน”
“เอาเข้าไป”
“ศรี ฉันว่าคดีเกษรินนี่ต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนอยู่ ไม่อย่างนั้นดวงวิญญาณคงไม่วนไปเวียนมาขอให้ฉันช่วยหรอก แถมเดี๋ยวนี้ก็ปรากฏให้คนโน้นเห็นคนนี้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เรอะ เกษรินต้องการความยุติธรรม”
“ศักดิ์ก็ถูกจับไปแล้ว คดีปิดไปแล้ว”
“ฉันอยากเปิดใหม่ งานนี้ต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกฉัมมั่นใจ”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจ
หลังจากวางหูจากศรีตรัง เตชิตจึงมาหาเสนาที่ห้องทำงานพื่อขอรื้อคดีเกษรินขึ้นมาสืบใหม่
“ผมมั่นใจครับ”
เตชิตบอกกับเสนา
“นายบอกมาประมาณ 10 ครั้งได้แล้ว”
“นั่นเป็นเพราะผมมีความมั่นใจมากครับ”
“ครั้งที่สิบเอ็ด”
“ผมคิดว่าเกษรินยังไม่ได้รับความยุติธรรม”
เสนาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอกครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมา
เตชิตดีใจมากที่เสนายอมให้รื้อคดีเกษรินขึ้นมาจึงรีบโทรบอกศรีตรัง
“โอเค แกพร้อมเมื่อไหร่ก็มาได้เลย”
หลังจากคุยกับเตชิตเสร็จแล้วศรีตรังจึงเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารซึ่งเจนจิราที่นั่งหน้างอรออยู่
“คุณหนูจะรับประทานอะไรดีคะ” จุรีถาม
“ขอน้ำแตงโมแก้วเดียวค่ะ วันนี้ศรีไม่ค่อยหิว”
จุรีเดินกลับเข้าไปในครัว
“เธอเอาพอลไปไว้ที่ไหน” เจนจิราถามศรีตรัง
“จะไปรู้เรอะ”
“เธอต้องรู้ เพราะเธอเป็นเจ้าของที่นี่”
“นี่ จะบอกให้เอาบุญ ฉันน่ะไม่สนลูกสมุนอดีตสามีเธอหรอก ถ้าหากคิดว่าฉันเอาไปซ่อนละก็ เชิญค้นดูให้ทั่วเลย ถ้าพบก็เชิญพากันไปได้เลย ถ้าไม่พบก็แสดงว่าเขาหนีเธอไปแล้ว”
จุรีเดินกลับเข้ามาพร้อมน้ำแตงโม
“นี่คะ น้ำแตงโมหวานเจี๊ยบ”
“ขอบคุณคะ ...เออ อีก 2-3 วันไอ้เตมันจะมาพักที่นี่ ป้าช่วยบอกลุงสมให้ช่วยอนุเคราะห์ที่พักให้มันด้วยก็แล้วกัน”
ขณะที่ศรีตรังพูดอ้อยเดินเข้ามาพอดี ทั้งอ้อยและเจนจิราต่างมีสีหน้าตื่นเต้นทั้งคู่
“มาพักผ่อนหรือคะ” จุรีถาม
“เปล่าค่ะ เห็นว่าจะมารื้อคดีเกษรินใหม่”
อ้อยตกใจมือปัดแจกันใกล้มือตกแตก หน้าตาซีดเผือด
“ดู๊ นังอ้อย”
“ผู้กองเตชิตมา แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี”
พูดจบอ้อยรีบเดินออกไป
อ่านต่อตอนที่ 14