รักประกาศิตตอนที่ 3
ภูชิชย์ขับรถมาจอดแล้วมองไปรอบๆ บริเวณก็ไม่เห็นคนงานมาทำงานสักคนเดียว
“แปลก ทำไมคนงานพร้อมใจกันแกล้งยัยนั่น”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ภูชิชย์เห็นหน้าจอเป็นชื่อน้องสาวก็ยิ้มก่อนกดรับสาย
สุพัฒนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องพักที่โรงพยาบาล
“เป็นยังไงคะพี่ภู เห็นบัวเกี๋ยงมันบอกว่าผู้จัดการคนใหม่ของพี่ภูกับพี่วัสทำยุ่งไปหมดทั้งไร่”
“ก็อาจจะเป็นการลองของของคนงาน” ภูชิชย์บอก
“นี่ก็แสดงว่าคนงานไม่รับมัน พี่ภูไล่มันไปสิคะ ไล่มันออกไปเลย”
“คุณเล็ก พี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก นริศราเขายังไม่ได้ทำความผิด แล้วถ้าจะมีคนผิดมันก็เป็นคนงานของเรามากกว่าที่ไปแกล้งเขา ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องไล่คนงานออกหมดสิ”
“โอ๊ย....พอเถอะ คุณเล็กไม่อยากฟัง ตกลงพี่ภูจะเข้าข้างมันใช่ไหม”
“คุณเล็ก ไม่ใช่อย่างนั้น”
สุพัฒนาตวาดเสียงดัง “ไม่ฟัง คุณเล็กไม่ฟัง ถ้าพี่ภูไม่ไล่มันก็ไม่ต้องมาคุยกับคุณเล็ก”
“คุณเล็ก....คุณเล็ก”
เสียงสัญญาณว่าโทรศัพท์วางสายดังขึ้น ภูชิชย์กดต่อสายใหม่ก็ได้ยินเป็นเสียงปิดเครื่องจึงกดวางสาย ภูชิชย์มีสีหน้าเครียดทันที
ส่วนสุพัฒนาก็ฉุนเฉียว
“นังนริศรา ฉันจะต้องไล่แกให้ได้ กรี๊ด”
นริศรายืนมองแปลงดอกไม้ด้วยความเศร้าใจ โดยมีนิพนธ์ยืนอยู่ข้างๆ เธอ
“นิดคงเหมือนแปลงดอกไม้พวกนี้ อีกไม่กี่วันก็คงตาย” นริศราเปรย
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ถ้าคุณนิดเหมือนดอกไม้พวกนี้ ก็ต้องคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะมีการปรับปรุงจนเป็นดอกไม้ที่สวยทั้งแปลง”
นริศราถอนใจ “นิดจะอยู่รอดจนถึงตอนพวกมันสวยเหรอคะ”
“คุณนิดครับ อย่าเพิ่งท้อนะครับ” นิพนธ์ให้กำลังใจ
“นิดควรจะทำยังไงคะคุณนิพนธ์ นิดไม่ได้สมัครมาทำตำแหน่งนี้ แต่พ่อเลี้ยงก็มาบังคับให้นิดทำ จะสอนงานสักนิดก็ไม่มี คุณนิพนธ์จะสอนนิดก็คอยขวาง นิดคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“คุณนิด ผมว่าคิดดูดีๆก่อนนะครับ มันต้องมีทางออก”
“ฮึ...ค่ะ ออกจากไร่ไปเลยใช่ไหมคะ” นริศราพูดอย่างสิ้นหวัง
“โธ่...คุณนิดครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมจะสอนงานคุณนิดเอง” นิพนธ์บอก
“พ่อเลี้ยงเขาไม่ยอมคุณนิพนธ์ก็รู้”
“ถ้าผมสอนในเวลางาน พ่อเลี้ยงคงไม่ยอม แต่ถ้าเลิกงานพ่อเลี้ยงก็ว่าเราสองคนไม่ได้จริงไหมครับ”
“จริงเหรอคะ” นริศรายิ้ม
“ครับ...ถ้าผู้เรียนไม่ท้อไปก่อน ผู้สอนก็ไม่ถอยครับ”
นริศรายิ้มดีใจ นิพนธ์เองก็ดีใจที่เห็นนริศรายิ้มได้
- แม่อุ้ยกับพรนั่งเศร้าหลังจากฟังเรื่องจากลุงปั๋น
“ลุงปั๋นอ่ะ ทำไมไปทำอย่างนี้กับคุณนิด”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำไงวะพร ข้าก็อยากทำงานที่นี่นะเว้ย” ลุงปั๋นบอก
“สงสารคุณนิดนะ พ่อเลี้ยงคงโกรธเธอน่าดู” แม่อุ้ยเปรย
ทันใดนั้น บัวเกี๋ยงก็เดินยิ้มร่าเข้ามา
“โกรธอาไร ไม่ได้แค่โกรธนะ ข่าวว่างานนี้นังนิดอาจจะต้องโดนไล่ออกไปด้วย”
“พี่บัวเกี๋ยง สาแก่ใจพี่แล้วละสิ” พรว่า
“ใช่...นังพรแกไปรอเก็บของให้มันได้เลย”
พรโกรธบัวเกี๋ยงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยู่ๆ นริศราก็เดินเข้ามา
“ทำไมพรต้องเก็บของให้ฉันล่ะบัวเกี๋ยง” นริศราถาม
“ก็ได้ข่าวว่าคุณโดนเฉดหัวไล่ออกไปจากที่นี่” บัวเกี๋ยงบอก
“เสียใจนะ พ่อเลี้ยงยังไม่ได้ไล่ฉัน ฉันจะยังอยู่เป็นหัวหน้าเธอ อยู่เหนือเธอ”
“อะไรกัน ก็ๆคุณทำงานผิดตั้งเยอะ เป็นไปได้ไง” บัวเกี๋ยงงง
“เป็นไปแล้ว และที่จะเป็นต่อไปก็คือฉันจะตั้งใจทำงานให้ได้ บางทีมันอาจจะทำให้คนที่คิดไม่ดีกับฉันต้องร้อนรุ่มดิ้นพล่านๆก็ได้”
“อู๊ย....คุณนิดพูดถูกใจมากค่า” แม่อุ้ยชอบใจ
“พรขอให้คุณนิดเป็นฝ่ายชนะนะคะ สวยก็สวยกว่า นิสัยก็ดีกว่า อีพวกไม่สวยแล้วนิสัยเสียดูเอาไว้”
พรพูดจบก็ปรายตามองบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงเดินสะบัดตัวกระแทกเท้าออกไปด้วยความไม่พอใจ
ลุงปั๋นยกมือไหว้นริศราอย่างสำนึกผิด “คุณนิดครับ ผมขอโทษ ผมมันเลว”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ นิดเข้าใจ นิดต่างหากที่เป็นหัวหน้าที่ไม่ดี ลุงปั๋นไม่ต้องขอโทษนิดหรอก ต่อไปนิดจะปรับปรุงตัวเพื่อจะเป็นผู้นำที่ให้การดูแลลูกน้องได้”
นริศรายิ้มให้กับทั้งสามคน
นิพนธ์หอบแฟ้มงานกองโตมาวางลงตรงหน้านริศรา นริศราเงยหน้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“เริ่มกันเลยนะครับ” นิพนธ์บอก
นิพนธ์เปิดจอคอมพิวเตอร์แล้วเปิดแฟ้มงานไปด้วย พร้อมกับอธิบายควบคู่กันไป
เวลาผ่านไป นิพนธ์เริ่มง่วง นริศราเดินไปชงกาแฟมาให้แล้วมานั่งเรียนรู้ต่อ
นริศราเริ่มพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์แล้วเปิดแฟ้มดู นิพนธ์พยักหน้าชื่นชมเมื่อเห็นนริศราเริ่มทำงานเป็น
ดึกสงัดแล้ว แต่ภูชิชย์ยังนอนไม่หลับเลยเดินออกมารับลมที่ระเบียง เขามองไปทางสำนักงานแล้วเห็นไฟเปิดอยู่จึงรีบเดินไปดู
“ใครเปิดไฟทิ้งไว้”
นาฬิกาตั้งโต๊ะที่สำนักงานบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ นริศรายังคงนั่งตาแป๋วดูรายงานจากคอมพิวเตอร์แล้วก็จดอย่างละเอียด
“เอ...แล้วพวกจำนวนกาแฟในห้องบ่มนี่เราจะใส่ไฟล์ไหนคะ”
นริศราถามแต่นิพนธ์เงียบ เธอจึงหันไปดูก็เจอว่านิพนธ์ฟุบหลับไปแล้ว นริศราจึงเดินไปปลุก
“คุณนิพนธ์ คุณนิพนธ์คะ....ง่วงก็ไปนอนเถอะค่ะ”
นิพนธ์งัวเงียตื่นขึ้น “คุณนิด ดูถึงไหนแล้วครับ”
“ก็เหลืออีกพอควร แต่นิดคิดว่าเรียนเองได้ค่ะ คุณนิพนธ์ไปนอนเถอะค่ะ”
นิพนธ์มองนาฬิกา “คุณนิดก็น่าจะนอนนะครับ พรุ่งนี้จะได้มีแรงไว้ลุยต่อ”
“นิดขอนั่งอ่านข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยแล้วจะไปนอนค่ะ”
นิพนธ์ยิ้มแล้วเดินหาวออกจากห้องไป นริศราเดินกลับไปนั่งทำงานต่อ
ภูชิชย์มายืนแอบดูอยู่นอกอาคาร เขาเห็นนริศรานั่งทำงานอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
“จะจับน้องชายฉันต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ”
นริศรายังคงนั่งทำงานอยู่ในห้อง ภูชิชย์ยืนแอบดูอยู่ด้านนอกสักพักแล้วเดินกลับไปนอน
นาฬิกาที่สำนักงานแสดงเวลาตีห้า บริเวณด้านนอกมีไก่กระโดดขึ้นมาโก่งคอขัน นริศราหาวเพราะง่วงมากแล้วก็รีบตบหน้าตัวเองให้ตื่น จากนั้นเธอก็รีบเก็บข้าวของ ภูชิชย์กับนิพนธ์เดินเข้าสำนักงานมา พอเห็นนริศรายังอยู่ในชุดเดิมก็แปลกใจ
“อย่าบอกนะครับว่าคุณนิดยังไม่ได้นอน” นิพนธ์พูด
“แต่ก็คุ้มนะคะ นิดก็ได้รู้งานขึ้นเยอะมาก” นริศราบอก
“การทุ่มเทจนไม่รู้จักเวลาล่ำเวลาแบบนี้น่าจะเรียกว่าดันทุรังนะ” ภูชิชย์เปรยขึ้น
“ตกลงฉันทำอะไรก็ผิดใช่ไหม”
ภูชิชย์กับนริศราจ้องหน้ากันนิ่งไปครู่ใหญ่จนนิพนธ์ต้องรีบแทรก
“ผมว่าคุณนิดกลับไปนอนพักสักชั่วโมงไหมครับ”
“ไม่หรอกค่ะ นิดไม่อยากให้ใครมาว่าอะไรได้อีก” นริศราบอก
“แต่คุณนิดยังไม่ได้นอนเลยแล้วจะไหวเหรอครับ”
“ไหวค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง”
“งั้นก็สู้ๆนะครับ” นิพนธ์ให้กำลังใจ
นริศรากับนิพนธ์ยิ้มให้กัน ภูชิชย์มองเขม่นอย่างหมั่นไส้
“จะยิ้มกันอีกนานไหม ฉันจะทำงาน”
นริศราหันมาค้อนใส่ภูชิชย์แล้วรีบเดินออกไป นิพนธ์มองไปทางภูชิชย์ก็เห็นภูชิชย์กำลังเปิดแฟ้มดูงานและทำเป็นไม่สนใจอยู่
นริศราเดินมาดูคนงานเก็บผลกาแฟที่ไร่กาแฟ เธอหยิบผลกาแฟขึ้นมาดู
นริศราพึมพำกับตัวเอง “ผลสีแดงก่ำดุจโกเมนเป็นอย่างนี้เอง”
“คุณนิดพูดอะหยังเจ้า” คนงานหญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
“เปล่าจ้ะ รีบทำงานเถอะ”
นริศราพูดแล้วก็เดินไปที่คนงานคนหนึ่งที่กำลังตั้งท่าจะรูดผลกาแฟออกทั้งหมด
“นี่ อย่าทำแบบนี้สิ” นริศราเตือน
“ฉันก็ทำแบบนี้ประจำ” คนงานหญิงสวน
“ได้ถ้าเธอทำแบบนี้ประจำ งั้นต่อไปนี้ฉันจะหักเงินเธอประจำเอาไหม”
นริศราวางหน้าเข้ม คนงานเริ่มกลัวเลยค่อยๆ ดึงทีละผล นริศราเรียกฝ้ายหัวหน้าคนงานมาหา
“คุมคนงานยังไงทำไมถึงมีคนรูดผลกาแฟ” นริศราถาม
“ก็คนงานตั้งเยอะใครจะไปดูได้หมดล่ะคะ” ฝ้ายตอบ
“ถ้าดูไม่หมด ก็ไม่ต้องดู ฉันจะจ้างคนอื่นมาทำงานแทน”
ฝ้ายหน้าเสีย “ผู้จัดการอย่าไล่หนูออกนะคะ หนูมีลูกเล็กๆอยู่ ต่อไปหนูจะคุมให้ดี”
นริศรามองหน้าฝ้ายอย่างจริงจัง “ถ้าฉันเห็นแบบนี้อีกเธอจะโดนตัดเงินด้วย”
เวลาผ่านไป นริศราควบคุมบริเวณเครื่องสีเปียกอย่างใกล้ชิด คนงานจับกลุ่มคุยกัน พอนริศรามองไปคนงานก็หลบตา ถัดไปเป็นที่บ่อล้างเมือกเมล็ดกาแฟ นริศราลงมือทำงานกับคนงาน สุดท้ายนริศราไปดูงานที่ลานตากเมล็ดกาแฟ
นริศรากำลังตรวจความเรียบร้อยที่ลานตากกาแฟ ทันใดนั้น หนานและคนงานผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็เดินมาหานริศรา
“ผู้จัดการครับ” หนานเรียก
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” นริศราถาม
“หลังเลิกงานพวกเราขออนุญาตออกไปข้างนอกไร่ได้ไหมครับ” หนานขอ
นริศรายิ้ม “ได้สิ แต่ต้องเลิกงานจริงๆนะ ห้ามหนีออกก่อนเวลา”
“แน่นอนครับผู้จัดการ”
กลุ่มคนงานดีใจรีบวิ่งกกลับไปทำงานทันที นริศรามองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
สปริงเกิ้ลพ่นน้ำรดต้นองุ่นในไร่ นริศราขับรถมาจอด จากนั้นก็ล๊อครถ
“ขอโทษนะคะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
นริศราไปมองเห็นเจ้าทิพย์ดารายืนอยู่เบื้องหน้า นริศราส่งยิ้มให้ทันทีที่เห็นหน้าทำให้เจ้าทิพย์ดารารู้สึกชอบนริศรา
เจ้าทิพย์ดาราแปลกใจ “คุณ...”
“ดิฉันนริศราค่ะ หรือจะเรียกว่านิดก็ได้”
“เจ้าทิพย์ดาราค่ะ แต่เรียกน้อยดีกว่า ไม่ทราบว่าคุณนิดมาใหม่เหรอคะ ไม่เคยเห็นหน้า”
“ค่ะ ดิฉันเป็นผู้จัดการไร่คนใหม่”
“คุณนิดนี่เอง ที่ภูเล่าให้ฟัง ไม่คิดว่าตัวจริงจะสวยขนาดนี้”
“พ่อเลี้ยงเขาเล่าว่านิดน่าเกลียดมากเลยเหรอคะ”
“เอ่อ...ก็ไม่บอกอะไรมากหรอกค่ะ แค่บอกว่ามีผู้จัดการมาใหม่เป็นผู้หญิง คุณนิดเก่งมากเลยนะคะ เป็นน้อยคงไม่กล้ามาทำงานของผู้ชายขนาดนี้”
“ใครบอกล่ะคะ นิดน่ะนอกจากไม่กล้าแล้วยังกลัวอีกค่ะ แต่มันกลัวจนพูดไม่ออก”
สองสาวหัวเราะด้วยกัน
“คุณนิดนี่ มีอารมณ์ขันดีจังเลยนะคะ วันหลังน้อยต้องมาคุยด้วยบ่อยๆแล้ว”
“ยินดีค่ะ”
สองสาวยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารายืนมองนริศราที่กำลังทำงานอยู่กับคนงานไกลออกไป
“คุณนิด เธอออกจะสวยน่ารัก จนน้อยไม่อยากจะเชื่อว่าเธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดี” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“คนหน้าตาดีอาจจะไม่ได้เป็นคนดีเสมอไปนะครับเจ้า” ภูชิชย์พูด
“ภูคะ ระแวงมากเกินไปหรือเปล่า บางทีคุณนิดเธออาจจะเป็นคนที่มาสมัครงานกับคุณวัส แล้วคุณวัสก็ส่งมาทำงานโดยไม่มีอะไรก็ได้นะคะ”
“แล้วทำไมนายวัสกับยัยนั่นต้องพยายามปกปิดประวัติของของเขาด้วยละครับ”
เจ้าทิพย์ดาราเงียบเพราะตอบไม่ได้
“เห็นไหมครับ เจ้าตอบไม่ได้ เพราะเจ้าก็คิดเหมือนผมว่าผู้หญิงคนนี้ไม่น่าไว้ใจ”
“ตามใจภูก็แล้วกัน แต่สำหรับน้อยๆชอบเธอ น้อยอยากเป็นเพื่อนกับเธอค่ะ”
“นี่เจ้าพูดจริงพูดเล่นครับ” ภูชิชย์แปลกใจ
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยก็ลูกผู้หญิงพูดจริงทำจริงคนหนึ่งนะคะ”
ภูชิชย์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆแต่เจ้าทิพย์ดารายิ้มให้
“ยัยนั่นเป็นแม่มดหรือเปล่าถึงได้ทำเสน่ห์เจ้าของผม” ภูชิชย์บ่น
นริศราที่กำลังทำงานอยู่จามติดต่อกันหลายครั้งจนสมุดจดงานตก
“ฮา...ฮา...ฮัดเช้ย!!! ใครนินทานเราหรือเปล่าเนี่ย”
นริศราก้มเก็บสมุดแล้วเดินต่อไปจนถึงบริเวณที่คนงานหญิง 2 คนกำลังพรวนดินเก็บวัชพืชอยู่ แล้วเธอก็ได้ยินคนงานหญิงทั้งสองกำลังเมาท์กัน
“เจ้าน้อยนี่ยิ่งนานวันยิ่งสวยเน๊อะ ใจดีด้วย”
“ไม่สวยไม่ดีพ่อเลี้ยงจะรักมากเหรอ”
นริศราที่ยืนแอบฟังอยู่ถึงกับขนลุก
“ต๊าย...เจ้าน้อยเป็นแฟนอีตาพ่อเลี้ยงใจร้ายเหรอเนี่ย บุญของตานั่นหรือกรรมของเจ้าน้อยก็ไม่รู้”
นริศราจะเดินไปแต่พอได้ยินเสียงเมาท์อีกก็เขยิบถอยหลังมาแอบฟังอีก
“เสียดาย คุณเล็กน่าจะยอมให้พ่อเลี้ยงแต่งงานกับเจ้าน้อย” คนงานหญิงคนหนึ่งพูด
“พ่อเลี้ยงแกก็ดีนะ เห็นแก่น้องจนทิ้งความสุขของตัวเอง” คนงานอีกคนบอก
นริศราที่ยืนแอบฟังอยู่ทำท่าทางครุ่นคิด
“รักน้องมากขนาดยอมทำร้ายหัวใจตัวเอง...ตกลงนายนี่เป็นคนยังไงกันแน่”
ภูชิชย์ยืนส่งเจ้าทิพย์ดาราขึ้นรถด้วยสีหน้าเครียด
“จะดีเหรอครับ วันก่อนที่ประชุมที่หอการค้าจังหวัด เจ้าพ่อท่านยังไม่ยอมมองหน้าผมเลย” ภูชิชย์บอก
“ก็เพราะอย่างนี้ไงคะ น้อยถึงอยากให้ภูไป เราจะได้ใช้โอกาสในงานเลี้ยงต้อนรับน้อยปรับความเข้าใจกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ไงคะ” เจ้าทิพย์ดารากล่อม
ภูชิชย์นั่งคิดนิ่ง เจ้าทิพย์ดาราเห็นก็รู้สึกไม่ค่อยดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าภูไม่สบายใจน้อยก็ไม่อยากบังคับ” เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “งั้นน้อยกลับก่อนนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราเปิดประตูรถ ภูชิชย์เอื้อมมือมาจับมือเจ้าทิพย์ดาราไว้
“ผมจะไปครับ” ภูชิชย์บอกนิ่งๆ
เจ้าทิพย์ดาราดีใจ “จริงเหรอคะภู”
“ผมจะทำให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ของเจ้ากลับมายอมรับผมให้ได้อีกครั้ง ผมจะทำให้ท่านทั้งสองรู้ว่า ผมคือคนที่รักและจริงใจกับเจ้าครับ”
“ขอบคุณมากค่ะภู” เจ้าทิพย์ดารานึกขึ้นได้ “งั้นภูพาคุณนิพนธ์กับคุณนิดไปด้วยนะคะ”
“อะไรนะครับ ยัยนิดด้วยเหรอ ผมว่า....” ภูชิชย์อึดอัดใจ
เจ้าทิพย์ดาราสวนขึ้น “น้อยรู้ว่าภูจะพูดอะไร น้อยเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเลยอยากให้คุณนิพนธ์กับคุณนิดไปด้วย ถือว่าน้อยขอนะคะ...ภู”
ภูชิชย์มีท่าทางครุ่นคิด ที่มุมหนึ่งห่างออกไป บัวเกี๋ยงกำลังแอบฟังอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
รถไฟฟ้าบีทีเอสแล่นผ่านย่านธุรกิจ โรงพยาบาลหรูตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น สุพัฒนาที่คุยโทรศัพท์อยู่ในห้องพักได้รู้เรื่องก็โกรธจัด
“หนอย.......นี่นังเจ้าน้อยมันชวนพี่ภูไปทานข้าวที่บ้านงั้นเหรอ”
บัวเกี๋ยงกำลังฟ้องนายแบบใส่ไฟผ่านโทรศัพท์อยู่
“ใช่คะคุณเล็ก พ่อเลี้ยงรับปากว่าจะไปด้วยนะคะ บัวเกี๋ยงเลยรีบโทรมารายงานคุณเล็ก”
“แล้วทำไมแกไม่ห้ามพี่ภู” สุพัฒนาถาม
“บัวเกี๋ยงจะไปห้ามได้ยังไงล่ะคะ ขนาดจะนั่งเฝ้าตามคำสั่งคุณเล็ก พ่อเลี้ยงยังไล่ตะเพิดออกมาเลย”
“บัวเกี๋ยง แกไปบอกนิพนธ์นะ ว่าฉันสั่งให้ไปห้ามพี่ภู” สุพัฒนาสั่ง
“คุณนิพนธ์ก็คงไม่ห้ามหรอกค่ะ”
“ทำไม นิพนธ์ไม่เคยขัดคำสั่งฉัน”
“ก็อีนังเจ้าน้อยมันชวนคุณนิพนธ์ไปด้วยสิคะ แล้วยังมีนังนิดผู้จัดใหม่ด้วยนะคะ พูดแล้วบัวเกี๋ยงยังงง ได้ยินว่ามันเจอนังนิดแป๊บเดียว อีเจ้านี่ถูกชะตาอยากเป็นเพื่อนเลยค่ะ”
“อะไรนะ นี่นังเจ้าตกอับมันคิดจะสร้างพวกมารุมฉันเหรอ”
บัวเกี๋ยงทำเป็นตกใจ “จริงด้วย บัวเกี๋ยงโง่มากคิดไม่ทันเลย ใช่ๆๆๆค่ะ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ทำยังไงกันดีล่ะคะคุณเล็ก”
สุพัฒนามีท่าทางโกรธสุดๆ
นริศรากับนิพนธ์มองหน้ากันแล้วก็ถึงกับหน้าเหวอไปหลังจากรู้เรื่องจากภูชิชย์
“เจ้าน้อยเชิญฉันด้วยเหรอคะ แต่ฉันเพิ่งรู้จักเธอวันนี้เอง” นริศรางง
“เจ้าน้อยเธอเป็นคนไนซ์แบบนี้แหล่ะครับ” นิพนธ์บอก
“ตกลงเธอไม่ไปใช่ไหม” ภูชิชย์ถาม
“ฉันบอกคุณตอนไหน” นริศราสวน
“อ้าว...ก็เห็นมัวแต่งง แต่ไม่ให้คำตอบซะที”
“ฉันก็ต้องคิดก่อนสิ”
“ไม่ต้องคิดหรอกครับ ผมว่าไปเถอะจะได้เป็นเพื่อนกัน” นิพนธ์สนับสนุน
“แต่ถ้าเธออึดอัดไม่อยากไปก็ตามใจนะ ฉันไม่ว่า” ภูชิชย์รีบบอก
“เสียใจ ฉันตัดสินใจจะไปค่ะ เพราะถึงจะมีคนน่ารำคาญอย่างคุณอยู่ แต่การได้สังสรรค์กับคนดีๆอย่างคุณนิพนธ์กับเจ้าน้อยก็ถือว่างานนี้มีข้อดี” นริศราจ้องหน้าภูชิชย์ “มากกว่าข้อเสีย”
“นี่เธอ...” ภูชิชย์ฉุน
นริศราพูดกับนิพนธ์ “งั้นนิดไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
นริศราเดินออกจากห้องไป ภูชิชย์มองเขม่นด้วยความโกรธ
นริศราเดินมาถึงหน้าบ้านพักหญิง บัวเกี๋ยงก็มายืนขวางไว้ไม่ให้ขึ้นไป นริศรามองแล้วก็ไม่สนใจ
บัวเกี๋ยงพูดขึ้นมาดังๆ “เช๊อะ...ทำเป็นหยิ่ง คิดว่าประจบเจ้าน้อยได้แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นงั้นเหรอ”
นริศรากำลังจะเดินไปก็ชะงักทันที คนงานหญิงที่อยู่แถวนั้นหยุดมองนริศรากันหมด
“บัวเกี๋ยง ฉันไม่ได้ประจบเจ้าน้อย เธออย่ามาพูดพล่อยๆ”
“ถ้าไม่ประจบแล้วทำไมจะตามพ่อเลี้ยงกับคุณนิพนธ์ไปกินข้าวด้วย คิดจะจับผู้ชายใช่ไหมถึงได้ตามติดเป็นตังเมแบบนี้ อย่าคิดว่าคนอย่างอีบัวเกี๋ยงมันจะโง่ดูคุณไม่ออกนะ”
นริศราขำ “ขอโทษนะ ฉันคิดตั้งแต่ประโยคแรกที่เธอพูดแล้ว”
“เอ๊ะ..อีนี่” บัวเกี๋ยงฉุนแล้วเงื้อมือจะเข้ามาตบ
“หยุดนะ...อยากขอโทษฉันรอบสองเหรอ ถ้าเธอทำอะไรฉันอีก ฉันจะใช้อำนาจความเป็นผู้จัดการจัดการกับเธอ”
บัวเกี๋ยงกำมือแน่นด้วยความโกรธ นริศราไม่สนใจเดินไปทันที บัวเกี๋ยงมองด้วยความโกรธ พอเธอหันกลับไปก็เห็นคนงานหลายคนซุบซิบและขำเธออยู่
“หัวเราะอะไร ข้าไม่ได้แพ้นะเว้ย ที่ยอมมันน่ะ เพราะคุณเล็กกำลังจะกลับมาจัดการนังผู้จัดการคนนี้”
พวกคนงานอึ้งกับคำประกาศของบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงอมยิ้มอย่างมีชัย
พรคุยกับคนงานหญิงในโรงครัวเสร็จแล้วก็รีบวิ่งมาหาแม่อุ้ยที่กำลังหั่นผักกับลูกมืออยู่
“แม่อุ้ย...แม่อุ้ย...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” พรโวยวาย
“อะไรวะนังพรแหกปากซะลั่น” แม่อุ้ยว่า
“เมื่อกี้คนงานบอกนังพี่บัวเกี๋ยงกับคุณนิดทะเลาะกันหน้าบ้าน”
แม่อุ้ยตกใจ “อีกแล้วเหรอ แล้วคุณนิดเป็นไงบ้าง”
“คุณนิดน่ะไม่เป็นไร แต่ตอกพี่บัวเกี๋ยงหน้าหงายไปเลย”
“เออ...ให้มันได้อย่างงั้นสิวะ” แม่อุ้ยนึกขึ้นได้ “แล้วมันจะเรื่องใหญ่ยังไงวะ”
“ใหญ่ตรงที่พี่บัวเกี๋ยงประกาศว่าคุณเล็กจะกลับมาจัดการเรื่องนี้ให้มันน่ะสิ” พรบอก
“ห๊า....จริงเหรอ ถ้าคุณเล็กกลับมา คุณนิดคนสวยก็ซวยน่ะสิ”
แม่อุ้ยกับพรมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.
รักประกาศิต ตอนที่ 3 (ต่อ)
หลังจากฟังที่สุพัฒนาพูด วิทวัสที่เวลานั้นอยู่ในห้องพักของน้องสาวด้วย ก็มีสีหน้าตกใจมาก
“อะไรนะ คุณเล็ก”
สุพัฒนาพูดอย่างรำคาญ “ก็ไม่ได้ยินเหรอว่าคุณเล็กจะกลับไร่”
“แต่คุณหมอยังไม่อนุญาต แล้วคุณเล็กจะกลับได้ยังไง” วิทวัสงง
“คุณเล็กไม่สน...ยังไงๆคุณเล็กก็จะกลับ อะไรกัน บอกจะให้คุณเล็กมาตรวจร่างกาย นี่คุณเล็กอยู่มากี่วันแล้วไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง นอกจากหมอจะมาคุยๆๆ หมอที่นี่มันไม่มีเพื่อนหรือไง ถึงชอบมาคุยกับคุณเล็กอยู่ได้”
“เอาอย่างนี้ดีไหม พี่ว่ารอให้ผลตรวจร่างกายอย่างละเอียดของคุณเล็กออกแล้วค่อยกลับนะ”
“บ้า...ตรวจร่างกายบ้าๆ คุณเล็กแค่เป็นโรคเครียด จะอะไรกันนักกันหนา ไม่รู้ล่ะพี่วัสไปจัดการเรื่องกลับไร่ให้คุณเล็กด่วน”
วิทวัสยืนเกาหัวเพราะไม่รู้จะเอายังไงดี
“ว่าไงล่ะพี่วัส ทำไมยืนเซ่ออยู่ได้”
วิทวัสขบกรามแน่นด้วยความโกรธแต่ก็พยายามกลั้นใจคุยกับน้องสาว
“เอาล่ะ พี่คงต้องบอกความจริงกับคุณเล็กแล้ว”
“ควางจริงอะไร” สุพัฒนาสงสัย
วิทวัสแกล้งจับมือสุพัฒนาประหนึ่งว่ารักน้องมาก “ก็อาการป่วยคุณเล็กยังไง คือพี่กับพี่ภูสงสัยกันว่าที่คุณเล็กเครียดและปวดหัวบ่อยๆ มันอาจจะเกี่ยวกับมะเร็งสมอง”
สุพัฒนาอึ้ง “อ..อะ...อะไรนะ คุณเล็กเป็นอะไรนะ”
“มะเร็งสมองจ้ะคุณเล็กน้องรักของพี่ พี่ว่ายอมให้หมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะ”
สุพัฒนาอึ้งไป วิทวัสมองอย่างลุ้นๆ ว่าน้องสาวจะว่ายังไง
ภูชิชย์ที่อาบน้ำเสร็จเดินออกมาในชุดเสื้อคลุม เขาเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุด ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์เดินไปหยิบมาดู พอเห็นหน้าจอเป็นชื่อสุพัฒนาภูชิชย์ก็อึ้งไป
ภูชิชย์กดรับสาย “ว่าไงจ๊ะคุณเล็ก”
สุพัฒนาที่อยู่ในห้องพักโรงพยาบาลร้องไห้ลั่น
“พี่ภู...พี่ภู”
ภูชิชย์ตกใจ “คุณเล็กร้องไห้ทำไม”
“คุณเล็กเป็นมะเร็งสมองทำไมพี่ภูไม่บอกคุณเล็ก”
ภูชิชย์งง “อะไรนะ”
สุพัฒนางงไปด้วย “พี่ภูไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”
สุพัฒนากวาดตาไปที่วิทวัส วิทวัสหน้าเสียขึ้นมาทันที
วิทวัสพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “พี่ภูอย่าทำแผนแตกนะ”
“ก็ไหนพี่วัสบอกว่าที่คุณเล็กมาตรวจร่างกายที่นี่ ก็เพราะกลัวว่าโรคเครียดของคุณเล็กมันจะเกี่ยวกับมะเร็งสมอง”
“อ๋อ....เอ่อ...ก็ใช่นะ พี่ก็กลัวๆอยู่ ถึงให้คุณเล็กตรวจให้แน่ใจไง” ภูชิชย์รับมุก
สุพัฒนารีบอ้อนทันที “พี่ภูขา...พี่ภูมาอยู่กับคุณเล็กที่นี่เถอะนะคะ”
“คุณเล็กพี่ก็อยากไปนะ แต่พี่ต้องทำงานดูแลไร่คุณเล็กก็รู้ ไว้พี่หายยุ่งแล้วจะรีบไปหานะครับ”
“ยุ่งเหรอ...พี่ภูยุ่งจะพาอีนังผู้จัดการใหม่ไปงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าน้อยใช่ไหม”
ภูชิชย์อึ้ง “คุณเล็กรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“รู้สิ คุณเล็กขอสั่งห้ามพี่ภูไปงานนี้เด็ดขาด แล้วก็อยู่ห่างๆอีนังผู้จัดการไร่คนใหม่ด้วย ถ้าคุณเล็กรู้ว่าพี่ภูฝ่าฝืนคำสั่งของคุณเล็กๆจะฆ่าตัวตาย”
“คุณเล็กไม่เอาน่า มีเหตุผลหน่อย พี่รับปากเขาไปแล้ว”
สุพัฒนาเริ่มหอบ “เห็นไหม...พี่ภูไม่รักคุณเล็ก พี่ภูอยากให้คุณเล็กตาย”
“คุณเล็ก...ใจเย็นๆ เอาล่ะๆ พี่ไม่ไปแล้วครับ” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาดีใจและหายขึ้นมาทันที “จริงๆนะคะ”
สุพัฒนาวางสายด้วยความสะใจ แล้วส่งโทรศัพท์ให้วิทวัส แล้วสุพัฒนาก็เดินเล่นชมนกชมไม้อย่างสบายใจ วิทวัสมองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“อารมณ์ขนาดนี้มะเร็งที่ไหนจะกล้าเข้าร่าง”
ภูชิชย์ นริศรา นิพนธ์ และเจ้าทิพย์ดารานั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกบ้านภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดาราที่ฟังเรื่องจากปากภูชิชย์มีสีหน้าไม่ดีนัก
“ถ้าผมไปคุณเล็กคงโกรธมาก” ภูชิชย์บอก
“ตกลงภูจะไม่ไปงานของน้อยใช่ไหมคะ”
เจ้าทิพย์ดาราตาเริ่มแดงคล้ายจะร้องไห้ นริศราที่ยืนฟังอยู่กับนิพนธ์ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น
“ขอโทษนะคะ จะว่าฉันยุ่งก็ยอม แต่พ่อเลี้ยงน่าจะไปนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ายุ่ง” ภูชิชย์ตำหนิ
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเจ้าน้อย พ่อเลี้ยงรับปากเจ้าน้อยก่อนคุณเล็ก พ่อเลี้ยงก็ต้องรักษาคำพูดสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนิด” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“เป็นสิคะเจ้า เป็นมากด้วย งานเลี้ยงรับเจ้าน้อยจัดทุกวันเหรอคะ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรพูดออกไป”
พูดจบนริศราก็มองหน้าภูชิชย์เขม็ง
“พ่อเลี้ยงครับ ผมเห็นด้วยกับคุณนิดนะครับ” นิพนธ์สนับสนุน
“เจ้าครับผมขอโทษนะครับ ผมทำให้เจ้าต้องเสียใจอีกแล้ว”
ภูชิชย์พูดพร้อมกับจับมือเจ้าทิพย์ดารา
“ เราไปกันเถอะครับ” ภูชิชย์บอก
“แล้วคุณเล็กล่ะคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ผมจะอธิบายกับเขาเอง”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มอย่างดีใจแล้วหันมายิ้มกับนริศราและนิพนธ์
ภูชิชย์ นริศรา และนิพนธ์ขึ้นรถของเจ้าทิพย์ดารา เจ้าทิพย์ดาราขับรถออกไป บัวเกี๋ยงที่แอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองด้วยความโกรธ
“ทำไมมันเป็นอย่างงี้วะ โอ๊ย...จะทำไงถึงจะกำจัดนังเจ้าน้อยได้นะ”
“เอ็งมาทำอะไรตรงนี้วะบัวเกี๋ยง” เสียงผลดังขึ้นจากด้านหลัง บัวเกี๋ยงมองไปก็เห็นผลกำลังเดินตรงมาหา
“พี่ไปหาที่บ้านพักก็ไม่เจอ” ผลบอก
“ไปอะไรกันบ่อยๆล่ะ เดี๋ยวคนก็รู้หมดพอดี” บัวเกี๋ยงว่า
“อะไรของเอ็งอีกวะ พี่จะไปหาที่ห้องเอ็งก็ไม่ได้ เอ็งมาห้องพี่ก็ไม่ได้ ชักโมโหแล้วนะเว้ย พี่ว่าเราไปบอกคุณเล็กเถอะว่าเราเป็นผัวเมียกัน จะได้ขอย้ายไปอยู่บ้านพักครอบครัว อยู่กินอย่างเปิดเผยไปเลย”
“ไม่เอานะพี่......อยากตกงานหรือไง”
บัวเกี๋ยงจะเดินหนีแต่ผลดึงแขนแล้วกระชากกลับมาแล้วจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เอ็งกลัวตกงานหรือกลัวไม่ได้เป็นคุณนายไร่นี้กันแน่ อย่าคิดว่าพี่ดูเอ็งไม่ออกนะ ตั้งแต่คุณนิดมาอยู่ เอ็งกลัวว่าพ่อเลี้ยงจะชอบคุณนิดใช่ไหม”
“พี่พูดอะไร ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นนะ ฉันก็แค่อยากเป็นคนสนิทของคุณเล็ก” บัวเกี๋ยงกลบเกลื่อน
“ก็ได้วะ งั้นเชิญเอ็งไปอยู่กับคุณเล็กแล้วกัน”
ผลเอามือจับที่เอวบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงพยายามดิ้น แต่สุดท้ายผลก็ได้เงินที่อยู่ที่เอวบัวเกี๋ยง
บัวเกี๋ยงโมโห “พี่ผล...เอาเงินฉันคืนมานะ”
“คนอุตส่าห์คิดถึงเอ็งก็มาทำเสียอารมณ์ ออกไปหาเหล้ากินดีกว่า”
ผลจะไปแต่บัวเกี๋ยงดึงแขนไว้แล้วทำเหมือนเป็นห่วง
“พี่ผลอย่าไปเลยนะ เกิดพ่อเลี้ยงจับได้พี่จะลำบาก
ผลแกะแขนออก “นึกว่าพี่ไม่รู้เหรอว่าที่พูดน่ะหวงเงิน”
ผลไม่สนใจรีบเดินออกไปทันที บัวเกี๋ยงมองตามอย่างไม่พอใจ
“คอยดูนะ ฉันได้ดีเมื่อไหร่ จะไล่แกออกเป็นคนแรกเลย ไอ้ผัวเฮงซวย”
แดดยามเย็นไล้ทั่วบริเวณบ้านเจ้าทิพย์ดารา เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกานั่งคุยอยู่กับแขก 4 คน คนรับใช้เดินนำน้ำมะเม่าใส่โอ่งดินเล็กๆ เข้ามาเสิร์ฟ
“น้ำมะเม่าค่ะ ตอนนี้เขากำลังนิยม ที่ไร่ผลิตแทบไม่ทัน” เจ้าดาระกาบอกแขก
“ดีๆๆ ได้ข่าวว่าที่ไร่ดีขึ้นเรื่อยๆใช่ไหม” พี่ชายของเจ้าเทพดาราพูด
“ใช่ครับเจ้าพี่ ผมต้องขอบคุณเจ้าพี่ กับ คุณเจริญ ที่ให้ความช่วยเหลือไร่เทพมงคลไว้ตอนนั้น ไม่อย่างงั้นผมคงไม่มีวันนี้” เจ้าเทพดาราสำนึกบุญคุณ
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับเจ้า สมัยผมยังมีแต่ตัวก็ได้เจ้านี่แหล่ะที่มาช่วยร่วมทุนให้ แล้วถ้าเจ้ามีปัญหาผมไม่ช่วยก็ถือว่าอกัตญญูนะครับ”
“นั่นสิ เราคนกันเอง ช่วยกันเหลือกันไว้มันก็ดีอยู่แล้ว”
ทั้งหมดยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี
“แล้วนี่เจ้าของงานเขาไปไหนล่ะ ไม่เจอตั้งสองปีคิดถึงจะแย่แล้ว” ภริยาของพี่ชายเจ้าเทพมงคลถามขึ้น
เจ้าดาระกาหันไปบอกกับคนใช้ “ไปดูสิเจ้าน้อยแต่งตัวเสร็จหรือยัง แขกมารอตั้งนานแล้ว”
“น้อยมาแล้วค่ะ” เสียงเจ้าทิพย์ดาราดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองที่ประตูแล้วก็ต้องอึ้งที่เห็นเจ้าทิพย์ดารายืนอยู่กับภูชิชย์ ส่วนด้านหลังเป็นนิพนธ์กับนริศรา
“น้อย...พาพวกนี้มาทำไม” เจ้าเทพมงคลตกใจ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเดินมาส่งพี่ชายกับภริยาและเพื่อนๆ ที่หน้าบ้าน
“เจ้าลุง เจ้าป้า คุณอาเจริญคะ อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราเดินมาขอ
“น้อย ลุงกับป้าคงรับไม่ได้กับคนที่เคยย่ำยีตระกูลของเรา” พี่ชายของเจ้าเทพมงคลกล่าว
“ถ้าป้าเป็นหลาน ป้าจะไม่ทำให้ทุกคนเสียใจนะ”
“อาก็เหมือนกัน เจ้าพ่อของเจ้าน้อยมีบุญคุณกับอามาก จะให้อาอยู่ร่วมโต๊ะกับพวกนั้นอาขอมาใหม่วันหลังแล้วกัน”
ทุกคนร่ำลากันแล้วเดินแยกย้ายขึ้นรถขับออกไปทันที เจ้าทิพย์ดารามีสีหน้าเศร้า เธอหันกลับไปเห็นเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกากำลังมองมาด้วยตาขุ่น
ภูชิชย์ นริศราและนิพนธ์นั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องรับแขกของบ้านเจ้าทิพย์ดารา นริศรารู้สึกอึดอัดจนถึงกับต้องเอ่ยถาม
“คุณนิพนธ์คะ ทำไมเจ้าพ่อเจ้าแม่ของเจ้าน้อยถึงไม่ต้อนรับพวกเราล่ะคะ”
นิพนธ์อึดอัดและตอบไม่ถูก
“นี่..เธอไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม” ภูชิชย์ว่า
นริศราจ๋อยไป ภูชิชย์ลุกขึ้นเดินไปยืนที่ประตูแล้วมองออกไปข้างนอก
นิพนธ์กระซิบกับนริศรา “ปัญหามันมีมานานแล้วครับ ไว้ผมจะเล่าให้ฟัง”
“โอเค...ได้ค่ะ แต่ตอนนี้ฉันแค่สงสัยว่า เราจะปล่อยให้เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้เหรอคะ”
“แล้วเราจะไปทำอะไรได้ล่ะครับ” นิพนธ์ถาม
นริศรามองไปที่ภูชิชย์แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระการยืนหน้าตึงมองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ
“เจ้าพ่อเจ้าแม่คะ ฟังน้อยก่อน”
“น้อยจะให้พ่อกับแม่ฟังน้อย แล้วน้อยเคยฟังพ่อกับแม่หรือเปล่า” เจ้าดาระกาถาม
“แต่น้อยกับภูรักกันด้วยความจริงใจนะคะ”
“น้อย ลูกก็เห็นแล้วว่าผู้ใหญ่ฝั่งเราไม่มีใครต้อนรับพ่อเลี้ยงอีกแล้ว น้อยอย่าทำให้ญาติพี่น้องต้องลำบากใจอีกเลยนะ”
เจ้าทิพย์ดาราเข้าไปกราบที่อกของเจ้าเทพมงคลแล้วกอดบิดาแน่น เจ้าเทพมงคลถอนใจด้วยความเครียด
“เจ้าพ่อคะ เจ้าพ่อเคยสอนน้อยว่าเราต้องให้โอกาสคนที่ผิดพลาด เพราะเจ้าพ่อเองก็ได้รับโอกาสจากการที่ทำธุรกิจพลาดไป แล้วทำไมเราจะไม่ให้โอกาสภูเขาล่ะคะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองหน้ากันอย่างเครียดๆ
ทุกคนนั่งประจำที่โต๊ะอาหารในห้องรับประทานอาหารบ้านเจ้าทิพย์ดารา เจ้าเทพมงคลมองภูชิชย์ ตาขุ่น บนโต๊ะมีจานช้อนที่จัดเกินมาจากคนในครอบครัวจำนวนสามชุด คนรับใช้ตักข้าวใส่จานนริศราเป็นจานสุดท้าย
เจ้าทิพย์ดาราพูดกับเจ้าพ่อและเจ้าแม่ “คุณนิด หรือคุณนริศรา เธอเพิ่งมาใหม่ค่ะ มาเป็นผู้จัดการไร่แทนคุณนิพนธ์ค่ะ ส่วนคุณนิพนธ์ก็ไปทำงานเอกสาร”
เจ้าทิพย์ดาราพูดไปก็ยิ้มไปเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกายังนั่งหน้าบึ้งตลอด
เจ้าทิพย์ดารารีบเปลี่ยนเรื่อง “ลงมือทานกันเถอะค่ะ น้อยหิวแล้ว”
เจ้าทิพย์ดาราทำเป็นร่าเริง แต่เจ้าเทพมงคลทนไม่ไหวรีบรวบช้อนทันที ทุกคนในห้องพากันอึ้ง
“พ่อเลี้ยง คุณเคยดูถูกพวกเรา แล้วคุณกลับมาหาลูกสาวผมทำไม” เจ้าเทพมงคลถาม
“เจ้าพ่อครับ ผมทราบดีว่าเจ้าพ่อยังโกรธผม ผมเองก็โกรธตัวเองมาก ที่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตอย่างเจ้าน้อยหลุดมือไป ตลอดสองปีที่ผ่านมา ผมคิดเสมอว่าอยากจะตามไปง้อเจ้าน้อย แต่ผมก็กลัวว่าเธอจะยังไม่ให้อภัย จนวันนี้ผมกับเจ้าน้อยปรับความเข้าใจกันแล้ว ผมจึงอยากจะขอโอกาสเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งนะครับ ผมขอสัญญานะครับว่าผมจะไม่ทำให้เจ้าน้อยต้องเสียใจอีกครั้งเป็นอันขาด” ภูชิชย์กล่าว
เจ้าเทพมงคลนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกเดินออกไป เจ้าดาระกามองภูชิชย์แล้วลุกตามออกไป ภูชิชย์กลุ้มใจนั่งคอตก เจ้าทิพย์ดารายิ้มปลอบใจ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเดินมาตามทางเดินภานในบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“เจ้าพี่คะ แล้วตกลงเจ้าพี่จะให้โอกาสพ่อเลี้ยงหรือเปล่าคะ” เจ้าดาระกาถาม
“เธอว่ายังไงล่ะ”
“จะว่าไปลูกก็พูดถูก ก่อนหน้านั้นเราก็เห็นมาตลอดว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนดี ดิฉันเชื่อว่าพ่อเลี้ยงจะทำได้ตามสัญญา”
“แต่สำหรับพี่คงไม่เชื่อคำพูดของพ่อเลี้ยงอีกแล้ว พ่อเลี้ยงจะต้องทำให้เราเห็นว่าเขาจะไม่ทำให้ลูกสาวเราเสียใจอย่างที่เขาสัญญา”
ภูชิชย์ นริศรา เจ้าทิพย์ดาราและนิพนธ์เดินออกมานั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ที่ระเบียงด้านนอก
“น้อยต้องขอโทษทุกคนแทนเจ้าพ่อเจ้าแม่ด้วยนะคะ ที่ทำให้ทานอาหารไม่อร่อย” เจ้าทิพย์ดาราเอ่ย
“อย่าโทษตัวเองเลยครับเจ้า ผมเองต่างหากที่เป็นตัวทำให้เสียบรรยากาศ” ภูชิชย์บอก
นริศราแอบกระซิบกับนิพนธ์ “รู้ตัวเหมือนกันเนอะ”
ภูชิชย์หันขวับไปมองนริศรา นริศราทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ นิพนธ์แอบขำ
“แต่ยังไงวันนี้ก็ผ่านไปด้วยดีนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
ภูชิชย์งง “ผ่านไปด้วยดี ทั้งๆที่เจ้าพ่อเจ้าแม่โกรธผมมากขนาดไม่ทานข้าวน่ะเหรอครับ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “แหม...นิสัยเจ้าพ่อภูก็น่าจะรู้ดี สมัยภูจีบน้อยใหม่ๆ ท่านก็ทำตึงๆแต่ก็ปล่อยให้เราคุยกันเป็นวันๆเลยจำไม่ได้เหรอคะ”
ภูชิชย์ยิ้มกว้าง “อ๋อ...ผมเข้าใจแล้ว”
“ยินดีด้วยนะครับพ่อเลี้ยง ได้โอกาสคราวนี้ก็เต็มที่เลยนะครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารายิ้มพร้อมกับจับมือกัน ระหว่างนั้น คนรับใช้ก็เข็นรถที่มีชากาแฟพร้อมขนมเค้กเข้ามา
“ลองชิมเค้กดูนะคะ น้อยทำเอง” เจ้าทิพย์ดาราบอก
คนรับใช้รินกาแฟเสิร์ฟ เจ้าทิพย์ดารายกถ้วยเค้กส่งให้ทุกคน นริศราตักเค้กเข้าปากแล้วก็ชอบ
“เค้กอะไรคะ อร่อยจัง”
“เค้กลำใยค่ะ น้อยลองคิดสูตรเอง”
“เจ้าน้อยชอบทำขนมเหรอคะ นิดก็ชอบค่ะ”
“เมื่อก่อนชอบมากค่ะ แต่ตอนนี้น้อยกำลังเห่อทำอีกอย่าง” เจ้าทิพย์ดาราพูดยิ้มๆ
เจ้าทิพย์ดาราพาภูชิชย์ นริศรา และนิพนธ์เดินเข้าห้องมา ภายในห้องมีเสื้อ ข้าวของเครื่องใช้ ทั้งแก้ว ชาม จาน ที่เพ้นท์เสร็จแล้ววางอยู่
“นี่แหล่ะค่ะงานใหม่ของน้อย ตอนนี้กำลังหัดเพ้นท์ลายผ้าอยู่ค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
นริศราเห็นของเพ้นท์ต่างๆ ก็เหลือบมองภูชิชย์ทันที ภูชิชย์ทำเป็นไก๋
นริศราพูดเบาๆ “สงสัยหนังสือของฉันจะอยู่ที่นี่”
เจ้าทิพย์ดาราที่เดินนำหันมาหานริศรา “มีอะไรเหรอคะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ นิดแค่ตื่นเต้นว่าเจ้าน้อยชอบเพ้นท์เหมือนกับนิดเลย ตอนนี้ก็กำลังหัดเพ้นท์ผ้าเหมือนกันอีกด้วยค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราดีใจ “คุณนิดก็ชอบเพ้นท์เหรอคะ”
“ชอบมากค่ะ ขนาดว่าเคยมีครั้งหนึ่งนิดจะซื้อหนังสือลายเพ้นท์เล่มหนึ่ง แพงมากเลยนะคะ กำลังจะตัดใจซื้อก็มีผู้ชายมารยาทแย่คนหนึ่งมาแย่งไป เสียดายมากเลยค่ะ”
ภูชิชย์แอบกัดฟันเพราะเจ็บใจที่ถูกด่า
“ผู้ชายคนนั้นเขาอาจจะคิดว่าเธอก็ไปแย่งหนังสือเขาก็ได้” ภูชิชย์พูดขึ้นมาลอยๆ
“ฉันแย่งยังไง ในเมื่อฉันดูอยู่ก่อนคนมาที่หลังก็เรียกว่าแย่งสิ”
นิพนธ์กับเจ้าทิพย์ดารามองหน้ากันอย่างงงๆ
“เอาละค่ะ ไม่ต้องเถียงกัน คุณนิดคะ น้อยมีหนังสือมาใหม่ถ้าคุณนิดชอบลายใหม่ๆน้อยให้ยืมก็ได้ค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราพูดแล้วก็เปิดลิ้นชักหยิบหนังสือออกมาส่งให้นริศรา
นริศราทำเป็นดีใจ “ต๊าย เล่มนี้พอดีเลยค่ะ”
“หวังว่าผู้ชายแย่ๆคนนั้นคงไม่ใช่ภูนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราถามเล่นๆ แต่ภูชิชย์หน้าเสียทันที
“ไม่ใช่หรอก ผมเอ่อ...วันผมไปซื้อไม่เห็นมีผู้หญิงติงต๊องที่ไหนยืนดูอยู่เลย” ภูชิชย์บอก
นริศรากัดฟันด้วยความโกรธ ภูชิชย์ยิ้มเยาะที่ได้เอาคืน
นิพนธ์เดินไปหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาดู
“สวยดีนะครับ เจ้าน้อยบอกเพิ่งหัด ได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้วนะครับ” นิพนธ์เอ่ยชม
“แต่น้อยยังไม่ชอบเท่าไหร่ค่ะ มันดูแข็งๆไงไม่รู้ อยากให้มันออกมาเหมือนสีน้ำจะได้ดูอ่อนโยนกว่านี้ คุณนิดพอจะมีวิธีไหมคะ”
“ถามถูกคนหรือครับเจ้า ผมว่านริศราเขาก็คงรู้งูๆปลาๆไว้พอคุยโม้เท่านั้นหล่ะครับ” ภูชิชย์แขวะ
นริศราโกรธแต่ก็ทำเป็นฝืนยิ้ม
“ใช่ค่ะเจ้า นิดน่ะรู้น้อยจะขอบอกเทคนิคเท่าที่รู้นะคะ”
นริศราเดินไปที่เสื้อตัวที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็กางหนังสือออก
“อย่างถ้าเจ้าจะทำลายนี้ใช่ไหมคะ”
“คุณนิดจะทำลายนี้เหรอคะ มันยากนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ลองทำดูแล้วกันนะคะ ก่อนลงสีเจ้าน้อยก็ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆหรือทิชชู่ซับน้ำแล้วมาซับที่เสื้อนะคะ แต่เพ้นท์เสร็จอาจจะต้องรอให้แห้งนานหน่อย”
พูดจบนริศราก็ลงมือทำพร้อมกับวาดโชว์
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ได้เสื้อที่วาดเสร็จเป็นลายสวยงาม เจ้าทิพย์ดารากับนิพนธ์เห็นแล้วก็ทึ่ง
“คุณนิดนี่เก่งจริงๆเลยนะครับ แบบนี้ไม่เรียกงานอดิเรกแล้วครับ” นิพนธ์ชม
“ถ้าว่างๆน้อยขอเชิญมาเป็นอาจารย์น้อยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” นริศราถ่อมตัว
“ไม่รู้ล่ะครับ ถ้าทำขายผมจองซื้อทั้งของอาจารย์ของลูกศิษย์” นิพนธ์พูด
ภูชิชย์ฟังนิพนธ์กับเจ้าทิพย์ดาราชื่นชมความเก่งของนริศราแล้วก็แอบเบ้ปากหมั่นไส้
รถจากไร่เทพมงคลขับมาส่งทั้งสามคนที่หน้าสำนักงานไร่สุพัฒนา พอลงจากรถแล้วนิพนธ์ก็ขอแยกตัวไปทันที “ถ้างั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
พูดจบนิพนธ์ก็รีบเดินจากไป นริศราทำท่าจะเดินตามแต่ถูกภูชิชย์มาขวางไว้
“เธอยังไปไม่ได้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
นริศรางง “เรา”
“ไม่ว่าเธอกำลังวางแผนคิดจะทำอะไร แต่ฉันขอเตือนไว้เลยนะว่าเธอไม่มีวันทำสำเร็จแน่”
นริศรางง “นี่คุณพูดเรื่องอะไร”
“ก็ทั้งนายวัส นิพนธ์ เจ้าน้อย เธอพยายามทำดีกับคนพวกนี้เพื่อหวังอะไร” ภูชิชย์จับผิด
“ฉันไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น ฉันมาที่นี่เพื่อทำงาน” นริศราตอบ
“ถ้างั้นเธอบอกได้ไหมว่าเธอคือใคร หัวนอนปลายเท้าเป็นยังไง”
นริศรานิ่งเงียบเพราะพูดไม่ออก
“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่า เธอคือผู้หญิงของนายวัสที่เข้ามาเช็คสมบัติของน้องชายฉัน”
“คุณภูชิชย์” นริศราฉุน
สองคนจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์กดรับสาย นริศราจะฉวยโอกาสเดินหนีไปแต่ภูชิชย์ดึงข้อมือเธอไว้
“สวัสดีครับ ใช่ครับ ผมพ่อเลี้ยงภู...อะไรนะครับ...ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ภูชิชย์กดวางสายแล้วจ้องหน้านริศราเขม็ง
“ก่อเรื่องให้ฉันอีกแล้วนะแม่ตัวดี”
อ่านต่อหน้า 3
รักประกาศิต ตอนที่ 3 (ต่อ)
นริศราถูกภูชิชย์ลากมานั่งอยู่ในรถของเขา ภูชิชย์ขับรถไปตามทางเปลี่ยว นริศรามองออกไปสองข้างทางก็เห็นแต่ความมืดมิด
“คุณกำลังจะพาฉันไปไหน” นริศราระแวง
“ทำไม...กลัวฉันจะพาเธอไปปล้ำหรือไง”
ภูชิชย์ถามแล้วหันมาจ้องหน้านริศรา นริศราเงียบเพราะความกลัวแต่ก็พยายามทำท่าเข้มแข็ง
“ถ้าคุณทำอะไรแบบนั้นฉันสู้ตายแน่”
“ฮึ...สู้ตายเหรอ ดี...ถ้าเธอรับผิดชอบไม่ได้เธอตายแน่” ภูชิชย์โกรธ
นริศรางง “รับผิดชอบ?”
นริศรามองภูชิชย์ด้วยความสงสัย แต่เมื่อภูชิชย์หันกลับมานริศราก็รีบหลบตา
ภูชิชย์ขับรถเข้ามาจอดหน้าโรงพักอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็พานริศราเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ
“คุณพาฉันมาโรงพักทำไม” นริศราถาม
ภูชิชย์ไม่ตอบคำ แต่เดินไปหาร้อยเวร
“ผมภูชิชย์ครับ”
ตำรวจชี้ไปที่กรงขังซึ่งมีผลและคนงานกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านใน
“นั่นคนงานของพ่อเลี้ยงใช่ไหมครับ” ตำรวจถาม
พอเห็นสภาพคนงานที่เมาและมิหนำซ้ำตามตัวยังเต็มไปด้วยบาดแผล และหน้าบวมปูดภูชิชย์กับนริศราก็ตกใจ
“เอ๊ะ...นั่นมัน” นริศราเอ่ยขึ้น
“คนงานที่เธอดูแลอยู่ไง” ภูชิชย์บอก
“ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าคนของพ่อเลี้ยงนั่งดื่มที่ร้านกันจนเมา แล้วส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านเลยถูกนักเลงเจ้าถิ่นแถวนั้นทำร้ายเอาครับ แต่คู่กรณีหนีไปได้” ตำรวจรายงาน
นริศรามองคนงานของตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ผลและคนงานคนอื่นๆ ที่เมาจนถูกซ้อมนั่งคอตกอยู่กับพื้นภายในสำนักงานไร่สุพัฒนา ภูชิชย์กับนริศรายืนอบรมอยู่
“ฉันเคยสั่งแล้วใช่ไหมว่า ถ้าจะทำงานที่นี่ ก็ห้ามออกไปดื่มเหล้าหรือมีเรื่องกับคนอื่น” ภูชิชย์โมโห
นริศราขมวดคิ้วมองภูชิชย์อย่างงงๆ เพราะเธอไม่รู้ว่ามีกฎนี้ด้วย
“ไอ้พวกนั้นมันหาเรื่องพวกเรานะครับ” ผลแก้ตัว
“ก็ถ้าไม่ออกไปมันจะมีเรื่องหรือเปล่า?” ภูชิชย์ตะคอก
“แต่ผมขออนุญาตผู้จัดการแล้วนะครับพ่อเลี้ยง” หนานรีบบอก
ภูชิชย์หันขวับไปหานริศราทันที
“ฉันผิดที่อนุญาตให้พวกเขาไป แต่ฉันไม่รู้ว่ามีกฎข้อนี้” นริศราบอก
“หน้าที่หนึ่งของการเป็นผู้จัดการไร่ ก็คือการจัดการคน และการจะจัดการคนได้ก็ต้องใช้กฎ แล้วทำไมเธอไม่อ่านกฎต่างๆของฉันก่อน”
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฉันๆขอโทษแทนคนงาน ต่อไปฉันจะไม่ให้พวกเขาออกไปอีก” นริศรายอมรับผิด
“กฎต้องเป็นกฎ ... ใครฝืนกฎคนนั้นต้องมีโทษ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกนายทั้งหมดไม่ใช่คนของไร่สุพัฒนา” ภูชิชย์เสียงเด็ดขาด
นริศรา ผลและคนงานชายที่ก่อเรื่องถึงกับอึ้งในการตัดสินใจที่เด็ดขาดของภูชิชย์
คนงานทั้งหมดยืนล้อมนริศราที่อยู่ในโรงครัว ทุกคนต่างก็กำลังถกเถียงกันอย่างเสียงดัง
“เฮ้ย...พูดทีละคนดีกว่า มากันเยอะแยะแบบนี้ฟังไม่รู้เรื่อง” ลุงปั๋นเสนอ
“ผู้จัดการเป็นคนอนุญาตให้พวกเราออกไป ผู้จัดการต้องรับผิดชอบสิ” หนานโยนความผิด
“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก พวกเอ็งก็รู้กฎข้อนี้ของพ่อเลี้ยง จะมาหัวหมอโยนให้คนอื่นรับผิดชอบได้ยังไง” แม่อุ้ยว่า
“คุณนิดครับ ผมต้องส่งเงินให้ลูกให้เมีย ถ้าโดนไล่ออกที่บ้านจะเอาอะไรกิน” เป็งบอก
“โอ๊ย..จะมาขออะไรกับคุณนิด ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ฉันว่าพวกแกเตรียมรับกรรมดีกว่า นี่แหล่ะน้าที่เขาว่าผู้นำไม่ดีก็พาลูกน้องไปตาย” บัวเกี๋ยงแขวะ
“อีบัวเกี๋ยง เอ็งพูดอะไร แน่ใจเหรอว่าอยากให้พวกพี่ออกไปจากที่นี่” ผลถามพร้อมกับจ้องหน้าบัวเกี๋ยงอย่างเอาเรื่อง บัวเกี๋ยงรีบยิ้มหวานทันที
“เอ่อ...เปล่าจ้ะพี่ผล ฉันแค่พูดไปตามน้ำน่ะ ถ้าผู้จัดการดีก็ต้องช่วยลูกน้องได้สิ”
คนงานต่างพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่จนนริศราต้องเคาะโต๊ะให้เงียบ
“เอาละๆ เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะต้องช่วยพวกเราให้ได้”
นริศราประกาศอย่างมุ่งมั่นแล้วก็ถอนใจยาว บัวเกี๋ยงแอบอมยิ้มสะใจแต่พอหันไปเห็นผลมองมาก็ทำหน้าจ๋อยทันที
แม้จะดึกมากแล้วแต่ไฟในสำนักงานไร่สุพัฒนาก็ยังเปิดอยู่ ภูชิชย์เปิดประตูสำนักงานเข้ามาก็ต้องแปลกใจที่เห็นนริศราที่แต่งตัวเรียบร้อยกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
“มาทำอะไรแต่เช้า” ภูชิชย์ถาม
“ฉันมาอ่านกฎ เผื่อจะมีทางช่วยคนงาน” นริศราบอก
ภูชิชย์หัวเราะ “นี่เธอจะปกป้องคนทำผิดงั้นเหรอ”
“แต่กฎที่คุณตั้งขึ้นมันร้ายแรงเกินไป ฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเขา”
“การทำงานที่ต้องควบคุมคนเยอะๆมันต้องมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ไม่เช่นนั้นเราจะคุมพวกเขาไม่ได้”
ทันใดนั้น พรเดินถือไม้กวาดพร้อมกับหาวหวอดใหญ่เดินเข้ามาจะมาทำความสะอาดสำนักงาน พอเห็นภูชิชย์กับนริศรากำลังคุยกันก็หยุดเดินแล้วแอบฟัง
“แต่การไล่ออกไม่ใช่การลงโทษที่ถูกต้องเสมอไป” นริศราพูด “คนงานเหล่านั้นทำผิดก็จริงแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงกับต้องไล่ออกแค่เรียกพวกเขามาตักเตือนก็น่าจะพอ แต่ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังเราก็ค่อยๆเพิ่มระดับโทษที่รุนแรงขึ้น ...ถ้าห้ามไม่อยู่จริงๆค่อยไล่ออกก็ยังไม่สาย”
“คิดว่าทำได้เหรอ” ภูชิชย์ถาม
“ไม่ลองก็ไม่รู้” นริศราทำหน้าตาจริงจัง “อีกอย่างคนของเราถูกหาเรื่องก่อนไม่ใช่ว่าจะไปหาเรื่องเขา เรื่องทั้งหมดเกิดจากความสะเพร่าของฉัน ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษฉันแทน...อย่าถึงกับต้องไล่พวกเขาออกเลย”
“ได้...ฉันจะตัดเงินเดือนเธอ 20 % เพื่อแลกกับข้อเสนอของเธอ” ภูชิชย์บอก
นริศราตกใจ “ตัดเงินเดือน”
“ถ้าเธอยอม...พวกเขาจะได้ทำงานที่นี่ต่อ แต่ถ้าไม่...”
นริศราพูดสวนขึ้น “ฉันยินดีให้คุณตัดเงินค่ะ”
ภูชิชย์อึ้งกับการตัดสินใจของนริศรา นริศราเชิดหน้าท้าทาย พรที่แอบฟังอยู่มีสีหน้าตกใจ
คนงานทั้งหมดร้องไชโยกันดังลั่น มีก็แต่บัวเกี๋ยงที่หน้าบึ้งไม่พอใจ คนงานทั้งสามที่ก่อเรื่องเดินมาไหว้ขอบคุณนริศรา
“คุณนิดครับ พวกผมจะไม่ทำให้คุณนิดต้องลำบากใจอีกนะครับ” หนานบอก
“ลูกเมียผมมีกินก็เพราะคุณนิดครับ ขอบคุณครับ” เป็งยกมือไหว้
“ต่อไปนี้คุณนิดจะเรียกใช้อะไร ไอ้ผลยอมตายถวายหัวเลยครับ”
ผลพูดจบก็มองหน้านริศราแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย นริศรายิ้มรับเจื่อนๆ บัวเกี๋ยงรีบดึงแขนผลให้ออกห่างนริศราทันที
“โธ่เอ๊ย...ดีใจอะไรกันนักกันหนา กะอีแค่เปลืองน้ำลายนิดหน่อย ไม่คิดกันมั่งเหรอว่านี่อาจจะเป็นแผนของผู้จัดการก็ได้” บัวเกี๋ยงพูด
“แผนอะไร” นริศราถาม
“เอ้า...ก็จงใจอนุญาตให้พวกคนงานไปกินเหล้า พอมีเรื่องก็ทำตัวเป็นแม่พระนางฟ้ามาโปรดน่ะสิ ลูกไม้ตื้นๆ”
คนงานหลายคนเริ่มโห่ไล่บัวเกี๋ยง
“พี่บัวเกี๋ยงไม่รู้จริงอย่าพูดพล่อยๆ ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ที่คุณนิดช่วยพวกเราวันนี้ คุณนิดต้องถูกพ่อเลี้ยงตัดเงินเดือนด้วยนะ” พรพูดเสียงดัง
นริศราตกใจ “พร...เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“พรขอโทษค่ะคุณนิด แต่เมื่อเช้าพรจะเข้าไปทำความสะอาดเลยได้ยินเข้า”
คนงานแต่ละคนเงียบมองนริศราด้วยความซึ้งใจ นริศรารีบยิ้มกลบเกลื่อน
“อ้าวเป็นอะไรกัน ไม่เอาน่า ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันตั้งใจทำงานพ่อเลี้ยงก็ขึ้นให้เงินให้เท่าเดิม”
“งั้นพวกเราจะช่วยผู้จัดการเต็มที่ค่ะ” ฝ้ายบอก
“ต่อไปนี้ คุณนิด มีอะไรไม่เข้าใจถามผมได้นะครับ” หนานออกตัว
คนงานทุกคนต่างก็ยิ้มให้กับนริศรา นริศรายิ้มปลาบปลื้มจนน้ำตาแทบไหล ระหว่างนั้นภูชิชย์ก็เดินเข้ามา
“จับกลุ่มทำอะไรกัน นี่มันได้เวลาทำงานแล้วนี่”
คนงานเห็นดังนั้นก็ถึงกับแตกกระเจิง หลายคนที่กินข้าวอยู่กับรีบยกจานข้าวไปคืน ภูชิชย์เดินมาหานริศราพร้อมกับตำหนิ
“คุมคนงานให้ทำงานตรงเวลา ไม่ใช่พาเขาสายซะเอง”
นริศราดูเวลา “เหลืออีกห้านาที ไม่ถือว่าสายนะคะ”
นริศราพูดจบก็เดินไปทันที แม่อุ้ยเรียก
“อ้าวคุณนิด ไม่ทานข้าวหน่อยเหรอคะ”
“ฮึ...ไม่มีระเบียบวินัย มาตั้งนานแทนที่จะรีบกินข้าวมัวทำอะไรอยู่” ภูชิชย์ว่า
“คุณนิดมาแจ้งข่าวดีคนงานค่ะ พวกเรามัวแต่ขอบคุณคุณนิด เธอเลยไม่ได้ทานข้าว”
แม่อุ้ยอธิบายแทน ภูชิชย์ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภูชิชย์กลับมานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาลุกไปดูที่หน้าต่างสักพักก็เดินออกจากห้องทำงานไป บัวเกี๋ยงที่ล้างจานเสร็จแล้วกำลังเช็ดอ่างอยู่ในห้องครัวของสำนักงาน
“เก็บอาหารเช้าแล้วเหรอ” ภูชิชย์เดินเข้ามาถาม
บัวเกี๋ยงงง “บัวเกี๋ยงทิ้งอาหารที่เหลือหมดแล้วค่ะ พ่อเลี้ยงทานไม่อิ่มเหรอคะ เดี๋ยวบัวไปทำให้ใหม่ดีไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
บัวเกี๋ยงมองภูชิชย์อย่างสงสัยแต่ก็ยอมเดินออกไป พอเห็นบัวเกี๋ยงเดินออกไปแล้วภูชิชย์ก็เปิดตู้เย็นแล้วหยิบขนมปังมาทำแซนด์วิชทันที
บัวเกี๋ยงโผล่หัวมาแอบดูภูชิชย์บรรจงทำแซนด์วิชด้วยความสงสัย
ภูชิชย์ถือกล่องแซนวิชเดินตามหานริศราตามมุมต่างๆ ทั่วไร่องุ่นแต่ก็ไม่เจอ ระหว่างนั้นลุงปั๋นเดินมาเห็นพอดีก็เลยทักภูชิชย์
“พ่อเลี้ยงมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณนิดอยู่นี่หรือเปล่า” ภูชิชย์ถาม
“เพิ่งออกไปครับ” ลุงปั๋นตอบ
“ไปไหน”
“คอกวัวครับ เห็นคุยกับไอ้เป็งว่าอยากดูการรีดนม”
ภูชิชย์รีบขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไปทันที บัวเกี๋ยงที่มาแอบดูก็รีบถีบจักรยามาจากอีกด้านแล้วจอดที่ลุงปั๋น
“พ่อเลี้ยงคุยอะไรกับลุง” บัวเกี๋ยงถาม
“มาถามหาคุณนิด” ลุงปั๋นตอบ
“เช๊อะ...ที่แท้ก็ทำมาให้มัน” บัวเกี๋ยงขัดใจ
ลุงปั๋นงง “มันไหน แล้วใครทำอะไรให้มันวะ”
บัวเกี๋ยงไม่สนใจลุงปั๋นรับถีบจักรยานกลับไปทันที
“อะไรของมันวะ” ลุงปั๋นงง
นริศรากำลังดูคนงานรีดนมวัวอยู่ที่ฟาร์มวัว จากนั้นเธอก็เช็คนมที่รีดได้
“เวลาที่เหมาะกับการรีดนมก็จะเป็นสองเวลาคือ เช้าตรู่อย่างที่เราทำแล้วก็ตอนเย็นครับ” เป็งบอก
ภูชิชย์ขับรถมาถึงด้านหน้าฟาร์มวัวแล้วก็เห็นรถกระบะของนริศราจอดอยู่ เขารีบลงจากรถไปพร้อมกล่องแซนวิชแล้วเดินไปที่โรงรีดนมวัว
ภูชิชย์เดินมาถึงนริศราเห็นเขาแต่ก็ไม่สนใจยังคงทำงานต่อไป ภูชิชย์เดินมาถึงบริเวณที่นริศราทำงานอยู่
“แม่อุ้ยบอกว่าเธอยังไม่ได้กินข้าว ฉันเลยเอามาให้” ภูชิชย์เปิดกล่องแซนวิชแล้วยื่นให้
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่หิว” นริศราบอก
นริศราเผลอมองกล่องแซนวิชแล้วท้องก็ร้องขึ้นมา ภูชิชย์ได้ยินเข้าก็ขำ
“ขนาดท้องมันยังรู้จักรักตัวเองเล๊ย กินซะหน่อยแล้วกัน” ภูชิชย์แซว
“มันร้องได้มันก็เงียบเองได้ คุณไม่เกี่ยว” นริศราว่า
“แต่ฉันไม่อยากฟัง เสียงมันไม่เพราะ”
“ไม่อยากฟังก็หลบไปสิ ฉันจะไปทำงาน ยืนขวางอยู่ได้เสียเวลา”
นริศราเดินหลีกไปดูการรีดนมต่อ ภูชิชย์มองอย่างโมโห
“ไม่กินก็อย่ากิน ฉันกินเองก็ได้”
ภูชิชย์หยิบแซนวิชขึ้นมากินเอง นริศราที่ทำงานอยู่ไม่ไกลเห็นภูชิชย์กินก็เริ่มหิว ภูชิชย์ที่กินอยู่พอเห็นนริศราแอบมองก็ยิ้มเยาะแล้วทำท่ากินอย่างเอร็ดอร่อย
“สมน้ำหน้าเล่นตัวดีนัก”
ภูชิชย์พึมพำแล้วทานจนหมดจากนั้นก็เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นริศรามองตามพอรถภูชิชย์ลับตาไป เธอก็เอามือลูบท้องตัวเอง
พิสุทธิ์ตื่นขึ้น แล้วลุกขึ้นมานั่งด้วยความเซ็ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด แต่ก็ได้ยินเสียงบอกว่า ไม่สามารถติดต่อได้ “นิด ใจคอจะไม่รับรู้หรือไงว่าเราเป็นห่วง”
พิสุทธิ์ลุกขึ้นแล้วเดินไปมองออกไปนอกหน้าต่าง
พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์ฟังลูกชายแล้วก็มีสีหน้าตกใจ
“อะไรนะโป๊ะ ทำไมลูกถึงจะไม่กลับไปเรียนต่อ ก็เหลืออีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วไม่ใช่เหรอ” แม่ของพิสุทธิ์ถามด้วยความตกใจ
“ครับ แต่ผมอยากกลับไปเรียนพร้อมนิด” พิสุทธิ์บอก
พ่อของพิสุทธิ์ฉุนกึก “ไร้สาระ นี่แกจะทิ้งอนาคตเพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าผมจะทิ้งนะครับ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน ถ้าเกิดเขาไม่ยอมกลับไปเรียน แกไม่ต้องเสียอนาคตแกไปด้วยเหรอ” พ่อถามพิสุทธิ์
“เอาอย่างนี้ได้ไหมครับ ช่วงนี้ผมก็ทำงานที่บริษัทไปก่อน นิดพร้อมกลับไปเรียนเมื่อไหร่ผมก็จะไปกับเขา”
“โป๊ะ...อย่าทำแบบนี้เลย ถ้าลูกจบช้า หรือไม่ได้กลับไปเรียน พ่อกับแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคิดบ้างหรือเปล่า” แม่ถาม
“คุณแม่ครับ ที่ต่างประเทศน่ะ เราจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ที่เราพร้อม ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ห่วงหน้าตามากนัก ผมคิดว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่านี้นะครับ”
พูดจบพิสุทธิ์ก็ลุกเดินออกจากห้องอาหารไปทันที พ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยความกลุ้มใจ
“คุณคะ เราจะทำยังไงกันดี” แม่ของพิสุทธิ์เริ่มกังวล
พิสุทธิ์ขับรถมาจอดหน้าบ้านของลัคนาแล้วเขาก็ลงมากดออด เด็กรับใช้รีบวิ่งมาดู
“ผมอยากจะรู้ว่าที่นี่พอจะทราบไหมครับว่านิดเขาอยู่ที่ไหน” พิสุทธิ์ถาม
เสียงลัคนาดังสวนขึ้นมาจากในบ้าน “นิดไม่อยู่”
ลัคนาเดินมาที่หน้ารั้วบ้านแล้วพยักหน้าให้เด็กรับใช้เดินไป
“ผมทราบครับ แต่ผมอยากจะขอที่อยู่ของนิดครับ” พิสุทธิ์บอก
“ที่นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่ได้บอกไว้” ลัคนาตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำ
“ถ้างั้นผมฝากข้อความได้ไหมครับ เผื่อนิดติดต่อกลับมาช่วยบอกเขาด้วยว่า..”
“ขอโทษนะ” ลัคนาพูดแทรกขึ้น “เธอเป็นเพื่อนกันก็ไปหาทางบอกกันเอาเองแล้วกัน”
พูดจบลัคนาก็เดินเข้าบ้านไปทันที พิสุทธิ์มองตามอย่างเซ็งๆ แล้วเดินกลับไปที่รถ เขายืนคิดอยู่ข้างรถตัวเอง
“บอกแต่ว่าบินไปเชียงใหม่ แล้วจะไปหาเจอได้ยังไง”
บัวเกี๋ยงคุยโทรศัพท์รายงานให้สุพัฒนาฟังอยู่ภายในห้องพักของเธอ
“โธ่...นี่ตกลงคุณเล็กไม่กลับบ้านเหรอคะ” บัวเกี๋ยงผิดหวัง
“กลับบ้าอะไรล่ะ ฉันต้องดูก่อน ถ้าไม่เป็นอะไรฉันจะรีบกลับแน่” สุพัฒนาบอก
“คุณเล็กต้องรีบๆกลับนะคะ ตอนนี้มันรุกคืบกับพ่อเลี้ยงมาก เมื่อคืนกลับมาก็คุยกันสองคน เมื่อเช้าก็คุยกันอีก พ่อเลี้ยงตามไปส่งข้าวส่งน้ำถึงในไร่เลยนะคะ” บัวเกี๋ยงฟ้อง
“นี่พี่ภูกล้าทำแบบนี้เลยเหรอ”
“ก็คุณเล็กใจดีเกินไป พ่อเลี้ยงก็ได้ใจสิคะ เมื่อวานนี้กว่าจะกลับก็ดึกดื่น เช้ายังมาอี๋อ๋อนังนิดมันอีก”
“เดี๋ยว แกบอกเมื่อคืนพี่ภูกลับดึกเหรอ เขาไปไหน”
“อ้าว...ก็ไปบ้านนังเจ้าน้อยน่ะสิคะ บัวเกี๋ยงยังนึกว่าคุณเล็กยอมให้ไป เห็นนังเจ้าน้อยมันมารับหน้างี้บานเลยค่ะ แถมพอเมื่อคืนคนงานมีเรื่อง พ่อเลี้ยงก็พามันไปประกันคนงานที่โรงพักด้วยนะคะ”
สุพัฒนาได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าโกรธจัด เธอกำผ้าปูที่นอนแน่น
“พี่ภู...ทำไมทำกับเล็กแบบนี้”
ท้องฟ้าทั่วบริเวณไร่สุพัฒนาอึมครึมเหมือนฝนจะตก นริศรายังคงดูการตรวจสุขภาพวัวอยู่ที่ฟาร์ม เธอยืนจดตามที่คนงานบอกอย่างละเอียด
“วันนี้เรียบร้อยแล้วครับ” เป็งบอก
“ขอบใจมากนะ” นริศราพูด
ทันใดนั้น หนานก็วิ่งเข้ามาหานริศรา
“คุณนิดครับ ไม้ที่จะต่อคอกวัวใหม่มาแล้วคุณนิดจะไปดูเลยหรือเปล่าครับ”
“อยู่ไหนล่ะ พาฉันไปหน่อย”
นริศราจะเดินไปแล้วก็ต้องชะงักเพราะเธอรู้สึกใกล้จะหน้ามืด หนานกับเป็งและคนงานเห็นเข้าก็ตกใจ
“คุณนิดเป็นอะไรครับ” หนานถาม
“อ๋อ..เปล่า ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ” นริศราตอบ
คนงานจึงพานริศราเดินไปทันที
เวลาผ่านไป นริศรากับคนงานมายืนดูคอกวัวที่ยังสร้างไม่เสร็จ นริศราเซ็นเอกสารรับไม้ที่ส่งมาแล้วส่งให้คนงาน คนงานขึ้นรถบรรทุกขับออกไป
ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมา นริศรากับคนงานวิ่งไปหลบฝนที่ศาลาใกล้ๆ
“ฝนตกแบบนี้ผมว่ากลับไปกินข้าวกลางวันก่อนดีกว่านะครับ” หนานแนะนำ
“ก็ดีนะ งั้นบ่ายๆค่อยกลับมาทำใหม่ ฉันก็หิวแล้ว” นริศราบอก
นริศราจะเดินไปแล้วก็ต้องชะงักอีกเพราะไม่มีแรง
“คุณนิด” เป็งเห็นสภาพผู้จัดการหญิงก็เป็นห่วง
“ไม่เป็นไร คงเป็นเพราะยังไม่ได้ทานข้าวน่ะ รีบไปกันเถอะ” นริศราบอก
บรรดาคนงานรีบวิ่งไปขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไป นริศรารีบวิ่งไปที่รถประจำตำแหน่งของตัวเอง
ทันใดนั้น นริศราเห็นไม้ที่อยู่ในส่วนของประตูคอกวัวใหม่จะหลุดออกมา เธอจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปดันไม้ให้กลับเข้าที่
แต่แล้วนริศราก็หมดแรงจะเป็นลมทำให้พยุงไม้ต่อไม่ไหว ไม้ยิ่งหลุดมากขึ้นจนเหวี่ยงตัวนริศราล้มหลุดลงไปทันที
บัวเกี๋ยงตั้งโต๊ะอาหารในห้องรับประทานอาหารที่สำนักงานเสร็จ ภูชิชย์กับนิพนธ์เดินออกจากห้องทำงานมาดูกับข้าว
“มื้อนี้บัวเกี๋ยงทำเป็น แกงอ่อม น้ำพริกหนุ่ม ผัดผัก” บัวเกี๋ยงบอก
ภูชิชย์พูดสวนขึ้น “ที่โรงอาหารทำอะไรกิน”
“อุ๊ย ฝีมือระดับแค่แม่อุ้ย จะทำอะไรได้คะ ก็พวกอาหารพื้นๆ ไขเจียว แกงจืดเต้าหู้ ผัดผักอะไรพวกนี้แหล่ะค่ะ” บัวเกี๋ยงตอบแกมเหยียดหยาม
“นิพนธ์ นายทานคนเดียวนะ ฉันจะไปทานที่โรงอาหาร” ภูชิชย์บอก
“ผมไปด้วยสิครับ ไม่ได้ไปทานฝีมือแม่อุ้ยมาหลายวันแล้ว คิดถึง” นิพนธ์พูด
แล้วภูชิชย์กับนิพนธ์ก็เดินออกจากห้องไป บัวเกี๋ยงมองตามด้วยสายตาขุ่น
“บ้าจริง ทำของดีๆไม่กิน”
ด้านนอกโรงอาหารของคนงานฝนยังคงตกแรง คนงานนั่งหลบฝนรับประทานอาหารกันจนแน่นโรง โดยมีแม่อุ้ยกับพรช่วยกันตักข้าวกับอาหารแจก ภูชิชย์กับนิพนธ์เดินกางร่มเข้ามาดูอาหาร
“โห..แม่อุ้ย น่าทานจัง ขอฉันกินด้วยนะ” นิพนธ์ชม
“ตามสบายค่ะ” แม่อุ้ยบอก
“แล้วนี่ผู้จัดการขวัญใจแม่อุ้ยไปไหนซะล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“เอ...ยังไม่มาเลยนะคะ”
“ไม่ใช่ไปเป็นลมสลบอยู่ที่ไหนนะ” ภูชิชย์เปรย
“พ่อเลี้ยง อย่าพูดเป็นลางสิคะ เมื่อเช้าคุณนิดแกยิ่งไม่ได้ทานข้าวไปด้วย ฉันเป็นห่วง” แม่อุ้ยเป็นห่วง
นิพนธ์ตกใจ “อะไรนะครับ คุณนิดยังไม่ได้ทานข้าวอีกเหรอครับ”
ทันใดนั้น รถกระบะของคนงานก็แล่นเข้ามาจอด บรรดาคนงานวิ่งฝ่าฝนเข้ามาในโรงอาหาร
“เห็นคุณนิดไหม” ภูชิชย์ถาม
“ครับ ขับรถตามกันมาแล้ว เดี๋ยวคงถึงครับ” เป็งตอบ
ภูชิชย์กับนิพนธ์พยักหน้ารับ
แต่นริศรายังคงนอนสลบตากน้ำฝนอยู่ที่กองไม้ที่คอกวัวนั่นเอง
ฝนยังคงตกหนักทั่วบริเวณโรงอาหาร คนงานส่วนใหญ่กำลังกินอาหาร ภูชิชย์กับนิพนธ์ก็กำลังนั่งกินอาหารกับลุงปั๋น แม่อุ้ย พร ผลและคนงานอื่นๆ ภูชิชย์กับนิพนธ์กินได้ไม่มากเพราะมัวแต่มองออกไปด้านนอกโรงอาหารเป็นระยะๆ
บัวเกี๋ยงมายืนแอบดูอย่างไม่พอใจ
“ที่แท้ก็แห่กันมาหานังนิด”
บัวเกี๋ยงเดินออกมาจากมุมที่แอบอยู่แล้วเดินไปตักอาหารมานั่งร่วมโต๊ะด้วย
“นี่มันนานเกินไปแล้วนะครับพ่อเลี้ยง ทำไมคุณนิดยังไม่มาอีก” นิพนธ์พูดขึ้น
“นั่นสิคะ ปกติแกก็ไม่เคยช้านะคะ มีแต่จะรีบมากินแล้วรีบออกไปทำงาน” แม่อุ้ยชักเป็นห่วงหนัก
“อาจจะแอบหนีไปกินนอกไร่แล้วมั้งคะ” บัวเกี๋ยงเปรยขึ้น
“พี่บัวเกี๋ยงก็พูดเข้า คุณนิดไม่เคยออกไปไหนจะไปกินนอกไร่ได้ยังไง” พรดุ
“พ่อเลี้ยงครับ ผมขอออกไปตามคุณนิดนะครับ” นิพนธ์พูด
“ฉันไปด้วย” ภูชิชย์บอก
แล้วภูชิชย์กับนิพนธ์ก็ลุกไปยังโต๊ะคนงานที่เพิ่งกลับมาจากคอกวัว
“เมื่อกี้แยกกับผู้จัดการที่ไหน” ภูชิชย์ถามคนงาน
“ที่คอกวัวใหม่ครับ” เป็งตอบ
ภูชิชย์กับนิพนธ์รีบเดินขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที บัวเกี๋ยงมองตาขุ่น
“เจ้าพ่อคู้ณ ขอให้พบศพโดยเร็วเถิด” บัวเกี๋ยงพูดพร้อมกับยกมือไหว้
“อีบัวเกี๋ยง มันจะมากไปแล้วนะ” ลุงปั๋นดุ
บัวเกี๋ยงยักไหล่ทำว่าไม่แคร์
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
รักประกาศิต ตอนที่ 3 (ต่อ)
นริศรายังคงนอนสลบตากฝนอยู่ข้างกองไม้ที่สูงจนบังร่างเธอเอาไว้ รถของภูชิชย์แล่นมาจอดใกล้ๆ รถประจำตำแหน่งของนริศรา ภูชชิย์กับนิพนธ์ที่อยู่ในรถมองฝ่าฝนไปรอบบริเวณ
“นั่นไงครับรถคุณนิด” นิพนธ์ชี้ให้ดู
“แล้วตัวแม่นั่นอยู่ไหน” ภูชิชย์ถาม
นิพนธ์มองไปรอบๆ “เราลงไปหากันดีกว่าครับ”
ภูชิชย์กับนิพนธ์ลงจากรถแล้วฝ่าฝนเดินหา แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของนริศรา
นิพนธ์ตะโกน “คุณนิด...คุณนิดอยู่ไหนครับ”
ภูชิชย์วิ่งไปดูที่รถแล้วพยายามมองเข้าไปด้านในจากนั้นเขาก็เปิดประตูออก ภูชิชย์เห็นว่ากุญแจรถยังเสียบอยู่ “ไปไหนของเขานะ”
“พ่อเลี้ยงครับ คุณนิดอยู่ที่นั่น”เสียงของนิพนธ์ดังขึ้น
ภูชิชย์วิ่งเข้ามาหา ทั้งคู่มองเห็นขาของนริศราโผล่มาจากกองไม้ ทั้งหมดรีบวิ่งเข้าไปก็เห็นนริศรากำลังนอนสลบและมีเลือดออกจากศรีษะ
นิพนธ์เขย่าตัว “คุณนิด...คุณนิดครับ”
“นิพนธ์เปิดรถให้หน่อย”
ภูชิชย์สั่งแล้วรีบอุ้มนริศราขึ้นมา โดยมีนิพนธ์คอยช่วย ทั้งสองเอานริศราขึ้นรถแล้วนิพนธ์ก็ขับรถออกไป
เวลาผ่านไป หมอกำลังตรวจอาการนริศราที่นอนอยู่บนเตียงของภูชิชย์ นริศราถูกเปลี่ยนชุดใหม่และมีผ้าปิดแผลที่หัวแล้ว ภูชิชย์กับนิพนธ์ที่อยู่ในชุดใหม่ยืนดูอยู่ด้วย
หมอตรวจเสร็จก็ลุกมาคุยกับภูชิชย์และนิพนธ์ จากนั้นพยาบาลก็เข้าไปจัดการใส่สายน้ำเกลือให้
“คนไข้มีไข้สูง คงเพราะนอนตากฝนนานเกิดไป เดี๋ยวผมจะฉีดยาให้ก่อน แล้วก็จะให้ยาไว้ด้วยนะครับ” หมอรายงาน
“แล้วที่คุณนิดสลบไปนี่จะมีผลอะไรไหมครับ” นิพนธ์ถาม
“แต่ถ้าคนไข้ฟื้นขึ้นมาแล้วมีปวดศรีษะด้านที่เป็นแผลมาก พ่อเลี้ยงต้องพาไปโรงพยาบาลนะครับ ผมจะเอ็กซเรย์ดูอาการให้นะครับ แต่ถ้าไม่ปวดไม่มีอะไร ก็อาจจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลีย หรือไม่ได้ทานอาหารก็เลยเป็นลมครับ” หมอบอก
ภูชิชย์มองร่างนริศราที่นอนอยู่บนเตียงสีหน้าเครียด
ภูชิชย์กับนิพนธ์ไหว้ลาหมอ หมอกับพยาบาลขึ้นรถขับออกไป ภูชิชย์จะเดินเข้าบ้านแต่นิพนธ์เรียกเอาไว้
“พ่อเลี้ยงครับ ผมมีอะไรอยากจะขอร้อง”
“ว่าไง” ภูชิชย์ถาม
“ให้ผมเป็นพี่เลี้ยงคุณนิดเถอะครับ สักเดือนหนึ่งก็ยังดี ให้เธอคล่องงานก่อนแล้วผมจะปล่อยเธอ” นิพนธ์ขอ
“แล้วงานสำนักงานล่ะ นายจะไหวเหรอทำงานสองเท่า”
“ไม่เป็นไรครับ มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้คุณนิดไปลุยทำงานแบบไม่มีทิศทางแบบนี้ ผมกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบวันนี้อีก”
ภูชิชย์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องหรอก”
ภูชิชย์เดินเข้าบ้านไป นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“พ่อเลี้ยงเขาคิดอะไรของเขานะ”
รถไฟฟ้าบีทีเอสแล่นผ่านย่านธุรกิจ บริษัท สุพัฒนาการเกษตรตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านธุรกิจนั้น มัลลิกานั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะ เธอมองผ่านกระจกไปในห้องวิทวัสเห็นวิทวัสกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มัลลิกามีสีหน้าสงสัย “คุยกับใคร หรือจะเป็นอีนังลูกค้าที่โทรมาวันก่อน”
มัลลิกาหยิบกระดาษจากเครื่องพิมพ์มาใส่แฟ้มแล้วรีบลุกออกไปทันที
วิทวัสกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ภายในห้องทำงาน
“ได้ครับ เย็นนี้ผมไม่ได้นัดลูกค้าที่ไหน เลยว่าจะชวนคุณกับลูกไปทานข้าวนอกบ้าน”
ทันใดนั้นมัลลิกาที่ถือแฟ้มเล่มหนึ่งก็เปิดประตูแล้วเดินยิ้มเข้ามา วิทวัสตั้งหลักแทบไม่ทัน
“เอาสิร้านนั้นก็ดี...เอ่อ....แค่นี้ก่อนนะครับ”
วิทวัสรีบตัดบทแล้วกดวางสาย มัลลิกาเดินมาถึงโต๊ะพอดี
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อน” วิทวัสถาม
“อุ๊บส์ มอลลี่คงลืมน่ะค่ะ ขอโทษด้วย” มัลลิกาตอบ แล้วเธอก็ถือวิสาสะลงไปนั่งยิ้มหวานต่อหน้าวิทวัส
“พี่วัส มีนัดเย็นนี้เหรอคะ” มัลลิกาถาม
“เอ่อ...เปล่านี่”
“แต่มอลลี่ได้ยินนี่คะว่าพี่วัสบอกว่าร้านนั้นก็ดี ถามจริงๆนะคะ ไม่ใช่ลูกค้าใช่ไหม เพราะเย็นนี้พี่วัสไม่มีนัด”
วิทวัสรีบบ่ายเบี่ยง “อ๋อ...ไม่มีอะไร ก็เพื่อนผมโทรมาถามร้านอาหาร ผมก็เลยบอกไปว่าร้านที่เขาได้ยินมาก็ดี ผมเคยไปแล้ว”
“อ๋อ...เป็นแบบนี้เอง เอ๊ะ แต่มันเป็นร้านอะไรคะ พามอลลี่ไปวันนี้เลยได้ไหมคะ”
มัลลิกาจ้องตาวิทวัสพร้อมกับยิ้มหวานใส่
“ผมไม่ไปไหนกับลูกน้องสองต่อสอง มันดูไม่ดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่วัสไม่อยากพาไปก็ได้” มัลลิกายื่นแฟ้มให้ “จดหมายให้กระทรวงกระเกษตรฯค่ะ”
วิทวัสหยิบแฟ้มมาดู มัลลิกามองวิทวัสแล้วลอบยิ้มร้ายๆ
มัลลิกาเดินออกมาจากตึกแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป สักพักวิทวัสก็เดินออกมาดู เมื่อเห็นรถมัลลิกาเลี้ยวออกไปแล้วเขาก็เป่าปากอย่างโล่งอก
วิทวัสเดินตรงไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอีกทาง รถมัลลิกาจอดแอบดูอยู่อีกมุมหนึ่ง เมื่อเห็นรถวิทวัสขับไปมัลลิกาก็รีบขับรถตามทันที
วิทวัสขับรถมาจอดที่หน้าร้านๆ หนึ่งแล้วก็เดินลงจากรถไป สักพักมัลลิกาก็ขับรถแล่นเข้ามาจอดห่างจากรถวิทวัสพร้อมกับแสยะยิ้ม
“ฮึ...นี่น่ะเหรอกลับบ้าน”
วิทวัสเดินเข้าร้านมาแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ เมื่อเอามือจับตามตัวแล้วไม่เจอก็เดินออกไปที่รถ วิทวัสเดินออกมาก็ต้องชะงักเพราะเห็นรถของมัลลิกาจอดอยู่ “เฮ้ย”
วิทวัสแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินไปเปิดประตูรถของตัวเอง มัลลิกาที่ก้มหัวแอบอยู่ค่อยๆ โผล่ออกมาดู เธอเห็นวิทวัสเดินกลับเข้าไปในร้าน
มัลลิกาเป่าปากอย่างโล่งอก “เกือบไปแล้วสิ”
มัลลิการีบหยิบกระเป๋าแล้วลงจากรถทันที
วิทวัสเดินเข้ามาไปในร้านแล้วรีบไปหลบมุม จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด รัชนิดาที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่กับลูกกดรับที่เพิ่งดังแล้วเอ่ยถาม
“ถึงหรือยังคะคุณวัส”
วิทวัสยังคงยืนหลบมุมคุยกับรัชนิดา
“ดา...ผมอยู่ในร้านแล้วนะ แต่เราคงต้องหนีไปก่อน”
“หนี...หนีใครคะ” รัชนิดาตกใจ
“คนของคุณเล็ก เดี๋ยวดาจ่ายเงินแล้วพาลูกหนูไปเจอกับผมที่หน้าร้านนะ”
รัชนิดากดวางสายแล้วรีบหยิบเงินขึ้นมาวาง
“ไปค่ะลูกหนูคุณพ่อคอยอยู่ข้างนอก” รัชนิดาพูดกับลูก
มัลลิกาเดินเข้ามาในร้านแล้วก็มองหาวิทวัส แต่เธอไม่เห็นว่าวิทวัสกำลังย่องออกจากที่ซ่อนที่อยู่ด้านหลังของเธอ วิทวัสค่อยเดินหลบไปข้างนอก
รัชนิดาอุ้มลูกในชุดนักเรียนอนุบาลเดินผ่านมา มัลลิกาเดินไปขวางรัชนิดาโดยไม่ตั้งใจ ทั้งสองยืนขวางกันไปมาอยู่สักพัก
รัชนิดายิ้มแล้วพูด “ขอโทษคะ”
มัลลิกายิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ”
มัลลิกาหยุดขยับ รัชนิดาจึงอุ้มลูกเดินเลี่ยงไปอีกทาง มัลลิกาไม่ได้สนใจรัชนิดา เธอพยายามเดินมองให้ทั่วแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของวิทวัส เธอจึงตัดสินใจถามพนักงาน
“โทษนะคะ เห็นผู้ชายตัวสูงๆหล่อๆที่เดินเข้าร้านมาเมื่อกี้ไหมคะ”
พนักงานพยายามนึก “ไม่เห็นนะคะ”
“ไม่เห็นได้ยังไง ลองนึกดูดีๆสิคะ เขาเพิ่งเข้ามาก่อนหน้าดิฉันแป๊บเดียวเอง” มัลลิกาหันไปมองที่นอกร้าน “ก็รถเขายังจอดข้างหน้าร้านเลยนั่นไง”
มัลลิกาชี้ไปที่รถแล้วก็ต้องผงะเพราะเธอเห็นด้านหลังรถของวิทวัสที่กำลังแล่นออกไป
“พี่วัส” มัลลิการีบวิ่งออกไปนอกร้านทันที
วิทวัสขับรถโดยมีรัชนิดาและลูกนั่งด้วยที่ด้านหลัง
รัชนิดาตกใจที่รู้เรื่องจากสามี “จริงเหรอคะ นี่ถึงขนาดสะกดรอยตามเลยเหรอคะ”
“ผมผิดเองที่ไม่ทันระวังตัว” วิทวัสบอก
“ไม่เป็นไรค่ะอย่าคิดมากเลยนะคะ”
“คุณพ่อคุณแม่ขา ลูกหนูยังทานข้าวไม่เสร็จเลย ลูกหนูหิว” ลูกของวิทวัสบอก
“งั้นลูกหนูอยากทานอะไรล่ะคะ พ่อจะได้หาร้านให้ได้”
“ลูกหนูอยากทาน ซุปข้าวโพด กับไก่ทอดฝีมือคุณแม่ค่ะ” ลูกของวิทวัสบอก
“ได้เลยครับ พ่อก็คิดว่าทานข้าวฝีมือคุณแม่นี่แหล่ะวิเศษที่สุด”
“แหม...คุณแม่ว่าจะหยุดพักสักวัน แต่แฟนคลับเรียกร้องแบบนี้กลับบ้านก็ได้ค่ะ” รัชนิดาพูดพร้อมกับยิ้ม
“ไชโย ลูกหนูรักคุณพ่อคุณแม่ที่สุดในโลกเลย”
ลูกของวิทวัสชะโงกหน้าไปหอมแก้มรัชนิดาหนึ่งที แล้วก็หอมแก้มวิทวัสหนึ่งทีสลับไปสลับมาอีกหลายครั้ง วิทวัสกับรัชนิดายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ที่ห้องพักในโรงพยาบาล สุพัฒนานั่งฟังมัลลิกาเล่าด้วยความโกรธ
“แล้วมอลลี่เห็นหรือเปล่า ว่ามีผู้หญิงที่ไหนนั่งรถออกไปกับพี่วัส”
มัลลิกาส่ายหน้า “มอลลี่ดูไม่ทัน คุณวัสขับออกไปเร็วมาก”
“แต่มอลลี่แน่ใจนะว่ามีคนนั่งไปด้วย” สุพัฒนาถามย้ำ
มัลลิกาส่ายหน้า “อันนี้ก็ไม่แน่ใจอีก”
“เป็นไปได้ไหมว่าพี่วัสจะไปคนเดียว”
“แหม...คุณเล็ก พี่วัสคงจะบ้าโทรศัพท์คุยคนเดียว ไปร้านอาหารคนเดียว แล้วก็วิ่งออกมาภายในห้านาทีคนเดียวหรอกนะ งานนี้มอลลี่มั่นใจว่าพี่วัสต้องมีแฟนแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ พี่วัสจะกล้ามีแฟนอีกได้ไงถ้าคุณเล็กไม่ยอมรับ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าพี่วัสเคยมีมาแล้วน่ะสิ”
สุพัฒนามีสีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องของวิทวัสกับรัชนิดาในอดีต
ภาพในอดีตผุดขึ้นมา วิทวัสกำลังเดินจูงมือรัชนิดาเข้ามาในห้องทำงานอย่างมีความสุข
“ขอคุณเล็กหัวเราะด้วยคนสิ” เสียงสุพัฒนาดังขึ้น
สุพัฒนาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานของวิทวัสค่อยๆ หมุนเก้าอี้มา วิทวัสกับรัชนิดาตกใจรีบแกะมือออกจากกัน
“คุณเล็ก มากรุงเทพฯทำไมไม่เห็นบอกพี่เลย จะได้ไปรับ” วิทวัสตกใจ
“ถ้าคุณเล็กบอกก็คงไม่ได้เห็นอะไรอุบาทว์ๆแบบนี้สิคะ” สุพัฒนาแขวะ
“คุณเล็กทำไมพูดแบบนี้ ไม่สุภาพเลยนะ” วิทวัสตำหนิ
“แล้วที่พี่วัสทำล่ะดีตายแล้ว พี่วัสเป็นเจ้าของบริษัท ทำไมถึงไปเกลือกกลั้วกับเลขาต่ำๆแบบนี้”
“คุณเล็ก คุณดาเขาต่ำตรงไหน เขามีการศึกษา ประวัติก็ดี คุณเล็กไม่ควรไปว่าเขาแบบนี้นะ”
“คนเกิดมาจนกว่าเราก็ต่ำหมดแหล่ะ พี่วัสจะหาพี่สะใภ้ให้เล็กทั้งที หัดคัดเกรดคนซะบ้างสิคะ”
“คุณเล็ก ถ้าจะมาหาเรื่องก็กลับไปดีกว่า” วิทวัสไล่
“พี่วัสไม่มีสิทธิ์ไล่เล็ก ลืมไปแล้วเหรอว่าเล็กก็มีหุ้นในบริษัทนี้เท่าๆกับพี่วัส ถ้าจะไล่ต้องไล่มันต่างหาก”
พูดจบสุพัฒนาก็ชี้หน้ารัชนิดาทันที
“คุณเล็ก พอได้แล้ว พี่ไม่ใช่พี่ภูนะ ที่คุณเล็กจะมาบงการได้”
สุพัฒนากำมือแน่น “ได้...แล้วเราจะได้เห็นกัน”
สุพัฒนาเริ่มหอบจากนั้นก็ทำท่าเหมือนไม่มีแรง วิทวัสกับรัชนิดาจะเข้ามาดูแต่สุพัฒนาตวาดลั่น “ปล่อยฉัน อย่ามาแตะตัวฉันทั้งสองคน”
สุพัฒนาเดินออกไปจากห้องทันที
ภาพเหตุการณ์ในอดีตยังคงผุดขึ้นมาอีก วันต่อมารถตู้ของสุพัฒนาจอดอยู่ด้านหน้าบริษัท รัชนิดาเดินลงมาเห็นว่าประตูอัตโนมัติของรถตู้เลื่อนออก เธอเห็นสุพัฒนานั่งอยู่ข้างใน รัชนิดาจึงเดินเข้าไปหา
“พี่วัสไม่รู้ใช่ไหมว่าเธอออกมาหาฉัน” สุพัฒนาถาม
“คุณวัสไปประชุมที่บริษัทลูกค้าค่ะ” รัชนิดาตอบ
“งั้นเธอไปกับฉัน”
รัชนิดาเริ่มกลัว “เอ่อ...แต่ว่า”
“อย่าดัดจริตเป็นนางเอกขี้กลัวหน่อยเลย ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก แค่อยากคุยด้วย”
รัชนิดาลังเลชั่วครู่แล้วก็ตัดสินใจขึ้นรถไปกับสุพัฒนา
สุพัฒนาเปิดประตูพารัชนิดาเดินเข้ามาในห้องของวิทวัสที่คอนโด
“เธอเคยมาที่นี่แล้วใช่ไหม” สุพัฒนาถาม
“ยังไม่เคยค่ะ” รัชนิดาตอบ
“โกหก....ผู้หญิงข้างถนนง่ายๆอย่างเธอน่ะเหรอ ฉันว่าดีไม่ดีจะขอพีวัสมาเองมากกว่า”
“ถ้าคุณเล็กไม่เชื่อฉันก็ไม่รู้จะว่าไงค่ะ เชิญคุณเล็กพูดธุระดีกว่า”
“ดี...ฉันก็ชอบคนตรงๆ ฉันจะเอาเงินฟาดหัวเธอให้เธอลากออกแล้วออกไปจากชีวิตพี่วัสซะ อยากได้เท่าไหร่ว่ามา”
“คุณเล็กคะ ดิฉันกับคุณวัสรักกันด้วยใจจริง ดิฉันไม่ได้ต้องการเงินค่ะ”
“เชอะ..พูดมาได้ ตะกายมาซะขนาดนี้แล้วมาบอกไม่หวังเงิน ฉันเชื่อเธอก็บ้าแล้ว”
“ฉันว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ ฉันจะกลับไปทำงาน” รัชนิดาตัดบท
“เธอไม่ต้องไปแล้ว ฉันไล่เธอออก”
รัชนิดางง “อะไรนะคะ”
“ไปหาผู้ชายรวยๆคนอื่นเกาะซะ อย่ามายุ่งกับพี่ชายฉัน ถ้าเธอคิดว่าเธอรักพี่ชายฉันจริง เธอก็ไม่ควรพาตัวเองมาถ่วงพี่วัส เพราะมันจะพาลถ่วงตระกูลของพวกเราไปด้วย”
รัชนิดานิ่งเงียบเพราะพูดไม่ออก สุพัฒนามองรัชนิดาแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ
ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน มัลลิกากำลังนั่งฟังเรื่องราวจากปากสุพัฒนา
“อะไรกัน คุณเล็กทำแค่นี้น่ะเหรอ” มัลลิกาถาม
“ก็ให้ทำอะไรอีกล่ะ หลังจากวันนั้นนังเลขานั่นก็มาลาออก พี่วัสห้ามมันก็ไม่ฟังแล้วหายไปเลย”
“อ๋อ...งั้นมันก็คงไปหาที่หมายใหม่แล้วมั้ง”
“แต่นังคนใหม่นี่สิ คุณเล็กอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”
“อุ๊ย....เรื่องนี้ไม่อยาก เดี๋ยวมอลลี่จัดการให้ นอกจากจะสืบให้แล้ว มอลลี่ยังมีโปรโมชั่นจับแยกคู่ให้ด้วยเป็นของแถม คุณเล็กสนใจไหม”
สุพัฒนากับมัลลิกาหัวเราะกันอย่างสะใจ
นริศรายังคงนอนจมกองเหงื่อและกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงของภูชิชย์
“คงเริ่มส่างไข้แล้วครับ” นิพนธ์ที่ดูอยู่บอกภูชิชย์
“แล้วจะทำไงดีล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“จะให้พวกเราเช็ดตัวก็คงลำบาก”
ภูชิชย์พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากครุ่นคิดครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยออกมา
“ผมรู้แล้วว่าจะให้ใครทำ”
เวลาผ่านไป เจ้าทิพย์ดาราติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายให้นริศราที่ยังนอนหลับอยู่ ภูชิชย์กับนิพนธ์เคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
นิพนธ์ช่วยยกอ่างน้ำออกไปวางที่อื่น แล้วเดินกลับมารวมกลุ่ม
“น่าสงสารคุณนิดนะคะ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆแต่ต้องถูกกลั่นแกล้งมาทำงานของผู้ชายอกสามศอก” เจ้าทิพย์ดาราประชด
“อ้าว....เจ้าครับ ตอนแรกบอกผมจะช่วยดูยัยนี่ แต่ทำไมชอบเข้าข้างเขาตลอดเวลา ผมน้อยใจแล้วนะ” ภูชิชย์ตัดพ้อ
“แหม...ก็ผู้หญิงด้วยกันนี่คะ ดูสิให้ไปคุมสร้างคอกวัวงี้ น้อยว่ามันหนักไปนะคะ”
“นั่นสิครับ ผมก็คิดว่ามันหนักไป แต่จะเตือนพ่อเลี้ยงก็กลัวแกไม่ฟัง” นิพนธ์เสริม
“เอา...เอาเข้าไป ช่วยกันรุมผมใหญ่เลย”
“ถ้าไม่อยากให้รุม พ่อเลี้ยงก็ให้คุณนิดกลับมาทำงานเอกสารเหมือนเดิมสิครับ” นิพนธ์เสนอ
“พ่อกับแม่ผมสร้างที่นี่มาสองคนยังทำได้ เขาก็ต้องทำได้” ภูชิชย์อ้าง
นิพนธ์กับเจ้าทิพย์ดารามองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจในความดื้อของภูชิชย์
“เอาล่ะค่ะ น้อยไม่เถียงกับภูแล้ว เดี๋ยวน้อยต้องกลับแล้ว”
“เอ่อ...เจ้าอยู่ค้างที่นี่ไม่ได้เหรอครับ ผมอยากขอให้นอนเป็นเพื่อนเขาหน่อย ผมกลัวว่าคนจะมองไม่ดี” ภูชิชย์ขอ
“ไม่ได้หรอกค่ะภู แค่น้อยขอมาตอนนี้เจ้าพ่อยังไม่ค่อยจะชอบ ขืนอยู่ค้างคืนท่านคงเคืองแย่”
“เอาอย่างนี้สิครับ เราก็ให้พรมาอยู่เป็นเพื่อนคุณนิดแล้วกัน” นิพนธ์เสนอ
“ก็ดีเหมือนกัน” ภูชิชย์เห็นด้วย
พรเดินมาถึงหน้าบ้านพัก เธอเห็นแม่อุ้ยกับคนงานหญิงจำนวนหนึ่งยืนรออยู่
“อาการคุณนิดเป็นไงบ้างวะพร” แม่อุ้ยเอ่ยถาม
“ก็ยังมีไข้ แล้วก็ยังไม่ตื่นเลยจ้ะ” พรตอบ
“งั้นพวกเราไปเยี่ยมได้ไหม” แม่อุ้ยถาม
คนงานหญิงต่างพูดกันระงมเพราะต่างเห็นด้วยว่าอยากไปเยี่ยม
“ฉันว่าอย่าดีกว่า ไว้พรุ่งนี้คุณนิดตื่นแล้วค่อยไปเยี่ยมกัน” พรบอก
“ลงอีแบบนี้คืนนี้คุณนิดก็คงไม่ได้กลับมานอนนี่นะสิ” แม่อุ้ยถอนหายใจ
“จ้ะ แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อเลี้ยงจะให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อน”
“ข้าไปด้วยสิ” แม่อุ้ยอาสา
คนงานอื่นๆ เริ่มพูดกันว่าอยากไปด้วยเช่นกัน
“โอ๊ย...ไม่ต้องหรอก อยากรู้อะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันกลับมาเล่า” พรตัดบท
บัวเกี๋ยงที่แอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่งรู้สึกโกรธ
“นี่แกคิดจะมารยาหาทางอยู่กับพ่อเลี้ยงงั้นเหรอ”
พรแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พรเดินไปเปิดก็เห็นบัวเกี๋ยงในชุดเซ็กซี่ยืนอยู่
“โอ้โห...พี่บัวเกี๋ยงแต่งตัวจะไปล่อผู้ชายที่ไหน แหม ใส่น้ำหอมซะด้วย” พรทัก
“เรื่องของพี่ ว่าแต่เอ็งเถอะ พ่อเลี้ยงบอกให้ไปเฝ้านัง...เอ๊ย..คุณนิดใช่ไหม” บัวเกี๋ยงถาม
“ใช่...มีอะไร”
“ไม่ต้องไปแล้ว ข้าจะไปเฝ้าเอง”
“ได้ไง พ่อเลี้ยงสั่งฉัน”
“แต่ของข้าได้รับคำสั่งจากคุณเล็กให้ดูแลแทนเวลาเธอไม่อยู่” บัวเกี๋ยงอ้าง
“อ๋อ...อยากจะไปดูแลพ่อเลี้ยงว่างั้นเถอะ” พรพูดดัก
“เอ๊ะ...อีนี่”
“เอาเป็นว่าพี่กลับไปนอน ฉันจะไปดูคุณนิดเอง”
พรสรุปแล้วจะออกจากห้องแต่บัวเกี๋ยงผลักพรเข้าไปในห้อง
“อยากโดนคุณเล็กไล่ออกเหรอ”
พรพูดไม่ออก บัวเกี๋ยงรีบปิดประตูแล้วล๊อคกุญแจจากด้านนอก พรเดินมาจับประตูเขย่าแล้วตะโกน
“พี่บัวเกี๋ยง อย่าเล่นบ้าๆนะ เปิดสิ พี่บัวเกี๋ยง”
บัวเกี๋ยงเดินเริงร่ามาตามทาง ใครสักคนแอบเดินตามบัวเกี๋ยงมาห่างๆ บัวเกี๋ยงรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนตาม แต่พอหันหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นมีอะไร
ทันใดนั้นก็มีมือของชายลึกลับมาดึงแขนและปิดปากบัวเกี๋ยงจากอีกด้าน จากนั้นก็ลากลงไปข้างทาง บัวเกี๋ยงพยายามดิ้น มองไปเห็นเป็นผลที่กำลังหัวเราะสะใจอยู่ สักพักผลก็ปล่อยมือ
“พี่ผล...เล่นบ้าๆอะไรเนี่ย” บัวเกี๋ยงว่า
“แหม...ก็ดูเอ็งแต่งตัวสิ เห็นแล้วมันทำให้ข้านึกถึงวันแรกที่ฉุดเอ็งมาทำเมียเลย” ผลพูด
“โอ๊ย...อย่าพูดได้ไหม เดี๋ยวแม่ก็ด่าหรอก”
“แล้วนี่เอ็งจะไปไหนแต่งตัวซะขนาดนี้”
“พ่อเลี้ยงให้ฉันไปเฝ้าไข้คุณนิด”
“ถุย...นี่ชุดเฝ้าไข้เหรอ เอ็งจะไปอ่อยพ่อเลี้ยงใช่ไหม”
“เอ่อ...นี่พี่ผลอย่าคิดชั่วๆสิ ป่านนี้พ่อเลี้ยงหลับไปแล้ว ฉันจะไปเฝ้าไข้คุณนิดจริงๆ”
“จริงๆนะ ถ้าเอ็งทิ้งข้าไปเมื่อไหร เอ็งตายแน่” ผลขู่
“เออน่า....ฉันรักพี่จะตายอยู่แล้ว ไปได้หรือยัง”
บัวเกี๋ยงจะเดินไปแต่ผลดึงกลับมาอีก
“ก่อนไปมาให้พี่เชยชมก่อนนะ”
“พี่ผลนี่มันข้างถนนนะ”
“ทำเป็นไม่เคย ก็ได้วะ งั้นไปห้องพี่”
“พี่ผล ฉันไม่มีเวลานะ”
ผลไม่ฟังเสียง เขาลากตัวบัวเกี๋ยงเดินออกไปทันที
ภูชิชย์กับนิพนธ์นั่งรอพรอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านของภูชิชย์ ภูชิชย์เริ่มหาวด้วยความง่วง
“เอ...พรทำไมมาช้าจัง ปกติมันไม่เคยเหลวไหลนี่นา” นิพนธ์สงสัย
“ผมว่าป่านนี้มันคงนอนไปแล้ว” ภูชิชย์บอก
“ใช้ไม่ได้จริงๆ ผมไปตามให้นะครับ” นิพนธ์เสนอ
“ไม่ต้องหรอก ผมว่ายัยนิดตัวแสบก็คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไปนอนเถอะ” ภูชิชย์บอก
“ได้ครับ งั้นผมล็อคประตูเลยนะครับ”
ภูชิชย์พยักหน้า “พรมันมีกุญแจ มันเข้ามาได้”
นิพนธ์ลุกออกจากห้องไป ภูชิชย์เดินขึ้นข้างบน
นิพนธ์เดินออกมาจากบ้าน เขากดล๊อคประตูจากด้านในจากนั้นก็ปิดประตูไปทันที
ภูชิชย์เดินเข้ามาดูนริศรา เห็นผู้จัดการสาวยังคงนอนหลับนิ่ง เขายืนมองเธอแบบเขม่นๆ จากนั้นก็ปิดไฟในห้องให้เหลือแต่ไฟหัวเตียง ภูชิชย์เดินไปเปิดตู้เพื่อหยิบเครื่องนอนอีกชุดแล้วจะเดินออกจากห้อง แต่ได้ยินเสียงนริศราขยับตัวก่อน ภูชิชย์ชะงักมองเห็นนริศราที่นอนเหงื่อเต็มกายปัดผ้าห่มออกแต่นอนขดตัวสั่น
“หนาว...หนาว” นริศราคราง
“ติงต๊องง หนาวแต่เอาผ้าห่มออก” ภูชิชย์บ่น
ภูชิชย์คลุมผ้าห่มให้แต่นริศราปัดออกไปอีก
“ร้อน” นริศราครางออกมา
“โอ๊ย...เอาไงจ๊ะแม่คุณ”
ภูชิชย์จับตัวนริศราก็พบว่าตัวร้อนมาก พอจับที่นอนก็ต้องชะงัก
“ตายล่ะ ที่นอนเปียกหมดเลย” ภูชิชย์พูดกับนริศรา “นี่ยัยตัวยุ่ง เธอเล่นป่วยตัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมหรอก”
ภูชิชย์ยกตัวนริศราให้เขยิบมาอีกด้านหนึ่งของเตียง แล้วเขาก็เดินไปเอาอ่างน้ำกับผ้ามา พอจะเช็ดตัวภูชิชย์ก็ชะงัก
“แล้วจะเช็ดยังไงเนี่ย”
ภูชิชย์มองหน้านริศราที่นอนสั่นอยู่ เขาเอามือยื่นไปจะแตะเสื้อแต่ก็ไม่กล้า
อ่านต่อตอนที่ 4