เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 13
เช้าวันใหม่ บนศาลาวัดบ้านนาเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้าน หลวงตานั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปใหญ่ โดยมีมหาเฉื่อย ทอกและหมอกนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ศรีไพรยืนอยู่ตรงหน้าชาวบ้าน พยายามทำความเข้าใจกับชาวบ้านเรื่องพิษภัยของยาเสพติด
“พี่น้อง...เวลานี้บ้านนาเรากำลังถูกคุกคามจากภัยร้าย มันทำให้ชีวิตที่เคยมีเคยเป็นเปลี่ยนไป พ่อแม่อบรมลูกไม่ได้ ในครอบครัวก็ไม่มีใครฟังใคร ทุกคนแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงแทนที่จะใช้สติเหมือนเมื่อก่อน ความเดือดร้อนกำลังคุกคามเข้ามาในครัวเรือน แล้วขยายไปยังชุมชนที่เราอยู่ มีการ ลักขโมย การทำร้ายกันเอง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่มันมาจากเหตุเดียว...ยาเสพติด”
“จนโว้ย มันมาจากความจน จนแล้วจะไปทำอะไรได้วะ...” กล่ำโวยเสียงดัง
“แล้วอะไรล่ะ ที่มันทำให้เราจนลง ปัจจัยคือขี้เกียจ กับทำชีวิตให้เพียงพอไม่เป็น ถ้าเรารู้จักกินรู้จักใช้ให้มันสมดุลย์กับการรู้จักหา ปัญหาเรื่องจนแล้วทำอะไรไม่ได้จะไม่เกิดขึ้น มันยังไม่สายที่เราจะหันกลับมามองตัวเองก่อนที่จะรอให้ใครมาช่วยเรา เราต้องช่วยตัวเองก่อน” ศรีไพรอธิบาย
กล่ำมองหยัน
“ไอ้ทำนาแบบเอ็งน่ะหรือ ข้าไม่เอาด้วยหรอก คนบ้านนาเขาก็ไม่เอาแล้วมันเก่าเต็มที”
“แล้วเป็นยังไง น้าก็ต้องกู้เงิน ต้องเป็นหนี้ น้าทำได้เท่าไหร่เขาก็หักหนี้ไปหมดแล้วยังมีภัยอุบาทว์มาซ้ำเติมเราอีก นั่นคือยาเสพติด”
กล่ำไม่พอใจ
“เอ็งเป็นใครกันวะไอ้ศรีไพร เอ็งน่ะมันเด็กเมื่อวานเอ็งจะรู้อะไร ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าไม่เคยเห็นชาวนาร่ำรวย เสียเวลาไปฟังมัน กลับกันเถอะ”
กล่ำพาลๆแล้วชักชวนชาวบ้านให้กลับบ้าน หลวงตาเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขึ้น
“ฟังก็ยังไม่มีเวลา แล้วยังงี้จะไปมีเวลาทำรวย กล่ำเอ๊ย...ความร่ำรวยมันคืออะไรล่ะ เงินหรือ ทำไมเราไม่คิดว่าความสุขก็เป็นความร่ำรวยได้ ความสุขของชาวนาอยู่ที่อะไร ก็คือได้อยู่กันพร้อมหน้าในครอบครัว มีกิน มีใช้ ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะหนี้ มือสองข้างของเรานี่แหละที่สร้างมวลความสุขได้ เอาความสุขของครอบครัวมาวัดซีวะ อย่าไปเอาเงินวัดมัน”
กล่ำผลุนผลันออกไป
“พี่...”
ช้อยรีบตามกล่ำออกไป หลิมกับเลิศส่งเสียงกระแอมขู่อยู่ข้างหลัง ชาวบ้านเริ่มมองหน้ากัน ก่อนเลี่ยงลงไปจากศาลาด้วยความหวาดกลัว ศรีแพรเป็นห่วงความรู้สึกของน้องสาว
“ศรีไพร ชาวบ้านไปกันหมดแล้ว”
มหาเฉื่อยส่ายหน้าเซ็งๆ
“ไปกันหมดเลยขอรับ พระคุณเจ้าเทศน์ก็ไม่ฟัง”
ทวนเข้าไปหา
“ศรีไพร...”
ศรีไพรมองตามชาวบ้านด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ วิ่งลงไปจากศาลา ศรีแพรตกใจ
“ศรีไพร...”
ทวนรีบวิ่บตามศรีไพรลงไป ศรีแพรขยับตาม แต่เมินจับมือศรีแพรไว้ ทั้งสองหันมาสบสายตากันด้วยความกังวล
ศรีไพรนั่งร้องไห้อยู่บนคันนาด้วยความเสียใจ ที่ชาวบ้านไม่ยอมรับความหวังดีไม่เห็นความพยายามช่วยเหลือของเธอที่มีต่อชุมชน ทวนนั่งลงใกล้ๆ ปลดผ้าขาวม้าส่งให้ ศรีไพรรับไปสั่งขี้มูกแล้วส่งกลับ
“ร้องไห้ทำไม คุณทำดีที่สุดแล้วทำไมต้องเสียใจ”
“เสียใจซี ฉันต้องเห็นพี่ป้าน้าอาของฉัน จมปลักไปกับภัยร้ายนั่น ยอมให้มันถูกกลืนกิน ฉันควรหัวเราะหรือ”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ แต่คุณหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็แค่คิดว่าตัวใครตัวมัน ใครอยากจะเป็นทาสอบายมุขก็ช่างมัน ก็แค่นั้น”
“แล้วมันง่ายหรือ คุณคิดยังงั้นได้จริงๆ หรือ คุณจะมีความสุขอยู่ท่ามกลางคนที่เขาเป็นทุกข์ได้หรือ”
ศรีไพรหันมามองหน้าทวนนิ่งๆ พิจารณาทวนด้วยสายตานิ่งขรึม
“นี่นายจะมาไม้ไหน”
“ผมอยากให้คุณสู้ต่อไป ยาเสพติดมันทำให้คนคิดว่าเสพเข้าไปแล้วลืมความทุกข์ได้ คนที่มีความทุกข์ถึงต้องเสพมัน เราจะสู้...”
ศรีไพรแปลกใจ
“เรา...”
ทวนพยักหน้า
“ก็เรานี่แหละ ถ้าไม่มีคนลุกขึ้นมาสู้ป่านนี้มันครองโลกไปแล้ว โลกนี้มีคนดีมากกว่าคนชั่ว ถ้าโลกมีคนชั่วมากกว่าคนดี ป่านนี้โลกแตกไปแล้ว มาซี...”
ทวนยื่นมือให้ ศรีไพรมองงงๆ
“ทำไม”
“ผมจะฉุดให้คุณลุกขึ้น”
“เพื่ออะไร”
“เราจะสู้ด้วยกัน”
ศรีไพรมองหน้า ทวนยิ้ม ให้กำลังใจ ศรีไพรยื่นมือให้เขาจับ ทวนกระชับมือของเธอไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน มองสบสายตา
“สู้นะ”
“ก็ได้...”
ศรีไพรดึงมือกลับ หลบสายตา ถูมือไปมาเก้อๆ ทำทีรังเกียจ
“แต่ข้อสัญญาของเรายังคงเดิม ทำนาให้เสร็จร้อยไร่ แล้วฉันจะพิจารณาเรื่องจะยกพี่สาวให้...ใคร”
ศรีไพรเชิดหน้าเดินออกไป
“หนอย...ยังหวงพี่สาวอยู่อีกแน่ะ ยายมู่ทู่เอ๊ย” ทวนถอนใจเฮือก
ชิงชัยหยุดก้าว หันกลับไปมองหน้าหลิมกับเลิศ ซึ่งรายงานข่าวประชุมของชาวบ้านที่ศาลาวัดบ้านนา
“หลวงตาประกาศตัวชัดเจนเข้าฝ่ายพวกไอ้ศรีไพรหรือวะ เพราะหลวงตานี่เองชาวบ้านถึงได้ไปประชุมที่ศาลาวัด พ่อข้าไม่ยอมไปเพราะกลัวต้องบริจาคเงินทำบุญให้มหาเฉื่อย ที่แท้ก็...”
“หลวงตาท่านออกอุบาย ชาวบ้านคิดว่าหลวงตาฉุนจะเรี่ยไรบุญ ก็เลยไปกันเพียบ” หลิมบอก
“ที่ไหนได้ ท่านเทศน์แต่เรื่องของฆราวาสล้วนๆ ไม่มีเรื่องธรรมะเลย ฉันกับไอ้หลิมเลยต้องส่งเสียงเตือนชาวบ้าน มันถึงได้แยกย้ายกันกลับ”
ชิงชัยเจ็บใจ
“หลวงตาทำแบบนี้ ข้าต้องสั่งสอนหลวงตา...”
เลิศหน้าตื่น
“คุณชิงชัยครับ แล้วจะไม่นรกหรือ”
ชิงชัยยิ้มเยาะ
“นรก...สวรรค์ มันอยู่ที่บ้านนานี่แหละ หลวงตาฉุนท่านต้องรู้ซะบ้างว่า...ท่านสมควรจะยุ่งเรื่องทางโลกมั้ย”
ชิงชัยบอกแค้นๆ
เช้าวันต่อมา ชาวบ้านต่างปิดประตูเงียบ หลวงตามารับบาตร ยืนรอชาวบ้าน ทวนมองๆแล้วหันมาหาหลวงตา
“สงสัยจะไม่มีใครอยู่หรอกครับ หลวงตา นิมนต์ผ่านเถอะครับ”
เมินแปลกใจและสงสัย
“เอ๊ะ วันนี้ชาวบ้านนาไปไหนกันหมด ไม่มีใครออกมาตักบาตรเลย”
หลวงตามองไปบนบ้านเงียบๆ แต่ในใจคิดอะไรบางอย่าง
“งั้นก็ไปโปรดสัตว์ทางอื่นเถอะวะ”
หลวงตาเดินนำทวน เมิน ทอกและหมอกผ่านไป ชาวบ้านค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาแอบดูหลวงตาด้วยท่าทีลำบากใจ ก่อนยกมือไหว้ท่วมศีรษะ
หลวงตาเดินนำมาถึงหน้าบ้านกล่ำกับช้อย ได้ยินเสียงช้อยดังลั่นออกมาจากบ้าน
“บอกว่าไม่มี...ไม่มี เอ็งก็ไม่เชื่อ เอ้า ค้น...รื้อบ้านรื้อช่องรื้อเสาเรือนดูว่ามีมั้ยเงินน่ะ ไปกู้เศรษฐีบุญช่วยมาวันก่อน ซื้อข้าวสารกับนมลูกก็หมดแล้ว”
“ข้าไม่เชื่อ เอ็งเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหนนังช้อย อยากเจ็บตัวใช่มั้ย เอาเงินมาให้ข้า”
“ไม่มี เอ็งจะฆ่าลูกฆ่าเมียก็ไม่มี ไอ้กล่ำ...”
หลวงตามองไปยังบ้านกล่ำด้วยแววตาสลดสังเวช เมินถอนใจหันไปบอกหลวงตา
“นิมนต์ไปข้างหน้าเถอะครับหลวงตา ไม่มีใครมีอารมณ์จะตักบาตรให้พระฉันหรอกครับ ถ้าครอบครัวยังไม่มีจะกิน”
หลวงตาเดินนำคนอื่นๆ ออกไป ทวนและเมินหันกลับมามองบ้านของช้อย ด้วยความรู้สึกสงสาร สังเวชใจ
หลวงตาเดินมาหยุดรับบาตรหน้าร้านเจ๊กตง เนี้ยวรีบออกมาเพื่อตักบาตร
“หลวงตามาแล้ว นิมนต์ก่อนจ้ะหลวงตา พี่ทวน”
เจ๊กตงวิ่งตามมายื้อยุดขันตักบาตรของเนี้ยว
“เข้าร้าน...ปิดประตู ขึ้นเล่าเต๊งเหลียวนี้...อาม่วยเนี้ยว”
“เดี๋ยวก่อนซีเตี่ย ให้ฉันตักบาตรหลวงตาก่อน”
“ม่ายล่าย ตักม่ายล่าย ห้ามตักบาตรหลวงตาฉุน คำสั่งของเศรษฐีบุญช่วย ขืนลื้อไม่ทำตามคำสั่งของท่านเศรษฐี เตี่ยก็เดือดร้อนซี ไป...เข้าบ้าน ปิดร้าน ขึ้น เล่าเต๊ง”
เจ๊กตงยื้อยุด ดึงเนี้ยวเข้าร้าน ปิดประตูปัง ทวน เมิน ทอกและหมอก ต่างมองหน้ากัน
“ทำยังงี้พระเจ้าก็อดกันน่ะซี” ทอกบ่น
หมอกถอนใจ
“พระเจ้าอดอย่างเดียวไม่พอ ลูกศิษย์วัดพาลจะอดด้วยน่ะซี”
“ไป...ไปโปรดสัตว์บ้านตาพรยายสดดีกว่า ที่นั่น...พระกับลูกศิษย์คงจะไม่อดหรอก ไป...”
หลวงตาเดินนำทอกและหมอกออกไป ทวนกับเมินต่างหันมาสบสายตากันอย่างหงุดหงิด ต่างก็รู้ว่าเป็นฝีมือของบุญช่วย กับชิงชัยแน่
“เศรษฐีบุญช่วย” เมินพึมพำ
“ไป...หลวงตาท่านไปโน่นแล้ว...ไอ้เมิน” ทวนเรียก
“หือ...”
“แกเชื่อเรื่องกรรมมั๊ย แกว่าบาปกับกรรมมีจริงมั๊ย”
ทวนส่ายหน้า ไม่รู้จะตอบยังไง
สไบและแหว่งยกจานปลานึ่งขนาดใหญ่ อาหารล้วนหรูหราราคาแพง มาตั้งที่โต๊ะอาหาร บุญช่วย ชาริณีและชิงชัย เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร
“เข้าใจหาวิธีสั่งสอนหลวงตาฉุนให้หลาบจำ ไม่มีชาวบ้านนาคนไหนกล้าใส่บาตร แล้วหลวงตาฉุนจะฉันอะไร” บุญช่วยหัวเราะชอบใจ
“หลวงตาไม่มีของฉัน ลูกศิษย์ก็อดไปด้วยซีพ่อ” ชาริณีถามอย่างไม่สบายใจนัก
“ใช่ ชาวบ้านไม่ใส่บาตรทำบุญ วัดจะอยู่ได้ยังไง พระไม่มีอะไรฉัน แต่เรามีกินไม่อั้น ของดีๆ ทั้งนั้น ไหน...นรกสวรรค์อยู่ที่ไหน ถ้านรกอยู่หลังความตายไว้ให้ข้าตายซะก่อนค่อยไปคิดบัญชีที่นรก ฮ่าๆๆๆ” ชิงชัยหัวเราะร่า
หลิมกับเลิศส่งเสียงหัวเราะประจบ สไบมองค้อน
“กินข้าวกินปลาเถอะ ปลานี่คัดมาตัวใหญ่ๆ อาหารของท่านเศรษฐีต้องปรุงเป็นพิเศษ ฉันตักปลาให้นะคะคุณชิงชัย”
“พ่อนั่งอยู่นี่ทั้งคน แต่ไปตักปลาให้ลูก งั้นหนูตักให้พ่อ”
ชาริณี ประชดสไบก่อนจะหันไปตักปลาให้พ่อ บุญช่วยยิ้มพอใจ
“ลูกรัก ช่างน่ารักจริงๆ น่ารักยังงี้ไม่เห็นจะต้องเรียนสูงๆ เลย มีเงินซะอย่างใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แล้วจะเรียนไปทำไม เสียเวลาเปล่า”
“ปลานึ่งค่ะคุณชิงชัย อ้าปากซีคะ ฉันจะป้อนให้” สไบออดอ้อนเอาใจ
“ไม่ต้อง ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
ชิงชัยทำท่ารังเกียจสไบ เพราะเริ่มเบื่อสไบแล้ว ชิงชัยใช้ตะเกียบคีบปลาใส่ปาก สักครู่ก็ตาเหลือกเพราะก้างติดคอ
“คุณชิงชัย...คุณชิงชัยคะ คุณชิงชัยเป็นอะไรน่ะ” สไบตกใจ
“ก้างปลาติดคอคุณชิงชัยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งบอกเสียงร้อนรน
บุญช่วยหันมองลูกชาย
“ก้างปลาติดคอหรือ ชิงชัย...”
ชิงชัยกุมลำคอ ตาเหลือก ส่งเสียงไม่ได้ เริ่มชักดิ้นชักงอ ทุกคนต่างตื่นตระหนกกับท่าทางของชิงชัย
“พี่ชิงชัย ทำยังไงดีล่ะ พี่ชิงชัยทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก ต้องเป็นก้างใหญ่แน่ ก็ปลามันตัวใหญ่” ชาริณีหันไปชี้หน้าสไบ “แก...แกทำปลายังไง ถึงได้มีก้าง”
สไบประคองชิงชัยอย่างเป็นห่วง
“คุณชิงชัยขา คุณชิงชัย...”
ชิงชัยล้มลงดิ้นพราดๆ มือกำอยู่ที่ลำคอ นัยน์ตาเหลือกลาน
หลวงตาฉันข้าวจากบาตรเพียงเล็กน้อย ก่อนหันไปล้างมือ ทวนและเมินมองหลวงตาอย่างห่วงใย
“ทำไมฉันน้อยนักล่ะครับหลวงตา ไม่ต้องเป็นห่วงพวกผมหรอกครับ มีข้าวสารพอหุงกินได้” ทวนบอก
“คนแก่น่ะโว้ย มันต้องถือคติ...วันไหนอร่อยก็กินมากหน่อย วันนี้ไม่อร่อยก็กินแต่พออิ่ม...ชีวิตจะต้องการอะไรมาก มันก็แค่พออิ่ม”
“คนบ้านนาไม่ใส่บาตร ก็หุงข้าวได้นี่ครับ ผมกับไอ้ทวนจะหุงหาอาหารมา ถวายหลวงตาเองครับ” เมินบอก
“ระวังนะโว้ย...ข้าวต้มท่านก็ฉันไม่ได้ ข้าวสวยท่านก็ฉันไม่ได้ ข้าวสารหมด อ้าว...พูดถึงเรื่องข้าวสารหมด นั่นใครมา”
มหาเฉื่อยมองไปยังลานวัด ทุกคนมองตามเห็น ศรีไพรกับแสนที่แบกถุงข้าวสารมาด้วย
“หลวงตา...ข้าวสารมาแล้ว ไม่มีใครตักบาตรพระ พ่อเลยให้ฉันกับไอ้แสนแบ่งข้าวสารในยุ้งมาถวายหลวงตาจ้ะ”
แสนชูถุงปลา
“แล้วนี่ก็ปลาแห้งกับปลาเค็ม ที่แม่ทำไว้เป็นเสบียงตอนหน้าแล้ง”
“แล้วพ่อกับแม่ของเอ็งล่ะ” มหาเฉื่อยถาม
“แม่พาพ่อไปหาหมอตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล นี่พี่ศรีแพรเขาตำน้ำพริกเผามาถวายหลวงตาด้วย”
เมินเอียงหน้าไปกระซิบเบาๆ
“แล้วศรีแพรไม่ได้มาด้วยหรือจ๊ะ”
ศรีไพรหน้าตึงใส่เมิน กระซิบตอบ
“ไม่ให้มา กลัวสุนัขแถวๆนี้แทะ”
“โฮ่งๆ” ทวนเห่าทันที
หลวงตามองศรีไพรกับแสนอย่างเอ็นดู
“บอกพ่อกับแม่เอ็งด้วยว่าขอบใจมาก ไม่ต้องห่วงข้าหรอก คนบ้านนาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธมีธรรมเนียมการทำบุญให้ทานสืบกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล บ้านกับวัดถึงต้องอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ไงล่ะ การบิณฑบาตก็เป็นกิจของสงฆ์ ถึงพระจะออกไปบิณฑบาตแล้วบาตรว่างกลับมา ก็ต้องออกไปบิณฑบาตทุกวัน”
“มีข้าวสารแล้ว ไม่เห็นต้องไปเลยหลวงตา” แสนแย้งอย่างไม่เข้าใจ
“ต้องไปซีวะ ไอ้แสน เพราะการออกไปบิณฑบาตเป็นการโปรดสัตว์โลก เป็นหน้าที่โดยตรงของสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญ กุศลจะได้เกิดกับคนที่เขาทำ”
ศรีไพรคลานเข้าไปกราบหลวงตา
“แล้วคนที่เป็นมารศาสนาล่ะหลวงตา มันจะรับเวรรับกรรม ที่มันทำกับพระมั้ยจ๊ะ”
หลิมกับเลิศช่วยกันหามร่างของชิงชัย มาโรงพยาบาล สไบ แหว่งและชาริณีตามมาด้วย ต่างร้อนใจกล่าวโทษกันไปมา
“คุณชิงชัยขา หายใจไว้ค่ะ หายใจไว้ ถึงโรงพยาบาลแล้วเดี๋ยวหมอก็แคะก้างปลาออกให้”
สไบบอกอย่างเป็นห่วงเป็นใยมาก ชาริณีหมั่นไส้
“เพราะแก...เพราะแกคนเดียว ทำให้พี่ชายฉันก้างติดคอ นี่ถ้าพี่ชิงชัยตายล่ะ”
สไบจ้องหน้า
“คุณก็สบาย ไม่ต้องแบ่งมรดกให้พี่ชายคุณ”
แหว่งตาโต
“ต๊ายตาย จริงด้วยค่ะคุณสไบของบ่าวขา ยังงี้...น่าจะขอบใจคุณสไบของบ่าวขานะ”
“นังแหว่ง...” ชาริณีตวาด
สไบไม่สนใจชาริณี หันไปสั่งหลิมกับเลิศอย่างร้อนรน
“เร็ว หามคุณชิงชัยเข้าไปข้างในเร็วๆ ให้หมอแคะก้างปลาออกให้ อย่าให้คุณชิงชัยของฉันตายนะ แก...ไอ้หลิม ไอ้เลิศ”
หลิมกับเลิศช่วยกันหามร่างของชิงชัยขึ้นเตียง เข็นเข้าโรงพยาบาล สไบและแหว่งรีบตามไปด้วยความห่วงใย ชาริณีมองตามสไบไปด้วยความโกรธแค้น
“คุณชิงชัยของฉัน ฮึ นังไพร่ พี่ชายของฉันเป็นของแกเมื่อไหร่กัน”
ชาริณีวิ่งตาม สวนทางกับพรและสด ซึ่งมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ทั้งสองมองตามไป ก่อนหันมาสบสายตากันและกัน
ศรีไพรยิ้มด้วยความพอใจ เมื่อรู้ข่าวจากพรและสดว่า ชิงชัยต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะก้างปลาติดคอ
“บ้านเศรษฐีบุญช่วยคงอยู่ดีกินดี นายชิงชัยลูกชายถึงได้ก้างติดคอ คนบ้านนาทำนากันหลังขดหลังแข็ง ต้องกินปลาเล็กปลาน้อย แต่คนที่ทำนาบนหลังคน กลับได้กินปลาตัวใหญ่”
“เพราะเป็นปลาตัวใหญ่น่ะซี ก้างมันถึงได้แข็งจนติดคอปางตาย นี่เพราะเวรกรรมที่มันทำไว้กับพระเชียว” ศรีแพรพูดปลงๆ
ศรีไพรถอนใจ
“ฉันค่อยสบายใจหน่อย ที่รู้ว่าบุญบาปยังมีจริง ฉันมีกำลังใจลุกขึ้นมาทำความดีแล้วละพ่อ”
“ระวังตัวไว้บ้าง แค่ไอ้ก้างติดคอมันน่ะ...มันไม่ทำให้คนพวกนี้หยุดสร้างเวรสร้างกรรมหรอก เวรกรรมน่ะทำไว้กับใคร มันก็ย้อนกลับมาสนองตัวเองทั้งนั้น” พรเตือนลูกสาวอย่างห่วงใยศรีแพรหันไปหาสด
“แม่...”
“อะไรอีกล่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้ฉันทำผัดพริกขิงไปถวายหลวงตานะ”
พรมองหน้าลูกสาวสายตาดุ
“ถวายหลวงตาเท่านั้นนะ ห้ามไม่ให้เจือจานไปถึงลูกศิษย์ แล้วถ้าเอ็งจะไปวัดละก็ ให้ไอ้ศรีไพรมันไปด้วย”
ศรีแพรหันไปมองหน้าศรีไพร
“ฉันพร้อมที่จะแปลงร่างเป็นไม้กันหมาให้พี่เลยจ้ะ พี่ศรีแพร” ศรีไพรยักคิ้วให้
วันต่อมา เมินและศรีแพรเดินเล่นอยู่ใต้ต้นลั่นทม ห่างออกไปทวนนั่งมองอยู่เงียบๆ ศรีไพรย่องเข้ามาหยุดยืนข้างหลัง
“ยอมแพ้เสียเถอะ ยังไงนายก็ไม่มีวันชนะใจพี่สาวของฉันได้หรอก พี่เมินกับพี่ศรีแพรรักกันมาตั้งนาน ตั้งแต่พี่เมินเขาหายไปจากบ้านนา พี่ศรีแพรไม่อยากรู้ด้วยซ้ำไปว่าพี่เมินเขาไปไหนมา”
ทวนหันมามองศรีไพร
“แล้วศรีไพรล่ะ อยากรู้มั้ยว่าผมหายไปไหนมา”
“ฉันจะอยากรู้เรื่องของนายไปทำไม คนเร่ร่อนไม่มีอาชีพอย่างนาย อยู่ๆ ไปๆ ใครสนล่ะ”
ทวนจ้องหน้าศรีไพร
“ไม่สนใจจริงๆ หรือ”
“หรือว่านายตอบได้ว่านายหายไปไหนมา”
“นั่นไง จริงๆ อยากรู้ใช่มั้ยล่ะ สักวันหนึ่งศรีไพรจะรู้ว่าผมหายไปไหนมา”
“ทำตัวลึกลับ เรียกร้องความสำคัญ ทั้งที่ตัวเองทำแต้มไม่ขึ้น พี่สาวของฉันอาจจะมีความรู้สึกดีๆกับนาย แต่ไม่ใช่ความรัก”
“แล้วศรีไพรล่ะ มีความรู้สึกดีๆ กับผมหรือยัง”
“ยัง...ยังไม่รู้สึกอะไร”
“จริงป่าววววว”
ศรีไพรย้ำ
“จริงๆ ยังไม่ไว้ใจนายยังไง ก็ยังรู้สึกยังงั้น ถึงนายจะช่วยฉันทำนาร้อยไร่ หรือรณรงค์ให้ชาวบ้านหันมาต่อต้านยาเสพติด นายก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ กว่าฉันจะ...”
“ยอมรับว่าผมมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่เขย...”
แววตาของศรีไพรสลดลง แต่ทวนไม่สังเกตเห็น
เจ๊กตงปฏิเสธทันที เมื่อช้อยมาเซ็นเชื่อสินค้า เพราะไม่มีข้าวสารและนมเลี้ยงลูก เนื่องจากกล่ำติดยาเสพติด
“ลื้อต้องเข้าใจนะว่าอั๊วทำธุรกิจ อั้วต้องมีเงินสดไว้หมุน แล้วตอนนี้คนบ้านนาก็มุ่งมาเซ็นๆๆๆ เซ็นเชื่อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารอาหารแห้งหยูกยารักษาโรค เซ็นที่ร้านอั๊วแล้วไม่มีใครมีเงินจ่าย อย่างอากล่ำผัวลื้อนี่ก็มีบัญชีหางว่าวที่ ร้านอั๊วยาวเป็นกิโล”
“อีกครั้งเดียวเท่านั้นแหละเจ๊กตง ข้าวสารไม่มีจะกรอกหม้อ เจ๊กตงสงสารข้าเถอะ เงินทองไอ้กล่ำมันเอาไปหมด ข้าไม่มีข้าวมีนมให้ลูกกิน” ช้อยอ้อนวอน
เนี้ยวมองช้อยอย่างเห็นใจ
“เตี่ย สงสารน้าช้อยให้อีไปเถอะ”
เจ๊กตงหันไปส่งสายตาดุลูกสาว
“อย่ายุ่ง เห็นแก่ความสงสารเตี่ยก็เจ๊งซี ตอนเตี่ยเจ๊งใครจะสงสารเตี่ยวะ”
ช้อยเศร้าสลดลง
“โธ่ เจ๊กตง”
สุมิตรส่งเสียงมาแต่ไกล ขับมอเตอร์ไซด์ขายสินค้าแทนจักรยาน
“อีนี้...นมัสเตเจ๊กตง อาม่วยเนี้ยวคนสวย อีนี่น้าช้อยต้องการข้าวสารอาหารแห้ง กับนมพาสเจอร์ไรส์ นาร้าย...นารายณ์ อีนี้แขกพร้อมให้บริการ เอาไปก่อนผ่อนวันละห้าบาท อีนี้เก็บถึงที่ไม่มีวันหยุดจ้ะ น้าช้อยจ๋า...”
ช้อยดีใจที่มีทางออก
“งั้นฉันเอาข้าวสารที่แขกนี่ถุงนึง”
“อีนี้ส่งถึงบ้าน บริการประทับใจจ้ะน้าช้อย เชิญเลือกสินค้า มีทั้งมุ้งหมอนที่นอนเสื่อ สากกะเบือยันเรือรบจ้ะ น้าช้อยจ๋า ซื้อสินค้าแล้วมีของแถม นี่จ้ะใบปลิวรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด เอาปิดไว้หน้าบ้านของน้า แขกจะได้รู้ว่าน้าเป็นสมาชิกของร้านค้าเคลื่อนที่ ฮัดช้า...ฮัดเช้ยยยย”
สุมิตรร้องเพลงอินเดีย ช้อยตื่นเต้นดีใจ กับสินเชื่อที่สุมิตรให้ เจ๊กตงยืนขบกรามกรอดๆ ด้วยความแค้น
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 13 (ต่อ)
สุมิตรขับมอเตอร์ไซค์บรรทุกสินค้า ร้องเพลงอินเดียขายสินค้า หลิมและเลิศก้าวออกมาขวางทางพร้อมไม้หน้าสามในมือ
“อีนี้...นมัสเตนายหลิม นายเลิศ อีนี้ไม่ต้องใช้ไม้หน้าสามโบกเรียกรถสุมิตรามายัน ใช้มือกวักก็ได้จ้ะ”
“ไอ้แขก เดี๋ยวนี้ขายดิบขายดีมีการขายตรง พัฒนาจากเดินขายมุ้งกับออกเงินกู้ มาขี่รถเครื่องขายสรรพสินค้าแล้วหรือวะ” หลิมถามเสียงเข้ม
“ทำมาค้าขึ้น เปลี่ยนเป็นรถเครื่อง เข้านอกออกในตามท้องนา ไม่เว้นแม้แต่ในครัวของชาวบ้าน อีนี้...จ่ายค่าคุ้มครองหรือยังวะ” เลิศข่มขู่
สุมิตรมองสองคนอย่างแปลกใจ
“อีนี้บวกภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้า ทำมะไร๋ต้องจ่ายค่าคุ้มครอง”
หลิมไม่พอใจ
“ต้องจ่ายซีวะ เพราะท่านเศรษฐีเจ้านายของข้า คุ้มกะลาหัวของชาวบ้านนาทุกคน”
“อีนี้...มนัสเตแขกงง ไม่รู้เข้าข่ายเงินรายได้ของแผ่นดินประเภทไหนจ๊ะ นายหลิม นายเลิศจ๋า...”
“โอ้ย งงโว้ย มิน่าล่ะ...เขาถึงได้บอกว่าเจองูกับเจอแขก ต้องตีแขกก่อนตีงู ที่ข้ากับไอ้หลิมมาดักตีหัวเอ็งนี่ ก็เพราะของแถมของเอ็งเป็นเหตุ”
สุมิตรไม่เข้าใจ
“อีนี้ของแถมอะไรจ๊ะ แขกงอ...งงจ้ะ”
หลิมชูใบปิดประกาศรณรงค์ต้านยาเสพติด
“ก็นี่ไงล่ะ ไอ้ใบปลิวรณรงค์ที่เอ็งช่วยไอ้ศรีไพรมันรณรงค์เรื่องยาเสพติดนี่ไง คำสั่งท่านเศรษฐี ห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนช่วยไอ้ศรีไพร เอาโว้ย...ตีหัวไอ้แขกแล้วทุบรถมันให้เละเลย”
หลิมกับเลิศไล่ตี สุมิตรวิ่งหนีรอบๆรถ ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หลิมเงื้อไม้ขึ้นจะทุบรถของสุมิตร ทันใดศรีไพรและแสนเข้ามาช่วยสุมิตร
“ไอ้ศรีไพร” หลิมตกใจ
“ข้าเอง รังแกคนทำมาหากินนี่ เก่งนะ มา...เลือกเอา หมัด งัดข้อ หรือว่า...ชักคะเย่อ”
หลิมกับเลิศถอยก้าว เพราะรู้ว่าสู้ศรีไพรไม่ได้ หลิมชี้หน้าสุมิตร
“เอ็งจำไว้ไอ้แขก ถ้าเอ็งช่วยไอ้ศรีไพรละก็ เอ็ง...ตาย”
ศรีไพรกับแสนช่วยกันไล่เตะหลิมและเลิศออกไป ก่อนเข้าประคองสุมิตร
“บัง เป็นยังไงบ้าง” แสนถามอย่างเป็นห่วง
“อีนี้...นมัสเตจ้ะ โอย...เจองูกับเจอแขกต้องตีงูก่อนนะจ๊ะ ขืนตีแขกก่อนตีงู มีหวังแขกกบาลแยกจ้ะ”
สุมิตรเบะปากร้องไห้ ข้าวของกระจัดกระจาย
มหาเฉื่อย นั่งคุยกับทวน และเมินอยู่ในวัด
“มันชักจะไปกันใหญ่ สมุนของเศรษฐีบุญช่วยรังแกชาวบ้านร้านถิ่น จนเดือดร้อนกันไปทั่ว คนไม่กล้าเข้าวัดทำบุญ วันพระวันโกนชาวพุทธพากันหายหน้า จน...จนไม่มีข้าวจะกินแล้วจะเอาข้าวที่ไหนมาตักบาตรพระ” มหาเฉื่อยกังวล กับการใช้อำนาจป่าเถื่อนของบุญช่วย
ทวนถอนใจ
“แปลกนะครับลุงมหาเฉื่อย ชาวนาทำนาแต่ต้องซื้อข้าวเจ๊กตงกิน”
เมินหน้าเครียด
“ใช่...ชาวนาทำนา แต่ต้องไปซื้อข้าวปลูกของเศรษฐีบุญช่วยมาปลูก”
“เวลานี้วัดกับบ้าน เลยห่างกันเหมือนอยู่กันคนละฝั่ง ชาวนาไม่มีเงิน แล้วนี่จะทำยังไง” มหาเฉื่อยพูดอย่างหนักใจ
ศรีไพรเดินนำหน้าแสนเข้ามา
“ก็ต้องไปกู้เศรษฐีบุญช่วย เอาโฉนดที่นาไปให้เขายึด พอได้ข้าวเขาก็มาตวงไปหักหนี้ ต้องซื้อข้าวกินอีก ขืนเราปล่อยให้เป็นยังงี้ต่อไป อีกหน่อยที่นาในตำบลเราก็เป็นของเศรษฐีบุญช่วยหมด” ศรีไพรนิ่งเครียดสะเทือนใจ “ถึงตอนนั้นเราทุกคนจะลำบาก”
ทวนกับเมิน ฟังแล้วพลอยเครียดไปด้วย
หลิมและเลิศ ประคองชิงชัยลงจากรถ ชิงชัยนั้นยังมีผ้าพันแผลรอบคอ เพราะต้องผ่าตัดเอาก้างปลาออก จ่าสินที่มารออยู่แล้วเข้าประคอง
“เป็นยังไงบ้างคุณชิงชัย ผมได้ข่าวคุณไปผ่าตัดคอก็เลยรีบมา”
“ไอ้ปลาบ้านั่นน่ะซี มันเข้าไปค้างในคอจนต้องให้หมอผ่าตัดเอาออก เฮ้อ...ทรมานจริงๆ”
สไบเอาน้ำและยามาให้ชิงชัย ท่าทีสไบใส่ใจชิงชัยมาก จ่าสินยิ้มเยาะ พูดกระทบสไบ
“ก็คุณนี่น้า...มีคนดูแลเอาใจใส่เสียจนเคยตัว มันเลยคล่องคอจนรีบร้อนกลืนของบางอย่างน่ะเห็นมันเหมือนของตาย แต่มันยังดิ้นได้นะ”
ชิงชัยมองไปยังสไบ ออกปากไล่
“ออกไปก่อน ฉันมีเรื่องจะพูดกับจ่า”
สไบมองค้อนไปยังจ่าสิน ก่อนเข้าข้างใน
“มีเรื่องอะไรจะพูดกับผม”
“ของที่สั่งมาถึงแล้ว เราต้องส่งให้ถึงที่ตามใบสั่งให้เร็วที่สุด คราวนี้มีทั้งปืนทั้งระเบิด จ่าหาทางหนีทีไล่ไว้ ผมไม่อยากให้งานของเราพลาดอีก”
“ผมหาเส้นทางส่งสินค้าได้แล้ว ลำบากหน่อยแต่อยู่ห่างสายตาชาวบ้าน เราจะลำเลียงสินค้าจากเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่ แล้วค่อยล่องลงกรุงเทพฯ เราจะเริ่มคืนนี้”
ทั้งสองคนคุยกัน โดยไม่รู้ว่าคนเร่รอน หลบมุมแอบฟังอย่างตั้งใจ
ท่ามกลางแสงที่ขมุกขมัวของโค้งแม่น้ำในคืนเดือนมืด หลิม เลิศและสมุนช่วยกันขนลังอาวุธสงครามลงเรือพาย เพื่อไปขึ้นเรือยนต์ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำ โดยมีจ่าสินคอยคุมต้นทางพร้อมอาวุธสงคราม
ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้นรอบด้าน หลิม เลิศ จ่าสินตกใจ เพราะมองไม่เห็นตัวผู้จู่โจม
“พวกไหนน่ะจ่า ผมมองไม่เห็นพวกมัน” หลิมถามอย่างสงสัย
จ่าสินกวาดตามอง
“ข้าก็มองไม่เห็น มันรู้ได้ยังไงว่าเราขนสินค้าคืนนี้ โยนของลงน้ำให้หมด”
เลิศชะงัก
“หมด...หมดเลยหรือจ่า”
“หรือเอ็งจะรอให้พ่อเอ็งมาลากคอเอ็งเข้าคุกล่ะ เร็วๆ แล้วแยกย้ายกันหนี”
“ครับ จ่า”
หลิม เลิศและสมุนรีบโยนอาวุธสงครามลงน้ำก่อนยิงสุ่มแล้วหนี สักครู่เสียงปืนสงบลง เมินและทวน โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ต่างจ้องมองกัน
“ไอ้ทวน...”
“ไอ้...”
ทันใดนั้น คนเร่ร่อนโผล่ขึ้นมาสำลักน้ำ ทั้งสองหันไปมอง อุทานขึ้นพร้อมๆกัน
“ลุง...ขอทาน”
เช้าวันใหม่ พร สด เข้าไปนั่งล้อมวงกินข้าวกับศรีไพร ศรีแพร ที่นั่งอยู่ก่อน
“นี่ถ้าพ่อไม่ห้ามฉันเมื่อคืน ป่านนี้ก็รู้แล้วว่าเสียงปืนมันมาจากไหน เขามีเรื่องอะไรกัน”
ศรีไพรบ่น พรมองลูกสาวปรามๆ
“ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ยวะ เอ็งออกไปค่ำมืดดึกดื่น แล้วลูกปืนมันมีตาซะที่ไหนล่ะ เกิดมันวิ่งผิดที่ วิ่งเข้าไปอยู่ในสมองของเอ็งล่ะ”
“แล้วพ่อไม่อยากรู้หรือว่าใครยิงกับใคร บ้านนาเราค่ำลงคนไม่กล้าออกไปไหน ฟืนไฟก็แทบจะไม่มี” ศรีแพรแย้ง
“เอาน่ะ เดี๋ยวก็รู้ว่าเรื่องอะไรกัน” สดหันไปเรียก “นี่ไอ้แสน...”
แสนวิ่งตึงตังหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาบนเรือน
“พี่ศรีไพร เร็วเข้า ไปที่ปากคลองเร็วๆ”
“ไปทำไม ปากคลองมีเรื่องอะไร”
“ตำรวจน้ำน่ะซีพี่ ยกพวกมางมอาวุธสงครามตั้งแต่เมื่อเช้า ไปเร็ว...”
ศรีไพรกับแสนวิ่งออกไป ศรีแพรขยับตัว
“พี่ไปด้วยคน”
สดรีบห้าม
“อย่า...อย่าไป รอฟังข่าวที่บ้านดีกว่า” สดหันไปหาพร “ตาพร ฉันใจไม่ดีเลย บ้านนาเราเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมมันมีแต่เรื่องน่ากลัวยังงี้”
“ก็เพราะคนบ้านเรามันเปลี่ยนไป แล้วเมื่อไหร่จะหันกลับมา มีสำนึกรักท้องถิ่นข้าก็ไม่รู้หรือแผ่นดินบ้านนามันจะเดือดเป็นเลือด”
“พ่อ...”
ศรีแพรก้าวเข้ามาเกาะแขนพรไว้ด้วยความหวั่นกลัว
ชิงชัยตบโต๊ะปัง บุญช่วยมีอาการหน้ามืดเพราะความโกรธ สไบรีบเอาผ้าเย็นโปะศีรษะของบุญช่วย
“มันรู้ได้ยังไงว่าเราจะขนของคืนนี้ ไอ้หลิม ไอ้เลิศ จ่าสินล่ะ”
“อยู่ในที่เกิดเหตุ ที่เขากำลังงมของกลางกันครับ” หลิมบอก
“จ่าสินคงไปตีหน้าซื่อ ไม่ก็ไปสืบความว่าเป็นฝีมือของใคร หรือว่าจะเป็น หนอนบ่อนไส้”
ขาดคำ ชาริณีก็ชำเลืองมองไปยังสไบ
“ที่คุณพูดยังงี้ว่าใคร ฉันรู้เห็นเรื่องในบ้านนี้ เพราะฉันเป็นเมียพ่อคุณ ฉันจะทำตัวเป็นหนอนเน่าทำไม” สไบโวย
ชาริณีจ้องหน้า
“ทำไมแกต้องร้อนตัวออกรับ ในเมื่อฉันไม่ได้เอ่ยชื่อแกสักหน่อย”
บุญช่วยรีบปรามสองคน
“เอาเถอะ มันจะเป็นหนอนตัวไหนเราต้องสืบให้รู้ เตือนแล้วว่าทำการอะไรต้องระวัง แม้แต่จ่าสินเองก็อย่าไว้ใจ”
ชิงชัยอึ้งไป
“พ่อ...”
“ป่านนี้คนบ้านนามันคงจะแตกตื่น แกต้องออกไปหาข่าว เดี๋ยวชาวนาจะสงสัยว่าทำไมเราไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่มันเป็นเรื่องสำคัญ”
“พ่อ ไม่คิดจะสงสัยใครเหรอ” ชาริณีถามอย่างไม่พอใจ
“จะสงสัยใครล่ะ บ้านนามีคนหน้าแปลกสักกี่คน” สไบหันไปหาชิงชัย “คุณชิงชัย ไอ้ทวนกับไอ้เมินไง คุณไม่สงสัยสองคนนั่นบ้างหรือ จ่าสินยังสืบไม่ได้ว่ามันหายไปไหนมาตั้งเกือบสิบปี อยู่ๆ มันก็กลับมารับจ้างทำนา”
“จริงซีนะ ไอ้ทวน ไอ้เมิน” ชิงชัยเริ่มสงสัย
สไบเดินนำหน้าแหว่งลงมาจากเรือน ชาริณีวิ่งตามมาผลักร่างของแหว่งกระเด็นออกไป กระชากไหล่ของสไบด้วยความโกรธ
“ว๊าย คุณสไบของบ่าวขา ช่วยด้วย...” แหว่งร้องลั่น
“นังชาริณี...”
“คุณทวนเขาไม่ใช่คนอย่างที่แกคิด แกใส่ร้ายคุณทวน เพราะแกเห็นว่าฉันชอบเขาใช่มั้ยล่ะ”
สไบยิ้มหยัน
“อ้อ ยอมรับออกมาหน้าด้านๆ แล้วว่าชอบไอ้ทวน มิน่าล่ะ...ถึงได้ตามจับมันตัวเป็นเกลียว แต่จับมันไม่อยู่สักที”
“ฉันไม่ใช่ตุ๊กแกนี่ จับอะไรก็อยู่หมัด ไม่ว่าพ่อหรือลูก” ชาริณีย้อน
“อ้อ จะเอาเรื่องนี้มาขู่” สไบเย้ยหยัน ท้าทาย “คิดหรือว่าตัวเองไม่มีแผล”
ชาริณีชะงัก
“แกพูดถึงอะไร”
“พ่อกับพี่ชายของคุณค้ายา ทำลายอนาคตของลูกคนอื่น แต่ลูกตัวเองกลับติดยาซะเอง นี่ถ้าพ่อกับพี่ชายคุณรู้ว่าคุณติดยาเสพติด ท่านเศรษฐีจะรู้สึกยังไงนะ คงกระอักออกมาเป็นเลือด ท่านเศรษฐีเป็นคนรักลูกนักไม่ใช่เหรอ”
ชาริณีโกรธ
“แก...”
“ถ้าฉันฟ้องพ่อคุณ อะไรจะเกิดขึ้นนะ”
“นัง...สไบ...”
แหว่งมองหยัน
“คุณสไบของบ่าวขา ดูซีคะ คุณชาริณีทำหน้าซีดหน้าเหลือง เหมือนคนกำลังลงแดงเลยค่ะ”
ชาริณีโกรธตัวสั่น
“แก...”
สไบจ้องหน้า
“คุณนั่นแหละที่เข้าข่ายต้องสงสัยว่าเอาความลับของท่านเศรษฐีกับคุณชิงชัย ไปเปิดโปงเพราะความงั่ง...”
ชาริณี เจ็บใจ ที่ทำอะไรสไบไม่ได้
“นัง...นังสไบ...”
“ไป นังแหว่ง ไปตลาดกัน”
“เชิญค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบสะบัดหน้าออกไป แหว่งหันมาค้อนก่อนวิ่งตามสไบไป ชาริณีมองตามไปด้วยความเคืองแค้น
ศรีไพรเดินกลับมาจากสืบข่าว เรื่องอาวุธที่ถูกงมขึ้นมาพร้อมแสน พลางบ่น...
“อาวุธมากมายขนาดนั้นมันผ่านเข้ามาในบ้านนาได้ยังไง รถบรรทุกที่วิ่งกันโครมครามจนถนนสึก ก็มีแต่รถขนดินของเศรษฐีบุญช่วยทั้งนั้น ไอ้ปืนกับระเบิดที่เขางมขึ้นมาน่ะ มันมากมายจนทำสงครามได้เลยนะ”
“พี่ แล้วเสียงปืนเมื่อคืนนี้ มันเสียงของใครบ้าง ไม่เห็นมีร่องรอยว่ามีการจับกุมเลยนะ” แสงสงสัย
“พี่ก็จับทิศทางไม่ได้ มันดังยังกับเสียงประทัดยังงั้น”
ทันใด สไบขับรถยนต์เฉี่ยว ศรีไพรและแสนกระโดดหลบ สไบจอดรถ แหว่งวางท่าคุณนาย หัวเราะเสียงเย้ยหยัน
“คุณสไบของบ่าวขากำลังใช้ถนน กรุณาลงไปเดินที่คันนาชั่วคราว คุณสไบของบ่าวขาเป็นเมีย...เอ๊ย...ภริยาของท่านเศรษฐีนะ”
แสนมองหน้าแหว่งไม่พอใจ
“แล้วไงล่ะ เป็นเมียท่านเศรษฐีแล้วน้ำหนักขึ้นเรอะ”
“ไอ้แสน รู้มั้ยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” แหว่งตะคอกเสียงแข็ง
แสนมองหยัน
“นางสาวแหว่ง ขี้ข้าคุณสไบของบ่าวขา”
แหว่งรีบเข้าไปฟ้องสไบ
“คุณสไบของบ่าวขา ฟังนะคะ ไอ้แสนไอ้เด็กเมื่อวานซืน มันบังอาจประชดไปถึงคุณสไบของบ่าวขาค่ะ บ่าวขอตบมันเพื่อคุณสไบของบ่าวขาได้มั้ยคะ”
“ไอ้แสน ไอ้...”
สไบทำท่าจะด่าแสน ศรีไพรขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สังเวชนิสัยขี้เบ่งของทั้งสองคน
“รีบไปเถอะ จะรีบไปผุดไปเกิดก็ต้องเร็วหน่อยนะ กรรมสมัยนี้มันตามทันเร็วจะตายไป ขนาดนายชิงชัยสั่งชาวบ้านไม่ให้ใส่บาตรหลวงตา แล้วเป็นยังไง”
แสนยิ้มหยันแล้วพูดเสริม
“ได้ข่าวว่า...ก้างปลาชิ้นเท่าลำแข้ง ติดลำคอใช่มั้ย”
ศีไพรกับแสนเดินหนี สไบกับแหว่ง หันมาสบตากัน
“คุณชิงชัย เอ๊ะ หรือว่า...”
แหว่งตาโต
“หรือว่าจะจริงคะคุณสไบของบ่าวขา”
สไบหน้าตื่น เมื่อนึกเรื่องเวรกรรมขึ้นมา
คนเร่ร่อนนั่งเก็บข้าวของที่ขอทานมาได้ใส่ย่าม ขณะที่ทวนและเมินเอาข้าวมาให้
“ลุง ผมเอาข้าวมาให้ กินข้าวหรือยังครับ” ทวนถาม
เมินมองอย่างเห็นใจ
“ลุงคงจะลำบากนะ ตอนนี้ชาวบ้านไม่มีใครกล้ามาทำบุญตักบาตร ก็เลยไม่มีข้าวก้นบาตรมาให้ลุง”
ทวนมองคนเร่ร่อนอย่างสงสัย
“ลุงคงออกขอทานแต่เช้า ผมมาทีไรลุงไม่เคยอยู่ที่เพิงนี่เลยนะ ไปขอทานแถวๆ ไหน ในเมื่อคนไม่มีเงินจะทำบุญทำทาน”
เมินมองยิ้มๆ
“ไปขอที่บ้านคนรวย อย่างเช่นที่บ้านเศรษฐีบุญช่วยใช่มั้ย”
“ไปบ่อยๆ ซีนะ”
“กลางวันบ้าง กลางคืนบ้าง นี่ แล้วเห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า”
“เป็นต้นว่า...มีรถเข้าๆ ออกๆ มีคนแปลกหน้า...มี...”
สองคนช่วยกันถาม คนเร่ร่อนไม่ตอบหอบข้าวของ เดินหนีไปเลย
“อ้าว ลุง...”
ทั้งสองหันมาสบสายตากัน ก่อนมองตามไปด้วยความสงสัย
วันต่อมา ศรีไพรถือฉมวกแทงปลาอยู่ในท้องนา โดยมีแสนถือข้องปลา เดินหากบอยู่บันคันนา แสนตะครุบกบนาตัวใหญ่
“ตัวเบ้อเริ่มเลยพี่ศรีไพร”
“เฮ้ย ตัวใหญ่จริงๆ ด้วย เดี๋ยวนี้ในท้องนาเริ่มมีปูมีกบแล้วหรือวะแสน ไม่เห็นมีปลาหมอในท้องนามาตั้งนานแล้ว”
“ก็เดี๋ยวนี้ชาวนาใช้ยาใช้ปุ๋ย สัตว์พวกนี้มันก็เลยอยู่ไม่ได้ พี่เห็นมั๊ยล่ะ พอเราทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ อะไรๆ ก็เริ่มกลับมา”
“แล้วทำไมเราไม่บอกชาวบ้านนาล่ะ ว่าท้องนาก็เป็นตู้เย็นใบใหญ่ให้ชุมชนเหมือนแม่น้ำลำคลองได้...ไป ไปหาหลวงตาเถอะ”
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนพี่ศรีไพร พี่จะไปหาหลวงตาทำไม”
“ให้หลวงตาเรียกประชุมชาวบ้าน”
ศรีไพรรีบผละไปด้วยความดีใจ
“พี่ แล้วชาวบ้านจะมาเรอะ” แสนตะโกนตาม
หลวงตานั่งฉันน้ำชาในกาหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ โดยมีมหาเฉื่อยนั่งพับเพียบหลับพร้อมกับเมิน
ทอกและหมอก ทวนนั่งกอดเข่า อ้าปากหาว ท่าทีเนือยๆ
“เฮ้อ ไม่มีใครมาเลย อาตมาเห็นจะต้องไปจำวัดก่อนนะโยม...”
หลวงตาลุกขึ้นยืน เดินออกไปอย่างเงียบๆ ศรีไพรยืนพิงต้นเสามุมหนึ่ง ผิดหวังที่ไม่มีใครร่วมมือ ทวนเดินเข้ามาหาศรีไพร
“ศรีไพร ถ้าไม่มีใครต้องการมีชีวิตที่ดี ก็ต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาดูว่าความขยันขันแข็ง ก็ทำให้ชีวิตดีได้”
“ทำยังไง...”
ศรีไพรหันมามองหน้าทวนอย่างเฉยเมย ทวนก้าวเข้ามา มองลึกเข้าใปในดวงตาของศรีไพรยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
เช้าวันใหม่ ศรีไพร ศรีแพร ทวน และเมิน นำทีมทุกคนช่วยกันจับปลา ร้องเพลง เหวี่ยงโคลนใส่กันเย้าแหย่กันอย่างมีความสุขตามประสาชาวนาที่ดำรงชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เนี้ยววิ่งมาแต่ไกล
“เอาด้วย เนี้ยวเอาด้วยอีกคน เนี้ยวเอาข้องเอาแหกับเอาข่ายมาแจกจ่ายทุกคน นี่เป็นอภินันทนาการจากร้านเจ๊กตง โดยอาม่วยเนี้ยวของพี่ทวน”
สุมิตรส่งเสียง หอบข้าวของตามมาด้วย
“อีนี้...นมัสเตสุมิตรามายันด้วยจ้ะ ฮัดช้า...ฮัดช้า อีนี้แขกเป็นกำลังใจด้วยกาแฟสด น้ำมะเน็ด กับคาปูชิโน อีนี้...เรามีเครดิตให้ จ่ายเพียงสามสิบเปอร์เซ็นส่วนที่เหลือบวกดอกเบี้ยทบต้น แล้วไปทบดอกอีกทีเดือนหน้าจ้ะ”
ทุกคนต่างร้องเพลงกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดัง ปัง!!!
อ่านต่อวันพรุ่งนี้ วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554