ลิขิตเสน่หา
ตอนที่ 3
หนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับพร้อมใจกันพาดหัวข่าว “จ๊วบสิเน่หา เปิดตัวสาวคนใหม่ของพิธีกรหนุ่มไฟแรง!” ข่าวนี้กวนอารมณ์บรรดาแฟนคลับสุดที่รักของสุดยอดจนเกินจะรับได้
กลุ่มแฟนคลับสุดยอดก็กำลังมุงอ่านหนังสือพิมพ์
“พี่สุดยอด ทำไมทำกับพวกเราแฟนคลับเยี่ยงนี้!” แฟนคลับคนหนึ่งพูดขึ้น
ข่าวชิ้นนี้สร้างความไม่พอใจให้กับคุณยิ่งเอามากๆ พออ่านข่าวจบก็โยนหนังสือพิมพ์ทิ้งอย่างอารมณ์เสีย พลางหันไปถามสุดยอด
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ไหนแกช่วยอธิบายชั้นหน่อยสิ”
“ผมเปล่านะ เขาจะล้มผมก็ไปประคองแล้วมันก็เสียหลักเท่านั้นเอง!”สุดยอดอธิบายฉาก จ๊วบสิเน่หาที่เป็นข่าวครึกโครม
“เสียหลักบ้าอะไร ปากประกบปากขนาดนั้นน่ะ”
“ผมพูดเรื่องจริง พี่จะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ”
“ความเชื่อของฉันไม่ได้สำคัญสำหรับสถานการณ์นี้หรอกโว๊ย ต่อให้ชั้นเชื่อแกแล้วไง คนอื่นเขาเชื่อมั้ย?”
“เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ แล้วพี่จะเครียดทำไม?” สุดยอดว่า
“ชั้นเครียดเพราะกลัวว่าแกจะทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนน่ะสิ”
สุดยอดหูผึ่ง เถียงขึ้นมาทันที
“คนอื่น! พี่หมายถึงยายยาหยีคู่จ๊วบผมน่ะเหรอ ไม่มีทาง ลงหนังสือพิมพ์แค่วันเดียว คงไม่ทำให้เดือดร้อนเท่าไหร่ร็อกกกกกกก”
แต่หารู้ไม่ว่า ระหว่างนั้นขณะที่ยาหยีกำลังจัดของอยู่ในร้านดอกไม้ของเธอ มองออกไปเห็นที่หน้าร้านมีสาวๆ มายืนออกันเพียบ ยาหยีดีใจมากนึกว่าวันนี้แจ็คพ็อตลูกค้าเยอะ จึงเดินมาเปิดประตูต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ เชิญเข้ามาก่อนสิคะ มอร์ แดน ทรี ยินดีให้บริการค่ะ”
สาวๆ กลุ่มนั้นไม่ตอบ เดินเข้ามาในร้านแถมจ้องหน้ายาหยีเขม็ง ยาหยีเริ่มหน้าเสีย
“พวกคุณไม่ได้มาซื้อของหรอกเหรอ”
“คิดว่าร้านของเธอวิเศษนักหรือไง ถึงได้ดึงดูดให้พวกชั้นต้องถ่อมาถึงนี่” ตัวแทนกลุ่มเอ่ยขึ้น
“หลงตัวเอง!!!” สาวๆ กลุ่มนั้นพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้นจะมาทำไม” ยาหยีถามเพราะยังงงๆ
“ก็มาเอาเรื่องผู้หญิงในภาพนี่ไง ใช่เธอหรือเปล่าล่ะ”สาวอีกคนพูดขึ้นฉุนๆ พร้อมกับ โยน
หนังสือพิมพ์บันเทิงใส่ ยาหยีเห็นรูปตัวเองถึงผงะ หยิบขึ้นมาอ่าน
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ ความจริงชั้นก็แค่…” ยาหยีพยายามจะอธิบาย
“ไม่ต้องพูด เราไม่ได้มาฟังคำอธิบาย เราแค่มาสั่งสอนให้เธอรู้ว่าอย่ามายุ่งกับพี่สุดยอดของพวกเรา” สาวที่พูดขึ้นแรกประกาศเจตนารมณ์ ส่วนสาวอีกคนในกลุ่มให้สัญญาณ
“ลงมือ!!”
ขาดคำ สาวๆ ที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของสุดยอด พากันกรูเข้าไปทำร้ายข้าวของภายในร้าน
ยาหยีเข้าไปปัดป้อง ห้ามปราม แต่ก็ถูกผลักกระเด็น
เรื่องมาจบลง ที่สถานีตำรวจในท้องที่ร้านดอกไม้ สุดยอดเปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่นถามขึ้นทันที
“มันเรื่องอะไรกันครับ”
“คุยกันเอาเองแล้วกัน ตกลงกันไม่ได้ค่อยเรียกผม” ตำรวจทำหน้ามุ่ย อย่างเอือมระอา
สุดยอดหันไปเห็นยาหยีกำลังมองมาตาเขียว ส่วนแฟนคลับแสบทำหน้าแบ๊ว รีบอ้อนทันที
“พี่สุดยอด พี่สุดยอดต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเรานะคะ” สาวหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น
“หนอย ความเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมจริง ต้องเอาพวกแกเข้าคุกคนละปี โทษฐานก่อความวุ่นวาย
และทำร้ายข้าวของคนอื่น” ก้อยที่รีบตามมาเป็นเพื่อนยาหยีทันทีที่รู้เรื่อง ทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้น
“ทำลายข้าวของ!” สุดยอดงง
“ใช่ แฟนคลับชะนีสมาธิสั้นของคุณน่ะ หึงโหด เห็นข่าวสวีทไม่ทันไรก็ไปทำลาย ข้าวของคนอื่นจน
พังพินาศ”วุ้นกล่าวเสริมทันทีอย่างมีอารมณ์
“พวกคุณทำอย่างนั้นจริงเหรอ” สุดยอดหันไปถาม บรรดา “สุดยอดเอฟซี” ทันที ซึ่งบรรดาเอฟซี-
แฟนคลับต่างทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“เชอะ สิ่งของที่เสียไป เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกของพวกเรา ที่รักและหวังดีกับพี่สุดยอด พวกเราอยากให้พี่ตั้งใจทำงาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกาลกินีนี่” แฟนคลับสุดยอดบอกเหตุผลรุมกินโต๊ะยาหยี
“เห็นจะมีแต่พวกแกนั่นแหล่ะที่เข้าข่ายกาลกินียกแก๊ง เจอครั้งแรกทุกอย่างก็วายป่วงไปหมด”ก้อย
สุดจะทน
“พูดอย่างนี้จะเอาอีกยกใช่มั้ย” สุดยอดเอฟซีอีกคนพูดขึ้นมา
“ก็เอาซี่!!!” วุ้นท้าทาย
“พอๆๆๆๆ อย่าทะเลาะกัน” สุดยอดห้ามทัพ ก่อนจะหันไปพูดกับยาหยี
“เอาเป็นว่าผมขอโทษ ค่าเสียหายเท่าไหร่ผมยินดีชดใช้ให้เอง”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ”
“แล้วคุณจะเอายังไง”
สุดยอดจ้องหน้า แต่ยาหยีเมินหนี
“ก็ต้องดัดสันดานแฟนคลับของคุณพวกนี้ให้รู้สำนึกสิ จับเข้าคุกสักคนละอาทิตย์ดีมั้ย จะได้หาย
ซ่า” วุ้นออกไอเดีย โดยมีก้อยช่วยหนุน
“ดี ยาหยีอย่ายอมนะ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
วุ้นก้อยมองเหล่าแฟนคลับแบบเอาเรื่อง แฟนคลับเริ่มหวั่นๆ
“พี่สุดยอดจะปล่อยพวกเราเข้าคุก โทษฐานที่รักพี่เกินเหตุเหรอคะ” คนหนึ่งว่า ส่วนอีกคนเสริม
“ไม่ได้น๊า พี่ทำกับคนที่รักและหวังดีกับพี่อย่างนี้ไม่ได้”
พร้อมกันนั้นเหล่าแฟนคลับทำหน้าเว้าวอน ถึงเนื้อถึงตัวสุดฤทธิ์ สุดยอดเดินไปหายาหยี กระซิบ
ต่อรองบางอย่างอย่างไว้เชิง
“คุณ มาคุยอะไรกับผมหน่อยสิ”
“ชั้นไม่มีอะไรจะคุย”
“ถือว่าผมขอร้อง นะ นะ ให้ผมคุกเข่าก็ยอม แต่ขอเป็นหลังจากนี้นะ เห็นแก่ศักดิ์ศรีผมบ้าง”
ยาหยีจะเดินเลี่ยงไป แต่สุดยอดคว้าแขนเอาไว้ หน้าตาเว้าวอนสุดฤทธิ์
สุดยอดลอบมาเจรจากับยาหยีที่มุมหนึ่งของสน. เพื่อกล่อมไม่ให้ยาหยีเอาเรื่อง
“มีอะไรก็ว่ามา ฉันมีเวลาไม่มาก”
“ผมไม่อยากให้คุณเอาเรื่องพวกเค้า คุณจะเอายังไงก็ว่ามา”
“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น คิดว่าเป็นแฟนคลับคุณแล้วมีอภิสิทธิ์ ทำร้ายคนอื่นได้ตามใจชอบเหรอ ฉันไม่
ยอม จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะคุณ” สุดยอดหยอด แต่ถูกยาหยีสวนกลับทันควัน
“แต่สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรไว้ต้องรับที่ตัวเองทำ”
“น่านะ นึกว่าหยวนๆเหอะนะ นิดๆหน่อยๆให้อภัยกันก็ได้ในฐานะคนเคยจ๊วบปากกัน”
“ไม่ได้ ไว้มีคนไปทำลายข้าวของคุณบ้าง ค่อยมาพูดคำนี้กับฉัน” ยาหยียืนกราน
“เราเถียงกันทั้งชาติก็ไม่จบ ต้องให้ผมทำยังไงคุณถึงจะหายแค้น”
ยาหยีได้ฟังก็นิ่งคิด
“คุกเข่าขอโทษ แล้วก็ยอมรับว่าที่แล้วมาทั้งหมดคุณเป็นคนผิด!”
“นี่คุณ” สุดยอดส่านสายตามองรอบๆ ที่กว้างๆ โล่งๆ กลัวคนเห็น
“ผมเป็นดารานะ จะให้คุกเข่าขอโทษผู้หญิงตรงนี้เลยเหรอไง”
“ไม่ต้องทำก็ได้” ยาหยีแกล้งพูดเสียงดัง “งั้นฉันเอาเรื่องนะ คุณตำรวจ”
“อ๊ะๆๆๆ”
สุดยอดคุกเข่าอย่างจำใจ
ยาหยีกับสุดยอดไม่รู้ตัวว่าบรรดาแฟนคลับตัวแสบมาแอบดูการเจรจาครั้งนี้อยู่ข้างๆ ประตู แฟนคลับทุกคนทำท่าซึ้งใจในความเสียสละของสุดยอด
“โถ พี่สุดยอดทำเพื่อพวกเราขนาดนี้เลยเหรอ” แฟนคลับคนหนึ่งว่า
“ผู้ชายคนนี้ เขาเป็นสุภาพบุรุษเสมอ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ!!” อีกคนเสริม
“ต่อไปนี้พวกเราทุกคนต้องรักพี่สุดยอดให้มาก” สาวที่เอ่ยคนแรกย้ำ
“แล้วเราก็จะจองเวรนังคนนี้ให้ถึงที่สุด!!” คนที่สองหมายถึง...ยาหยี
ซึ่งแฟนคลับทุกคนตกลงเห็นงามตามกัน
ฉากอันแสนกินใจแฟนคลับที่สุดยอดกำลังคุกเข่าอย่างจำใจนั้นยังดำเนินไป
“ผมขอโทษ” สุดยอดกัดฟันกรอด “พอใจเหรอยัง
“ยัง!” ยาหยีบอกพลางเปิดกระเป๋าตังค์ หยิบปากกาเมจิกสีน้ำเงินขึ้นมา คว้าแขนสุดยอด
ยาหยีรีบเขียนตัวเลขยิกๆ ซึ่งเป็นเลขบัญชีธนาคาร
“คุณจะทำอะไร”
“โอนค่าเสียหายมาให้ด้วย ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้รับ ฉันจะกลับมาแจ้งความ”
ว่าแล้วยาหยีก็เดินฉลุยจากไป ปล่อยให้สุดยอดทำท่าแค้นเคือง ตวาดไล่หลัง
“ไหนว่าไม่เอาตังค์ไง”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันงก มีไรมะ!!”
ยาหยีบอกอย่างสะใจ โดยไม่หันกลับมามอง
ยี่หวาโทรจากบ้านมาคุยกับคุณยิ่งซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ออฟฟิศ ยี่หวาเม้งแตกเรื่องข่าวและตามด้วยเรื่องแฟนคลับขาใหญ่บุกไปทำลายข้าวของในร้านดอกไม้ ยิ่งฟังด้วยท่าทางเกรงใจมากๆ
“ผมรับปากครับว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ให้เกิดเรื่อง จะบอกเจ้ายอดให้อบรมเหล่าแฟนคลับมันให้ดี ไม่ให้ไปก่อกวนที่ร้านอีกเป็นอันขาด”
“หวังว่าคุณยิ่งจะแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปนะคะ ที่ฉันจะสามารถเชื่อถือคำพูดได้ แค่นี้นะคะ” ยี่หวา
ตัดสาย
ทางด้านยิ่งพอวางสายจากยี่หวา ก็หันมาดุสุดยอดที่นั่งฟังอยู่ด้วย
“ไงล่ะ จะไปโปรโมทร้านให้เขากลับสร้างเรื่องปั่นป่วนสารพัด ทีนี้แกก็อย่าไปยุ่งกับเขาอีกนะ พี่น้องคู่นี้ปากยังกับกรรไกร”
“ไม่ต้องห่วง ชาตินี้ผมคงไม่ไปยุ่งกับยัยนั่นอีกแน่ เข็ดจนตาย”
“ชั้นก็ไม่มีทางให้แกไปยุ่งเด็ดขาด รับรอง!”
ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของยิ่งก็ดังขึ้น ยิ่งกดรับสาย
“ครับ ยิ่งพูดครับ อะไรนะครับ สนใจจะลงสปอนเซอร์กับรายการฯ เราเหรอครับ”
ยิ่งเอามือปิดโทรศัพท์ ยักคิ้วแสดงความดีใจกับสุดยอด สุดยอดเชียร์ให้พูดต่อ
“ครับๆ ว่าไงนะ แต่มีข้อแม้นิดหน่อย”
สุดยอดกระซิบ “รับเลยพี่ๆ ยอมทุกอย่าง”
“อยากให้คุณยาหยีมาทำรายการฯ ร่วมกับสุดยอด เป็นพิธีกรคู่ขวัญกันเลยยิ่งดี”
ยิ่งทวนคำพูดลูกค้าดังๆ สุดยอดตกใจมาก โบกมือบอกไม่เอา พลางกระซิบ
“ไม่เอา ไม่เอา”
ยิ่งลืมตัวพูดกับสุดยอด
“ไม่ได้ ไม่ได้” ก่อนจะกลับลำทัน “เอ๊ย ไม่ใช่ครับ ได้ครับได้ ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดงั้นเริ่มเทปหน้าเลยก็ได้ครับ” ยิ่งรับปากไม่บอกก็รู้ว่าสุดยอดไม่เห็นด้วยสุดลิ่ม
สุดยอดโวยวายไม่ยอมท่าเดียว ขณะที่ยิ่งเปลี่ยนท่าที
“ไหนพี่สั่งไม่ให้ผมไปยุ่งกับยัยนั่นอีก แล้วพี่รับปากสปอนเซอร์ให้ผมทำรายการกับเขาอีกทำไม”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ากระแสจ๊วบสิเน่หาของแกกับยาหยีจะแรงขนาดนั้น” ยิ่งว่า
“แต่พี่ยิ่งก็รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่จ๊วบสิเน่หา แต่มันเป็นจ๊วบอาฆาตพยาบาท แล้วผมจะทำงานกับเขาได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ แกก็ท่องคาถาบูชาเงินเอาไว้สิวะ เงิน เงิน เงิน”
สุดยอดเจอมุกนี้ทำท่าเบื่อหน่าย เบือนหน้าไป แต่ยิ่งตื๊อต่อ
“ไอ้ยอดเอ๊ย อ้อยมาถึงปากช้างแล้วแค่กระเดือกลงไปเท่านั้นเอง ยอมหน่อยน๊า”
“แน่ใจเหรอครับว่าอ้อย ผมว่าบอระเพ็ดมากกว่า”
“นั่นสิยิ่งดี ไม่เคยได้ยินเหรอ หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงผมก็ไม่ร่วมงานกับยัยนั่น”
“ไม่รู้ล่ะ ฉันถือว่านี่เป็นคำสั่ง ทำยังไงก็ได้ให้ยาหยีตอบรับโปรเจคต์นี้! ไม่งั้นแกโดนปลด”
ยิ่งยื่นไม้ตาย แต่ไม่ได้ผล
“ไม่มีวันซะหรอก คนอย่างผม ยอมอดตายแต่ไม่ขายศักดิ์ศรีกิน ไม่มีทางเด็ดขาด”
สีหน้าสุดยอดระหว่างพูดมุ่งมั่น และดูหยิ่งทระนงน่าศรัทธาสุดๆ
ทว่าเวลาต่อมา สุดยอดก็ปรากฏตัวพร้อมพานพุ่มดอกไม้เตรียมขอขมายาหยีที่บ้านบุญเลื่อง
สุดยอดนั่งอยู่บนพื้น โดยคุณยิ่ง ยี่หวา ยาหยี คุณบุญเลื่องนั่งข้างบน สุดยอดกระซิบกับยิ่ง
“ผมเห็นแก่โบนัสปลายปีที่พี่จะเพิ่มให้หรอกนะ อย่าลืมแล้วกัน!”
“เออน่ะ!”
ยิ่งกระแอมสองสามที ก่อนเอ่ยกับทุกคนเสียงดัง
“เอาล่ะครับ นายสุดยอดก็สำนึกผิดแล้ว ขอให้เลิกแล้วต่อกันนะครับ สุดยอด เริ่มพิธี!”
สุดยอดก้มลงกราบงามๆ ยกพานพุ่มแด่ผู้ใหญ่ บุญเลื่อง ยี่หวา รับไหว้ แต่ยาหยียังเมิน
“ให้อภัยเขาเถอะยาหยี จะว่าไปก็ไม่ใช่ความผิดสุดยอดหรอกนะ” ยี่หวาบอกน้อง
“พี่ก็พูดได้ พี่ไม่โดน….เหมือนหยีนี่”
“เอาน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ต่อไปก็ขอแค่อย่าให้แฟนคลับมาวุ่นวายที่ร้านอีกก็พอ ส่วนเรื่องยาหยีจะไปเป็นพิธีกรรึเปล่าก็ต้องถามเจ้าตัวเขาเอง”
“น้องยาหยีว่าไงครับ” ยิ่งลุ้นกว่าใคร
“หยีขอตอบคำเดิม หยีร่วมงานกับคนอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ”
“แต่แม่อยากเห็นหยีออกทีวีนะลูก” บุญเลื่องเสริม
“พี่ว่ามันเป็นผลดีกับร้านเราด้วยนะ คิดดีๆ นะหยี” ยี่หวาเตือนสติน้องสาว ยิ่งเสริมทันที
“นั่นสิครับ มีแต่ได้กับได้นะครับ ถ้าน้องหยีไม่ชอบขี้หน้าไอ้สุดยอดมันจริงๆ ทำเหมือนพี่ก็ได้ มองข้ามหัวมันไปเลยครับ เห็นมั้ยครับแค่นี้ก็มองไม่เห็นแล้ว ข้ามหัว.....”
สุดยอดสะกิดตือนยิ่ง วางหน้าเข้ม “พี่ ผมนั่งอยู่!!
ยิ่งกระซิบกลับ “เอาเถอะ อยู่เฉยๆ เดี๋ยวดีเอง” ว่าพลางหันไปพูดกับยาหยีเสียงอ้อน
“ว่าไงครับ น้องหยี….เงินทองกองอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่าปฏิเสธเลยครับ นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงรีบคว้าแล้ว”
เวลาเดียวกันนั้นที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่ง วัลลภากำลังยื่นมือรับเงิน จากเถ้าแก่ เจ้าของที่นั่งอยู่ในหลังลูกกรง วัลลภารีบคว้าเงินหน้าตาตื่น สีหน้าแช่มชื่น แต่พอรู้ราคาทำหน้าเม้งไม่พอใจ
“ไม่กดราคาไปหน่อยเหรอ เพชรฉันน้ำงาม เอคัลเลอร์นะ ถ้าเอาขึ้นห้างก็ไม่ต่ำกว่าสองล้าน แล้วนี่
อะไร ให้มาปึกแค่นี้”
“ก็ถ้าห้างให้ราคาดี ทำไมไม่ไปขายล่ะครับ” ถูกเถ้าแก่ย้อนให้ วัลลภาโกรธ แต่เม้มปากไว้ ทำอะไรไม่ได้
“อ๋อ ผมรู้แล้ว คุณนายวัลลภาคงหน้าบาง ไม่กล้าไปขายใช่มั้ย ก็เข้าใจนะคนรวยก็หน้าบางแบบนี้”
“ฉันยอมขายเพชรให้เถ้าแก่ไม้ได้หมายความว่าจะยอมขายศักดิ์ศรีกิน โดยให้เถ้าแก่มาวิพากษ์วิจารณ์ไลฟ์สไตล์ฉันฟรีๆ นะ” วัลลภาพูดหยิ่งๆ
“แปลว่าไม่ขายใช่มั๊ย งั้นเอามา” เถ้าแก่ยื่นมือไปคว้าเงิน จะเอาคืน วัลลภารีบตะกุยตะกายคว้าเงินคืนมา หน้าตาเจื่อนๆ
“ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย” วัลลภายอม หันไปปั๊มลายนิ้วมือ เช็ดหมึกพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จวัลลภาก็หยิบเงินเข้ากระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรู
“ขายหมดตัวแล้วยังไม่พอใช้หนี้ คุณนายจะจำนำกระเป๋าอีกใบก็ได้นะครับ” เถ้าแก่ชี้ทาง
วัลลภาได้ฟังรีบยกกระเป๋ามากอด ออกอาการหวงมาก.... พลางว่า
“เรื่องอะไร ของรักของหวง ไม่มีทาง!”
พอวัลลภาเดินออกมานอกโรงรับจำนำ ก็สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมแนบตัว ดูออกว่าเธอรักและหวงมากๆ
“หนอย! กดราคาขนาดนี้ ยังจะให้ฉันจำนำกระเป๋า” วัลลภาบ่น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ที่แท้เป็นเจ้าของร้านกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง นั่นเองโทรตาม
“คุณวัลลภาหรือเปล่าคะ ดิฉันโทรจากร้านกระเป๋าที่คุณวัลลภาเช่าไปนะคะ จะบอกว่าต้องรีบเอามาคืนภายในวันนี้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับวันละห้าร้อย” เจ้าของร้านบอก
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องพูดมาก จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
วัลลภาตัดสายอย่างอารมณ์เสีย เก็บเงิน แล้วก็โทรศัพท์เข้ากระเป๋า ระหว่างนั้นมีผู้ชายวิ่งราวกระเป๋าไปต่อหน้า วัลลภาช็อค ตะโกนให้คนช่วย
วัลลภาวิ่งตามเข้ามาในซอยเปลี่ยว แต่มองหาก็ไม่เห็นใครทั้งนั้น วัลลภาเหนื่อยจนหอบแฮ่ก!
“หนีไปไหนแล้วนี่ เอากระเป๋าคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” วัลลภาตะโกน
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายสองคนเดินมาใกล้ วัลลภามีสีหน้าตื่น ตกใจกลัว
“ยังจำกันได้มั้ยครับ” ชายคนแรกพูด
“จำได้สิ แกมันลิ่วล้อเจ้าของบ่อนหน้าเลือดที่สูบฉันไปซะหมดตัว!” วัลลภา
“คุณนายจำผมได้แสดงว่าก็ต้องจำหนี้ห้าล้านที่ค้างเอาไว้ได้เหมือนกัน” นักเลงคุมบ่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“ฉันบอกเจ้านายแกแล้วนี่ว่าขอเวลาหน่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง” วัลลภาโวยวาย
“ก็พอรู้เรื่อง แต่เผอิญว่านายผมเป็นคนใจร้อน อีกอย่างมันก็ครบกำหนดต้องจ่ายแล้วด้วย” นักเลง
บอกเสียงเคร่ง
“แต่ฉันยังไม่มี บอกนายแกหน่อยนะฉันขอเวลาหน่อย” วัลลภาต่อรอง
ขณะนั้นเองนักเลงจากบ่อน ก็ล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าวัลลภา โชว์ให้เห็นเงินสดๆ พลางถาม
“แล้วนี่ล่ะอะไร”
“อย่าเอาไปเลยนะ ฉันจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้จริงๆ” วัลลภาอ้อนวอน
“ผมรู้ว่าคุณนายไม่มี นี่ก็ถือว่าเป็น ค่าเสียเวลา ก็แล้วกัน! ส่วนหนี้ห้าล้านผมจะมาตามอีกอาทิตย์หน้า อ้อ! คราวหน้าไปให้ไกลๆ โรงจำนำบ้างก็ได้นะ ตามทุกครั้ง แสลงใจ
คนร้ายโยนกระเป๋าคืน วัลลภาเข่าอ่อน หมดสิ้นเรี่ยวแรง
คืนนั้นวัลลภากลุ้มใจมากๆ คุยหารือกับวสันต์ แต่วสันต์กลับตัดช่องน้อยแต่พอตัว
“นี่มันไม่ใช่มรดกนะครับ เงินตั้งห้าล้าน ใครเป็นหนี้ก็ใช้กันเอาเองสิผมไม่เห็นเกี่ยวด้วย” วสันต์โวย
“แกพูดอย่างนี้ได้ยังไงตาสันต์ ฉันเป็นคนเบ่งแกออกมานะ เงินที่เลี้ยงแกมาก็ล้วนมาจากบ่อน
ทั้งนั้นแหละ”
“ก็ถ้าบ่อนดี แล้วหนี้ห้าล้านมันงอกออกมาได้ไงล่ะครับ” วสันต์ย้อนแม่
“เรื่องธรรมดา มันก็ได้บ้าง เสียบ้าง ทีแกเล่นบอลยังไม่ถูกทุกงวดเลยสรุปจะช่วยไม่ช่วย ถ้าไม่ช่วย
ฉันจะได้ไปป่าวประกาศให้คนมันรู้กันทั่ว ว่าแกมันอกตัญญู ไม่เลี้ยงดูแม่!”
“อย่านะแม่ ผมเสียชื่อ แม่ทำอย่างนั้นแล้วผู้หญิงที่ไหนจะมาคบกับผม” วสันต์ห่วงหน้าตาตัวเอง
“ถ้าไม่อยากให้ทำ แกก็ช่วยฉันสิ”
“จะให้ผมช่วยแม่ยังไง”
“ทำยังไงก็ได้ให้ยี่หวามันขายที่ให้ได้ ขายที่ได้ทุกอย่างก็จบ”
“ผมพยายามแล้ว แต่ยี่หวาเขาไม่ยอม แม่มีแผนอะไรหรือเปล่าล่ะครับ”
“ใช้ลูกแกให้เป็นประโยชน์สิ ยี่หวามันรักลูกจะตาย
“นี่แม่จะให้ผมใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรอง”
“คิดตามนะ! ราคาที่ดินสามสิบล้าน เราบอกขายห้าสิบล้าน กำไรเท่าไหร่ นี่ยังไม่นับรวมคอมมิชชั่น
อีกต่างหาก อะไรจะดีกว่านี้??!!” วัลลภาได้ทียกเอาเงินมาล่อ
วสันต์พยักหน้าเห็นด้วยกับวัลลภา พร้อมเห็นเงินก้อนโตลอยมาต่อหน้าต่อตา
ระหว่างที่บุญเลื่องและยาหยีกำลังล้างรถอยู่ที่หน้าบ้าน รถยนต์วสันต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน บุญเลื่องเห็นวสันต์ก็หน้าตึงทันที
“มาทำไม!” บุญเลื่องเปรย
“คงมาหาข้าวตูมั้งคะ ยังไงเค้าก็พ่อลูกกันคงคิดถึงกัน” ยาหยีว่า
ขณะนั้นวสันต์เดินยิ้มเข้ามา
“หวัดดีครับคุณแม่ยาย”
บุญเลื่องตึงๆ รับไหว้แบบไม่เต็มใจ ยาหยีไหว้วสันต์แบบจำใจ
“คุยอะไรกันอยู่ครับ เหมือนได้ยินพูดถึงผมกัน” วสันต์ตีหน้าตาย
“ถ้าเปลี่ยนจาก ‘หู’ ดีเป็น ‘นิสัย’ ดี ก็คงจะดีนะ!” บุญเลื่องเยาะลูกเขย
“โห วันนี้ผมต้องโชคดีแน่ เพราะโดนคุณแม่ภรรยาสรรเสริญแต่เช้า ข้าวตูอยู่มั้ยครับ ผมมาหาข้าวตู” วสันต์เอาลูกมาอ้างเสมอ
“ไม่อยู่” บุญเลื่องบอก
“ไม่อยู่หรือไม่อยากให้เจอ โกหกน่ะเป็นบาปนะคุณแม่ อีกอย่างพรากลูกพรากเมียคนอื่นยิ่งบาปหนักเข้าไปใหญ่” วสันต์เยาะแกมเย้ยสองแม่ลูก
“แต่หยีว่าบาปแค่ไหนก็คงไม่เท่าการทิ้งลูกทิ้งเมียหรอกค่ะ” ยาหยีฉุน เหน็บพี่เขย
วสันต์ทำหน้าไม่แยแสคำพูดยาหยี พูดหน้าตาย
“น้องหยีว่าใครครับ ที่แน่ๆ คงไม่ใช่พี่ เพราะพี่จะมารับยี่หวากับข้าวตูไปเที่ยว”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดถึง จู่ๆ จะมาทำดี มีแผนอะไรกันแน่” บุญเลื่องไม่เชื่อ
“แผน เผิน อะไรกันครับ อคติเกินไปหรือเปล่า” วสันต์บอกสองแม่ลูก
“อมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ กลับไปได้แล้ว” ยาหยีส่งแขก
“เชิญค่ะ พี่วสันต์” วสันต์ยังขัดขืน
“หยีพูดดีด้วยแล้วนะคะ ถ้าพูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง งั้นต่อไปจะหาว่าหยีรุนแรงไม่ได้”
“จะทำอะไรก็ทำ พี่เป็นลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น บอกว่าไม่ก็ไม่!” วสันต์เย้ย
ยาหยีหันไปทางสายยางจะหยิบมาฉีด บุญเลื่องห้ามไว้
“อย่าลูก!” บุญเลื่องร้องห้ามยาหยี
“โฮะๆๆ อย่างน้อยคนบ้านนี้ก็มีมารยาทมากกว่าที่ผมคิดไว้”
วสันต์ยิ้มไม่สำนึก ที่แท้บุญเลื่องขอเป็นฝ่ายฉีดใส่วสันต์เสียเอง
“ที่ห้ามเพราะฉันจะทำเองต่างหาก หมั่นไส้มานานแล้ว วันนี้ขอเสียมารยาทสักวัน”
“อย่าครับคุณแม่ โอ๊ยๆๆ เปียกหมดแล้ว” วสันต์ห้ามแต่ไม่เป็นผล
ยี่หวากับข้าวตูเดินออกมาที่หน้าบ้าน
ข้าวตูได้ยินเอะอะ “เสียงคุณพ่อนี่ครับ คุณแม่”
ข้าวตูหันไปเรียก “คุณพ่อ!!”
ขณะนั้นเหตุการณ์ชุลมุนที่หน้าบ้าน ยังดำเนินต่อไปบุญเลื่องยังฉีดน้ำใส่วสันต์ไม่ยอมหยุด
“คุณย่าอย่าทำคุณพ่อ” ข้าวตูโผวิ่งโผมาขวาง บุญเลื่องต้องหยุด
“มันเรื่องอะไรกันคะ
บุญเลื่องกับยาหยีนิ่งไป แต่วสันต์ทำท่าฟึดฟัด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีคนแถวนี้ตัวเหม็น คุณแม่ก็เลยสงเคราะห์อาบน้ำให้”
ข้าวตูจ้องยายบุญเลื่องอย่างใสซื่อ ก่อนหันหลังไปบอกวสันต์ด้วยความไร้เดียงสา
“วันหลังถ้าคุณพ่อจะมาหาข้าวตู… อาบน้ำมาให้เรียบร้อยก่อนนะครับ”
บุญเลื่องกับยาหยีมองกันแอบขำๆ ยี่หวาจะขำด้วยแต่กลัวเสียมารยาท
“คุณมาทำไม”
“ผมก็มา…” วสันต์พูดไม่จบ ข้าวตูก็พูดขึ้นอย่างพาซื่อ
“คุณพ่อมาหาข้าวตู มารับข้าวตูกับคุณแม่ไปเที่ยวใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้วลูก” วสันต์ในสภาพเนื้อตัวเปียกซ่กสร้างภาพกับลูกชาย
“วันนี้พ่อว่าง อยากพาลูกกับคุณแม่ไปเที่ยว แต่ไม่รู้ เหมือนกันว่าแม่เค้าจะเต็มใจไปกับพ่อหรือเปล่า”
ข้าวตูดีใจเดินไปเซ้าซี้ยี่หวา
“ไปนะคร๊าบ คุณแม่ เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสามคนมานานแล้ว เพื่อนๆ ชอบเอารูปไปเที่ยวกับพ่อ
แม่มาอวด อาทิตย์นี้ข้าวตูจะได้อวดบ้าง”
ยี่หวามองหน้าลูกอย่างสงสาร คิดว่าวันนี้คงต้องฝืนใจทำเพื่อลูก
ไม่นานหลังจากนั้น ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ข้าวตูกำลังกินไอติมโคนอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมั้ยลูก” ยี่หวาถามลูกยิ้มแย้ม
“คุณแม่ทานด้วยสิครับ” ข้าวตูยื่นไอติมให้แม่ ยี่หวายื่นมือรับมา
“ขอบคุณครับ” กัดกินนิดหน่อยแล้วจะส่งคืนให้ข้าวตู
“คุณแม่ป้อนให้คุณพ่อด้วยสิครับ” วสันต์สร้างภาพพูดแล้วก็ชี้ที่ปาก ทำท่าว่าให้ยี่หวาป้อน
ยี่หวามองก่อนจะเอาไอติมยัดเข้าไป ทั้งโคนคาปาก
วสันต์เอาไอติมออกจากปากพลางบ่น “โห เย็นจนเสียวฟันไปหมดเลย” ข้าวตูมองภาพแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
“แล้วเย็นนี้คุณพ่อจะกลับไปทานข้าวที่บ้านคุณแม่ หรือเปล่าครับ”
“เย็นนี้ พ่อติดประชุมลูก” วสันต์โกหก
“คุณพ่อเป็นหัวหน้าห้องเหรอคร๊าบ ถึงต้องประชุมทุกครั้งเลย แล้วก็ไม่มีเวลาให้ข้าวตูกับคุณแม่”
“ข้าวตู อย่างอแงสิลูก อยู่กับแม่สองคนก็มีความสุขแล้วนี่นา” ยี่หวาบอกลูก
“แต่ข้าวตูอยากอยู่พร้อมกันสามคนบ้าง” ข้าวตูพูดพาซื่อ
“งั้น เอาไว้พ่อจะโดดประชุม มาอยู่กับข้าวตู กับแม่ยี่หวา พร้อมกันสามคนบ่อยๆ อย่างนี้ดีมั้ยครับ”
“ดีครับ คุณพ่อสัญญานะ”
ข้าวตูดีใจมาก จะขอเกี่ยวก้อยแทนสัญญา วสันต์มองลูกแบบแปลกๆ ที่เห็นอาการลูกหวานแหวว พลางว่า “ผู้ชายเขาไม่เกี่ยวก้อยสัญญากันหรอกลูก เขาทำอย่างนี้!”
วสันต์ทำท่าตีมือแบบแมนๆ ให้ดู ข้าวตูตีมือกับวสันต์ แต่เจ็บมือ!!
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ยี่หวาถามขึ้น
“ไม่เป็นไรคร๊าบบบ” ข้าวตูตอบเสียงใส
ข้าวตูเห็น มองแมสคอตถือลูกโป่งสวยงาม อยากได้ บอกพ่อกับแล้วก็วิ่งเข้าไป
“คุณพ่อกับคุณแม่รอข้าวตูตรงนี้ก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนข้าวตู แม่ไปด้วย”
ยี่หวาจะโผตามลูกชายไป แต่วสันต์คว้ามือเอาไว้
“คุณ! ปล่อยลูกไปเถอะ เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน
“ไม่! ฉันเป็นห่วงลูก เดี๋ยว รอแม่ด้วย”
“ไปเลยลูก ทางนี้พ่อจัดการเอง” วสันต์บอกลูก
ข้าวตูยิ้มหวานอย่างสุขใจ
“คร๊าบ” แล้ววิ่งไป
“ข้าวตู!” ยี่หวาห่วงลูก
“เอ๊ะ คุณนี่พูดไม่รู้เรื่อง ปล่อยลูกไปเผชิญโลกบ้างเถอะ แค่นี้ข้าวตูก็ดูหน่อมแน้ม นุ่มนิ่มจะแย่อยู่แล้ว” วสันต์เอ็ดยี่หวา พอข้าวตูลับตาไป ยี่หวาก็หันมามองวสันต์อย่างตึงๆ และพยายามมองข้าวตูไม่ละสายตา
ยี่หวายังยืนรอข้าวตูอยู่ตรงนั้น สักครู่วสันต์ก็ออกลาย
“ไม่ขอบคุณผมหน่อยเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“ที่ผมอุตส่าห์สละเวลาพาคุณกับลูกมาเที่ยวนี่ไง”
“คุณทำเพราะต้องการแค่คำนี้ใช่มั้ย?”
“โธ่ ยี่หวา คุณก็รู้จักผมดี …
“ไม่ถึงครึ่งวันก็อดรนทนไม่ไหว ต้องสารภาพแล้วใช่มั้ย ว่าที่มาทำดีนี่ เพราะหวังผล” ยี่หวาเยาะ
วสันต์อึ้งไป เหมือนจะผิดหวังเพราะโดนรู้ทัน แต่กลับชอบที่ถูกจับได้ หัวเราะแบบโดนใจเต็มๆ
“สมกับเป็นเมียรักผมจริงๆ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม เรื่องขายที่ดิน ผมอยากให้คุณขายๆ
ไปเถอะจะมาเก็บโฉนดให้ปลวกมันกินทำไม ผมหวังดีนะถึงพูด”
“เด็กอมมือน่ะ วิ่งไปโน่นแล้ว! ฉันยี่หวา ผ่านโลก ผ่านความโหดร้ายมาเยอะ เยอะพอจะรู้ว่าคนอย่างคุณ ไม่มีความหวังดีให้ใครหรอก คราวนี้เดือดร้อนเงิน
เรื่องอะไรมาอีกล่ะ!
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าถ้าคุณขายที่แล้วเอาเงินมาให้ผมยืม ทุกอย่างก็จบ”
ยี่หวาเมินวสันต์ หันไปมองอีกทาง ไม่อยากพูดถึง
“โธ่ ยี่หวา คุณไม่สงสารผมเหรอ” วสันต์อ้อน
“ทำไมชั้นต้องสงสาร คนที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างคุณด้วย”
วสันต์นิ่งไป หันมาพูดอย่างจริงจัง “เพราะผมเป็นพ่อของลูกคุณไง”
ยี่หวานิ่งไป มีทีท่าจริงจังเหมือนกัน
“พ่องั้นเหรอ! ตั้งแต่ข้าวตูเกิดคุณทำหน้าที่อะไรบ้างให้สมกับคำว่าพ่อ” เจอตอกกลับแทงใจแบบนี้
วสันต์อึ้งไปทันที
“นึกไม่ออกล่ะสิ ชั้นบอกให้ก็ได้ ไม่มี! ตั้งแต่ฉันรู้จักคุณมา เรื่องดีเรื่องเดียวที่คุณมี ก็คือทำให้ฉันได้
เจอกับข้าวตู”
“ถ้างั้นก็เอาน้องข้าวตูอีกสักคนมั้ยล่ะ เดี๋ยวผมจัดให้ จะได้เพิ่มเรื่องดีๆ ของผมอีกสักเรื่อง แต่คุณ
ต้องขายที่ก่อนนะ ผมถึงจะยอมเหนื่อย” วสันต์เย้ยแกมเยาะ
ยี่หวาทนไม่ไหว ทุบวสันต์ไปหลายที วสันต์ปกป้องตัวเองพัลวัน
“โอ๊ย มาตีอะไรผมล่ะ พอแล้วอายเค้า”
ข้าวตูเดินถือลูกโป่งมาเห็นเข้าพอดี เห็นแม่ตีพ่อ อึ้ง เสียใจ
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไม่ขอเจอคุณเลย คนอย่างคุณไม่สมควรเป็นพ่อข้าวตู” ยี่หวาระเบิดออกมาอย่างเหลือดอด
“ผมก็ไม่อยากให้คุณเป็นแม่ของลูกผมเหมือนกัน ดูสิ สั่งสอนกันยังไง ลูกจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอยู่
แล้ว” วสันต์โต้
ข้าวตูได้ยินก็เบ้ปาก เด็กชายตัวน้อยเสียใจอย่างหนัก วิ่งร้องไห้หนีไป แต่สะดุดขาตัวเองล้ม ลูกโป่งแตก ยี่หวากับวสันต์หันไปเห็นพอดี
“คุณพูดอะไรออกมา ลูกได้ยินหมดแล้ว ข้าวตูๆๆ เดี๋ยวลูกรอแม่ก่อน”
ยี่หวาไม่มีเวลาจะเอาความอะไรกับวสันต์ เธอรีบวิ่งตามข้าวตูต่อ
อ่านต่อหน้า 2
ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้น ณนนท์เดินจูงมือไข่ตุ๋นเข้ามาเที่ยวห้างแห่งนั้นพอดี ข้างๆ มีปู่เท่งเดินตามมาติดๆ แต่แล้วไข่ตุ๋นก็แกะมือณนนท์ออก เดินไปเซ้าซี้เท่ง
“คุณปู่ ไข่ตุ๋นอยากไปยิงกระต่าย” ได้ยินหลานพูดขึ้น เท่งหัวเราะขำๆ ทันที
“ยิงกระต่ายมันเป็นศัพท์ปลดทุกข์ของผู้ชายเค้าลูก ของผู้หญิงเค้าเรียกว่า...”
“ว่าอะไรคะ” ไข่ตุ๋นซัก จนเท่งเกาหัว
“เท่าที่ได้ยินมาเขาเรียก เก็บดอกไม้” เท่งบอกหลายอย่างเอ็นดู
“แหวะ ไข่ตุ๋นไม่ชอบอ่ะ เรียกเป็น ‘ยิงดอกไม้’ ได้ป่ะคะ”
“ปู่ว่ามันทะแม่งๆ นะ เอางี้พบกันครึ่งทาง ต่อไปนี้เรียกว่า ‘เก็บกระต่าย’ ก็แล้วกัน”
“ดีค่ะ งั้นคุณปู่พาไข่ตุ๋นไป เก็บกระต่าย หน่อยสิคะ”
“พ่อพาไปเอง อย่าไปกวนปู่เลยลูก” ณนนท์บอกลูกสาว แล้วคว้าแขน แต่ไข่ตุ๋นสะบัดไม่เอา
“ไม่เอา ไข่ตุ๋นไม่อยากให้พ่อพาไปห้องน้ำ”
“ทำไมล่ะลูก” ณนนท์งง
“เพราะเวลาที่พ่อพาไข่ตุ๋นไปห้องน้ำทีไร พวกผู้หญิงในห้องน้ำก็เอาแต่จ้องพ่อทำอย่างกับพ่อเป็นชี
สไบท์ จะกินให้ได้ ไข่ตุ๋นไม่ชอบ” ที่แท้ไข่ตุ๋นหวงพ่อ
“ฮ่าๆๆ หึงพ่อซะแล้วมั้ยล่ะ เจ้านนท์ สงสัยโอกาสหาเมียใหม่เป็นศูนย์”
“พ่อรอไข่ตุ๋นตรงนี้นะคะ ไปเก็บกระต่ายกันค่ะปู่ ไข่ตุ๋นทนไม่ไหวแล้ว”
เท่งพาไข่ตุ๋นไปห้องน้ำ ณนนท์มองตามลูกสาวจอมซนด้วยความเอ็นดู
ระหว่างนั้นณนนท์ละสายตาจากพ่อและลูกสาว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นว่า ยี่หวากำลังเดิน
อย่างเร็วรีบร้อนรนเหมือนว่ากำลังตามหาอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก!!!
ยี่หวาไม่เห็นณนนท์ เพราะใจจดจ่ออยู่แต่กับลูกที่หายไป เธอวิ่งตามหาลูกชายหน้าตาตื่น
“ข้าวตู ข้าวตู อยู่ไหนลูก” ยี่หวามองไม่เห็นลูก เป็นกังวล ถามคนผ่านไปมา
“คุณคะ เห็นเด็กผู้ชาย ตัวแค่นี้ ใส่เสื้อสี…. วิ่งผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า” ผู้คนต่างส่ายหน้าไม่มีใครเห็นข้าวตู ยี่หวาวิ่งตามต่อ วสันต์ตามมาติดๆ เพื่อคุยให้เสร็จธุระ
“คุณจะไปไหน มาคุยเรื่องของเราให้เสร็จก่อน ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมขายที่”
ยี่หวาโมโหมองหน้าวสันต์นิ่ง เรียกชื่อด้วยเสียงเคร่งแข็ง “วสันต์!”
“คุณใจอ่อนแล้วใช่มั้ย”
ยี่หวาตบหน้าไปฉาดหนึ่ง
“ตบผมทำไม”
“เรียกสติไง! ลูกหายไปทั้งคน คุณยังมีแก่ใจคิดถึงเรื่องอื่นอีกเหรอ”
“ข้าวตูก็วิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหล่ะ คุณอ่ะเว่อร์เกินเหตุ”
“คุณไม่ช่วยก็หลีกไปเลย ฉันจะตามหาข้าวตู หลีก”
“ไม่ จนกว่าคุณจะตกลง”
“ตกลงเหรอ ได้
ว่าแล้ว ยี่หวาก็ตบหน้าวสันต์ไปอีกฉาด
“วันนี้คุณตบหลายครั้งแล้วนะ ถ้าคุณทำร้ายผมอีกครั้งเดียว อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
วสันต์ขู่ แต่ยี่หวาท้ากลับ
“ก็เอาสิ!” ยี่หวาท้า
ยี่หวาตบเข้าไปอีกฉาดแบบไม่กลัว วสันต์โมโหง้างมือเตรียมตบ แต่ถูกใครคนหนึ่งล็อคมือไว้
ที่แท้เป็นณนนท์นั่นเองเป็นคนจับ
“ผัวเมียเขาจะคุยกัน อย่ายุ่งได้ป่าว” วสันต์ฉุน
“ขอโทษนะครับ ถ้าคุยกันรุนแรงแบบนี้ล่ะก็ เพื่อนผมคงไม่อยากคุยด้วย คุณมาคุยกับผมดีกว่า คุย
แบบนี้ ผมถนัด”
พอเจอคนจริงแบบนี้ วสันต์ก็ออาการขี้ขลาด กลัว ง้างๆ แล้วก็หยุดเอาซะดื้อๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ก่อนที่วสันต์จะเดินหนีไป ครั้นพอณนนท์หันมาอีกทีไม่เห็นยี่หวาวิ่งไปลิบๆแล้ว
ยี่หวายังคงวิ่งตามหาลูก ถามคนไปตลอดทาง แต่ไม่มีใครเจอ ใจเริ่มเสียตามลำดับ
“ข้าวตู ลูก อยู่ไหนครับ” ยี่หวาเรียกลูกไปพลางวิ่งไป จังหวะหนึ่งถึงกับสะดุดล้ม พอลุกขึ้นมาทว่าส้นสูงหักไปหนึ่งข้าง เธอเสียการทรงตัว ณนนท์รีบเข้ามาประคอง
“ระวังหน่อยสิ จะรีบไปไหนนี่”
“ลูกฉันหายค่ะ” ยี่หวาพูดพร้อมทำท่าร้อนรน ยี่หวาถอดรองเท้าส้นสูงอีกข้าง วิ่งตามหาลูก ด้วยเท้าอันเปล่าเปลือย ณนนท์เห็นภาพก็ตกใจ
“ลูกหาย!! เฮ้ยคุณ”
ไวเท่าความคิดณนนท์วิ่งเข้าไปดักหน้ายี่หวาไว้
“นี่ลูกคุณหายไปงั้นเหรอ? หายไปเมื่อไหร่? ที่ไหน? แล้วหายไปได้ยังไง?”
ณนนท์ซักถี่ยิบ จนยี่หวาอึ้ง “คิดว่าคุณเป็นใคร พ่อข้าวตูเขายังไม่ห่วงขนาดนี้เลย”
เจอแบบนี้เข้าณนนท์ก็อึ้งเหมือนกัน)
“ไม่รู้สิ อาจเพราะผมก็เป็นพ่อคนหนี่งเหมือนกันมั้ง มา ผมช่วย ดีกว่า คุณไปทางนั้นนะ วิ่งไปแจ้ง
ประชาสัมพันธ์ก่อน ส่วนผมจะไปหาทางนี้”
ยี่หวาพยักหน้ารับ แล้วรีบวิ่งไป ณนนท์คว้าโทรศัพท์โทรหาเท่ง
“พ่อครับ ฝากดูไข่ตุ๋นแป๊ปนะครับ ผมช่วยเพื่อนตามหา ลูกเขาหาย!”
รับเท่งวางโทรศัพท์ที่คุยกับณนนท์แล้วหันมาพูดกับหลายสาว
“ไป ไข่ตุ๋น เราไปเดินเล่นกันก่อน ปล่อยพ่อเขาบำเพ็ญประโยชน์ก่อน”
“บำเพ็ญประโยชน์อะไรคะ”ไข่ตุ๋นงงมุกของปู่
“พ่อเราเขาจิตใจดีไปช่วยตามหาเด็กหาย”
ระหว่างนั้นเสียงประกาศตามหาเด็กหายก็ดังขึ้นทั่วห้างแห่งนั้น
“ท่านใดพบเด็กชายข้าวตู อายุหกขวบใส่เสื้อสี… กรุณาพามาพบผู้ปกครองที่ เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ ตอนนี้คุณแม่เป็นห่วงมาก”
สลับมาที่เท่งกับไข่ตุ๋น
“ที่แท้ก็เป็นข้าวตูเหรอที่หายตัวไป”
“อ้าว เพื่อนไข่ตุ๋นเหรอลูก ถ้าอย่างนั้นเราช่วยเขาตามหาดีมั้ย ปู่ว่าเด็กผู้ชายก็คงจะหนีไปเล่นเครื่องเล่น หรือไม่ก็ร้านขายตุ๊กตุ่นพาวเวอร์เรนเจอร์” ปู่เท่งพูดไปเรื่อย
“เด็กผู้ชายคนอื่นน่ะใช่ค่ะ แต่สำหรับข้าวตู ไข่ตุ๋นว่าไปตามหาที่นี่ดีกว่า!”
ไข่ตุ๋นพูดราวกับว่ารู้จักข้าวตูดีกว่าใครๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่ไข่ตุ๋นนึก เพราะที่หน้าร้านขายตุ๊กตาบลายส์ในห้างแห่งนั้น ข้างๆ ตุ๊กตา ตาน่ารักตัวหนึ่ง ข้าวตูกำลังร้องไห้
ใครไม่รู้อาจคิดเอาเองว่าเด็กชายตัวน้อยร้องไห้เพราะว่าอยากได้ตุ๊กตา
แล้วไข่ตุ๋นก็จูงปู้เท่งตามหาข้าวตูจนเจอ
“เห็นมั้ยคะ อยู่ที่นี่จริงด้วย”
“เออ แปลกดี!”
ไข่ตุ๋นกับเท่งเดินไปที่ข้าวตู
มือเล็กๆ ของไข่ตุ๋น เลื่อนมาเกาะไหล่ข้าวตู ตบเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ขวัญเอ๊ย ขวัญมา”
ไข่ตุ๋นปลอบพลางตบไหล่ข้าวตูเบาๆ
“ไข่ตุ๋น เธอมาที่นี่ได้ยังไง” ข้าวตูถาม
“ก็มาตามหาเด็กหลงทางขี้แงไงล่ะ แค่หลงก็ร้องไห้และ ไม่เข้มแข็งเอาซะเลย”
“ใครบอกเธอว่าชั้นร้องไห้เพราะหลงทาง” ข้าวตูเถียง
“ถ้างั้นเพราะอะไร หรือโดนเด็กคนอื่นแกล้ง”
ข้าวตูส่ายหัว ทำหน้าเศร้า
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” คราวนี้ไข่ตุ๋นกุมขมับงงๆ “แล้วร้องไห้ทำไมล่ะ”
ข้าวตูไม่ตอบ เบือนหน้าหนี
“เป็นอะไร บอกปู่มาได้มั้ยครับคนเก่ง รู้มั้ยเด็กดีเวลามีปัญหาเขาทำยังไง เขาก็ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่มั่ก มากอย่างปู่นี่แหละ”
ข้าวตูเบ้ปาก แต่ก็ยังพยักหน้าแบบเชื่อฟัง
“ข้าวตูไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน อยากให้พ่อกับแม่รักกันครับ”
“โถๆๆ” เท่งลูบหัวข้าวตูอย่างเอ็นดูบอกว่า
“ถ้าพ่อกับแม่เขาไม่รักกันมาก่อน ข้าวตูก็คงไม่ได้เกิดมาหรอก จริงมั้ย? แต่ทีนี้ เฮ้อ ๆๆ ปู่จะอธิบาย
ยังไงต่อดีล่ะ”
ไข่ตุ๋นเชียร์ปู่ โดยพูดเบาๆ ไม่มีเสียง มีแต่ลม อ่านปากได้ว่า
“พูดไปเลยย....”
“เอาอย่างนี้ ข้าวตูเคยกินนมไม่ทันมั้ย พอกินไม่ทันแล้วมันเป็นยังไง”
“มันก็เสีย” ข้าวตูตอบ
“นั่นแหละ ความรักก็เหมือนกับนม มันมีวันหมดอายุน่ะลูก ข้าวตูเข้าใจมั้ย” ไข่ตุ๋นหน้าเศร้าเสียใจ
“ไข่ตุ๋นไม่อยากให้ความรักของพ่อ ของน้า แล้วก็ของปู่ หมดอายุนี่”
“ข้าวตูยังไม่รู้เลยว่า ความรักของพ่อกับแม่เป็นยังไง ทำไมหมดอายุแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย.....”
ระหว่างนั้นยี่หวาอยู่อีกมุมหนึ่ง ได้ยินที่ลูกชายระบาย ก็รู้สึกสะเทือนใจ ร้องไห้ ยี่หวาจะหันหลังกลับ เพราะละอายนัก ไม่กล้าแม้แต่จะมองลูก
จังหวะเดียวกันนั้นณนนท์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง ก็หันมาประจันหน้ากันพอดี ณนนท์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“เช็ดน้ำตาซะ คนเราอ่อนแอได้ แต่อย่าอ่อนแอให้ลูกเห็น!” ณนนท์ปลอบยี่หวา
ยี่หวาซับน้ำตาก่อนเข้าไปหาลูก “ข้าวตู”
ข้าวตูก็ดีใจเรียกแม่ “คุณแม่”
ยี่หวากอดลูกชายแน่น ด้วยความรักและ เป็นห่วง
...................................................................
หลังจากเจอข้าวตูแล้ว ณนนท์ก็ขับรถพายี่หวา และข้าวตูมาส่งที่หน้าบ้าน
“ใจหายใจคว่ำหมด วันหลังอยากได้อะไร บอกแม่ บอกย่า ก่อนนะลูก อย่าไปไหนโดยไม่บอกกล่าว นี่ดีนะที่ตามเจอ ถ้าตามไม่เจอ โอ๊ย ไม่อยากจะคิด” บุญเลื่องบ่น
“ยังไงฉันต้องขอบ..เอ่อ....”
ยี่หวามองณนนท์ ก่อนหลบสายตา ใจนึกอยากจะขอบคุณแต่กลัวเสียฟอร์ม จึงหันมาขอบคุณผ่านไข่ตุ๋นแทน
“ขอบคุณน้องไข่ตุ๋นนะคะ ที่ช่วยตามหาข้าวตูจนเจอ”
“ว่าแต่ไปเจอข้าวตูที่ไหนล่ะลูก” บุญเลื่องหันมาถามไข่ตุ๋น
“หน้าร้านตุ๊กตาค่ะ” ไข่ตุ๋นบอก
“อ้าวแล้วข้าวตูไปทำอะไรที่หน้าร้านตุ๊กตาล่ะครับ” ยาหยีถามหลานชาย
“ผมหลงทางครับน้าหยี” ข้าวตูอธิบาย
“ตอนไปเจอนะข้าวตูใจเสาะ ร้องไห้เสียงดัง” ไข่ตุ๋นฟ้องขึ้น
“ไข่ตุ๋นโกหก ข้าวตูไม่ได้ร้องซะหน่อย” ข้าวตูแย้งเพราะกลัวเสียฟอร์ม
“ไข่ตุ๋นไม่ได้โกหก ข้าวตูร้องแบบนี้” ว่าพลางเลียนท่าร้องไห้กระซิกๆ ของข้าวตูให้ดู
“เหมือนเด็กผู้หญิงถูกแย่งตุ๊กตาเลย”
“ไข่ตุ๋นก็ชอบทำท่าเหมือนเด็กผู้ชายเหมือนกันแหละ ทะโมน!” ข้าวตูเยาะ
“ข้าวตูดื้อ รู้อย่างนี้ไข่ตุ๋นไม่ตามหาจนเจอดีกว่า” ไข่ตุ๋นฉุน
“เชอะ ไม่ได้ให้ตัวเองมาตามซะหน่อย!!” ข้าวตูว่า
“เอ้าๆๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว เมื่อกี๊ยังดีๆ กันอยู่เลย เถียงกันอีกซะแล้ว” เท่งห้ามทัพ
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เด็กผู้ชาย เอ๊ย ผู้หญิงที่เหมือนผู้ชายก็อย่างนี้แหละค่ะ จะออกแนวนักเลง มา
เฟีย นิสัยโผงผาง ชอบพูดจาข่มขู่”
เท่งมองณนนท์งงๆ เพราะจู่ๆ ไหงมาโดนแดกดันซะได้
“ประทานโทษนะครับ หลานสาว ไม่มีนิสัยอย่างนั้นแน่นอน”
“ดิฉันก็ไม่ว่าอะไรนี่คะ เป็นหลานสาวน่ะดีแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ มันก็ไม่
ค่อยดี” บุญเลื่องว่าแดกดัน
“แต่เอ๊ะ ประทานโทษ หลานคุณบุญเลื่องก็ผู้ชายนี่ครับ”
“ดิฉันหมายถึงลูกเขยค่ะ ลูกเขยชั้นมันแย่มาก.....” ท้ายประโยคบุญเลื่องพูดใส่หน้าเท่งเต็มๆ
“ทีแรกผมก็เข้าใจว่ามันแย่...” เท่งพูดใส่หน้าบุญเลื่องแล้วหันกลับ “แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ ว่าที่มัน
หนีไป เพราะทนพฤติกรรมความจู้จี้ ขี้บ่น ชอบพูดจากระแทกแดกดัน ของผู้หญิงสูงวัยบางคนไม่ได้หรือเปล่า”
“หญิงสูงวัย” บุญเลื่องนึกได้หันมากระซิบกับยี่หวา “ก็หมายถึงแม่น่ะสิ”
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ คุณแม่” ยี่หวาพยายามไม่ให้มีเรื่อง
“ไม่ใช่ได้ยังไง ในที่นี้ แม่เป็นผู้หญิงและก็แก่ที่สุดอีกด้วย” บุญเลื่องแย้งลูกสาว
“ผมพูดลอยๆ ใครจะรับก็รับ” เท่งสอดขึ้นอีกจนได้
เท่งกับบุญเลื่องเริ่มเคืองกันมากขึ้น ณนนท์กับยี่หวารีบแก้สถานการณ์ก่อนจะบานปลาย
“เอาล่ะครับๆๆๆ วันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ผมลากลับก่อนดีกว่าไปกันเถอะพ่อ ไข่ตุ๋นลาอาๆ เขา
สิ” ณนนท์ตัดบท
ไข่ตุ๋นเบ้ปากใส่ข้าวตู ส่วนข้าวตูก็เชิดใส่ไข่ตุ๋น
ฟากเท่ง ก็จ้องบุญเลื่อง ตาไม่กระพริบ บุญเลื่องมองเท่งอย่างดูแคลน
ส่วนณนนท์มองยี่หวาอย่างเข้าใจและให้กำลังใจ แม้จะยังไม่ดีกันนัก แต่ทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกดีๆ ต่อกันบ้างแล้ว
คืนนั้นวสันต์กลับมาบ้าน ด้วยหน้าตาเซ็งๆ วัลลภารีบเข้ามารับลูกด้วยกระวนกระวายใจ อยากรู้ผล
“เรื่องที่ดินสำเร็จมั้ยลูก”
“เกือบแล้วครับ ถ้าไม่มีไอ้ตัวแส่มาขวางเสียก่อน”
“ใคร! ผัวใหม่นังยี่หวาหรือเปล่า” วัลลภาฉุนๆ
“ไม่ใช่หรอกครับ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนกัน” วสันต์แก้ตัวแทนยี่หวา
“เพื่อนแบบไหนกัน นอนคุย หรือนั่งคุย ว่าไม่ได้นะ เผลอๆ เมียแกอาจจะเสร็จเขาไปแล้วก็ได้” วัลล
ภาเยาะ
“ยี่หวาไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกครับ ผมรู้ดี” วสันต์บอกแม่
“อย่าชะล่าใจไปนะ น้ำตาลใกล้หมด ขืนปล่อยให้ยี่หวาเสร็จคนอื่น พวกเราจะเสียประโยชน์นะ”วัลลภาเสี้ยมลูกชาย
“รู้แล้วครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนยี่หวาไม่มีอะไร ผมคงปล่อยไปแล้ว แต่นี่ มีที่ดินมูลค่าสามสิบล้าน จะปล่อยไปง่ายๆ ได้ไง”
วสันต์พูดพร้อมแฝงยิ้มร้ายๆ อย่างคนเจ้าเล่ห์
เอนิต้ามาหาณนนท์ที่บ้าน แต่เขายังไม่กลับมา เธอจึงนั่งคอยที่โซฟาในห้องรับแขก โดยมีสุดยอดนั่งมองตาขวางอยู่ห่างๆ
สักครู่เดียวเสียงจากประตูหน้าบ้านดังลอดเข้ามา บอกให้รู้ว่าเท่ง ไข่ตุ๋น และณนนท์กลับมาถึงแล้ว สุดยอดเดินออกไปหาที่หน้า เท่งเดินบ่นเข้าจนถึงห้องนั่งเล่น
“กำลังเถียงกันเข้าด้ายเข้าเข็ม พ่อเกือบจะสวนยายบุญเลื่องไปแล้วว่าผู้หญิงนั่นแหละที่ไม่ดี วันๆ
เอาแต่แต่งตัว แต่งหน้า อ่อยผู้ชาย แล้วก็จ้องแต่จะหาผัวใหม่กระเป๋าหนักๆ เจอมากับตัวแล้วโดยเฉพาะลูกสะใภ้คนโต!”
เอนิต้าซึ่งนั่งรอณนนท์อยู่ที่โซฟา ออกอาการสะอึกเล็กน้อย สุดยอดมองเอนิต้าอย่างสะใจ
“โดนผู้หญิงที่ไหน ยั่ว.....โมโหมาเหรอครับพ่อ ถึงได้อารมณ์ค้างมาลงที่บ้านขนาดนี้”
สุดยอดแซวพ่อ
“ก็ยายบุญเลื่อง ย่าของข้าวตูเพื่อนไข่ตุ๋นน่ะสิ แก่แล้วยังความคิดคับแคบขวางโลกซะไม่มีละ”
“คนนั้นน่ะขวางโลก แต่ก็มีผู้หญิงอีกคนนะครับ ที่ดูขวางหูขวางตา” สุดยอด
“ใครวะ” เท่งถาม
แทนคำตอบ สุดยอดพยักพเยิดหันหน้าไปทางโซฟา
“คุณแม่!!!!” ไข่ตุ๋นวิ่งเข้าไปหาเอนิต้าอย่างดีใจ
ณนนท์หันมาถามสุดยอด
“เขามาทำไมของเค้า”
“ไม่รู้สิพี่ ผมถามก็ไม่ตอบ พี่ไปคุยกับเขาเองไป ใจเย็นๆ นะพี่ ถือซะว่าเเห็นแก่หลาน”สุดยอดบอก
ณนนท์เดินเข้าไป
“เมื่อกี๊พ่อพูดเสียงดังไปรึเป่าวะ” เท่งรู้ตัว จึงพูดแทบจะเป็นกระซิบ
“เบามากครับพ่อ เบาไปถึงปากซอยเลยครับ ไปพ่อปล่อยให้แม่ลูกเค้าคุยกัน”
สุดยอดหัวเราะแล้วดึงเท่งไปอีกทาง
.................................................................
ไข่ตุ๋นดีใจสุดๆ โผเข้ากอดแม่ เอนิต้าโผเข้ากอดลูกสาวเช่นกัน แล้วก็หอมแก้ม ดมถึงหัวแล้วสะดุดกึกทำท่ารังเกียจ
“หัวเหม็นอีกแล้วนะไข่ตุ๋น แม่บอกแล้วไงเป็นผู้หญิงต้องดูแลตัวเอง ปล่อยให้หัวเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แล้วนี่มีเหาหรือเปล่า”
เอนิต้าผละตัวออกไข่ตุ๋นหน้าเจื่อน
“ที่หัวเหม็นน่ะ เพราะแกไม่สบาย ผมเลยไม่ได้สระให้ แล้วไอขุยๆ ที่หัวน่ะ เพราะลูกเชื่อคุณ เลย
สระผมเช้าเย็นจนหนังหัวแห้งเป็นขุยอย่างที่เห็นแหละ!” ณนนท์เยาะ ทำเอาเอนิต้าหน้าเจื่อน
“อ้าว เหรอ ใครจะไปรู้ล่ะ”
“คุณไม่เคยรู้หรอก วันๆ คุณก็แค่คิดว่าจะแต่งตัวแบบไหน ทาปากสีอะไร”
“นี่! ก็มันอาชีพชั้นนี่ ชั้นเป็นนางแบบดังจะให้โทรมเป็นป้าได้ยังไง”
ณนนท์เฉยกับคำพูดเอนิต้า หันไปบอกไข่ตุ๋น
“ไข่ตุ๋น ขึ้นไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนก่อนนะ แล้ววันนี้ไม่ต้องสระผมนะลูก”
“แต่ไข่ตุ๋นอยากอยู่กับคุณแม่ คุณแม่นอนกับไข่ตุ๋นได้มั้ย” ไข่ตุ๋นบอกพ่อแล้วหันไปกระซิบกับแม่ “ไข่ตุ๋นสัญญาว่าจะสระผม!”
“จ๊ะลูก เดี๋ยวแม่คุยธุระกับพ่อก่อน แล้วจะตามขึ้นไป”
“คุณแม่อย่าโกหกไข่ตุ๋นอีกนะคะ เดี๋ยวไข่ตุ๋นจะสระผมรอด้วย อุ๊บส์”
ไข่ตุ๋นเอามือปิดปาก แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบน
ณนนท์มองภาพนั้นด้วยความสงสารลูกที่ ถูกแม่หลอกประจำ ณนนท์กับเอนิต้าเถียงกันไปมา
“โกหกลูกน่ะ บาปนะ”
“ฉันยอมบาปถ้าทำให้ไข่ตุ๋นมีความสุข”
“ช่างเป็นแม่ที่เสียสละซะจริงๆ ใครได้ฟังก็คงจะซึ้งใจมาก
“พอทีเถอะนนท์ ที่ฉันมาวันนี้ไม่ได้มาฟังคุณถากถางนะ ฉันมาเพื่อ…”
ณนนท์พูดสวนขึ้น “ขอเงิน! ช่วงหลังมานี่คุณก็มีแค่ธุระแค่เรื่องนี้ กลับไปเถอะ ผมไม่มีให้แล้ว”
“อะไรกัน คุณเป็นถึงเจ้าของบริษัทออกาไนซ์ชื่อดัง ทำงานงกๆ ทั้งวัน จะไม่มีเงินฉันไม่เชื่อหรอก”
“ตามใจ เงินที่มีผมเก็บไว้เพื่ออนาคตของลูก ถ้าคุณยังกล้าเบียดเบียนผมก็ไม่รู้จะว่าเป็นแม่ยังไง”
“แล้วถ้า ฉันขอยืมก่อนล่ะ”
แม้ณนนท์โคตรจะอึ้ง ที่เอนิต้ามาไม้นี้ แต่เขาเดินขึ้นบ้านไป
“นนท์ๆ มาคุยกันก่อน เรายังคุยกันไม่จบ”
เอนิต้าร้องเรียก แต่ณนนท์ก็ไม่หันกลับ ณนนท์ทำท่าฟึดฟัดอย่างขัดใจ
ส่วนอีกมุมหนึ่งของบ้าน เป็นมุมลับๆ ริมประตู เท่งกับสุดยอดแอบฟัง
“เห็นมั้ยล่ะ ผู้ร้ายตัวจริงก็คือผู้หญิงนั่นแหล่ะ อยากให้ยายบุญเลื่องได้เห็นฉากนี้จริงๆ” เท่งว่า
สุดยอดอวยพ่อทันที “ครับพ่อ เห็นแล้วไม่อยากมีแฟนเป็นผู้หญิงเลย”
“อ้าว เฮ้ย! ไอ้ยอด”
“ล้อเล่นนนน ยังไงก็ต้องมีแฟนเป็นผู้หญิงนั่นแหล่ะ แต่เอาเป็นว่านโยบายต่อจากนี้ รักสนุกแต่ไม่
ผูกพัน จะได้ไม่เจ็บ ดีมั้ยครับพ่อ”
“ฟังดูเข้าท่าเว๊ย! ได้ยินแล้วชักอยากกลับไปเป็นหนุ่มว่ะฮ่าๆๆ”
เช้าวันแรกของการทำรายการใหม่ ยาหยีมารายงานตัว โดยยิ่งกับสุดยอดมาถึงก่อนแล้ว
ยาหยีตรงเข้ามาสวัสดีฝากตัวกับทีมงานทุกคน
“ยินดีมากเลยนะครับ ที่น้องยาหยีตอบรับมาทำรายการร่วมกับเรา ช่วงของน้องยาหยี ดีไอวาย
บายยาหยี ผมว่าน่าจะดีนะ ใหม่ๆดี แล้วยังเพิ่มทาเก็ตกรุ๊ปเป็นวัยรุ่นหญิงด้วย” ยิ่งอธิบาย
“ขอบคุณค่ะพี่ยิ่งที่ให้โอกาสหยี หยีจะทำให้ดีที่สุด สู้ๆ ค่ะ” ยาหยีทำหน้ายิ้มสู้
“สู้จริงหรือเปล่าเหอะ กลัวว่าจะเป็นราคาคุยซะมากกว่า” สุดยอดอดสอดขึ้นไม่ได้
“นี่นาย! ความจำสั้นหรือเสื่อม ก็นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนไปง้อฉันมาทำ”
“ที่ผมทำเพราะจำใจและเห็นแก่ผู้ใหญ่ขอร้องหรอก อีกอย่างที่คุณได้มาอยู่ตรงนี้ ก็เพราะผม ควร
จะสำนึกบุญคุณเอาไว้ด้วย ไม่ใช่มาทำเริดๆ เชิดๆ แบบนี้
“ขอโทษที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะความสามารถที่สั่งสมมาล้วนๆ ไม่ทราบว่าไปเกี่ยวกับคุณ
ตรงไหนยะ” ยาหยีเถียง
“ก็ถ้าคุณไม่จ๊วบปากกับผม ป่านนี้ก็คงหัวฟูอยู่หน้าคอมฯ ปั่นต้นฉบับในนิตยสารกะโหลกกะลา
ของคุณไปนั่นแหละ”สุดยอดคุยโว แล้ววกกลับไปเยาะเย้ยยาหยี
“ดูถูกกันมากเกินไปหรือเปล่า” ยาหยีโมโห
“ขอบคุณที่ตอกย้ำว่า ผมดูไม่ผิด!”
“หนอย! นึกว่าฉันอยากทำนักเหรอ ไอ้รายการที่มีพิธีกรห่วยๆ แบบนี้ ไม่ทำก็ได้”
พูดจบยาหยีก็เดินออกจากกองไป
“อ้าว เดี๋ยวสิครับน้องยาหยี” ยิ่งหันมาสวดสุดยอด
“ไอ้ยอด แกทำอะไรลงไป รู้ตัวมั้ย”
“ก็เขายั่วโมโหผมก่อน” สุดยอดโบ้ย
“จำคาถาที่ฉันให้ท่องไว้ไม่ได้หรือไง ท่องไว้สิ เงิน เงิน เงิน คุณหยีครับ คุณหยี รอพี่ยิ่งด้วย”
บอกคาถากับสุดยอดเสร็จ คุณยิ่งก็วิ่งมาตามยาหยี จนมาทันที่ทางเดินระหว่างบริษัท
“น้องยาหยีครับน้องยาหยี อย่าไปเลยนะครับ”
“ไม่ได้ค่ะ อย่ามาห้าม หยีต้องไป!”
“โธ่ จะไปถืออะไรกับคนบ้าอย่างไอ้ยอดมันครับ มันก็กวนประสาทน้องหยีเล่นไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ มันชื่นชมน้องหยีออกจะตาย เอาเป็นว่าให้เวลาแป๊ป ผมจะให้มันกลับมาสารภาพความจริง”
“สายแล้วค่ะ พี่ยิ่ง”
“ทำไมล่ะครับ” ยิ่งงงงัน
“หยีต้องไปแล้วจริงๆ”
“น้องหยี น้องหยี” ยิ่งเข้าไปรั้งเพราะคิดว่ายาหยีจะหนีกลับบ้าน แต่...
“อะไรอีกล่ะคะพี่ยิ่ง หยีต้องรีบไปแต่งหน้าค่ะ เดี๋ยวเข้าฉากไม่ทัน” ยาหยีบอก
“นี่แปลว่าน้องหยี!!” ยิ่งออกอาการโล่งอก ปลื้มสุดที่ยาหยีเปลี่ยนใจมารับงานพิธีกร
“อย่าห่วงเลยค่ะ คนอย่างยาหยี เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ ถ้าเกิดหยีไปก็เข้าทางนายนั่นสิคะ หยีต้องอยู่เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าหยีทำได้และทำให้ดีด้วย”
ยาหยีเดินไปด้วยความมุ่งมั่น
“ไอ้ยอดเอ๊ย เจอคู่ปรับคนสำคัญเข้าแล้ว” ยิ่งพึมพำ มองยาหยีอย่างเป็นปลื้ม
ภายในห้องแต่งหน้า ทำผม ช่างแต่งหน้าแต่งหน้าให้ยาหยีอย่างบรรจงจนแล้วเสร็จจึงเอ่ยชมขึ้น
“น้องหยีนี่ แต่งหน้าขึ๊นขึ้นนะคะ ทีแรกก็ดูธรรมดา โอ๊ะโอ๋ พอบรรจงสร้างเท่านั้น
แหล่ะ สวยเป๊ะ! ชนิดนางเอกชิดซ้าย”
“พี่ก็เม้าท์ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่า” ยาหยีพูดเขินๆ
ระหว่างนั้นเสียงหัวเราะเยาะๆ ของสุดยอดดังลอดเข้ามา สงครามปากก็อุบัติขึ้นหลังจากนั้น
“ชอบใจอะไร ได้กินอาหารสุนัขมาเหรอ”
“โห แรง ไม่มีอะไรก็หัวเราะลอยๆ ทำไมหัวเราะไม่ได้เหรอ ขำอ่ะ สวยชนิดนางเอกชิดซ้าย นางเอก
ละครลิงอ่ะดิ”
“มารยาทเนี่ยเคยมีคนอบรมมั้ย ว่าอย่าใส่เกือกตอนคนเค้าคุยกัน”
ยาหยีหันไปพูดกับช่างหน้า “พี่ขา หยีขอตัวเดี๋ยวนะ”
“จะไปไหนล่ะ แพ้แล้วหนีเหรอ” สุดยอดสอดเข้ามาอีก
“ปล่าว จะไปหาอะไรหนักๆ มาจัดให้อย่างค้อนปอนด์ ไม้หน้าสามอะไรเงี้ย”
“เอามาทำไม”
“เอามาตีหัวเกรียนตัวพ่อให้แตกไง”
ยาหยีพูดเสร็จก็เดินออกไป สุดยอดมองตามทำหน้าพลางเอ่ยขึ้น “โห”
ขณะที่ช่างแต่งหน้าเม้าท์กับช่างทำผม
“แร๊ง!!!!”
ภายในสตูดิ โอ ทุกสิ่งอย่างบนเวทีเรียบร้อยพร้อมถ่ายทำ สุดยอด กับ ยาหยี สแตนด์บายอยู่ในฉาก โปรดิวเซอร์ขานการทำงานของทุกฝ่าย บรรยากาศดูจริงจัง ซีเรียส โปรดิวเซอร์ไล่ถามทีละฝ่าย
“กล้องพร้อม”
“พร้อมครับ” ช่างกล้องหมุนเลนส์กล้องเป็นภาพเบลอแล้วชัดพร้อมถ่าย
“ไฟพร้อม”
“พร้อมครับ” พร้อมๆ กับไฟเปิดพรึบ!
“พิธีกรพร้อม”
“พร้อมครับ” สุดยอดขานรับ แล้วหันไปทางยาหยี ซึ่งยังเงอะๆ งะๆ จึงรีบบอกออกไป “ขานสิ”
“พะๆๆๆ พร้อมค่ะ” ยาหยีบอกออกไปแบบตะกุกตะกัก
“ถ้างั้นก้อ ทุกฝ่าย 5 4 3 2 1” โปรดิเซอร์พูดเตรียมถ่ายรายการ ขณะนั้นเองก็มีเสียงแหวกตามหลังเสียงโปรดิวเซอร์ขึ้นมา
“เดี๋ยวค่า รอพิธีกรคนใหม่อีกคนด้วยค่า”
ทุกคนหันขวับไปตามเสียง ที่แท้เป็นเพิร์ลลี่ ดาราดาวรุ่งพุ่งแรงนั่นเอง
“เพิร์ลลี่……” ทีมงานร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ทุกคนอึ้งๆ โดยเฉพาะสุดยอด
“งานเข้าซะแล้ว ไอ้ยอด!!!”
โปรดิวเซอร์พึมพำออกมา
จบตอนที่ 3
อ่านต่อวันพรุ่งนี้18 ตุลาคม 2554