บุหงาหน้าฝน ตอนที่ 1
หน้าคฤหาสน์หลังงาม รถหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดในบ้าน ธานีในชุดไว้ทุกข์ ดูภูมิฐาน ลงรถจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ชาติ ลูกน้องคนสนิทของธานีลงจากที่นั่งคนขับ เดินมาเปิดประตูด้านหลัง ระรินภรรยาของธานีในชุดไว้ทุกข์ลงตามมาจากเบาะข้างคนขับ ระรินร้องไห้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่ตลอดเวลา
ประตูฝั่งที่ชาติเปิดไว้ให้ นาวิศใช้สองมือประคองโกศใส่อัฐิของนาวีผู้เป็นพ่อ ก้าวลงมาจากรถ ธานีบอกเศร้าๆ
“นาวิศ หลานพาคุณพ่อเข้าบ้านเถอะ”
นาวิศเดินประคองโกศไปกับระริน ชาติก้มหยิบกรอบรูปนาวี จากเบาะหลังรถมาส่งให้ธานี
“คุณธานีครับ”
สีหน้าธานีเปลี่ยนจากแกล้งเศร้าเมื่อครู่ มาเป็นยิ้มเหยียด ชาติเองก็ยิ้มกับเจ้านาย ธานีมองรูปพี่ชายตัวเอง อย่างไม่รู้สึกเศร้าเลยสักนิด
ทางด้านนาวิศ นำโกศของพ่อไปไว้ในห้องพระ ตั้งไว้ใกล้โต๊ะหมู่บูชา แล้วจุดธูปไหว้อัฐิพ่อ
“คุณพ่อขอให้ผมกลับเมืองไทยหลายครั้ง แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด...ถ้าผมรู้ว่าเบื้องบนจะพรากคุณพ่อไปเร็วขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวอยู่กับคุณพ่อ ไม่ว่าดวงวิญญาณคุณพ่อสถิตย์อยู่ที่ไหน คุณพ่ออยู่ในใจผมเสมอ”
นาวิศปักธูปลงกระถางอย่างเศร้าสร้อย
ระรินยืนหน้าเศร้า มองทางประตูห้องพระซึ่งนาวิศอยู่ด้านใน ระรินสงสารนาวิศเหลือเกิน รำพึงเบาๆ
“คุณนาวิศ...อย่ากลับอเมริกาอีกเลยนะคะ คุณท่านอยากให้คุณกลับมาอยู่บ้าน...คุณท่านเป็นห่วงคุณนะคะ”
ธานีเดินเข้ามาที่ด้านหลัง มองอย่างไม่พอใจ ระรินไม่รู้ตัว
“ที่ห่วงน่ะ พี่นาวีหรือเธอกันแน่”
ระรินสะดุ้ง หันมอง ธานีเดินเข้ามา
“คุณพูดอะไรคะ”ระรินไม่พอใจ
“ก็ดูท่า เธออยากให้นาวิศกลับมาอยู่ที่นี่ซะเหลือเกิน”ธานีตรงเข้าไปบีบแขนระริน “อย่าให้มันออกนอกหน้านักเลย อย่าลืมว่าเธอเป็นเมียฉัน!”
ระรินสะบัดตัว
“ทุเรศ! คุณเป็นอาแท้ๆ ของคุณนาวิศ ทำไมพูดจาอย่างนี้ออกมาได้!?”
“ก็เพราะเป็นอาแท้ๆ ของนาวิศนะสิ ถึงต้องเตือนเธอ ว่าอย่าทำตัวให้เกินหน้าที่อาสะใภ้!”
“ฉันอยากให้คุณนาวิศกลับมาอยู่บ้านของตัวเอง มันผิดตรงไหนคะ!? คุณท่านเองก็เปรยบ่อยๆว่าอยากให้คุณนาวิศกลับมา จะได้รับช่วงกิจการต่อ”
“แล้วนาวิศอยู่ที่โน่นไม่ดียังไง ทำงานเป็นถึง MD บริษัทฝรั่ง คนเอเชียนับคนได้ ที่จะได้ขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้น กลับเมืองไทยก็เท่ากับทิ้งโอกาส”
ระรินสวนทันที
“แต่ฉันรู้สึกว่าคุณจะเสือกไสคุณนาวิศกลับไปเหลือเกินนะคะ...คุณกำลังต้องการอะไรที่เป็นของคุณนาวิศหรือเปล่า”
“ระริน !”
ธานีดึงแขนระรินแรง นาวิศเปิดประตูออกมาพอดี ทั้งสองชะงัก นาวิศแปลกใจ
“มีอะไรกันเหรอครับ ?”
ธานีเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำเป็นโอบไหล่ ระรินนิ่วหน้า แต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร ธานียิ้มกับนาวิศ
“เรากำลังคุยกันถึงอนาคตของหลานน่ะ หลังจากนี้ หลานจะเอายังไง”
นาวิศไม่สงสัยท่าทีธานี
“เรื่องนั้นผมยังตัดสินใจไม่ได้ครับ...จนกว่าจะเปิดพินัยกรรม”
คนรับใช้เข้ามาบอกนาวิศ
“ทนายวิรัชรออยู่ที่ห้องโถงค่ะ”
ธานีขมวดคิ้วแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าทนายจะมาถึงเร็วนัก
นาวิศ ธานี และระริน ไปพบวิรัช ทนายความประจำครอบครัวนาวิศที่ห้องโถง
วิรัชยกพินัยกรรมในมือขึ้นมาโชว์
“พินัยกรรมฉบับนี้ คุณนาวีทำไว้เมื่อ 6 ปีก่อน ขณะเขียนพินัยกรรม คุณนาวีมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน พยานเซ็นรับรองถูกต้องตามกฎหมาย ... พินัยกรรมระบุดังนี้...” วิรัชอ่านพินัยกรรม
“บ้านที่สุขุมวิท ที่ดินติดถนนสาธร ยกให้นายนาวิศ บุตรชาย เงินสดในธนาคารทั้งหมด ยกให้นายนาวิศ บุตรชาย”
ธานีชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ฟังต่อไป...
“บริษัท เทพสุทธิพงศ์ ซึ่งมีทรัพย์สินดังต่อไปนี้ สำนักงานบริษัทที่พัฒนาการ กรุงเทพ ยกให้นายนาวิศ บุตรชาย โรงงาน เรือประมง อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่จังหวัดระนอง ยกให้นายนาวิศ บุตรชาย”
ธานีขบกรามแน่นด้วยความโกรธ เพราะต้องการที่จะได้บริษัทมาก แต่ไม่ได้ วิรัชอ่านต่อไป...
“สำหรับนายธานี เทพสุทธิพงศ์ น้องชาย ข้าพเจ้ายกบ้านและที่ดิน 10 ไร่ ที่รังสิตให้ ลงชื่อนายนาวี เทพสุทธิพงศ์”
ระรินหันไปยิ้มดีใจกับนาวิศ
“ยินดีด้วยค่ะ ประธานบริษัทเทพสุทธิพงศ์คนใหม่”
ธานีฝืนยิ้มกับนาวิศ
“นาวิศ อายินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณครับอาธานี อาระริน”
ธานีแสร้งทำเป็นสงสัย
“แต่หลานจะบริหารบริษัทที่เมืองไทยยังไง ในเมื่อต้องทำงานที่อเมริกาด้วย ทำงานสองที่ในเวลาเดียวกัน คงได้พังทั้งสองงาน... อาเสนออย่างนี้นะ อาดูแล บริษัทเทพสุทธิพงศ์ให้ หลานถึงจุดอิ่มตัวกับงานที่อเมริกา ค่อยกลับเมืองไทย ดีไหม”
นาวิศยิ้ม
“ขอบคุณครับ…แต่ผมจะทำตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อ...ท่านยกบริษัทเทพสุทธิพงศ์ให้ผม ผมก็จะอยู่เมืองไทย บริหารบริษัทเทพสุทธิพงศ์ต่อไปครับ”
ธานีอึ้งไป แอบก้มหน้าเจ็บใจอยู่คนเดียว
เมื่อกลับเข้าไปในห้องนอน อยู่กันตามลำพังกับระริน ธานีใช้มือกวาดเอกสารบนโต๊ะทำงานลงพื้น เพื่อระบายอารมณ์
“ไอ้นาวี ไอ้พี่ชายทรยศ ฉันสร้างบริษัทมากับแก แกกลับประเคนบริษัทให้ลูกชาย ทั้งที่มันไม่เคยทำอะไรเลย แกมันสมควรตายแล้ว”
ระรินรู้ว่าธานีโกรธเรื่องพินัยกรรมก็ถอนใจ
“ยอมรับเถอะค่ะ… มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อต้องยกบริษัทให้ลูกชาย ไม่ใช่น้องชาย”
ธานีเข้าไปบีบแขนระริน
“เรื่องธรรมดาเหรอ!? เธอพูดออกมาได้ยังไง! เธอเป็นเมียฉัน แต่ไม่เจ็บร้อนแทนฉันซักนิด เห็นคนอื่นดีกว่าผัว!”
“คนอื่นที่ไหนคะ คุณท่านเป็นพี่ชายแท้ๆของคุณ และก็เป็นผู้มีพระคุณของริน ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเหลือครั้งนั้น รินอาจป่วยตายไปแล้วก็ได้”
“เคารพเทิดทูนไอ้นาวีนัก ก็ตายตามไปรับใช้มันซะเลยซี่”
ธานีผลักระรินกระเด็น ระรินล้มไปที่พื้น หันมองธานีน้ำตาคลอ ก่อนจะลุกหนีออกไป ธานีมองตามแค้นๆ หันไปทำลายข้าวของต่อ ธานีกวาดเครื่องสำอางระรินตกจากโต๊ะเครื่องแป้งกระจายไป
“ฉันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทพสุทธิพงศ์ ฉันจะไม่ยอมให้แกมาชุบมือเปิบหรอก ไอ้นาวิศ!”
ธานียิ่งคิดยิ่งแค้น ตัดสินใจจะทำอะไรชั่วๆทันที!
ที่ท่าเรือเทพสุทธิพงศ์ บริเวณสะพานปลา สหัส หนุ่มหล่อหน้าเข้ม กำลังขับเรือประมงลำใหญ่เทียบท่า แท่นลูกน้องของสหัสกระโดดจากเรือขึ้นฝั่ง เอาเชือกเรือผูกกับท่า สหัสตะโกนสั่งลูกเรือ
“ขนปลาลง”
ลูกเรือเอาไม้พาดลำเรือ กลิ้งถังใส่ปลาลงจากเรือ เพราะถังปลาหนักมาก แบกคนเดียวไม่ไหว ขณะเดียวกันนั้นเคี่ยมเดินตรงมา พวกลูกเรือสับเพร่า ลำเลียงถังใส่ปลาไม่ดี ถังหลุดมือ กลิ้งไปทางเคี่ยม
เคี่ยมหลบไม่ทัน ถังปลากลิ้งตรงเข้ามา สหัสวิ่งมาผลักเคี่ยมให้พ้นทาง สหัสโดนถังปลาชนตกทะเล ร่างสหัสจมหายไป เลือดสีแดงสดลอยขึ้นมา เคี่ยมมองไปในน้ำอย่างตกใจ เพราะไม่เห็นสหัสโผล่ขึ้นมา
“สงสัยสหัสหัวกระแทก น็อคอยู่ในน้ำ! ไอ้แท่น โดดลงไปดึงสหัสขึ้นมาเร็ว”เคี่ยวสั่ง
“ครับนาย!”
แท่นกำลังจะกระโดดลงน้ำ สหัสดำน้ำโผล่ขึ้นมาเสียก่อน ที่หัวมีเลือดไหลออกมา เคี่ยมคลายกังวลบ้าง แต่ก็ยังหน้าเครียดอยู่
ในออฟฟิศของท่าเรือ สหัสใช้ผ้ากดซับเลือดที่หัว เลือดออกไม่เยอะแล้ว เคี่ยมมองเครียดๆ
“จะช่วยฉันก็ต้องดูความปลอดภัยของตัวเองด้วย ไม่ใช่บุ่มบ่ามโดดเข้ามาอย่างนั้น...แต่ถึงยังไง ฉันก็ต้องขอบใจแกมากนะ สหัส”
“เรื่องเล็กครับ...นายเคยเอาตัวบังคู่อริไม่ให้ยิงผม ผมเป็นหนี้ชีวิตนาย”
“ฉันไม่ได้ช่วยแกเพราะอยากมีบุญคุณ แต่ไม่อยากเห็นแกตายตั้งแต่ยังวัยรุ่น ตอนนั้นแกมันเลือดร้อน เป็นนักเลงหัวไม้”
สหัสยิ้ม
“ที่ผมกลับตัวได้ก็เพราะนาย บุญคุณนายท่วมหัวผม...นายไม่ต้องคิดมาก กะแค่หัวแตกมันเรื่องเล็ก...ผมตายแทนนายได้”
สหัสพูดด้วยความจริงใจ เคี่ยมมองซึ้งน้ำใจลูกน้อง
ค่ำคืนนั้น เมื่อสหัสกลับไปบ้าน เคี่ยมเดินเข้ามาไปในห้องนอน ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเตือนมือถือดัง บอกว่ามีมิสคอล เคี่ยมหันมองมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ เดินไปหยิบมาดู
“โทรมาเป็นสิบสาย...มีอะไรรึเปล่า?”
เคี่ยมกดมือถือ โทรออก ไม่นานนักธานีกดรับสาย โวยกลับไปทันที
“หายหัวไปไหนมานายเคี่ยม ถึงไม่รับโทรศัพท์ฉัน!?”
“ไปสะพานปลามาครับ กลับมาเห็นเบอร์คุณธานี ผมก็รีบโทรกลับนี่แหละ”
“ฉันมีงานสำคัญให้ทำ...เป็นความลับ”
“พูดได้เลยครับ”
ธานีพูดเสียงเหี้ยม
“ฉันต้องการให้นายเคี่ยมฆ่าคนๆนึง”
“ฆ่าคน!!! ผมว่าจ้างมือปืนอาชีพ เชื่อมือได้มากกว่านะครับ”เคี่ยมไม่อยากทำ พยายามเลี่ยง
“ฉันไม่ได้โทรมาขอคำแนะนำจากนายเคี่ยม! ฉันต้องการให้นายเคี่ยมทำตามที่ฉันสั่ง”
“แต่งานนี้ผมต้องขอผ่าน...คุณธานีใช้คนอื่นเถอะครับ”
ธานีไม่พอใจ
“นายเคี่ยมก็รู้นะ ว่าขัดคำสั่งฉันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น... ฉันรู้ว่านายเคี่ยมไม่เคยกลัวอะไร แต่นายเคี่ยมไม่ห่วงตัวเอง ก็น่าจะห่วงชีวิตลูกสาวบ้าง”
เคี่ยมถือโทรศัพท์นิ่งค้าง หน้าเครียดไป ธานีขู่ต่อทันทีที่เห็นเคี่ยมเงียบไป
“ลูกสาวนายเคี่ยมยังเด็กอยู่แท้ๆ คงน่าสงสารนะ ถ้าต้องตายก่อนวัยอันควร!”
เคี่ยมจำต้องรับงานด้วยความหนักใจ
“ศัตรูคุณธานีเป็นใครครับ”
ธานียิ้มสมใจ
“หลานชายฉันเอง ฉันจะส่งมันลงไปหานายเคี่ยม เก็บมันด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่ต้องทำให้เหมือนอุบัติเหตุมากที่สุด...แล้วฉันจะโทรไปส่งข่าวอีกที”
ธานีกดวางสาย มุ่งมั่นที่จะกำจัดนาวิศให้พ้นทางให้ได้
เช้าวันใหม่...
คนขับรถกำลังขนกระเป๋าของนาวิศขึ้นรถ ธานีกับนาวิศเดินคุยออกมาจากบ้านด้วยกัน...
“อย่างที่อาบอกนั่นแหละ ธุรกิจหลักของเทพสุทธิพงศ์ก็คือกิจการประมง อาคิดว่าถ้าหลานจะศึกษางาน หลานควรลงไปดูงานที่ระนอง เรามีสวนมะพร้าวที่นั่นด้วย หลานจะได้เห็นภาพการทำงานชัดเจนขึ้น”ธานี
“ครับ... งั้นผมฝากงานทางนี้ด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาอา... รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันเครื่อง”
นาวิศไหว้อา แล้วขึ้นรถ ระรินเดินออกมามองที่หน้าบ้าน มองแปลกใจ นึกสงสัยท่าทีของธานีอย่างมาก ธานีมองรถนาวิศที่แล่นออกไป แล้วยิ้มร้าย หยิบมือถือมาโทร ไม่นานนักเคี่ยมรับสาย...
“ฉันส่งของลงไปแล้ว ถึงที่นั่นวันนี้ทุ่มนึง แกให้ลูกน้องเตรียมจัดการ...”
ธานีหันมา เห็นระรินเข้ามายืนแอบฟังโทรศัพท์ ธานีชะงักไป ระรินก็ชะงักตกใจที่ธานีหันมาเห็น ธานีวางสาย แล้วเดินปรี่ไปหาระริน บีบแขนแน่น
“นี่เธอแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์เหรอ!?”
“ของที่คุณว่าคืออะไรคะ แล้วทำไมถึงต้องรีบให้คุณนาวิศไประนอง...แล้วทำไมต้องเดินทางใกล้ค่ำ...”
ธานีรีบสวนขึ้นมาก่อน
“เรื่องงาน เธออย่ายุ่ง!”
ธานีเดินหนีไป ระรินมองตามธานีด้วยความสงสัย
ที่หน้าบ้านเคี่ยม...
คนงานชายขนมะพร้าวแห้งลงจากท้ายรถกระบะ มากองหน้าบ้าน ขณะที่ปาหนัน ลูกสาวของเคี่ยม สนุกอยู่กับการเล่นลูกสะบ้าอยู่กับเดื่อ และเหล่าลูกคนงานวัยไล่ๆกัน
“ถึงตาหนันล้อลูกสะบ้าแล้วนะ...”ปาหนันตะโกนเสียงใส แล้วเริ่มเล่น
“คุณหนันตาย! นี่ ดูฝีมือเดื่อซะก่อน”
เดื่อตั้งลูกสะบ้าที่เส้น เตรียมจะล้อลูกสะบ้า ทับทิมเดินเข้ามาพร้อมร้องทักปาหนัน
“คุณหนันคะ .. วันนี้ทับทิมมากินข้าวด้วยนะ”
ทับทิมเดินเข้ามา เดื่อมองทับทิมยิ้มหวานลืมตัว ก่อนจะตวัดลูกสะบ้าจนลอยสูงอย่างไม่ตั้งใจ ลูกสะบ้าลอยมาที่หัวปาหนัน
“โอ๊ย” ปาหนันร้องแล้วหงายหลังล้มลง
เจ่ง ซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก เดินออกมาเห็นก็ตกใจ รีบเข้ามาประคองปาหนัน
“คุณหนัน เป็นยังไงบ้างคะ”
“หนันเห็นดาวลอยเกลื่อน ยิบๆไปหมดเลยจ้ะยายเจ่ง”
เจ่งหันมองเดื่ออย่างโมโห
“ไอ้เดื่อ เอ็งนะเอ็ง กล้าแกล้งคุณหนันเหรอ!?”
“เดื่อเปล่านะ...!”
เจ่งลุกไปหยิบทางมะพร้าวฟาดก้นเดื่อทันที ไม่ทันให้ตั้งตัว เดื่อโดนทางมะพร้าวฟาดก้น ร้องเจ็บพลางคลำก้นตัวเอง
“อูยยยยย ยายเจ่ง แก่แล้วยังมือหนักกว่าสาวๆ อีก”
ทับทิมยิ้มเยาะเดื่อ
“สมน้ำหน้า มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ถึงได้โยนลูกสะบ้าใส่หัวคุณหนัน อย่างนั้น... อย่าบอกนะว่ามัวแต่มองฉัน”
เดื่อปากแข็ง
“หลงตัวเองให้มันน้อยๆหน่อยทับทิม...หาว่าเดื่อมองทับทิม โด่... เดื่อมองตีนกายายเจ่งยังสบายตากว่ามองหน้าทับทิมเลย”
“หนอย ไอ้เดื่อ ดูถูกกันเกินไปแล้ว...มาให้นังทับทิมตบปากทีเถอะวะ”
ทับทิมจะเข้าไปตี เดื่อรีบวิ่งหนี
“อย่าเข้ามานะ เดื่อไม่อยากรังแกผู้หญิง”
เดื่อมัวหันไปมองทับทิม เลยวิ่งมาชนใครบางคน เดื่อล้มไป ก่อนจะหันไปมอง เห็นแท่นยืนกอดอก ก้มมองเดื่อ
“แกล้งอะไรพี่สาวข้า ไอ้เฒ่าทารก”
ทับทิมเข้ามายืนกอดอกข้างน้องชายอย่างเป็นต่อ เดื่อลุกหนี
“โธ่เอ๊ย เล่นพวกนี่หว่า...เดื่อไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว ไปล่ะ”
เดื่อรีบหนีไป ปาหนันยิ้มส่ายหน้า หันไปหาแท่น
“แท่นมาทำอะไรที่นี่ มากับพ่อเคี่ยมเหรอ”
“เปล่าครับ มากับคนโน้น”
แท่นชี้ไป ปาหนันเลยมองตาม เห็นสหัสเดินหล่อตรงมาหา หิ้วถุงของฝากมาด้วย ปาหนันเห็นสหัสมาก็เบ้ปาก เมินหน้าหนี เพราะไม่ชอบสหัสมาแต่ไหนแต่ไร เสไปเก็บลูกบูสุที่พื้น สหัสตามมายืนข้างปาหนัน ยื่นถุงให้
“คุณหนันครับ...เมื่อเช้าผมเข้าเมือง เลยซื้อเสื้อมาฝากคุณหนัน”
“หนันไม่ชอบ ไม่เอาหรอก”
ปาหนันเดินสะบัดเข้าบ้าน สหัสมองตาม หน้าเครียด
“ยังไม่ทันเห็นเลย บอกไม่ชอบซะแล้ว”
ทับทิมกับแท่นช่วยกันลุ้นสหัส โดยบอกให้ตามไป
ปาหนันเดินเข้าบ้าน ในบ้านมีถุงพลาสติกใสใบใหญ่ ข้างในบรรจุถุงบุหงารำไปจนเต็มถุง บนโต๊ะในห้องมีอุปกรณ์ เข็ม ผ้าโปร่ง ,ขวดโหลขนาดใหญ่ใส่ดอกไม้แห้งหลายสี หลายขวด ปาหนันเข้ามานั่งแล้วหยิบถุงผ้าโปร่งสำหรับใส่กลีบดอกไม้แห้ง ทำถุงบุหงารำไป แล้วนำโบว์เล็กๆมาเย็บติดถุงผ้า
สหัสตามเข้ามา มองทางถุงพลาสติกใหญ่ที่ใส่ถุงบุหงารำไป แล้วมองถุงผ้าในมือปาหนันอย่างสังเกต แล้วหน้านิ่ว นึกว่าปาหนันทำให้หนุ่มที่ไหน
“คุณหนันทำบุหงารำไปส่งร้านในเมืองเหรอครับ”
“เปล่า”ปาหนันตอบลอยๆ ไม่หันมองสหัส
สหัสนึกหวงขึ้นมาทันที
“แล้วคุณหนันจะทำให้ไอ้หนุ่มคนไหนครับ ดูท่าจะเย็บสวยเป็นพิเศษด้วย”
ปาหนันไม่พอใจ
“ปัญหามากจริงนะสหัส...หนันเย็บให้ลิงเก็บมะพร้าว ถ้าคิดจะทะเลาะกับลิงก็เชิญที่สวนมะพร้าวโน่น”
สหัสอึ้งไป ปาหนันยิ้มเยาะสหัสแล้วลุกหนีขึ้นบ้าน เคี่ยมเดินสวนปาหนันมา เห็นปาหนันยิ้ม ส่วนสหัสจ๋อยสนิทก็พอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
“โดนลูกหนันแกล้งอีกแล้วสิท่า”
สหัสซึมไป
“ผมไม่เคยเป็นตัวตลกของใคร ยอมให้แต่คุณหนันคนเดียว...แต่ผมทำอะไร ก็ไม่เคยถูกใจคุณหนันซักที”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยสหัส รีบไปเตรียมตัวเรื่องสำคัญเถอะๆ”เคี่ยมยื่นซองเอกสารให้ “จัดการซะ... ทำให้เหมือนอุบัติเหตุ”
สหัสดึงรูปนาวิศออกมาจากซองเอกสารมาดู เพื่อให้จดจำหน้าได้
อ่านต่อหน้า 2
บุหงาหน้าฝน (ต่อ)
สนามบินหาดใหญ่...
นาวิศเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้โดยสาร ซึ่งทยอยออกมาจากประตูขาเข้า นาวิศหล่อเนี้ยบในชุดลำลอง สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าแบบผู้ชาย ราคาแพง นาวิศเริ่มมองหาคนมารับ สหัสกำลังมองหานาวิศ มือถือดัง สหัสกดรับ
“ว่าไงแท่น...ดีแล้ว รอที่นั่นก่อน ถึงแล้วข้าจะส่งสัญญาณให้ เอ็งคอยสังเกตสัญญาณจากข้าให้ดี”
สหัสมองไปด้านหน้า เห็นนาวิศกำลังเดินมา สหัสก้มมองรูปนาวิศในมือ แล้วพูดกับแท่น...
“มันมาแล้ว แค่นี้นะ”
สหัสกดวางสาย พับรูปเก็บเข้ากระเป๋า แล้วตรงไปหานาวิศพูดห้วนๆ
“คุณนาวิศใช่ไหม”
นาวิศนิ่วหน้า สำเนียงไอ้หมอนี่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย นาวิศพยักหน้านิดๆ
“นายส่งผมมารับคุณ ไปได้แล้ว”
นาวิศฉุน
“ผมเป็นประธานบริษัทเทพสุทธิพงศ์นะ คุณน่าจะพูดจาให้สุภาพกว่านี้ซักนิด”
“อยู่กรุงเทพคุณอาจจะใหญ่คับบริษัท แต่ที่นี่ นายเคี่ยมใหญ่สุด”
“ผมไม่รู้จักนายเคี่ยมเป็นการส่วนตัวหรอกนะ รู้แต่ว่าพนักงานบริษัทเทพสุทธิพงศ์ทุกคน เป็นลูกน้องผม...เอาล่ะ คุณพาผมไปที่รถได้แล้ว”
สหัสมองหน้านาวิศอย่างไม่ชอบ แต่ก็จำต้องหันหลัง เดินนำออกไปโดยดี นาวิศมองตามสหัส แล้วถอนใจ ส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามไป
รถสหัสแล่นบนถนนทั้งมืดทั้งเปลี่ยว สหัสทำหน้าที่ขับรถ นาวิศนั่งเบาะหลังมองไปนอกหน้าต่างรถ
“เข้าเขตระนองหรือยัง ทำไมไม่เห็นป้ายบอกทางเลย”
“ผ่านป้ายจังหวัดมา 20 กว่ากิโลแล้ว ป้ายมันเล็ก คุณคงมองไม่ทัน”
“อีกนานมั้ยกว่าจะถึงบ้านพัก”
สหัสไม่ตอบ เพราะนาวิศไม่มีทางไปถึงบ้านพัก
“ไม่ได้ยินผมถามหรือไง”
สหัสยังเงียบ นาวิศส่ายหน้าไม่พอใจ
“ลูกน้องที่นี่หัวแข็งนะ คงต้องเร่งอบรมมารยาทก่อนอย่างอื่น”
สหัสมองนาวิศผ่านกระจกส่องหลัง จ้องตานาวิศ ไม่มีความยำเกรงซักนิด นาวิศฉุนสุดทน หันออกไปมองข้างทาง รถสหัสแล่นมาทางที่รถแท่นจอดรออยู่
ในรถ...สหัสมองนาวิศผ่านกระจกส่องหลังอีกที เห็นว่านาวิศกำลังมองออกไปด้านนอก สหัสแอบตบไฟสูง ส่งสัญญาณให้แท่นรู้ว่ามาถึงแล้ว
ด้านนอก...แท่นมองรถสหัสที่ขับรถผ่านไป แท่นสตาร์ทรถ ออกจากที่จอด ขับตามรถสหัสไป นาวิศ ที่มองออกไปข้างทาง ไม่สังหรณ์ใจเลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
สหัสขับรถไม่เร็วนัก เพราะเป็นทางบนเขา กระทั่งขับผ่านป้าย“ทางชัน โปรดระมัดระวัง”ซึ่งใกล้ชุดนัดพบ สหัสเริ่มหน้าเครียดกับแผนการฆ่านาวิศ เมื่อถึงที่หมาย สหัสบิดไฟหน้ารถเป็นไฟหรี่ ชะลอรถแล้วจอด นาวิศหันมาถามทันที
“รถเป็นอะไร”
“แบ็ตหมด”
นาวิศโมโห
“แบ็ตหมด?! ขับรถทางไกลทำไมไม่เช็คเครื่องก่อน แล้วมาจอดรถตรงนี้ เกิดมีรถตามหลังมาได้เสยท้ายเอาหรอก ค่อยๆขับไปจอดไหล่ทางสิ”
“แถวนี้เป็นหน้าผา ไม่มีไหล่ทาง”
สหัสดับเครื่องยนต์ นาวิศหงุดหงิดมาก ลงจากรถไป เห็นไฟหน้ารถแท่นที่กำลังเข้ามาใกล้...นาวิศรีบไปยืนโบกรถทันที นาวิศบอกสหัส
“มีรถมาพอดี ขอเค้าชาร์ตแบ็ตก่อน”
รถแท่นแล่นมาจอด นาวิศวิ่งไปหา กระจกรถแท่นเลื่อนลง นาวิศก้มหน้าคุยกับคนขับ
“ผมอยากขอชาร์ตแบ็ตรถน่ะครับ”
แท่นไม่ตอบอะไร แต่เผลอเหลือบมองเลยไปทางด้านหลัง นาวิศเอะใจ หันมองตาม ทันใด สหัสใช้ด้ามปืนฟาดลงที่หัว นาวิศสลบเหมือด ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งไป แท่นเห็นนาวิศสลบไปแล้ว รีบลงจากรถ สหัสกับแท่นช่วยกันจับนาวิศยัดใส่รถที่แท่นขับมา โดยเอาตัวนาวิศนั่งบนเบาะคนขับ รถที่หันไปทางหน้าผา
“แท่น เอ็งสตาร์ทรถแล้วถือพวงมาลัยไว้ ข้าจะไปเข็นท้ายรถ”
สหัสสั่ง แล้วเดินไปท้ายรถ แท่นก้มหน้าลงมาจะบิดกุญแจ พอเหลือบมองนาวิศก็ขวัญเสียที่ต้องฆ่าคน กลืนน้ำลายฝืดคอ แท่นเบือนหน้าออกจากรถ พลางบิดกุญแจ
อ่านต่อหน้า 2
บุหงาหน้าฝน ตอนที่ 1 (ต่อ)
เสียงเครื่องยนต์ทำให้นาวิศรู้สึกตัว นาวิศค่อยหยีตา ยังเจ็บที่หัว แท่นมัวแต่หันหน้าออกไป ไม่เห็นว่านาวิศรู้ตัวแล้ว
“ชักปอดๆแล้วสิพี่...ไอ้ฉันมันนักเลงปลายแถว อย่างดีก็แค่ชกต่อย ไม่เคยฆ่าคนตายมาก่อนเลย”แท่นบ่น
“กลัวก็หลบไป ข้าจัดการเอง”
แท่นรีบถอย เดินไปยืนห่างๆ รอดูเหตุการณ์ สหัสเองก็รู้สึกผิด ทำใจครู่หนึ่งก่อนดันท้ายรถ เพื่อให้รถตกหน้าผา นาวิศหรี่ตามองรอบๆ บอกตัวเองเบาๆ
“หน้าผา...?!”
นาวิศไม่กล้าขยับตัวมาก พยายามมองรอบๆ แล้วเหลือบเห็นผ่านทางกระจกส่องหลังว่า สหัสกำลังดันรถอยู่ รถเดินหน้าไปนิดเดียวก็ติดบางอย่าง สหัสดันอีกหลายครั้ง รถก็ติด แท่นมองใต้ล้อรถ
“มีหินตรงล้อหน้าพี่”
นาวิศยังไม่กล้าขยับตัว ได้แต่กลอกตาอย่างใช้ความคิด พยายามหาทางเอาชีวิตรอดจากนาทีฉุกเฉินนี้ สหัสมาหยิบก้อนหินโยนทิ้ง ออกจากใต้ล้อหน้ารถ พอสหัสลุกขึ้น นาวิศก็ผลักประตูรถกระแทกสหัสล้ม นาวิศหนี แท่นเห็นรถไหลจะตกหน้าผา วิ่งมาดึงรถไว้ สหัสล้มอยู่ที่พื้น พอตั้งตัวได้ก็วิ่งตามนาวิศไป
“หนีไม่รอดหรอก คุณนาวิศ!”
สหัสหยิบปืนที่เหน็บเอวขึ้นมา นาวิศหันมาเห็นปืนก็วิ่งหนีลงข้างทาง สหัสถือปืนวิ่งตาม นาวิศวิ่งหนีมาริมหน้าผา ถึงกับเบรกตัวโก่ง จะรีบหันหลังหนี แต่สหัสก็วิ่งมาดักทางเสียแล้ว นาวิศชะงัก
“ถอยมาคุณนาวิศ ลมหอบคุณตกหน้าผาได้นะ”
“เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน ทำไมต้องทำอย่างนี้”
สหัสเล็งปืนขู่นาวิศ
“กลับไปที่รถ”
นาวิศคิดหาทางหนีทีไล่ แต่แกล้งจำยอม เดินย้อนกลับมา นาวิศเดินมาใกล้สหัส ได้จังหวะก็หันไปใช้ข้อมือฟันมือสหัส ปืนกระเด็นหลุดมือ สหัสจะวิ่งไปเก็บปืน นาวิศกระชากไว้ สหัสล้ม เสียหลัก นาวิศจะเข้าไปหยิบปืน สหัสยื่นขาไปขัดขานาวิศล้ม ทั้งสองต่อสู้แย่งปืนกัน
“ตายด้วยวิธีที่ฉันเลือกให้ดีกว่า”
“ถ้าต้องตาย ฉันจะเลือกวิธีตายเอง!”
ทั้งสองกระโจนไปที่ปืน แย่งกันหยิบปืนอีกครั้ง แต่สหัสถึงปืนก่อน หันกระบอกปืนมาทางนาวิศที่ชะงักไป ค่อยๆขยับหนี แต่ถอยไปทางหน้าผาโดยไม่รู้ตัว
“หมดเวลาเล่นแล้ว...กลับไปที่รถ”
นาวิศกับสหัสกำลังจ้องหน้ากัน อยู่ๆ แท่นก็โผล่มาด้านข้างนาวิศ ยกปืนขึ้นมาขู่
“เฮ้ย อย่าหนีนะ!”
นาวิศตกใจ ผงะถอยหนี แต่กลับก้าวพลาด นาวิศเซจะตกหน้าผา สหัสเห็นอย่างนั้นจะเข้าไปช่วยดึง แต่ไม่ทัน นาวิศตกหน้าผาไปก่อนที่สหัสจะพุ่งตัวไปถึง สหัสกับแท่นต่างก็ตกใจ แท่นหน้าเสีย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่ามันนะพี่ มันตกลงไปเอง”
สหัสกับแท่นชะโงกดูข้างล่าง สหัสสลดลง เพราะไม่ได้อยากฆ่านาวิศ
“อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะ คุณนาวิศ”
สหัสมองไปเบื้องล่างที่นาวิศตกลงไป เห็นแต่ความมืดยามค่ำคืน...
เช้าวันใหม่
สหัส เคี่ยม และแท่น ยืนคุยอยู่ด้วยกัน เคี่ยมถอนใจ รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน กับสิ่งที่ทำลงไป
“แล้วเจอศพไหม”
“ยังไม่เจอครับ คิดว่าลมคงหอบร่างไปไกล วันนี้ผมกับไอ้แท่นจะกลับไปดูใหม่อีกรอบ”
เคี่ยมพยักหน้ารับ
“เจอแล้วก็ฝังไว้ให้ดีๆ ขุดหลุมลึกๆจะได้กันพวกสัตว์มาคุ้ย”
“ครับนาย”
ทั้งสองคนรับคำ เคี่ยมถอนใจเศร้า
“มีคนตายด้วยน้ำมือฉันอีกคนแล้ว”
“น้ำมือผมครับ ไม่เกี่ยวกับนาย”สหัสบอก
เคี่ยมมองหน้าสหัส รู้ว่าสหัสต้องการให้เขารู้สึกผิดน้อยลง แต่ลึกๆแล้ว ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกผิดที่ฆ่านาวิศ
ขณะเดียวกันนั้น นาวิศไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่ทุกคนคิด เพราะตกลงบนต้นไม้ใต้หน้าผา นาวิศค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาช้าๆ พยายามลุกขึ้นมา แต่เจ็บแขนซ้ายมากเพราะแขนหัก นาวิศค่อยๆประคองตัวออกไปอย่างทุลักทุเล
เจ่งกำลังผัดแกงตอแมะในกระทะอยู่ในครัว ขณะที่ปาหนันหั่นมะเขือยาว เดื่อนั่งขูดมะพร้าว ปาหนันจาม ฉุนกลิ่นเครื่องแกง
“แกงตอแมะกลิ่นฉุนชะมัดเลยนะยายเจ่ง”
“ยายเป็นคนผัด ไม่เห็นจาม แล้วนั่นหั่นมะเขือยาวเสร็จรึยังคะคุณหนัน แกงงวดแล้ว”
เดื่อชะโงกดู
“ผัดชามเดียวพอกินเหรอยายเจ่ง พี่สหัสกินจุจะตาย”
“ก็อยากมาไม่บอกเองทำไม กินเท่าที่มีนี่แหละ”
ปาหนันหน้ามุ่ย บ่นเบาๆ
“ไม่อยากกินข้าวกับสหัสเลย ไปดูแปลงมะลิดีกว่า”
ปาหนันส่งชามมะเขือที่หั่นเสร็จให้เจ่ง แล้วเดินออกไปเลย
“ไปนะยายเจ่ง”
“อ้าว เดี๋ยวสิคะคุณหนัน”
ปาหนันไม่สนใจ เดินออกไปเลย ปาหนันเดินเข้าไปในแปลงมะลิ ซึ่งปลูกแทรกอยู่ในสวนมะพร้าว เธอเด็ดดอกมะลิใส่ตะกร้า ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
ปาหนันสำรวจต้นมะลิ
“มีรอยแมลงกัดด้วย...ต้องให้เดื่อเอายามาฉีดแล้ว”
ปาหนันเดินเด็ดดอกมะลิมาเรื่อยๆ จนมาถึงแปลงหนึ่ง กิ่งหัก เสียหายไปแถบหนึ่ง ปาหนันมองฉุนๆ
“ใครแอบมาเหยียบแปลงดอกมะลิของเรา! ไม่รู้รึไงว่าท้ายสวนมะพร้าวเป็นเขตหวงห้าม”
ปาหนันเดินไปข้างกอมะลิที่หัก เห็นร่างผู้ชายนอนเสื้อแสงขาด ตัวเปื้อนเลือด
“คนตาย!!!”
ปาหนันตกใจกลัว ทิ้งตะกร้าวิ่งไปยืนตั้งสติหลังอยู่หลังต้นมะพร้าว
นาวิศที่สลบไปนาน ได้สติ พยายามยันตัวลุกขึ้นแล้วล้มไปอีก
“โอ๊ย...”
ปาหนันที่อยู่หลังต้นมะพร้าวสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงนาวิศ ค่อยโผล่หน้าออกไปมอง... เห็นกอมะลิขยับ
“หรือว่ายังไม่ตาย...?”
ปาหนันเดินกลับมาดูนาวิศซึ่งหายใจรวยริน ปาหนันหันไปเห็นพลั่ว คว้ามาถือไว้ แล้วเดินเข้ามาใกล้นาวิศ ปาหนันเอาพลั่วเขี่ยไปโดนแขนซ้ายนาวิศ
“คุณ...”
นาวิศเจ็บแขนซ้าย ร้องลั่น
“โอ๊ย...”
ปาหนันสะดุ้ง
“ว้าย!”
ปาหนันโยนพลั่วทิ้งด้วยความตกใจ แล้วค่อยตั้งสติได้
“โธ่ เสียงดัง ตกใจหมด”
ปาหนันก้มลงมาคุยกับนาวิศ
“เสียงยังดีไม่มีตกอย่างนี้ แสดงว่าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม แล้วคุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
นาวิศปรือตามอง เห็นหน้าปาหนันชัด จากนั้นค่อยๆเบลอ
“ช่วย ด้วย...”
นาวิศสลบไป ปาหนันตกใจ เข้าประคองนาวิศ
“อ้าวคุณ... คุณ!”
นาวิศสลบในอ้อมแขนปาหนัน ขณะเดียวกันนั้นเจ่งกับเดื่อเดินมาตามปาหนันไปกินข้าว เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ปาหนันจึงสั่งเดื่อแบกร่างนาวิศกลับไป
ปาหนันวิ่งนำหน้ากลับมาที่บ้าน เดื่อเดินแบกนาวิศพาดบ่าตามมา ยายเจ่งวิ่งหอบแฮ่กๆ รั้งท้าย...
“โอยคุณหนัน...ผู้บ่าวนี่ตัวหนักไม่ใช่เล่นเลยนะ”
ปาหนันร้อนใจ
“บ่นอยู่ได้ เดินเร็วๆเถอะ!”
เจ่งบ่นต่ออีก...
“มาตามคุณหนัน ดั๊นได้ผู้ชายต่างถิ่นติดมือกลับไป นายเห็นต้องว่าแน่ๆ...เอาไปส่งโรงหมอเถอะค่ะคุณหนัน”
“โรงหมอไกลเกินไป พาไปบ้านก่อนเถอะจ้ะยายเจ่ง...ก้าวยาวๆสิเดื่อ เดินช้า เดี๋ยวคนก็ตายก่อนหรอก”
เดื่อครวญ
“เดื่อจะไม่ไหวแล้วนะ ตัวหนักอย่างกะอะไร”
ทั้งหมดรีบพากันไป กระทั่งถึงบ้าน ปาหนันกับเดื่อช่วยกันหามนาวิศเข้าไปในบ้าน เจ่งรั้งท้ายตามมา
“พาเขาไปไว้ที่โซฟานั่นก่อน”
ทั้งสองช่วยกันประคองร่างนาวิศวางลงที่โซฟา เคี่ยมเข้าบ้านมาก็แปลกใจ ยังเห็นนาวิศไม่ชัด
“เกิดอะไรขึ้นลูกหนัน ใครเป็นอะไร”
“ใครไม่รู้จ้ะ แต่เขาบาดเจ็บ เข้ามาสลบในแปลงมะลิของหนัน...ยายเจ่งไปหยิบยาใส่แผล เดื่อไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเลือด ไปเร็ว”
ปาหนันสั่ง เจ่งกับเดื่อแยกย้ายไปทำตามคำสั่งปาหนัน เคี่ยมเดินเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง เห็นเลือดเลอะเต็มเสื้อคนเจ็บ
“เจ็บขนาดนี้ เรียกรถพยาบาลเถอะ ลูกหนัน...เป็นอะไรมากไหมเนี่ย”
จังหวะนั้นเอง ปาหนันพลิกหน้านาวิศหันมา ใช้ผ้าเช็ดที่หน้าผากให้ เคี่ยมเห็นหน้านาวิศแล้วชะงัก มองไม่แน่ใจ สหัสเดินตามเข้ามา เห็นอาการเคี่ยมก็แปลกใจ
“ใครเป็นอะไรครับ”
สหัสเดินไปดูที่โซฟาเห็นว่าเป็นนาวิศก็ตกใจ รำพึงเบา
“นาวิศ...”
ปาหนันหันถามสหัส
“อะไรนะ”
สหัสอึกอัก
“ไม่มีอะไรครับ”
เคี่ยมมองอย่างสงสัยใจอยู่ก่อนแล้ว หันมองหน้ากับสหัส แล้วหันกลับไปมองนาวิศอย่างเครียดหนัก เพราะไม่เพียงแต่นาวิศยังไม่ตาย แต่ปาหนันยังพากลับมาบ้านด้วย
เคี่ยมบอกปาหนันว่าจะตามรถพยาบาลให้ เพราะอาการนาวิศหนักเกินกว่าที่จะช่วยได้ เคี่ยมกับสหัสออกไปยืนปรึกษากันที่หน้าบ้าน ปาหนันชะเง้อรอรถพยาบาลใกล้ๆเจ่งกับเดื่อ...
“ทำไมรถพยาบาลไม่มาซักทีนะ”
เสียงรถเข้ามา แต่ปรากฏว่าเป็นแท่นขับรถกระบะมา ปาหนันมองแปลกใจ สหัสเดินผ่านปาหนัน ตรงไปบอกแท่น
“คนเจ็บอยู่บนบ้าน ไปช่วยกันแบกมาขึ้นรถเร็ว”
“เดี๋ยวก่อน!”ปาหนันรีบตรงมาหาสหัส “เอาขึ้นรถกระบะไปก็กระเทือนแย่สิ เค้าบาดเจ็บอยู่นะ...ไหนพ่อว่าโทรตามรถพยาบาลมารับเขาแล้วไงจ๊ะ”
เคี่ยมอึกอัก
“โทรแล้วลูก แต่รถเขาไม่ว่าง ไปรับคนป่วย”
“รถพยาบาลเปิดหวอวิ่งไวจะตาย ป่านนี้กลับถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะจ้ะ...พ่อโทรอีกหนสิจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอก เสียเวลารอ...ไปเอาตัวมันมา”เคี่ยมหันไปถามสหัส
“เดี๋ยวก่อน! ทำไมพ่อถึงต้องรีบให้เอาตัวเขาไปด้วยล่ะจ๊ะ รอรถพยาบาลไม่ดีเหรอ”ปาหนันแปลกใจ
“ไม่รีบช่วย เดี๋ยวมันก็ตายคาบ้านเราน่ะสิ ลูกหนันเลิกขวางซักที พ่อจะจัดการเรื่องหมอนั่นเอง”
ปาหนันถอนใจ
“ก็ได้จ้ะ...แท่นไปเอาตัวเขาลงมา เดี๋ยวหนันจะนั่งกระบะท้ายไปด้วย จะได้คอยดูแลเขา”
สหัสอึ้งไป มองหน้าเคี่ยม
“จะไปทำไมลูกหนัน เกะกะเปล่าๆ ไม่ต้องไปหรอก”
“ไม่ไปไม่ได้หรอกจ้ะ พ่อ หนันเป็นคนเจอเขา หนันต้องรับผิดชอบ”
ปาหนันยืนยันหนักแน่น เคี่ยมกับสหัสลอบสบตากันอย่างหนักใจ
นาวิศนอนสลบที่โซฟาในบ้าน ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น มองรอบๆ ได้ยินเสียงเคี่ยมกับปาหนันเถียงกัน
“จะต้องไปยุ่งกับเขาทำไมนะ ลูกหนัน เขาเป็นใครก็ไม่รู้”
“หนันถึงอยากรู้ไงจ๊ะ”
“แต่ลูกหนันไม่จำเป็นต้องรู้”
นาวิศแปลกใจ ลุกไปดูที่หน้าต่าง ด้วยความรู้สึกเจ็บแขนซ้ายที่หัก ขณะเดียวกันที่หน้าบ้าน เคี่ยมยังโต้เถียงกับปาหนัน โดยมีคนอื่นๆ รายรอบ
“ทำไมพ่อต้องทำเหมือนมีลับลมคมในด้วย หนันบอกให้ตามรถพยาบาลพ่อก็ไม่ตาม พอหนันจะตามไปโรงพยาบาลด้วยพ่อก็ไม่ให้ไป”ปาหนันเสียงดังขึ้น
“พ่อจะไม่เถียงกับลูกหนันแล้ว พ่อห้ามลูกหนันตามไปโรงพยาบาล เป็นอันจบเรื่อง...สหัส ไปเอาตัวมันมา!”
สหัสจะเข้าไป ปาหนันกลับเข้าไปผลักสหัส แล้วยืนขวางทางไว้
“ห้ามเข้าไป! ถ้าหนันไม่ได้ไปด้วยก็ห้ามเอาเขาไปไหนทั้งนั้น...เดื่อมาช่วยขวางสหัสไว้ที”
สหัสสั่งเดื่อทันที...
“อย่ายุ่ง ไอ้เดื่อ!”
เดื่อมองเจ่งอย่างขอความเห็นใจ ทั้งกลัวปาหนัน ทั้งกลัวเคี่ยมกับสหัส เจ่งส่ายหน้ากับเดื่อว่าไม่ต้องไป ปาหนันดุ
“เดื่อ!”
ในบ้าน...นาวิศเดินมาดูกลุ่มคนที่ด้านนอก นาวิศเห็นปาหนันก็จำได้
“ผู้หญิงที่ช่วยเราไว้...”
นอกบ้าน...เคี่ยมสุดทน เข้ามาจับตัวปาหนัน ดึงแขนออกมา ไม่ให้ขวางทางสหัส
“เข้าไป สหัส!”
ปาหนันพยายามสะบัดหนี
“อย่านะสหัส! ถ้าเข้าไปเอาตัวเค้า หนันเอาเรื่องสหัสแน่!”
สหัสชะงัก เหลือบมองหน้าเคี่ยมว่าจะเอายังไง ขณะเดียวกันนั้น นาวิศเห็นหน้าสหัสก็อึ้งไป
“คนที่จะฆ่าเราเมื่อคืน!”
ทางด้านเคี่ยมสำทับสหัสอีก
“ไปเอาตัวมันมา สหัส!”
สหัสเหลือบมองปาหนันแวบหนึ่ง ปาหนันมองโกรธ สหัสจำต้องตัดสินใจทำตามนายสั่ง สหัสหันไปพยักหน้าให้แท่นตามเข้ามา แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน ปาหนันโวยวาย
“สหัส หยุดนะ สหัส!!”
นาวิศเห็นสหัสกำลังเดินเข้ามาในบ้านก็หน้าเสีย...
“มันฆ่าเราแน่...”
นาวิศเดินหนีไปหลังบ้าน เจ็บแขนซ้ายข้างที่หัก แต่ต้องกัดฟันทน พอสหัสกับแท่นเข้าบ้านมา นาวิศก็หายไปแล้ว
“นาวิศหนีไปแล้ว!” สหัสตกใจ
สหัสกับแท่นวิ่งออกมาจากบ้าน
“นายครับ มันหนีออกทางประตูหลังบ้านไปแล้ว ผมจะขับรถวนดูรอบๆ แถวนี้”
“รีบไป...ตามหาตัวให้เจอ”
สหัสรับคำ รีบวิ่งนำแท่นไป ปาหนันหน้าเสีย ทั้งตกใจทั้งแปลกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่จ๊ะ ทำไมเขาต้องหนี แล้วทำไมพ่อต้องให้ตามตัวเขาด้วย??”
เคี่ยมไม่ตอบ ส่งตัวปาหนันให้เจ่ง
“เจ่งพาลูกหนันเข้าบ้าน อย่าให้ออกมา!”
เจ่งดึงปาหนันไป
“หลบเข้าบ้านค่ะคุณหนัน ให้พวกผู้ชายเขาไล่จับผู้ร้าย”
ปาหนันยังไม่ยอมไป
“เดี๋ยวก่อนยายเจ่ง เรายังไม่รู้เลยนะว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า!”
“ก็ถ้าไม่ใช่แล้วมันจะต้องหนีทำไมล่ะคะ”
ปาหนันอึ้งไป เคี่ยมสั่งอีก...
“เข้าบ้านลูกหนัน!”
เจ่งพาปาหนันเข้าบ้าน เดื่อรีบตามไป ปาหนันยังเป็นห่วงนาวิศ หันกลับมามอง เคี่ยมเองก็หันมองไปรอบๆ มองหานาวิศ รู้สึกหนักใจ
ทางด้านนาวิศ ต้องวิ่งหนีลูกกระสุนสหัสอยู่ในสวนมะพร้าว สหัสวิ่งไล่ตามมา พร้อมตะโกนสั่งแท่น
“เอ็งวิ่งอ้อมไปดักด้านนั้น!”
แท่นวิ่งอ้อมไปอีกทาง สหัสวิ่งไล่นาวิศ นาวิศวิ่งหนีมาหลบหลังต้นมะพร้าว สหัสวิ่งตามมาไม่เห็นนาวิศก็หยุดวิ่ง มองหานาวิศ แท่นที่วิ่งอ้อมไปอีกทาง วิ่งมาเจอสหัส
“ไม่เจอเลยพี่”
“แยกย้ายไปหามันให้เจอ เอ็งเจอมันก่อน ก็ฆ่ามันทิ้ง”
นาวิศยืนหลบอยู่หลังต้นมะพร้าวต้นหนึ่งใกล้คูน้ำ ขณะที่แท่นกลัว ไม่ได้อยากฆ่านาวิศ
“ยิงมันตาย เราติดคุกนะพี่ ไม่เหมือนกับที่เราทำเป็นอุบัติเหตุนะพี่!”
“แต่มันเห็นหน้าเราแล้ว มันจำเราได้แน่ ถ้ามันรอดไปแจ้งตำรวจ เราก็จบเห่เหมือนกัน แล้วนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย”
นาวิศได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน ครุ่นคิดไป...
‘…มันกลัวเราจำหน้าได้ ยังไงมันก็ต้องฆ่าเราปิดปาก... ทำไงดี...’
ครู่หนึ่งคิดแผนออก นาวิศรีบโยนกระเป๋าตังค์ทิ้งลงน้ำ เมื่อได้ยินเสียงจ๋อมเพราะกระเป๋าตกน้ำไป สหัสรีบหันไป เห็นเงาคนทอดตัวอยู่หลังต้นมะพร้าว ก็รู้ว่าเป็นนาวิศ
“มันอยู่นั่น!”
สหัสวิ่งไปจ่อปืนที่นาวิศ...ทันใดเสียงปาหนันที่ตามมาดังขึ้น...
“อย่าทำอะไรเขานะสหัส”
ปาหนันวิ่งนำเข้ามา เคี่ยมกับเจ่งวิ่งตามปาหนันมาด้วย ปาหนันเข้ามาขวางสหัสไม่ให้ยิงนาวิศ เคี่ยมตามมายืนกับสหัส
“อย่าทำอะไรเขานะสหัส! หนันขอร้องนะจ๊ะพ่อ อย่าทำอะไรเขาเลยนะจ๊ะ”
สหัสดึงปาหนันออกมา
“หลบไปคุณหนัน”
สหัสเตรียมยิง นาวิศตัดสินใจตะโกนออกไป
“พวกคุณจะทำอะไรผม...พวกคุณเป็นใครกันแน่ แล้วที่นี่ที่ไหน”
พวกผู้ชายชะงัก หันมองนาวิศแปลกใจ
“ที่นี่ระนองจ้ะ” ปาหนันบอก
“ผม... ผมอยู่ที่นี่เหรอ? แล้วพวกคุณเป็นใคร??”
“พวกเราอยู่ที่นี่ แต่คุณคงเป็นคนที่อื่น”
“ที่อื่น... ที่ไหน??”
นาวิศทำเป็นมองหน้าทุกคนงงๆ เคี่ยมแปลกใจ...
“คุณมาที่นี่เมื่อคืน จำไม่ได้เหรอ”
นาวิศแสร้งทำเป็นคิด
“เมื่อคืน... เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น... โอ๊ย ปวดหัว! คิดไม่ออก รู้แต่ว่าผมมาฟื้นเอาตอนเช้า ที่แปลงมะลิ ที่ไหนซักแห่ง...นอกนั้นผมจำอะไรไม่ได้เลย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”
เคี่ยมกับสหัสสบตากันอย่างแปลกใจ สหัสหันไปถามนาวิศ
“คุณจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เลยเหรอ”
“ผมจำไม่ได้!”นาวิศแกล้งกุมหัว โวยวาย “ช่วยบอกผมได้ไหมว่าผมเป็นใคร ผมชื่ออะไร มาจากไหน ช่วยบอกผมที! โอ๊ย...!!!”
นาวิศแกล้งปวดหัวจนทรุดลงไป ปาหนันรีบเข้าไปประคอง
“คุณ! คุณ เป็นอะไรน่ะ! ทำใจดีๆไว้นะคุณ!!”
นาวิศแกล้งสลบไป เคี่ยมมองอึ้งๆ
“นี่คุณความจำเสื่อมเหรอเนี่ย!?”
อ่านต่อวันพรุ่งนี้