xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : อีกหนึ่งพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ของ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” ที่ทรงมีต่อพสกนิกรผู้เจ็บไข้ได้ป่วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานสิ่งจำเป็นเพื่อให้ราษฎรของพระองค์ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านที่อยู่อาศัย การเกษตรกรรม การทำมาหาเลี้ยงชีพ น้ำดื่มน้ำใช้ อาหาร การศึกษา และการสาธารณสุข ดังเป็นที่ปรากฏชัดตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์

นพ.โสภณ เมฆธน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชสมภพในราชสกุลที่ผูกพันกับงานด้านการแพทย์การสาธารณสุข นับตั้งแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อีกทั้งสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ที่ทรงมีคุณูปการต่องานด้านการแพทย์การสาธารณสุขอย่างมาก

พระองค์จึงทรงให้ความสำคัญกับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้มีพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับงานด้านนี้เป็นจำนวนมาก เช่น เรื่องการควบคุมโรคติดต่อ ทั้งโรคเรื้อน วัณโรค หรือแม้แต่โรคโปลิโอ

โครงการควบคุมโรคเรื้อน สู่ “สถาบันราชประชาสมาสัย” พระราชาและประชาชนย่อมพึ่งพาอาศัยกัน
ดังเช่นการจัดตั้งสถาบันราชประชาสมาสัย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนั้นมีอัตราผู้ป่วยโรคเรื้อนสูงกว่าภาคอื่นๆ จึงทรงสนพระราชหฤทัยในโครงการทดลองควบคุมและบำบัดโรคเรื้อนของกระทรวงสาธารณสุข และทรงรับโครงการควบคุมโรคเรื้อนของกระทรวงสาธารณสุขไว้เป็นโครงการในพระราชดำริ โดยให้เร่งรัดอบรมบุคลากร ค้นหาผู้ป่วยมารักษา พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการก่อสร้างอาคารวิจัยและฝึกอบรมวิชาโรคเรื้อน แล้วพระราชทานนามว่า “สถาบันราชประชาสมาสัย” พร้อมรับกองทุนราชประชาสมาสัย มาอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ และยกขึ้นเป็น “มูลนิธิราชประชาสมาสัย” ทรงอธิบายความหมายของคำว่า “ราชประชาสมาสัย” ว่าหมายถึง “พระราชาและประชาชนย่อมพึ่งพาอาศัยกัน”

นอกจากนี้ พระองค์ยังมีพระราชดำรัสให้ดูแลลูกของผู้ป่วยโรคเรื้อน รวมไปถึงลูกของผู้ป่วยโรคเอชไอวี/เอดส์ด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นที่มีต่อผู้ป่วยโรคเรื้อน

นพ.โสภณกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โรคเรื้อนในประเทศไทย ขณะนี้มีแนวโน้มลดลงมาก และประเทศไทยสามารถดำเนินงานควบคุมโรคเรื้อนได้บรรลุเป้าหมาย และไม่เป็นปัญหาสาธารณสุขตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2537

ในเฟซบุ๊คของสถาบันราชประชาสมาสัย ได้โพสต์ภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน "เข็มศิลปวิทยา และเหรียญดุษฎีมาลา (สาขาแพทยศาสตร์)" แก่นายแพทย์ธีระ รามสูต ณ พระตำหนักจิตรดารโหฐาน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2532 พร้อมพระราชดำรัส ความว่า

"หมอก็ได้อุทิศตนศึกษา ค้นคว้า ทุ่มเท ทำงานจนเป็นที่ประจักษ์ และส่งให้วิทยาการและโรคเรื้อนลดปัญหาลงชัดเจน ฉันหวังว่าหมอคงจะยังไม่เหนื่อยและหยุดยั้งแค่นี้ ขอให้ช่วยศึกษา ทำงานแก้ปัญหาด้านโรคติดต่อและงานสาธารณสุขอื่นๆต่อไปอีก ขอให้มีพลังกาย พลังใจเข้มแข็ง และเจริญก้าวหน้าต่อไป"

“โครงการเจลลี่โภชนา” พระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ป่วยมะเร็งในช่องปาก
พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนั้น ไม่เว้นแม้ในยามที่พระองค์ทรงพระประชวร ดัง “โครงการเจลลี่โภชนา” และ “โครงการน้ำลายเทียม”

ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต
อดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเคยกำกับดูแลโครงการดังกล่าว ได้เคยเล่าให้นิตยสารธรรมลีลา ฟังว่า

มูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ออกทุนให้สถาบันโภชนาการทำโครงการเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งทางสถาบันฯสนใจที่จะทำอาหารเจลสำหรับผู้ป่วยที่กลืนอาหารไม่ได้ จึงได้เกิดเป็นโครงการนี้ขึ้นมา

โดยเจลลี่โภชนาสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยอัมพาต โรคในช่องปาก โรคมะเร็งในช่องปาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งในช่องปาก เนื่องจากเป็นกลุ่มแรกที่มีปัญหาเรื่องการกลืนอาหาร เพราะกระบวนการรักษาโรคมะเร็งช่องปากในปัจจุบัน ต้องใช้วิธีการผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสี ซึ่งมีผลให้ผู้ป่วยประสบปัญหาความพิการของอวัยวะบดเคี้ยว และมักทำให้เกิดแผลในช่องปาก รวมถึงปัญหาต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อยลง

ปัจจัยเหล่านี้มีผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้สะดวก และอาจจำเป็นต้องพึ่งพาการรับประทานอาหารทางสายยาง ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปากมักต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดอื่น และยังมีผลต่อคุณภาพชีวิตจากการที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปากมักมีอาการขาดอาหาร ซึ่งมีผลต่อเนื่องกับประสิทธิภาพในการรักษา

เจลลี่โภชนาเป็นอาหารเจลที่ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบการฆ่าเชื้อในระบบยูเอชที (Ultra Heat Treatment) และบรรจุในกล่องปลอดเชื้อที่สามารถเปิดบริโภคได้ง่าย มีลักษณะนุ่มลื่น ผู้ป่วยสามารถเคี้ยวและกลืนได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ มีคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสม โดยสัดส่วนของพลังงานที่ได้มีทั้งจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน นอกจากนี้ ยังมีโปรตีนที่มีคุณภาพดี และมีอายุการเก็บรักษายาวนานถึง 1 ปี

มีรสชาติที่หลากหลายถึง 9 รสชาติ ทั้งในรูปอาหารคาวและหวาน เช่น ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ข้าวหอมมะลิ ข้าวมันไก่ มะม่วง ชานม ลิ้นจี่ แต่รสชาติที่ได้ถูกนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยทั่วประเทศนั้นมีเพียง 2 รสชาติ คือ รสมะม่วงและรสชานม

ศ.ดร.วิสิฐ เล่าว่า เมื่อแรกผลิตออกมา 8-9 รสชาติ ก็นำไปถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

“คือพระองค์ทรงมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนอาหารเหมือนกัน เพราะทรงเสวยพระโอสถโรคหัวใจเยอะ สูตรที่ทำถวายพระองค์ท่านนั้น เราผลิตออกมาไม่มาก ไม่ได้ทำเป็นอุตสาหกรรม พระองค์เสวยแล้วก็ทรงมีพระราชวินิจฉัย

พระองค์ตรัสว่า “รสต้มยำกุ้งเนี่ยฉันชอบมาก” แต่รสก๋วยเตี๋ยวไก่พระองค์ไม่โปรด ตรัสว่าน่าจะทำรสข้าวมันไก่ดีไหม เจลข้าวมันไก่มันจะได้หอมขึ้นหน่อย เราก็นำมาผลิตตามที่พระองค์พระราชทานคำแนะนำ

ที่สำคัญพระองค์พระราชทานข้อคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ป่วยว่า “จำไว้นะ เวลาทำอาหารให้คนป่วย เรื่องรสชาติเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเขาป่วยด้านร่างกายแล้ว จิตใจต้องดี ถ้าเราทำอาหารที่ไม่อร่อยไปให้ จิตใจเขาจะแย่ มันเป็นการซ้ำเติมผู้ป่วย” จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงพระอัจฉริยภาพมาก ขนาดตอนนั้นทรงพระประชวรอยู่นะ แล้วพระองค์ก็ทรงห่วงใยผู้ป่วยมากด้วย”

ไม่เพียงแต่เรื่องรสชาติ พระองค์ยังได้พระราชทานคำแนะนำเรื่องบรรจุภัณฑ์ว่า กล่องที่นำมาให้ทอดพระเนตรนั้น มีลักษณะคล้ายกล่องนม ถ้าในอนาคตมีการนำไปจำหน่ายในศูนย์การค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต คนซื้อก็จะต้องเขย่า ซึ่งทำให้เจลแตก แล้วไม่มีใครอยากกิน พระองค์จึงตรัสถามว่า “ใส่กระป๋องได้ไหม”

เมื่อ ศ.ดร.วิสิฐ ทูลว่าผลิตภัณฑ์นี้ใส่กระป๋องไม่ได้ พระองค์จึงได้พระราชทานคำแนะนำว่า “เอาอย่างนี้สิ ทำฉลากเป็นแนวนอน พอกล่องเป็นแนวนอนคนก็จะไม่เขย่า”

อาหารพระราชทาน “เจลลี่โภชนา” นี้ นอกจากกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งแล้ว คนทั่วไปก็รับประทานได้ เช่น ผู้สูงอายุ ซึ่งไม่มีฟันบดเคี้ยว ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมซึ่งกล้ามเนื้อบดเคี้ยวทำงานไม่ดี ผู้ป่วยผ่าตัดขากรรไกร ซึ่งจะไม่สามารถอ้าปากได้ปกติ ผู้ป่วยระหว่างรับการรักษาทันตกรรมจัดฟัน หรือรักษารากฟันที่เคี้ยวไม่ได้ เนื่องจากเจ็บฟัน ผู้ป่วยที่เป็นแผลในปาก ผู้ที่เป็นหวัดแล้วเจ็บคอ และผู้ป่วยที่สูญเสียฟัน

“โครงการน้ำลายเทียม” น้ำพระทัยเพื่อผู้ป่วยยากไร้
“โครงการน้ำลายเทียม” เป็นอีกหนึ่งโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งสถาบันโภชนาการก็ได้ร่วมกับมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำลายเทียมจากต่างประเทศที่มีราคาแพง โดยแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการผลิตน้ำลาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพในช่องปากที่ดีขึ้น

ศ.ดร.วิสิฐ เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระทัยเรื่องน้ำลายเทียมมากเช่นกัน เพราะพระองค์ก็ทรงใช้น้ำลายเทียม เนื่องจากเสวยพระโอสถรักษาโรคหัวใจ ทำให้น้ำลายแห้ง และทรงเห็นว่า ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าน้ำลายเทียมจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพงมาก ทำให้ผู้ป่วยที่ยากไร้ได้รับความลำบาก อีกทั้งยังมีสารกันบูด ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ป่วย

ขณะเดียวกันก็พบว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีปัญหาต่อมผลิตน้ำลายไม่สามารถผลิตน้ำลายได้ เนื่องจากผลกระทบจากโรคมะเร็งช่องปาก โรคเกี่ยวกับหลอดคอ กล่องเสียง และการกินยารักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ทำให้ต่อมน้ำลายถูกทำลาย ทำให้น้ำลายแห้ง จึงจำเป็นต้องใช้น้ำลายเทียม ซึ่งหากคนไข้ไม่มีน้ำลาย จะกลืนอาหารลำบาก แสบคอ พูดไม่ชัด และทรมานมาก

พระองค์จึงทรงรับสั่งให้สถาบันฯศึกษาวิจัยเรื่องการผลิตน้ำลายเทียม ซึ่งได้มีการวิจัยและผลิตน้ำลายเทียม โดยเป็นน้ำลายเทียมที่ไม่มีสารกันบูด และมีราคาถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศมาก เมื่อนำน้ำลายเทียมที่ผลิตขึ้นมานั้น ไปทดลองใช้กับคนไข้ ก็ปรากฏว่าได้ผลดีมาก

ปัจจุบัน โครงการน้ำลายเทียม ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และได้ผลสัมฤทธิ์เป็นสูตรต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมน้ำลายเทียมชนิดเจล ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ว่า “วุ้นชุ่มปาก (Oral Moisturizing Jelly)” มี 2 รส คือ รสมะนาว และรสสตรอว์เบอร์รี่

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 191 พฤศจิกายน 2559 โดย กองบรรณาธิการ)
กำลังโหลดความคิดเห็น