xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ถึงเวลาปักธง ตั้งเป้า ประกาศศักยภาพ “บนเวทีโลก”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เรือที่ฝ่าคลื่นอยู่กลางมหาสมุทร
จะแล่นถึงฝั่งได้...
กัปตันจะต้องตั้งเป้าหมายไว้ถูกต้อง
และรู้จักควบคุมหางเสือ
ให้เรือแล่นไปไม่ผิดทิศทาง
คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
ก็ต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ตรง ฉันใดก็ฉันนั้น”


คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต อันดับแรกสุดต้องมีเป้าหมายในชีวิต ถ้าไม่มีเป้าหมาย รับรองว่าชาตินี้ไม่วันที่จะประสบความสำเร็จแน่นอน

ลองนึกถึงเรือลำหนึ่งที่ไม่มีหางเสือหรือเข็มทิศ เวลาออกเดินทางไปในมหาสมุทร ก็แล่นไปอย่างไร้จุดหมาย ไปอย่างสะเปะสะปะ แล้วก็อาจจะวกกลับมายังจุดเดิม นั่นเพราะกัปตันไม่มีจุดหมายที่จะไป ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหน

ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เพียงเปลี่ยนจาก “ฝั่ง” มาเป็น “เป้าหมาย” เป้าหมายเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของมนุษย์ และเป็นจุดรวมพลังทั้งหมดของเรา เพราะโลกนี้มีอะไรมากมายที่ต้องทำ แต่ถ้าเราใช้พลังไปกับเรื่องไร้สาระ เราก็จะสูญเสียพลังไป หากรู้จักโฟกัสมาที่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว เราก็สามารถไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าคนอื่น และทำให้ทุกๆวัน “ดูมีค่า น่าสนุก และท้าทาย”

หากในช่วงเวลานี้ เรารู้สึกไม่พอใจกับชีวิตตัวเอง รู้สึกว่าชีวิตวนเวียนอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าไปไหน แล้วก็บ่นกับตัวเอง “เฮ้ย! ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตอย่างนี้ ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ แต่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันล่ะ?” บทความต่อไปนี้จะช่วยตอบโจทย์เราได้

หนังสือถอดรหัสอัจฉริยะ โดย ไมเคิล พาวเวลล์ ถอดความภาษาไทยโดย วนาวรรณ แก้วกำเนิด ระบุข้อมูลทางระบบประสาทวิทยาว่า “สมองเป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่หนัก 3 ปอนด์ ที่มีเซลล์ประสาทกว่า 100 พันล้านเซลล์ และมีระบบเชื่อมต่อกันมากกว่าดวงดาวในจักรวาล ถ้าการเชื่อมต่อของระบบประสาททั้งหมดในเซลล์สมอง ถูกทำให้แผ่ขยายออกต่อๆกันไป ก็อาจจะมีความยาวเท่ากับระยะทางไปกลับระหว่างโลกกับดวงจันทร์เลยทีเดียว”

ดร.วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ เขียนไว้ในหนังสือ “NLP ภาษาสมองมหัศจรรย์” ว่า “คนส่วนใหญ่ถูกจองจำโดยสมองของตนเอง หลายคนติดอยู่กับความคิด ความจำ และเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในอดีต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนกันไปมา ไม่รู้จบ คล้ายกับถูกล่ามโซ่ไว้กับเก้าอี้รถเมล์ โดยมีใครก็ไม่รู้ขับพาไปยังสถานที่เดิมๆ แล้วไม่ยอมจอดให้ลงจากรถตลอดกาล

หากคุณไม่สามารถบอกเส้นทางเดินรถให้ชัดเจนแก่สมองของคุณ มันก็จะแล่นไปเรื่อยๆ แบบเดาสุ่มไร้ทิศทาง ด้วยอำนาจของสมองเอง หรือไม่ก็มีคนอื่นมาบอกเส้นทางมัน ซึ่งจะก่อเหตุที่ไม่พึงประสงค์ต่อจิตใจ อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ของชีวิต”

นั่นหมายความว่า เรามีสมองที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดก็จริง แต่เราต้องกดปุ่มสั่งงานมัน เหมือนทีวีกับรีโมทคอนโทรล ถ้ายังไม่กดปุ่มรีโมท ทีวีก็ยังไม่เปิดแสดงภาพ ชีวิตก็ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เราต้องการอะไร เพื่อให้จิตทำหน้าที่ควบคุมชีวิตให้เป็นไปตามที่เราตั้งเป้าปักธงไว้

ในมงคลสูตรข้อที่ 6 พระพุทธองค์ตรัสแนะนำว่า “ให้ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ตรง” หรือ “ให้ตั้งตนไว้ชอบ” ดังพุทธพจน์ที่ว่า

“จิตของเรานี้ หากตั้งไว้ผิด ก็จะนำความเสื่อมเสียมาให้แก่ตัวเอง ในทางกลับกัน หากตั้งไว้ถูกแล้ว ก็จักนำความเจริญก้าวหน้ามาให้อย่างมากมาย”

ในทางจิตวิทยา จากการค้นคว้าวิจัยอย่างหนักของ “นโปเลียน ฮิลล์” ผู้เขียนหนังสืออมตะขายดีระดับโลก “The Laws Of Success” (กฎแห่งความสำเร็จ) ที่ “บัณฑิต อึ้งรังษี” แปลภาษาไทยออกมาเป็น Audio Book ระบุผลจากการที่ฮิลล์ได้สอบถามเคล็ดลับความสำเร็จของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ในอเมริกากว่า 500 คน ซึ่งได้สรุปออกมาเป็นกฎแห่งความสำเร็จกว่าหลายข้อ แต่กฎข้อแรกของความสำเร็จเหล่านั้นก็คือ การมีเป้าหมายหลักที่แน่นอน

ย้อนหลังกลับไปในยุคต้นพุทธกาล ณ สวนลุมพินี เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะกุมารประสูติออกจากพระครรภ์มารดาได้ครู่หนึ่ง ทรงยืนได้อย่างมั่นคงด้วยพระบาททั้งสอง แล้วหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ จากนั้นทรงดำเนินไป 7 ก้าว แล้วทรงประกาศเป้าหมายออกมาว่า “เราคือผู้เลิศที่สุดในโลก เราคือผู้เจริญที่สุดในโลก เราคือผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป”

จักเห็นได้ว่า พระองค์ทรงประกาศเป้าหมาย พร้อมทั้งประกาศศักยภาพของมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน ตั้งแต่นาทีแรกที่มาถึงโลกมนุษย์!!

มาดูตัวอย่างที่ “สมคิด ลวางกูร” นักคิด นักเขียน และนักการตลาดชั้นเซียน เล่าไว้อย่างสนุกว่า “...ธรรมชาติของการยกของนั้น คนเรามีน้ำหนักตัวเท่าไหร่ ก็จะยกของหนักได้เท่านั้น มีเด็กบ้านนอกคนหนึ่งอายุ 10 ขวบ ฐานะยากจน แต่เด็กคนนี้มีเป้าหมายชีวิต

วันหนึ่งมันเดินเข้ามาที่ร้านยกน้ำหนัก (โรงยิมเพาะกาย) แล้วก็ประกาศว่า “โตขึ้นหนูจะเป็นนักกีฬายกน้ำหนัก หนูจะเป็นนักกีฬาเขต ติดทีมชาติ หนูจะเป็นแชมป์โลก” คนก็หันมามองมันเป็นตัวตลก บางคนบอก “ไอ้เด็กคนนี้มันบ้าหรือเปล่าวะ! มันเพี้ยนหรือเปล่า แหมตัวแค่เนี้ยะ บอกจะเป็นนู่น เป็นนี่”

แต่เด็กคนนี้ตั้งเป้าหมายทุกวัน เป้าหมายของเขาคืออะไร คือ หนูจะยกน้ำหนักเพิ่มวันละ 1 กิโลกรัม เมื่อวานยกได้ 40 กิโล วันนี้มาถึงปุ๊บ! ก็บอกกับทุกคนว่า “วันนี้หนูจะยก 41 กิโล” พอบอกเสร็จก็เข้าไปยกน้ำหนัก 41 กิโลกรัม ครบร้อยครั้งแล้ววาง และบอกกับทุกคนว่า “หนูทำได้แล้ว” เสร็จแล้วมันก็กลับบ้าน ทุกคนในโรงยิมเห็นว่า 41 กิโลเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็ยกได้ บางคนบอก “มันต้องบ้า หรือเพี้ยนแน่ๆเลย”

รุ่งเช้ามันก็มาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน...กระทั่ง 4 ปีผ่านไป ขณะที่คนอื่นๆในโรงยิมยกได้เพียง 47, 48, ไม่เกิน 50 กิโล แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้ยกได้ 100 กิโล ถึงตรงนี้ คนที่เคยดูถูกหัวเราะเยาะ หาว่ามันบ้า ก็หันมาบอก “เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมกูยกได้แค่ 47 กิโลเอง แต่ไอ้เด็กนี้มันยกได้ตั้งร้อยกิโล”

ตอนนี้หลายคนเริ่มเชื่อแล้วว่า มันพูดอะไรแล้วทำได้จริง!!

3 ปีต่อมา คนอื่นๆก็ยังยกได้เพียง 50 กิโลกรัม แต่เด็กคนนี้ยกได้ 110 กิโล ติดทีมชาติ ตอนนี้ทุกคนในโรงยิมแห่กันมาเป็นสาวก อยากมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของเด็กคนนี้ เข้ามาร่วมเชียร์กันเต็มไปหมด

แล้วอีก 4 ปีต่อมา เธอยกได้ 126 กิโลกรัม มากกว่าคนทั้งโลก ผงาดขึ้นไปปักธงอยู่บนเวทีโลก ได้เหรียญทองโอลิมปิก กลายเป็นคนเก่งที่สุดในโลก ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นฮีโร่ เธอพูดอะไรคนฟังกันทั้งประเทศ ชื่อเสียงเงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีเงินสี่ห้าสิบล้านภายในพริบตา เธอคือ “น้องเก๋” ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล (ฟังรายละเอียดเพิ่มเติมในยูทูบ พิมพ์คำว่า กูเกิดมาเพื่อชนะ)…”

เราทุกคนเกิดมาพร้อมศักยภาพอันไร้ขีดจำกัด แต่มันถูกโปรแกรมเอาไว้ให้เชื่ออย่างที่คนอื่นรู้เห็น แต่ความจริงก็คือ เราเป็นได้มากกว่าที่เราคิด

ใครเคยไปเที่ยวทะเลจะรู้ว่า หากมองออกไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือ ภาพท้องฟ้าตัดกับขอบน้ำทะเล ตาเราเห็นอย่างนี้ก็จริง แต่พอแล่นเรือเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่ความจริง ระบบประสาททางด้านการมองเห็น ลวงเราให้เชื่อไปตามภาพที่เห็นนั้น แต่ความจริงคือ แผ่นฟ้ากับน้ำทะเลไม่เคยตัดกัน ไม่มีเส้นใดมาตัดฉากปิดกั้นระหว่างท้องฟ้ากับน้ำทะเล

ศักยภาพของเราก็ถูกลวงไว้ให้เชื่อในสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้แค่นั้น สิ่งสำคัญคือ “เราต้องกล้าตั้งเป้าหมาย ประกาศศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดออกมา”

ถ้าวันนี้เรายังหาเป้าหมายไม่เจอ ไม่เป็นไร แต่บัณฑิต อึ้งรังษี แนะนำว่า “จงตามกลิ่นความสุขของตัวเองไป” อะไรที่ทำแล้วเรารักชอบ มีความสุข และมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ นั่นแหละคือเส้นทางที่จักนำเราไปสู่การตั้งเป้า ปักธงประกาศศักยภาพบนเวทีโลก

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 181 มกราคม 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)
กำลังโหลดความคิดเห็น