ผู้เขียนเพิ่งเดินทางกลับมาจากเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
ตามที่เคยเขียนเล่าไว้ใน “ธรรมลีลา” เมื่อหลายเดือนก่อนว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีธรรมชาติยิ่งใหญ่และงดงาม ทว่าเรียบง่าย แฝงไว้ด้วยสัจธรรมวิถีแบบเซน ดังนั้น ทุกท่านที่เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะฮอกไกโด ย่อมจะประทับใจกับธรรมชาติที่สุดแสนจะสวยงามของแดนปลาดิบ และกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างบ้านต่างเมือง ให้มาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายครับ
แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า เจ้าของเกาะฮอกไกโดที่แท้จริงแล้วคือชาว “ไอนุ” (Ainu) หรือ ไอโนะ ซึ่งมีความหมายว่า “มนุษย์” คุณผู้อ่านจะสังเกตรากอารยธรรมได้จากการตั้งชื่อสถานที่นั้นๆ เพื่อให้สืบค้นหาต้นตอที่มาได้ อย่างบนเกาะฮอกไกโด มักจะตั้งชื่อสถานที่เป็นภาษาไอนุเกือบทั้งสิ้น เช่น ชื่อเมือง “โนโบริเบสสึ” (Noboribetsu) ก็มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาไอนุแปลว่า “สายน้ำแห่งหมอก” ส่วน "อุสึเคชิ" ชื่อเดิมของเมืองท่าเรือ “ฮาโกดาเตะ” (Hakodate) ก็หมายความว่า “อ่าว” ขณะที่เมืองชื่อดังอย่าง “ซัปโปโร” (Sapporo) มีความหมายว่า “แม่น้ำสำคัญไหลผ่านที่ลุ่ม” เป็นต้น
ประวัติศาสตร์ของเมืองฮอกไกโด เพิ่งมีมาประมาณ 140 ปีนี้เองครับ จากการที่เหล่าโชกุนและซามูไรผู้พ่ายแพ้สงครามในสมัยปฏิรูปเมจิ อพยพหนีตายจากเกาะฮอนชู (ฝั่งโตเกียว) ขึ้นมาทางภาคเหนือ ซึ่งก็คือเกาะฮอกไกโด ตั้งรกรากกันจนเกิดการกลืนกินชาติพันธุ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าไอนุขึ้น ผสานกันจนเป็นวัฒนธรรมแบบฉบับญี่ปุ่นในที่สุด
ซึ่งก็ดำเนินไปตามทฤษฎีทางวัฒนธรรมที่ว่า “Culture is dynamic” (วัฒนธรรมมีความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา) จนปัจจุบันแทบจะหาชนเผ่าไอนุแบบดั้งเดิมไม่พบแล้ว ทั้งๆ ที่ชาวไอนุอาศัยอยู่บนเกาะฮอกไกโดมาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 13 ครับ สอดคล้องกับการมีอยู่ของวลีที่ชาวไอนุจารึกเอาไว้บอกต่อลูกหลาน ถึงการตั้งถิ่นฐานกำเนิดของพวกเขาที่ว่า “ชาวไอนุอยู่ที่นี่หลายแสนปีก่อนที่บุตรแห่งพระอาทิตย์จะมา”
ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเกาะฮอกไกโด จึงนิยมมาตามรอยอารยธรรม เพื่อเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อีกด้านของแดนอาทิตย์อุทัย ผ่านหมู่บ้านจำลองของชนเผ่าไอนุ เจ้าของเกาะฮอกไกโดตัวจริงครับ
ชาวไอนุ พื้นฐานเป็นชาวอินเดียนแดงในประเทศญี่ปุ่น สัญลักษณ์อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ชาวไอนุนั้นเป็นชนเผ่าอินเดียนแดง คือ ในหมู่บ้านจะมีเสา "โทเทม" ลักษณะเป็นเสาไม้ท่อนสูงใหญ่ ที่มีการแกะสลักและตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งจะคล้ายคลึงกับชนเผ่าอินเดียนแดงทั่วทุกมุมโลกที่ต่างมีเสา “โทเทม” เช่นเดียวกัน แสดงถึงวัฒนธรรมของชนเผ่าอินเดียนแดงในยุคนั้น ที่มีการถ่ายทอดอารยธรรมถึงกันอย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงครับ
นักมานุษยวิทยาเชื่อว่า ชาวไอนุมีเชื้อสายคอเคซอย หรือชาวผิวขาว ซึ่งเป็นคนละเชื้อสายกับชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เห็นได้จากรูปลักษณ์ของชาวไอนุที่เป็นแบบผสมระหว่างยุโรปกับเอเชีย ชาวไอนุจะมีผิวขาว ขนดก ผมสีดำ และใบหน้าลึกมากกว่าคนญี่ปุ่นทั่วไป ผู้หญิงชาวไอนุในอดีต นิยมสักรอบบริเวณริมฝีปากให้มีสีดำ เมื่อสักรอบปากแล้วเป็นการแสดงว่าพร้อมจะเข้าสู่วัยออกเรือนแล้ว ส่วนผู้ชายจะไว้หนวดเครายาวๆ รูปร่างสูงใหญ่ โดยรวมแล้วชาวไอนุจะมีโครงสร้างทางร่างกายที่ใหญ่โตกว่าชาวญี่ปุ่นค่อนข้างมากครับ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อขัดแย้งในเชิงวิชาการอยู่ว่า แท้จริงแล้วชาวไอนุไม่ได้มีเชื้อสายคอเคซอยแต่อย่างใด
ชนเผ่าไอนุนับถือพระเจ้าครับ คล้ายกับคนญี่ปุ่นในอดีต ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ทั้งต้นไม้ ภูเขา ทะเลสาบ แม่น้ำ และนับถือสัตว์บางชนิดอย่างเช่น นกฮูก ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของชนเผ่าครับ ตอนที่เดินเล่นอยู่ภายในหมู่บ้านไอนุ ผู้เขียนได้สังเกตเห็นว่า มีสัญลักษณ์นกฮูกอยู่มากมายหลายจุด รวมทั้งการนับถือหมีสีน้ำตาล ว่าเป็นสัตว์เทพเจ้า
ปัจจุบันสัตว์ทั้งสองเป็นสัตว์หายาก ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไอนุให้การอนุรักษ์คุ้มครอง และสัตว์อีกชนิดที่ชาวไอนุเชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของพระเจ้า ก็คือเจ้าสุนัขสีขาว หน้าตาน่ารักครับ
ในพิพิธภัณฑ์ของหมู่บ้าน ได้บอกเล่าอดีตชาวไอนุไว้ว่า ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และตกปลา (แน่นอนครับว่าชาวไอนุจะต้องมีการทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าก่อนออกล่าสัตว์ตามความเชื่อ) ปลาแซลมอนถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ชาวไอนุยังได้คิดค้นวิธีการถนอมอาหาร โดยการรมควันแซลมอนตัวใหญ่ๆ ตากแดดเอาไว้เป็นอาหารเมื่อหมดฤดูล่าสัตว์ทะเล ก่อนที่จะเปลี่ยนมาทำฟาร์มในช่วงประมาณศตวรรษที่ 18 ภายหลังงาวะ ผู้สำเร็จราชการที่ส่วนกลางส่งตรงมาบริหาร ได้เริ่มเปิดฟาร์มตามนโยบาย เริ่มนำเรื่องการจัดเก็บภาษีมาใช้ บังคับให้ชาวไอนุโกนเคราและหัดสวมใส่ชุดกิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น นั่นย่อมสะท้อนถึงการรุกคืบและเป็นจุดล่มสลายของอารยธรรมไอนุแล้วครับ
ต่อมาในศตวรรษที่ 19 ทางการญี่ปุ่นได้พัฒนาเกาะฮอกไกโด มีการนำเอาวัฒนธรรมหลักของชาติญี่ปุ่นมาครอบชนเผ่าไอนุมากขึ้น เป็นผลให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ต้องเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลง ชาวไอนุต้องทิ้งร้างเรื่องการประมงและการล่าสัตว์ จนทำให้ปัจจุบัน ชาวไอนุแท้ๆที่ดำรงชีพและยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมนั้น เหลืออยู่ไม่เยอะแล้วครับ
แม้ล่าสุด ในปี 2008 รัฐสภาญี่ปุ่นลงมติเป็นเอกฉันท์ ยอมรับชาวไอนุเป็นชนพื้นเมืองของญี่ปุ่น พร้อมเรียกร้องทุกๆ ฝ่ายให้การสนับสนุนชาวไอนุ เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวไอนุได้รับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจมากขึ้น หลังจากถูกเลือกปฏิบัติจากสังคมญี่ปุ่นมานาน จนทำให้มีรายได้และระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เพราะมีชาวไอนุไม่ถึงร้อยละ 20 ที่จบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้สะท้อนความตั้งใจจริง ในการพัฒนาพื้นที่ฮอกไกโดให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ด้วยการจัดประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 8) บนเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นบ้านของชาวไอนุในปัจจุบัน ที่มีอยู่กว่า 70,000 คน หมู่บ้านของชาวไอนุในบริเวณทะเลสาบอะคัง ได้ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดังที่ผู้เขียนได้มายืนอยู่นี้ และกลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้อาชีพหลักของชาวไอนุ คือ ทำงานไม้แกะสลักและจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองให้กับนักท่องเที่ยวไปแล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบจากการตามรอยอารยธรรมไอนุ เห็นจะเป็นเรื่องการแต่งกายครับ เพราะแม้จะเข้าสู่ยุคครอบงำทางวัฒนธรรมโดยรัฐ โดยเฉพาะการบังคับให้สวมกิโมโน กระนั้นชาวไอนุก็จะมีชุดกิโมโนดีไซน์พื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชนเผ่า ทั้งลวดลาย กระบวนการถักทอ ตลอดจนวัตถุดิบเส้นใยที่ใช้ ก็ได้มาจากมาจากในท้องถิ่นของตนเอง
อีกเรื่องคือการเล่นดนตรีร้องรำทำเพลง ชาวไอนุมีการประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้และเส้นเชือก ทำให้ได้เครื่องดนตรีที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ ส่วนการเต้นรำก็จะมีท่วงทำนองการร้องรำที่เป็นเอกลักษณ์เช่นกัน โดยมีการร้อง “อุโปะโปะ” และการเต้นรำ “ริมุเซะ” เป็นหลัก ที่สำคัญการเต้นรำโบราณของไอนุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2009 ครับ
ในช่วงท้ายของการชมการแสดงของชาวไอนุ มักจะเชิญนักท่องเที่ยวมาเต้นรำด้วย เพื่อเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมร่วมกัน แม้จะเต้นกันไม่ค่อยถูกจังหวะ ร้องเพลงแบบไม่รู้เนื้อหา ทว่าก็สร้างความบันเทิงสนุกสนานประทับใจ ให้กับอาคันตุกะผู้มาเยือนจากต่างวัฒนธรรมได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ
แม้การมาเยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณของชนเผ่าพื้นเมืองไอนุครั้งนี้ จะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเหมือนภาพฝันที่คิดเอาไว้มากนัก นัยหนึ่งเพราะวัฒนธรรมดั้งเดิม ถูกกลืนกินไปเกือบหมด และแทนที่ด้วยวัฒนธรรมใหม่ที่ถูกประดิษฐ์สร้างโดยรัฐ แต่สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับการตามรอยอารยธรรมไอนุ และการท่องเที่ยวเกาะฮอกไกโดของผู้เขียน คือ ความสามารถของชาติญี่ปุ่นในการทำเรื่องธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นขึ้นมา จนหลายชาติต้องเหลียวตามอง
เราต้องยอมรับความสามารถในการสร้างเทรนด์การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และชูจุดขายเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม แม้จะผ่านช่วงที่ขื่นขมจากสงครามมาได้ไม่ถึงร้อยปีก็ตาม จนทุกวันนี้ ญี่ปุ่นกลายเป็นธงไมล์หนึ่งที่นักเดินทางจากทั่วโลก ให้ความสนใจและอยากจะมาปักหมุด ณ แดนปลาดิบให้ได้สักครั้ง
รวมถึงนักท่องเที่ยวไทยในสมัยไร้วีซ่าเข้าญี่ปุ่นเช่นยุคนี้ …
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 177 กันยายน 2558 โดย ผู้อำนวยการโครงการธรรมาภิวัตน์ สถานีโทรทัศน์ NEWS1)