xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มะรุม” แคปซูล กินมากเกินไป เสี่ยงเป็นพิษในร่างกาย
เป็นเพราะมีข่าวว่ามะรุมสามารถรักษาได้สารพัดโรค จึงเกิดกระแสความนิยมบริโภคมะรุมเพิ่มมากขึ้น และมีการบริโภคในปริมาณมากในรูปของผงมะรุม ซึ่งนำใบมาทำเป็นผงแห้งบ้าง หรือนำส่วนของเมล็ดมาทำเป็นผงแห้ง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากการได้รับปริมาณมากเกินไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ รองผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ และคณะ ได้แถลงข่าว เรื่อง “มะรุมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่” ว่า สถาบันโภชนาการ ร่วมกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาคุณสมบัติในการป้องกันและต้านภาวะการอักเสบของมะเร็งลำไส้ใหญ่ของฝักมะรุมต้ม โดยการทดสอบในหนูทดลอง

การวิจัยพบว่า การบริโภคมะรุมเพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรเทาอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยการบริโภคฝักมะรุมในปริมาณมาก ก็ไม่ได้มีผลดีเสมอไป ซึ่งหากเทียบเคียงกับการบริโภคฝักมะรุมในรูปของการนำมาทำเป็นผงแห้ง แล้วใส่แคปซูล บริโภคในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือบริโภคในรูปสารสกัดมะรุมที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งผลในด้านการรักษาหรือป้องกันโรคจะต่างกัน เนื่องจากการนำมาสกัดจะมีสารสำคัญเพียงบางชนิด และอยู่ในรูปของสารเคมีที่มีความเข้มข้น เมื่อกินอย่างต่อเนื่องในปริมาณสูง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นพิษในร่างกาย

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ให้ระวังผลเสียจากการบริโภคฝักมะรุมในปริมาณสูง การบริโภคฝักมะรุมในปริมาณสูง แม้จะมีผลดีต่อการป้องกัน แต่มีผลเสียต่อผู้ป่วย ทางที่ดีควรลดปริมาณการบริโภคในแบบผงเข้มข้น และบริโภคในรูปของอาหารจะเหมาะสมที่สุด

กินเผ็ดอาจช่วยลดความเสี่ยงหลายโรค
เป็นข่าวดีของคนที่ชอบกินแซบๆ

เพราะนักวิจัยของจีนเปิดเผยถึงการศึกษาเรื่องการรับประทานอาหารที่มีพริกเป็นเครื่องปรุง ว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงหลายโรค โดยการศึกษาครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างราว 5 แสนคน อายุระหว่าง 35-79 ปี พบว่า ผู้ที่กินเผ็ดอย่างน้อย 1-2 วันต่อสัปดาห์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 10% เมื่อเทียบกันผู้ที่กินเผ็ดน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง และผู้ที่กินเผ็ด 3-7 วันต่อสัปดาห์ ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตลดลง 14%

นอกจากนี้ ยังพบว่าการกินพริกสดๆ มีแนวโน้มที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเบาหวาน มากกว่าพริกแห้ง

โดยที่ผ่านมามีการศึกษาถึงประโยชน์หลายอย่างที่มีอยู่ในพริก เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านมะเร็ง สารต้านการอักเสบ รวมถึงแคปไซซีน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ รวมทั้งประโยชน์ของพริกที่มีต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ และทำให้ไม่อ้วน

ผลการวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า การกินอาหารรสเผ็ดช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตโดยตรงหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ด้านโภชนาการและปัจจัยการใช้ชีวิตเท่านั้น

รู้ไว้ “วิธีห่างไกลโรคข้ออักเสบ” ทำได้..ไม่ยาก
ใครๆก็เป็นโรคข้ออักเสบได้ ไม่ใช่เฉพาะคนชรา เพราะโรคข้ออักเสบเกิดจากการเสื่อมสภาพตามปกติของข้อต่อ หรือเกิดจากการบาดเจ็บ อักเสบ ติดเชื้อ หรือไม่ปรากฏสาเหตุแน่ชัด

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ได้แนะวิธีปฏิบัติตนให้ห่างไกลโรคข้ออักเสบ คือ ควรนั่ง ยืน เดิน ให้น้ำหนักตัวถ่ายเทไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างสมดุล เช่น ถ้าจะยกของหนักก็ควรใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นพร้อมกัน ใช้ไม้เท้าหรือไม่ค้ำยันช่วยเดิน ไม่ควรใช้มือผลักประตูที่หนาและมีน้ำหนักมาก ควรใช้ตัวผลักเข้าไปแทน หรือถ้าต้องหยิบของที่ตกพื้น ควรใช้วิธีย่อตัวลงและหยิบของโดยรักษาหลังให้ตรงอยู่เสมอ

อย่าใช้มือกำหรือจับอะไรที่ทำให้ข้อต่อนิ้วตึง เช่น เลิกใช้กระเป๋าแบบที่ต้องถือด้วยมือ มาใช้กระเป๋าสะพายแทน และในช่วงที่ทำงานนานๆ ควรพักเป็นระยะ เพื่อยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ที่สำคัญควรออกกำลังโดยการเคลื่อนไหวกลุ่มกล้ามเนื้อใหญ่สัก 15 – 20 นาที ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบื้องต้น การเดิน การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ และการเต้นรำ เพื่อสร้างความแข็งแรงและเสริมความทนทานให้กล้ามเนื้อ

ใช้ชีวิตไม่ดี มีสิทธิ์แก่ก่อนวัย
มีผลวิจัยยืนยันแล้วว่า คนที่ใช้ชีวิตไม่ดี มีสิทธิ์แก่ก่อนวัยจริงๆ

ทีมนักวิจัยจากสหรัฐฯ อังกฤษ อิสราเอล และนิวซีแลนด์ ได้ร่วมกันศึกษาเรื่องนี้ในกลุ่มตัวอย่างราว 1,000 คน ตั้งแต่อายุ 26 ปี และติดตามอีกครั้งเมื่อมีอายุ 32 ปี และ 38 ปี โดยอาศัยเครื่องบ่งชี้ทางชีวภาพ เช่น ความสมบูรณ์ของเส้นเลือด การทำงานของตับไต ระบบการย่อยอาหาร ภูมิต้านทาน และความจำ ฯลฯ เพื่อเปรียบเทียบความชราทางกายภาพหรือตามอายุปฏิทิน กับความชราทางชีวภาพ หรือความสามารถในการทำเรื่องต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหว การทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การยกของหนัก การเดินขึ้นบันได และความจำ เป็นต้น

นักวิจัยพบว่า กระบวนการชราภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน โดยชี้ว่า Lifestyle หรือการใช้ชีวิต เช่น การควบคุมน้ำหนักตัว การไม่สูบบุหรี่ การควบคุมความเครียด การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรักษาระดับวิตามินดีในเลือดไม่ให้บกพร่อง การรับประทานผักผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งลดน้ำตาลและไขมัน เหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยชะลอกระบวนการแก่ชราได้

แพทย์เตือนสัญญาณอันตราย โรคหลอดเลือดหัวใจจากเบาหวาน
คนเป็นเบาหวานฟังไว้..

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เตือนว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมักพบภาวะแทรกซ้อนตามระบบและอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรังจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมีความรุนแรงของโรคมากกว่าคนปกติ

สำหรับสัญญาณอันตรายของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจจากเบาหวานที่ต้องรีบพบแพทย์ อาจสังเกตได้จากอาการแน่นหรืออึดอัดบริเวณกลางหน้าอกข้างซ้ายหรือลิ้นปี่คล้ายอาการจุกเสียด ปวดร้าวที่ท้องแขนด้านใน หน้ามืด วิงเวียน เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่นจะเป็นลมหรือหมดสติ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ (70-110) หรือใกล้เคียงมากที่สุด ด้วยการรับประทานอาหารให้พอดี เว้นระยะห่างของอาหารแต่ละมื้อให้นาน งดเว้นอาหารประเภทหวานๆ หลีกเลี่ยงผลไม้รสหวาน อาหารประเภทแป้งและไขมัน รวมทั้งไขมันจากกะทิ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ออกกำลังกายอย่างน้อย15-30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 ครั้ง งดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยชะลอความเสื่อมของหลอดเลือดหัวใจ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีสุขภาพแข็งแรง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 177 กันยายน 2558 โดย ธาราทิพย์)




กำลังโหลดความคิดเห็น