xs
xsm
sm
md
lg

ชวนคิดชวนทำ : 10 เรื่องดีๆที่น่าเสียดาย หากไม่ทำก่อนตาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เคยรู้สึกเช่นนี้มั้ย เมื่อตอนเป็นเด็ก วันเวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า เราก็มัวสนุกสนานเพลิดเพลินกับวันเวลา จนลืมคิดที่จะทำอะไรดีๆให้ตัวเอง แต่เผลอแป๊บเดียว เราก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเวลากลับวิ่งจี๋ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนแทบจะไมได้ทำอะไรดีๆให้กับชีวิตยามที่ยังมีลมหายใจ

เพราะฉะนั้น คราวนี้เราจะชวนคุณมาทบทวนกันดูว่า มีเรื่องอะไรบ้าง ที่เราควรทำในวันนี้และเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียดาย หากตายแล้วไม่ได้ทำ เพราะชีวิตคนเราสั้นนัก และไม่มีใครรู้วันตายของตัวเอง

1. คว้าโอกาสทอง
ไม่บ่อยครั้งนักหรอก ที่จะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต และเมื่อมันได้เข้ามาแล้ว ก็ต้องคว้าไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป

โอกาสทองของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เช่น บางคนอยากไปเที่ยวต่างประเทศ แต่หาเวลาว่างไม่ได้ หากมีโอกาสทองเข้ามาแล้วไม่รีบไป บางทีชาตินี้อาจจะไม่ได้ไปก็ได้ แล้วก็จะมานั่งเสียใจภายหลังที่พลาดโอกาสดีๆไป

2. มองโลกในแง่ดี
คนที่เกิดมาแล้วโชคร้าย ไม่ใช่คนพิการ หรือคนยากจน แต่เป็นคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้ายต่างหาก เพราะการมองโลกในแง่ร้ายจะก่อให้เกิดความทุกข์ทางใจ เกิดความเครียด ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย จนเกิดโรคต่างๆตามมามากมาย

แต่อาวุธชั้นดีที่ใช้ต่อสู้กับความเครียดอย่างได้ผล คือ การมองโลกในแง่ดี เพราะฉะนั้น จงฝึกตัวเองให้มองเห็นด้านดีของสิ่งต่างๆ คุณก็รู้แล้วว่า “เหรียญมีสองด้าน” เพราะโลกนี้ชีวิตนี้ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด ความดีงามความงดงามของสรรพสิ่งรอบกายยังมีอยู่ ขอเพียงเปิดตาปรับใจมองด้วยความรู้สึกดีๆ คุณก็จะได้เห็นอย่างแน่นอน

3. มีความสุขกับปัจจุบัน
แม้บางครั้งเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายจะทำให้เสียน้ำตาบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตมีทั้งทุกข์และสุขหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่มีใครทุกข์ตลอดไป เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสุขตลอดไป นี่แหละที่เรียกกันว่า รสชาติของชีวิต

หากไม่ปรารถนารสชาติของชีวิตที่มีแต่ความขื่นขม มากกว่าความหอมหวาน วิธีดีที่สุดคือการเตรียมตัวรับมือกับอนาคต คือ ต้องก้าวผ่านอดีตไปให้ได้ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเราจะได้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตอย่างมีความสุข

4. แบ่งปันความรัก
คาลิล ยิบราน นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวว่า “ความรัก คือ ดอกไม้ที่เติบโตและเบ่งบานโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของฤดูกาล”

ดังนั้น เมื่อความรักของคุณเบ่งบาน อย่าเก็บไว้ชื่นชมเพียงคนเดียว จงแบ่งปันความรักอันสวยงามนั้นให้ผู้อื่น มากเท่าที่จะมากได้ แล้วคุณก็จะได้รับดอกไม้แห่งความรักที่เบ่งบานหอมหวานกลับคืนมาเช่นกัน

5. รู้จักกตัญญูกตเวที
พุทธศาสนาสอนว่า “ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี”

“กตัญญู” คือ การรู้จักพระคุณที่ผู้อื่นทำแก่เรา ส่วน “กตเวที” คือ การตอบแทนพระคุณ

การกตัญญูกตเวทีต่อบุคคล เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ได้ทำคุณแก่เรา รวมทั้งการรู้จักคุณและตอบแทนคุณต่อสรรพสัตว์สรรพสิ่ง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แม่น้ำลำคลอง แผ่นดินถิ่นเกิดถิ่นอาศัย ฯลฯ ก็จะทำให้เครื่องหมายของคนดีนี้ติดตัวไปจนวันตาย

6. เอ่ยคำ “ขอโทษ”
แม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่มีหลายคนที่ในชีวิตนี้ ไม่เคยเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” จนกระทั่งตายจากกันไป เพราะถือศักดิ์ศรีว่า คนขอโทษคือคนแพ้

แต่จริงๆแล้ว การขอโทษเป็นการล้างใจของกันและกัน ในยามที่ได้ทำผิดต่อกัน คนที่กล้าเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” ไม่ใช่ผู้แพ้ แต่คือผู้ชนะอย่างแท้จริง เพราะนั่นคือการชนะใจตัวเองที่งดงาม

7. มีความงามภายในจิตใจ
มีคำสอนโบราณบอกไว้ว่า “คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน”

เพราะความงดงามไม่ได้อยู่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น หากแต่อยู่ลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะดำเนินไปด้วยดี หากมีความงามในจิตใจเป็นพื้นฐานที่ดีของชีวิต ซึ่งเป็นความงามที่ไม่มีวันโรยรา ดีกว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่นับวันก็เสื่อมสลายไป

8. เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง
สังเกตดูว่า “มือของผู้ให้ย่อมอยู่สูงกว่ามือของผู้รับ” เสมอ เพราะการเป็นผู้ให้ย่อมดีกว่าการเป็นผู้รับ การเป็นผู้ให้แสดงถึงจิตใจอันสูงส่งที่พร้อมหยิบยื่นสิ่งดีๆให้ผู้อื่น และหากเป็นการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นั่นคือการเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง

สิ่งที่จะให้ไม่ใช่เพียงแค่วัตถุสิ่งของ แต่การให้ความรู้ต่างๆ ให้ธรรมะ และการให้อภัย เป็นการให้ที่ได้บุญมาก และเป็นสุขทุกครั้งที่ได้ให้

9. ใช้ชีวิตในทางที่ดี
หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ เคยสอนไว้ว่า “คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ที่ดี” ย่อมทำให้ชีวิตนี้มีเรื่องดีๆเข้ามา ซึ่งน่าเสียดายที่หลายคนไม่ได้ทำเช่นนี้ก่อนตาย มารู้ตัวเมื่อถึงวาระสุดท้ายว่า “ถ้าย้อนเวลาไปได้ ฉันจะใช้ชีวิตในทางที่ดีกว่านี้” แต่เวลาก็ไม่อาจย้อนคืนมา

10. ศึกษาธรรมะ
คำสอนของทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี และวิธีที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข ดังนั้น หากมีเวลาก็ควรศึกษาคำสอนในศาสนาของตน แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ตนเอง

อย่ารอจนกว่าจะถูกหามเข้าวัด นอนฟังพระสวด เพราะตอนนั้นก็หมดโอกาสทำอะไรดีๆซะแล้ว

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 167 พฤศจิกายน 2557 โดย ประกายรุ้ง)
กำลังโหลดความคิดเห็น