• ญี่ปุ่นขุดพบเศษกระเบื้องหลังคา เชื่อมโยงพระจีนในวัดโบราณ
ญี่ปุ่น : สถาบันโบราณคดีแห่งเมืองคาชิฮารา จังหวัดนารา ประเทศญี่ปุ่น เผยว่าได้ขุดพบเศษกระเบื้องหลังคาลวดลายลูกคลื่น ที่เชื่อกันว่าใช้ตกแต่งวัดโตโชไดจิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นวัดที่สร้างในปี 759 โดยพระเจี้ยนเจิ้น ภิกษุจีนที่เดินทางเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงศตวรรษที่ 8
โดยพบเศษกระเบื้องหลังคา 65 ชิ้น ภายในพื้นที่ขุดสำรวจของวัดโตโชไดจิ ที่อยู่ระหว่างศาลาการเปรียญและกุฏิเก่า “เป็นไปได้ว่า บรรดาพระสงฆ์ได้สร้างแท่นเล็กๆ เพื่อบูชารูปพระเจี้ยนเจิ้นในกุฏิ โดยตกแต่งแท่นบูชาด้วยหลังคากระเบื้องลวดลายลูกคลื่น เพื่อเป็นการรำลึกถึงภิกษุต่างแดน ที่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา” ฟูมิโนริ ซุกายา ผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าว
เศษกระเบื้องดังกล่าว เคลือบด้วยสีเขียว ขาว และน้ำตาล ซึ่งเป็นสีที่ใช้ทำเครื่องเคลือบเซรามิกแบบ “นารา ซั
ไซ” (นารา 3 สี) ซึ่งแพร่หลายในยุคนารา (710-784) และยุคเฮอัง (794-1185) ที่ทำเลียนแบบเครื่องปั้นดินเผาซานฉ่าย (3 สี) ของจีนในยุคราชวงค์ถัง (618-907)
อนึ่ง พระเจี้ยนเจิ้น (688-763) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า พระกันจิน มีชื่อเสียงในเรื่องความเพียรพยายามถึง 6 ครั้ง ในการเดินทางจากจีนไปญี่ปุ่น เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนสำเร็จในปีค.ศ.753 ท่านได้ตั้งรกรานในเมืองนารา จวบจนวาระสุดท้ายในปี ค.ศ. 763
จากบันทึกข้อเขียนในยุคเฮอัง ชี้ว่า พระเจี้ยนเจิ้นจำวัดที่กุฏิไดวาโจ ภายในวัดโตโชไดจิ ซึ่งรูปของท่านยังคงตั้งแสดงภายในกุฏิหลังมรณภาพ
(จาก The Asahi Shimbun)
• ทึ่ง...เสียงสวดมนต์ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าว
จีน : เป็นที่ทราบกันดีว่า ดนตรีแต่ละประเภทนั้นส่งผลต่ออารมณ์ของผู้ฟังแตกต่างกันไป แต่คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยคิดว่า เสียงดนตรีก็ส่งผลต่อพืชได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน โดยเฉพาะเสียงเพลงสวดมนต์
บรรดาชาวนาในหมู่บ้านเหลียงซาน มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน นำลำโพงรูปทรงดอกบัว 500 ตัว มาติดตั้งตามจุดต่างๆในพื้นที่นาข้าว 162 ไร่ แล้วเปิดเสียงดนตรีในพุทธศาสนา อาทิ เสียงสวดมนต์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ นาข้าวให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 15% เมล็ดข้าวมีขนาดใหญ่ขึ้น และปลอดแมลงศัตรูข้าว
นักวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติจีน บอกว่า คลื่นเสียงบางชนิด เช่น เสียงจากการท่องมนตรา ทำให้เกิดการสั่นรัว ซึ่งจะช่วยให้รูขุมขนบนใบไม้ดูดซับแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น แต่ต้องเป็นเสียงดนตรีด้านบวกเท่านั้นที่จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ ขณะที่ดนตรีร็อกอาจส่งผลเสียต่อต้นข้าว
(จาก Buddhistdoor)
• “ระฆังสวดมนต์” แรงบันดาลใจ นักวิจัยออกแบบแผ่นโซลาร์เซลล์
อังกฤษ : ระฆังสวดมนต์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ก่อให้เกิดเสียงดังกังวานนั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ ดร.นิราช ลัล นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) นำมาออกแบบสร้างแผ่นโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ขึ้น
ดร.ลัล ซึ่งสำเร็จหลักสูตรปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ค้นพบว่า ระฆังสวดมนต์ใบเล็กๆ สามารถสร้างเสียงกังวานสะท้อนได้ ดังนั้น การประดิษฐ์แผ่นโซลาร์เซลล์ขนาดย่อส่วน ก็ช่วยกักเก็บแสงอาทิตย์ได้เช่นกัน
“แผ่นโซลาร์เซลล์มาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบัน มักสูญเสียพลังแสงอาทิตย์จำนวนมากเมื่อมันตกกระทบบนแผ่นเซลล์ ทำให้การสร้างกระแสไฟฟ้าไม่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าแผ่นเซลล์มีรูปทรงเหมือนระฆังสวดมนต์ จะทำให้แสงสะท้อนหมุนวนอยู่ภายในเซลล์ยาวนานขึ้น”
ดร.ลัล เผยว่า แผ่นโซลาร์เซลล์ระฆังนาโนที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ให้ประสิทธิภาพสูงถึง 4 เท่าของแผ่นเซลล์เรียบในห้องทดลอง และเมื่อผลิตจากสารซิลิคอน ทำให้มีประสิทธิภาพ 25% หากนำแผ่นเซลล์เรียบที่ทำจากวัสดุแตกต่างกัน มาวางซ้อนกัน จะสามารถจับแนวสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ (แถบแสงสีที่เกิดขึ้นเมื่อให้แสงอาทิตย์ผ่านปริซึม) ได้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ดร.ลัลและทีมงานกำลังคิดหาวิธีนำแผ่นเซลล์ระฆังนาโนมาวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแผ่นโซลาร์เซลล์ให้ดียิ่งขึ้น
(จาก Gizmag)
• ไต้หวันปรับเกณฑ์จัดสรรอวัยวะ เอื้อประโยชน์ญาติผู้บริจาครับสิทธิก่อน
ไต้หวัน : ศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งไต้หวัน ประกาศปรับเกณฑ์การจัดสรรอวัยวะให้แก่คนไข้ที่รอรับการปลูกถ่าย หากผู้ใดมีคู่สมรสหรือญาติถัดไป 3 ลำดับที่เคยบริจาคอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ จะได้รับสิทธิจัดสรรก่อน
“เกณฑ์ใหม่นี้ ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่า ไต้หวันเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องจริยธรรมและกฎหมาย แต่ยังเป็นชาติแรกในโลกที่ให้สิทธิพิเศษแก่ครอบครัวของผู้บริจาคอวัยวะ ที่จะได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะก่อนคนไข้อื่นๆในทะเบียนผู้รอ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศในการพัฒนาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ” ลี โปชาง ประธานศูนย์ฯ กล่าว
ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่นี้ คนไข้สามารถเลื่อนการรอไปอยู่ในลำดับต้นๆได้ หากมีคู่สมรสหรือญาติห่างออกไปถึง 3 ลำดับเคยบริจาคอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ป่วยที่ถูกข้ามไปนั้นต้องไม่อยู่ในสภาวะป่วยหนัก
ญาติลำดับแรก ได้แก่ บิดามารดา บุตร ลำดับที่สอง ได้แก่ ปู่ย่าตายาย พี่น้อง และลำดับที่สาม ได้แก่ ทวด ลุง ป้า น้า อา หลาน เหลน
“มีผู้บริจาคอวัยวะเพียง 200 กว่ารายโดยเฉลี่ยต่อปีในไต้หวัน ทำให้มีความต้องการอวัยวะสูง 40-175 เท่าของยอดบริจาค” ลี กล่าว โดยหวังว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้อาจช่วยสนับสนุนให้มีการบริจาคอวัยวะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ เกณฑ์ใหม่นี้มีผลย้อนหลังในทันที โดยบุตรชายคนโตของนางเชา ลีชวน หญิงชราวัย 77 ปี จะได้รับประโยชน์ดังกล่าว เนื่องจากนางเคยบริจาคอวัยวะของบุตรชายคนเล็กที่เสียชีวิตกะทันหันเมื่อ 5 ปีก่อน
“พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฉันมีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมื่อบุตรชายคนสุดท้องของฉันเสียชีวิต ฉันนึกถึงบรรดาคนไข้ที่กำลังรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ จึงตัดสินใจว่า การบริจาคอวัยวะของเขาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งฉันไม่เคยคิดเลยว่า การตัดสินใจครั้งนั้น จะส่งผลดีต่อบุตรชายคนโตของฉัน ซึ่งป่วยด้วยโรคไต ทำให้เขาได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่ได้เร็วขึ้น” นางเชา กล่าว
(จาก Taipeitimes)
• อินเดียริเริ่มบรรจุหลักสูตรทำสมาธิในโรงเรียน
อินเดีย : รัฐบาลท้องถิ่นรัฐมหาราษฎระ ประเทศอินเดีย ได้ริเริ่มโครงการใหม่ที่มีชื่อว่า “Mitra Upakram” (Mitra แปลว่า การฝึกจิตให้มีสติ และมีความหมายว่า “เพื่อน” ในภาษามราฐีและฮินดี) เปิดสอนการทำสมาธิอานาปานสติ แก่นักเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษา 25 ล้านคน เพื่อลดความเครียด พัฒนาจิตใจให้สงบ และฝึกการไม่ใช้ความรุนแรง
อานาปานสติ คือการทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ สอนให้ผู้ปฏิบัติใช้การหายใจเข้าถึงสภาวะจิต ด้วยการเพ่งไปที่ลมหายใจเข้าและออกที่จมูก เพื่อช่วยปลดปล่อยจิตจากความวิตกกังวล ไร้สมาธิ โกรธ เกลียด สงสัย เกียจคร้าน โลภ และหงุดหงิด เมื่อจิตเป็นอิสระจากสิ่งไม่ดี ผู้ปฏิบัติจะมีสมาธิดีขึ้น รู้สึกดีกับตัวเอง และรู้สึกเห็นอกเห็นใจสรรพชีวิตทั้งหลาย
ทั้งนี้ กองการศึกษาแห่งรัฐมหาราษฎระ ได้ตัดสินใจนำโครงการทำสมาธินี้ บรรจุในหลักสูตรการเรียนเพื่อช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียน โดย ดร.ชรีดาร์ สาลันกี ผู้อำนวยการกองการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ให้ความเห็นว่า “ปัจจุบัน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและเด็กมีน้อยลง ส่งผลต่อการเรียนและพฤติกรรมของเด็ก เราตั้งชื่อโครงการนำร่องนี้ว่า “Mitra Upakram” เพราะจะทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในหมู่นักเรียนเพิ่มขึ้น และช่วยให้พวกเขายอมรับทุกๆคนเป็นเพื่อน เด็กๆจะมีสติมากขึ้น รู้วิธีจัดการสถานการณ์ต่างๆ และควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน”
โดยเริ่มต้นให้นักเรียนฝึกทำสมาธิอาปานสตินาน 70 นาที จากนั้นจึงลดเวลาลงเป็น 10 นาทีในตอนเช้าก่อนเข้าเรียน และ 10 นาทีในตอนบ่ายหรือเย็นก่อนเลิกเรียน ซึ่งครู อาจารย์ใหญ่ และเจ้าหน้าที่โรงเรียน จะร่วมทำสมาธิไปด้วย
ขณะที่เว็บไซต์ของเจดีย์วิปัสสนาสากล ได้เรียกร้องให้มีการนำสมาธิอาปานสติไปปฏิบัติในระดับนานาชาติ “โรงเรียนทุกแห่งในอินเดียและทั่วโลก ควรนำโครงการ Mitra Upakram ไปใช้ และบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อเด็กในวันนี้ ซึ่งจะเติบโตเป็นประชากรโลกในวันข้างหน้า”
(จาก Buddhistdoor)
• ชาวจีนฉุน..พระเจิมรถปอร์เช่
จีน : เมื่อเร็วๆนี้ เกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่สาธารณชนชาวจีน ต่อเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในมณฑลหูเป่ย์ ซึ่งนักธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์คนหนึ่ง ได้ขับรถปอร์เช่คันใหม่ของเขาไปยังวัดเซียวกัน และถวายเงินแด่พระสงฆ์ เพื่อให้เจิมรถเป็นสิริมงคลในการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยแนวโน้มการถวายเงินพระสงฆ์ให้เจิมทรัพย์สินราคาแพงนั้น กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศจีน
ชาวจีนกลุ่มนี้ระบุว่า พิธีเจิมรถขัดต่อวินัยในพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน ที่ห้ามพระสงฆ์รับเงินทอง และสิ่งของมีค่า เพราะเป็นเหตุให้เกิดความโลภและความเสื่อมในจิตวิญญาณ
ทั้งนี้ มีผู้วิจารณ์ถึงตัวนักธุรกิจด้วยว่า “เขาอาจร่ำรวย แต่คงมีคนสงสัยว่า เขาหาเงินมาได้อย่างไร เพราะสิ่งที่เขาทำนั้น แสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งสติปัญญา สิ่งที่เขาควรทำคือ ขับขี่อย่างระมัดระวังเพื่อไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”
ขณะที่บรรดาพระสงฆ์ได้ออกมาโต้ตอบเสียงวิจารณ์ดังกล่าวว่า พวกตนไม่ได้ทำอะไรผิด และการเจิมรถถือเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีสงฆ์
(จาก Buddhistdoor)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 167 พฤศจิกายน 2557 โดย เภตรา)