xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ : จิตเป็นอิสระ เพราะปล่อยวางได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความรู้หรือสติปัญญาที่ควบคุมจิตอยู่เป็นประจำ จะเป็นเครื่องอ่านออกทั้งภายนอกภายใน ที่จะมีอะไรเกิดขึ้นมาอย่างไร ไม่ว่าเรื่องจำเรื่องคิด ที่ประกอบไปด้วยทุกข์โทษก็จะต้องรู้สึกได้ และพินิจพิจารณาปล่อยวางออกไป แล้วจิตจะได้ไม่วุ่นวาย หรือเป็นกลาง วางเฉยอยู่ได้ตามปกติ เมื่อเกิดยึดถืออะไรขึ้นมา จะได้เป็นการอ่านออกว่า มันวุ่นวายเดือดร้อนเท่าไร

ฉะนั้น เรื่องการควบคุมจิตใจด้วยสติปัญญา จึงมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะเผลอไปเล็กๆน้อยๆ ก็เห็นทุกข์เห็นโทษ แล้วที่เผลอไผลไปยึดมั่นถือมั่นมากมายก็ยิ่งเป็นทุกข์เป็นโทษใหญ่ การมีสติควบคุมเอาไว้ได้เป็นปกตินี้ ทำให้ดับทุกข์ ดับกิเลสได้ในชีวิตประจำวัน ไม่มีเรื่องปรุงแต่งทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ เป็นการอยู่อย่างสงบ แม้จะกระทำกิจการอะไร ก็ทำด้วยความสงบของจิตที่ไม่แส่ส่าย

การประพฤติปฏิบัติประจำวันเช่นนี้ จึงเป็นการดับทุกข์ดับโทษภายในตัวเองได้ แต่ก็ต้องพินิจพิจารณาสอบเข้าข้างในอีก เพราะการเป็นปกติภายนอกนี่มันขั้นหนึ่ง แล้วก็ต้องมองเข้าไปข้างในให้รู้ว่า จิตใจยังมืดมิดอยู่กับอะไร จึงยังไม่รู้แจ้งชัดเจนภายใน

นี่ก็ต้องรู้สึกได้ว่า ลักษณะของโมหะที่ห่อหุ้มอยู่อย่างไร แล้วเราจะพินิจพิจารณาเข้าไปได้อย่างไร ล้วนแต่เป็นข้อคิดของตัวเองที่จะต้องมองดูให้ทั่วถึง และรู้จักลักษณะของอารมณ์ที่ปรุงแต่งดีชั่วเหล่านี้ แม้ว่าส่วนหยาบๆ มันไม่ปรุง แต่ก็เป็นการจำการคิดขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว ถ้าเราไม่รู้เท่า มันก็ขยายตัวหยาบ

ฉะนั้น เรื่องการควบคุมจิตด้วยการมีสติ จะต้องพินิจพิจารณาประกอบให้แยบคายอยู่เสมอ ไม่ให้ไปหยิบฉวยอะไรขึ้นมา รู้แล้วก็ปล่อยวางไป จิตจะได้อยู่ในลักษณะเป็นกลางวางเฉยได้ แล้วก็พิจารณาควบคุมเอาไว้ประกอบกับการเพ่งดู เพราะการเพ่งดูเข้าข้างในเป็นของสำคัญ

ที่เพ่งเข้าไปแล้วมักจะไม่ได้เรื่อง เพราะมันมองเข้าไปไม่ได้ ความวางเฉยมีมากเกินไป คือไปเฉยๆเมยๆ เป็นการไม่รู้อะไรเป็นอะไร จึงต้องพินิจพิจารณาประกอบให้รู้แยบคายให้ได้ ทั้งปรากฏการณ์ของความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดๆดับๆ หรือความรู้สึกที่เป็นความสุขทุกข์ก็ดี ถ้าเราไม่ไปสนใจกับมัน มันก็ดับไปตามธรรมชาติ

ทีนี้การที่จะควบคุมสติให้ติดต่อทุกอิริยาบถจำเป็นจะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วมันไม่รู้ การฝึกสติสัมปชัญญะให้มีการทรงตัวของจิต ที่มีความปกติเป็นพื้นอยู่แล้ว ก็จะพิจารณาได้ในการเคลื่อนไหวของความรู้สึก หรือเพ่งพินิจพิจารณา มิฉะนั้นแล้วไม่รู้

ถ้าไม่รู้เรื่องของกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่รู้สึกเกิดดับอยู่นี่ มันเป็นของดูไม่ง่ายนัก แต่ก็ต้องพิจารณาดูให้เห็นว่า กายที่เป็นเครื่องอาศัยของเรือนร่าง ที่มันเสื่อมและชำรุดทรุดโทรมอยู่อย่างไร ต้องกินต้องถ่ายอยู่อย่างไร นี่ต้องพิจารณาอยู่เสมอ

การพิจารณาให้เห็นความเป็นธาตุของร่างกายทั้งหมด จึงต้องทำในใจให้มาก แม้ขณะที่ร่างกายเป็นปกติ คือยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่มันก็ยังเพลินๆอยู่ ทีนี้เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาก็มีความทุกข์เกิดขึ้น แล้วมันจะมีการดิ้นรนกระวนกระวาย และคิดแก้ไขไปตามอาการของโรคที่เกิดขึ้น

ข้อนี้ต้องพินิจพิจารณาประกอบเอาไว้ด้วย ทั้งๆที่จะต้องแก้ไขเยียวยามันไปตามหน้าที่ แต่ให้เห็นความเป็นธรรมชาติของมันว่า รูปนามหรือร่างกายทั้งหมด มีความเปลี่ยนแปลงเป็นทุกข์ไปตามเรื่องของมัน ฉะนั้น จึงต้องพิจารณาให้รู้จริง จะได้คลายจากความกอดรัดยึดถือว่า เป็นตัวเราเป็นของของเรา ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่นักหนา

ถ้าเราไม่หมั่นพิจารณาให้รู้แล้ว มันยากเหมือนกัน เพราะมันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เรื่อย ถ้าเราหมั่นพิจารณาและปล่อยวางออกไปได้ จะมีความรู้สึกว่า ภายในจิตมีความว่างความสงบได้ตามสมควร แม้จะมีทุกข์กายทุกข์ใจจนน้ำตานองหน้าก็ตาม

แต่ความรู้สึกของจิตที่มองเห็นชัดลงไปว่า นี่มันเป็นการแสดงออกของธรรมชาติ ที่เปลี่ยนแปลงและเป็นทุกข์อยู่ในตัวของมันเอง มิวันหนึ่งวันใดก็แตกแยกทำลายกลายเป็นธาตุไปทั้งหมด ก่อนที่มันจะแตกแยกต้องพิจารณาให้รู้เรื่องว่า ร่างกายทั้งหมดนี้มันไม่คงทนถาวร แล้วก็ไม่ใช่ตัวเราจริงจัง เป็นแต่เรือนร่างที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น

แล้วพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนี้มันมากมายนัก ทั้งๆที่อยู่ดีกินดี แต่มันก็ยังมีทุกข์ที่เนื่องกับกายหรือเนื่องกับจิต เพราะความยึดมั่นถือมั่น

แล้วร่างกายที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ ก็ต้องกินต้องถ่าย ยืน เดิน นั่ง นอน เปลี่ยนอิริยาบถอยู่เป็นประจำทุกวันทุกเวลา จะต้องพิจารณาดูให้ดีว่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ มันเรื่องของทุกข์ทั้งนั้นใช่หรือเปล่า แต่นี่เพราะมีความประมาทเพลิดเพลินไป จนกระทั่งไม่รู้สึกว่า เรือนไฟมันไหม้ลุกโพลงๆ ด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เพราะฉะนั้น การอยู่ชนิดที่งมงาย หรือยึดมั่นถือมั่น จึงเป็นการอยู่ของคนโง่ ต้องพิจารณาให้รู้ขึ้นมาให้ได้ แล้วจะได้มองเห็นความเป็นธรรมชาติ คือรูปก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเราของเราเหนียวแน่นเกินไป มันจะไม่เกิดทุกข์ซ้อนทุกข์ขึ้นมาอีก

เมื่อพิจารณาอยู่เป็นประจำแล้ว จิตก็จะเป็นอิสระขึ้นมาได้ เหมือนกับอาศัยอยู่ในเรือนร่างที่จะต้องอาศัยไปตามหน้าที่ แต่จิตนี่มันไม่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจัง มันคลายออกไปแล้ว เพราะได้พิจารณาเห็นความจริงอยู่ทุกขณะ แล้วความเป็นอิสระของจิตก็เรียกว่ามันไม่มีทุกข์ แต่ขณะไหนที่มันไปยึดถืออะไรขึ้นมา ก็เป็นทุกข์ขึ้นในขณะนั้น

ขอให้สังเกตดูว่า ขณะที่จิตเป็นปกติว่าง วางเฉยอยู่นี่ ยังไม่มีทุกข์มีโทษอะไร แต่ถ้าเผลอสติไปยึดมั่นถือมั่นเข้าเมื่อไร มันก็มีทุกข์มีโทษขึ้นมาทันที

จึงต้องมีการสังเกตและพิจารณาว่า ชีวิตที่มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ต้องมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่มองเห็นธรรมชาติ เป็นการอ่านตัวเองว่า ลักษณะความทุกข์ของรูปนาม มันก็อยู่ตามเรื่องตามราวของมัน แต่จิตที่เป็นอิสระได้ ว่างได้ สงบได้ ต้องสนใจกันที่นี่

ถ้าไม่มองให้เห็นความจริงอย่างนี้แล้ว จะต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกมากมาย แล้วมันจะออกไปยึดถือข้างนอกแผ่กว้างออกไปทุกที ทีนี้ให้มันหยุดมารู้ตัวเอง ดับความปรุงแต่งที่เคยปรุงมาสลับซับซ้อนเดี๋ยวนี้ ให้มันเลิก มันหยุด แล้วก็ไม่เอาอะไร เรียกว่าเป็นการอยู่นิ่งๆ คือว่าไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องคิดอะไรมาก แม้จะต้องใช้ความคิดในการทำประโยชน์อะไรบ้าง ก็ใช้มันไปตามหน้าที่ แต่ความยึดมั่นภายในมันคลายออกไปมากทีเดียว

ถ้ามีการพิจารณาประกอบอยู่แล้ว ล้วนแต่จะคืนคายถ่ายถอนออกไปทุกที เหมือนกับเรามีโรค เมื่อเรากินยาเข้าไป ก็ไปดับไปทำลายโรคให้เบาบางได้ แต่โรคกิเลสตัณหาภายในจิตใจมันเป็นของลึกของละเอียด จะต้องพินิจพิจารณาให้รู้แยบคาย และปล่อยวางออกไป จิตนี้จะเป็นอิสระได้ ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องยึดถืออะไร

(จากส่วนหนึ่งของการสอนปฏิบัติธรรมวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2515)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 161 พฤษภาคม 2557 โดย ก.เขาสวนหลวง สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง จ.ราชบุรี)
กำลังโหลดความคิดเห็น