xs
xsm
sm
md
lg

คิดเป็นเห็นทาง : พิการเพียงกาย แต่หัวใจแกร่งเกินใคร ฟิลิป ครัวซง หนุ่มพิการชาวฝรั่งเศส ว่ายน้ำข้ามทวีปทั่วโลกได้สำเร็จ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฟิลิป ครัวซง (Philippe Croizon) พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า ถึงจะพิการแขนขา แต่เขาก็ว่ายน้ำข้ามทวีปสำเร็จดังใจปรารถนา

เมื่อหนุ่มพิการชาวฝรั่งเศสวัย 46 ปีผู้นี้ ประกาศเป้าหมายว่า เขาจะว่ายน้ำข้ามทวีปทั่วโลกให้สำเร็จ สายตาที่มองกลับคงไม่พ้นปนแววสบประมาท แต่เขาไม่เคยย่อท้อ

ลำพังว่ายน้ำข้ามทวีปทั่วโลก จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้ แต่เขานี่แหละเป็นหนึ่งในนั้น และทำได้สำเร็จแม้จะพิการแขนขาทั้งสี่ข้าง

ทำได้อย่างไรกัน จะต้องทุ่มเทฟันฝ่าขวากหนามสักเพียงใด ชีวิตเขาคงมีเรื่องราวน่าสนใจให้ได้ติดตาม

วันที่ชีวิตพลิกผัน

ฟิลิป ครัวซง ไม่ได้พิการแต่กำเนิด แต่มาสูญเสียแขนขาในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ตอนนั้นเขาอายุ 26 ปี ทำงานรับจ้างเป็นช่างโลหะอยู่ที่ Fonderie du Poitou เมืองวีน ประเทศฝรั่งเศส มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น กำลังมุ่งมั่นสร้างฐานะอันมั่นคงให้ลูกชายและภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง

วันที่ 5 มีนาคม 2537 ได้เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล วันนั้นเขาวางบันไดโลหะพาดกับหลังคาบ้าน เพื่อปีนขึ้นไปเปลี่ยนสายอากาศโทรทัศน์ ขณะยืนบนบันไดก็ได้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร สายไฟที่อยู่ใกล้ๆ จึงพากระแสไฟแรงสูงแล่นผ่านตัวเขาและบันไดลงสู่ดินอย่างรวดเร็ว ครัวซงนิ่งตรึงอยู่กับที่บนนั้นนานถึง 20 นาที กว่าเพื่อนบ้านจะมาพบและแจ้งหน่วยบรรเทาสาธารณภัยให้นำตัวลงมา

เขาเล่าว่า ในขณะที่กำลังถอดสายอากาศออกจากหลังคา มือได้ไปแตะถูกสายไฟฟ้าเข้า

“ผมถูกไฟฟ้าช็อต 2 ครั้ง ครั้งแรก 20,000 โวลต์ น่าจะทำให้ตายทันทีแล้วนะ แต่ช็อตครั้งที่สองทำให้ผมมีชีวิตฟื้นคืนมา จนกระทั่งนักผจญเพลิงมาถึง ขณะที่ภรรยาและลูกชายของผมได้แต่มอง ทำอะไรไม่ถูก”

เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลในเมืองตูร์ แพทย์ตัดแขนข้างซ้ายตรงเหนือข้อศอก แขนข้างขวาต่ำกว่าข้อศอก จากนั้นตัดขาข้างขวาเหนือหัวเข่า เพราะแพทย์คิดว่าจะรักษาขาข้างซ้ายของครัวซงไว้ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องถูกตัดออกไปด้วย

เขาพูดถึงความรู้สึกตอนนั้นอย่างหมดหวังว่า “หมดสิ้นทุกอย่างแล้ว”

เพราะเป็นใครก็คงต้องรู้สึกอย่างนั้น ใครเล่าจะไม่วิตกว่า หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พิการอย่างนี้แล้วจะดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างไร ยังจะตั้งความหวังอะไรได้อีกหรือ ทุกอย่างดูยุ่งยากและสับสน

“กว่าผมจะฟื้นก็ผ่านไป 2 เดือน ตอนนั้นแขนขาทั้งสี่ถูกตัดออกแล้วพันแผลไว้มิดชิด ต้องพักอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ผมมีทางเลือก 2 ทางที่ต้องตัดสินใจ คือ จะอยู่ต่อ หรือไม่ก็ตายไปซะ

แต่ในที่สุด ผมเลือกที่จะอยู่ต่อ กับสภาพร่างกายในขนาดใหม่ที่มีเหลืออยู่แค่นี้ เพื่อเจเรมี่ลูกชายอายุเจ็ดขวบของผม กับเกรกอรี่ที่เพิ่งออกมาดูโลก หลังจากผมเกิดอุบัติเหตุได้สองสามเดือน”


ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ครัวซงได้ดูสารคดีทางโทรทัศน์เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งว่ายน้ำข้ามช่องแคบมหาสมุทร จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำตามบ้าง

“ไม่มีแขน ไม่มีขา ก็ไม่เป็นปัญหานี่นะ” หนุ่มพิการพ่อลูกสองคิด

เขาต้องการทำเรื่องท้าทายนี้ให้สำเร็จ “เพื่อตัวผมเอง ครอบครัวผม และเพื่อนๆ ของผมที่บังเอิญโชคร้ายสูญเสียรสชาติบางส่วนของชีวิตไป”

การเตรียมตัวว่ายน้ำข้ามทวีป

หลังออกจากโรงพยาบาล และพักฟื้นจนแข็งแรงแล้ว ครัวซงก็เริ่มฝึกฝนการว่ายน้ำอย่างหนักวันละมากกว่า 5 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 35 ชั่วโมง โดยฝึกกับ Maritime Gendarmerie ซึ่งเป็นหน่วยงานตำรวจทางทะเลของฝรั่งเศส ที่ทะเลใกล้เมืองลา โรแชล

เขาพยายามทดลองออกแบบขาเทียมแบบพิเศษสำหรับช่วยให้ว่ายน้ำได้หลายๆแบบ มีตีนกบอยู่ตรงปลาย ใช้สวมเข้ากับตอขาส่วนที่เหลืออยู่ อวัยวะเทียมนี้ทำมาจากคาร์บอนและไททาเนียม ราคาสูงถึงชุดละ 12,000 ปอนด์ (ประมาณ 645,000 บาท)

บิดาของครัวซงเล่าว่า ถ้าลมฟ้าเป็นใจ ลูกชายของเขาจะทำเวลาได้ดีกว่าที่คาด และเคยมีปลาโลมา 3 ตัว ว่ายน้ำเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ๆ ด้วยชั่วขณะหนึ่ง

“เรามองว่ามันเป็นสัญญาณแห่งความโชคดี” เจอราด ครัวซง ผู้เป็นพ่อบอก

ตลอดระยะเวลาที่ฝึกหนัก เขาได้รับจดหมายให้กำลังใจจากนักการเมืองระดับชาติ รวมถึง “นิโคลา ซาโกซี” ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในขณะนั้นด้วย ในช่วงที่เขาสามารถว่ายน้ำจากเมืองท่านัวร์มูติเยร์ไปถึงฝั่งปอร์นิค ของฝรั่งเศส โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง

ภารกิจพิชิตฝัน

แม้จะถูกตัดแขนขาจนแทบไม่มีเหลือ เขาก็ไม่คร่ำครวญจมจ่อมอยู่กับชะตากรรมอันโหดร้าย หากแต่เผชิญความจริงด้วยความเข้มแข็งและกล้าหาญ ความพิการทางร่างกายเพียงแค่นี้ ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างฝัน ต้องมุมานะฝึกฝนต่อสู้กับความยากลำบากต่อไป เพราะเขาเชื่อว่าถ้ามีความตั้งใจจริง ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง

ครัวซงเคยฝันอยากเข้าร่วมแข่งขันว่ายน้ำผ่านช่องแคบอังกฤษ แล้วในที่สุดวันที่ 18 กันยายน 2553 ฝันก็เป็นจริง ขณะที่อายุได้ 42 ปี เขาว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ ใช้เวลาไม่ถึง 14 ชั่วโมง โดยเริ่มว่ายออกจากโฟล์คสโตน เวลา 6.35 น. ไปถึงแหลมกรีเน เวลา 20.13 น. รวมระยะทาง 34 กิโลเมตร

เขาเล่าหลังจากว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จว่า รู้สึกว่าตัวเองบาดเจ็บ แต่ยังมั่นใจว่าจะทำสำเร็จ

“ผมทำได้แล้ว มันบ้าจริงๆ” ครัวซงพูดด้วยความดีใจสุดขีดกับสถานีวิทยุฟรานซ์อินโฟ เขาคาดหวังด้วยว่า นี่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการพิชิตข้อจำกัดของคน

ครัวซงว่ายน้ำได้เกือบ 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช้ากว่าสถิติของนักกรีฑาชายฉกรรจ์ทั่วไปเพียงเล็กน้อย ที่ว่ายได้ชั่วโมงละ 4 ถึง 5 กิโลเมตร

หนุ่มพิการพ่อลูกสองไม่หยุดฝันเพียงแค่นั้น เขาได้รู้จักกับอาร์โนด์ ชาสเซรี่ นักว่ายน้ำทางไกลร่วมชาติ ชาสเซรี่เป็นทั้งเพื่อนร่วมทางและผู้ฝึกฝนทักษะการว่ายน้ำให้กับครัวซง เป็นคู่หูนักว่ายน้ำที่มักเข้าร่วมแข่งขันรายการต่างๆด้วยกันตลอด

ทั้งคู่ร่วมกันคิดวางแผนว่ายน้ำข้ามทวีปต่างๆ 5 ทวีปทั่วโลก เพื่อพิชิตความฝันที่ตั้งเป้าเอาไว้ และต้องการสื่อให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า แม้กายจะพิการ แต่หัวใจไม่ได้พิการตาม

วันที่ 24 เมษายน 2555 เว็บไซต์เทเลกราฟรายงานว่า ครัวซงประกาศโครงการใหม่ตามแผนการว่ายน้ำข้ามทวีปดังกล่าว ร่วมกับชาสเซรี่ เริ่มต้นที่ทวีปออสเตรเลียมาทวีปเอเชีย โดยออกจากประเทศนิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินีจนถึงอินโดนีเซีย ต่อด้วยการว่ายข้ามทะเลแดง (เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและแอฟริกา) ช่องแคบยิบรอลตาร์ (เชื่อมต่อระหว่างทวีปแอฟริกาและทวีปยุโรป) และปิดท้ายที่ช่องแคบเบริง (เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา) โดยคาดการณ์เอาไว้ว่า การเดินทางว่ายน้ำรอบโลกในครั้งนี้ จะเสร็จสิ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน

ครัวซงว่ายน้ำตามแผนช่วงแรก ข้ามจากทวีปออสเตรเลียไปทวีปเอเชียได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2555 คือจากปาปัวนิวกินีถึงประเทศอินโดนีเซีย เป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเจ็ดชั่วโมงครึ่ง โดยมีชาสเซรี่ว่ายน้ำร่วมทาง พร้อมกับเซต แทมป้า ชาวนิวกินีที่คอยว่ายน้ำให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วย

เดือนมิถุนายน เขาว่ายน้ำผ่านทะเลแดงที่มีฝูงปลาฉลามชุกชุมได้สำเร็จ โดยเริ่มจากประเทศอียิปต์ไปถึงประเทศจอร์แดน เป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง

จากนั้นได้ว่ายน้ำผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ จากเมืองทาริฟา ประเทศสเปน ไปยังดินแดนใกล้เมืองแทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ได้สำเร็จในเดือนกรกฎาคม ระยะทางมากกว่า 14 กิโลเมตร ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง

แล้วภารกิจสุดท้ายก็มาถึง ครัวซงและชาสเซรี่ว่ายน้ำผ่านช่องแคบเบริง ซึ่งอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือได้สำเร็จ โดยพวกเขาเริ่มต้นว่ายจากเกาะลิตเติ้ลดีโอเมเด้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ข้ามเส้นแบ่งวันสากลมาจนถึงเกาะบิ๊กดิโอเมเด้ เขตชายแดนประเทศรัสเซีย

ตอนแรกพวกเขาวางแผนจะว่ายน้ำในวันที่ 13 สิงหาคม 2555 หรือประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากวันครบรอบ 25 ปีที่นักว่ายน้ำสาว ลินน์ ค็อกซ์ สร้างประวัติศาสตร์ว่ายน้ำผ่านช่องแคบเบริงได้เป็นคนแรกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2530

แต่ก็ต้องเลื่อนกำหนดไป เนื่องจากมีพายุเข้าเร็วกว่าปกติ แต่พอลมเริ่มสงบในวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ทะเลก็มีคลื่นสูงอีก จึงต้องเลื่อนไปจนบ่ายคล้อย พวกเขาจึงว่ายข้ามช่องแคบเบริงได้สำเร็จ ระยะทาง 4.3 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที ท่ามกลางหมอกหนาทึบ สายลมแรง สายน้ำเชี่ยวกราก และเย็นยะเยือก

“ครั้งนี้เป็นครั้งหนักหนาที่สุดในชีวิตผม น้ำเย็นเฉียบ อุณหภูมิเพียง 4 องศาเซลเซียส กระแสน้ำก็แรงมาก แต่เราก็ทำสำเร็จ”

ครัวซงจึงเป็นคนที่สองต่อจากลินน์ ค็อกซ์ ที่ว่ายน้ำผ่านช่องแคบเบริงได้สำเร็จ และเป็นคนพิการคนแรกที่ทำได้ด้วย ทำให้เขาปิดฉากโครงการว่ายน้ำข้ามทวีปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในเวลาเพียง 100 วัน นับจากวันที่ได้ประกาศโครงการนี้

แรงบันดาลใจของเพื่อนผู้พิการ

หลังจากอุบัติเหตุไฟดูด ที่เขาต้องถูกวางยาสลบและรับการผ่าตัดเป็นเวลารวมถึง 100 ชั่วโมง ในที่สุดชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไปอย่างคนพิการ ต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ เพื่อดำรงชีวิตที่รอดมาได้

เมื่อชาวฝรั่งเศสคิดถึงเขา จะคิดถึง “ฟิลิป ครัวซง” ในฐานะผู้เป็นแบบอย่างของความกล้าหาญและบากบั่น และยังเป็นต้นแบบตัวตนจริงของคนพิการที่สามารถมีอนาคตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ไม่เพียงได้พิสูจน์ศักยภาพให้ประจักษ์ตา เพื่อปกป้องคุณค่าของตัวเองเท่านั้น ครัวซงยังคิดถึงคนพิการอื่นๆด้วย เขาบอกว่า ต้องการเป็นแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้คนพิการอื่นๆ เกิดความเชื่อมั่นและมีกำลังใจว่า คนพิการก็ทำได้

“ผมบอกพวกเขาว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ อะไรๆก็ทำได้ ถ้าคุณตั้งใจมุ่งไปข้างหน้า ข้ามพ้นตัวคุณเองให้ได้ คนเราเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการ ไม่ว่าจะอยู่ในทวีปไหนก็ตาม”

เขาเขียนหนังสือเรื่อง “J'ai decide de vivre” (I decided to live) โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ถ่ายเสียงพูดเป็นข้อความเขียน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้ต่อสู้มา 12 ปี และความสนใจที่กลับมาทุ่มเทให้กับการดำน้ำ ซึ่งเป็นกีฬาโปรดอีกครั้ง

หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของใจที่กล้าแกร่งและการมองโลกในแง่ดี ที่เป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

เขาเขียนในบทบรรณาธิการของหนังสือนี้ว่า “ผมอยากจะสลัดทิ้งความจริงจากเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตผมและคนรอบข้างไม่เหมือนเดิม แต่บอกได้เลยว่า ถึงจะเป็นเรื่องน่าตกใจและน่ากลัว แต่ชีวิตก็ยังสวยงาม และชีวิตก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป...

นี่เป็นเรื่องจริงของคนพิการคนหนึ่งที่จะอยู่กับข้อเสียเปรียบนี้อย่างไร อธิบายให้เห็นว่า ผมตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความรักและมีอารมณ์ขันอย่างไร พรรณนาทุกสิ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ หรือที่ต้องขอบคุณความพิการของผมอย่างไรบ้าง”


ครัวซงยังสร้างความมั่นใจแก่คนพิการอีกครั้ง ด้วยการกระโดดร่มชูชีพจากเครื่องบินลงสู่พื้น ดังที่เป็นข่าวดังไปทั่วเมื่อปี 2550

นอกจากนี้ เขายังประกาศเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของโครงการเพื่อคนพิการ (HandiCap sur le Monde) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการเชื่อมต่อประสานระหว่างประชากรในแต่ละทวีป และแสดงให้เห็นว่า ความพิการไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำสิ่งยากๆ ให้สำเร็จ

สิ่งท้าทายที่เขาพิชิตได้นั้น แม้ยากที่จะเข้าใจว่า ทำได้อย่างไร แต่ก็ทำให้โครงการนี้น่าประทับใจ และปลุกเร้าความปรารถนาที่จะทำอย่างดีที่สุด เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่คนพิการ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่ต้องดำรงชีวิตต่อไป และใช้มันตามความสามารถและโอกาสของเรา

“ผมสนับสนุนโครงการ HandiCap sur le Monde ทั้งด้วยแรงกายและแรงใจ ผมว่าแนวคิดริเริ่มโครงการนี้ไม่ธรรมดา เรามีคนหนุ่มสองคนอุทิศตนช่วยเผยแพร่โครงการ และเป็นปากเสียงแทนผู้คนทั่วโลกที่อยู่ในสภาพร่างกายพิการ”

เสียงของครัวซงช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ได้มากจริงๆ แม้ว่าภารกิจว่ายน้ำข้ามทวีปทั่วโลกจะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังจดจำนับถือในความหาญกล้าและใจที่ไม่ย่อท้อของเขาอยู่

เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 มีคนใจพิการลักขโมยรถเข็นไฟฟ้าของเขาไป และเพียงไม่กี่วันข่าวนี้ก็เผยแพร่ผ่านสื่อและทวิตเตอร์ไปทั่วโลก

ครัวซงบอกว่าเสียใจ “ผมไม่รู้ว่าคนพวกนี้รู้ตัวหรือเปล่า ว่าทำอะไรไป เขาไม่ได้เอาไปแต่ตัวรถเข็นของผม แต่ยังเอาชีวิตที่เป็นตัวตนของผมไปด้วย”

แน่นอนว่า คนแขนขาพิการ เมื่อขาดรถเข็น ชีวิตก็เหมือนสิ้นหวังที่จะได้ดำเนินไปเฉกเช่นคนปกติ สำหรับเขา ใจที่แกร่งย่อมไม่ย่อท้อต่อขวากหนามการดำเนินชีวิตอีกครั้งที่จะต้องก้าวผ่าน

หากแต่ยังได้แสดงให้เห็นว่า หนึ่งเสียงจากปากของเขาได้บอกกล่าวแทนผู้พิการร่างกายทั้งหลายให้ผู้คนปกติเข้าใจ เป็นเสียงจากหัวใจผู้พิการที่พิสูจน์ตัวเองจนสำเร็จแล้วว่า สามารถใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนแขนขาดีๆ แม้ในสิ่งที่ยากเย็นและคนแขนขาดีๆทำไม่ได้ แต่ด้วยใจเกินร้อย คนพิการอย่างเขาก็ทำได้

ต้องปรบมือดังๆ เป็นกำลังใจให้กับชายพิการที่มุ่งมั่น กล้าหาญ มีจิตใจงดงามและแบ่งปันผู้นี้ “ฟิลิป ครัวซง”

• คำสอนของพระพุทธองค์ “บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร”

เพราะตัวความทุกข์เองมีคุณสมบัติ ที่พร้อมจะคลี่คลายเป็นความสุข ในลักษณะความทุกข์อยู่ที่ไหน ความสุขก็อยู่ที่นั่นประการหนึ่ง

และอีกประการหนึ่งก็คือ ความทุกข์สามารถเปลี่ยนเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้ค้นพบความสุขที่ยิ่งใหญ่ ทั้งความสุขส่วนบุคคล ความสุขส่วนรวมระดับมนุษยชาติ และความสุขสูงสุด คือพระนิพพานอันเป็นสภาวะสิ้นทุกข์โดยสมบูรณ์

(จากหนังสือ ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย โดย ว.วชิรเมธี)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 161 พฤษภาคม 2557 โดย วิรีย์พร)









กำลังโหลดความคิดเห็น