• ขอวิธีสวดสะเดาะเคราะห์
ปุจฉา : กราบเรียนหลวงปู่ ดิฉันอยากทำเรื่องสะเดาะเคราะห์ให้ลูกชาย แต่ตอนนี้ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศ อายุกำลังเข้าเบญจเพส หมอดูเคยบอกว่าจะมีเคราะห์
ดิฉันจึงอยากขอคำแนะนำจากหลวงปู่ ในเรื่องของการสวดสะเดาะเคราะห์ ไม่ทราบว่าจะทำวิธีใดคะ
วิสัชนา :
ฉันไม่เคยทำเรื่องสวดสะเดาะเคราะห์ เคยทำแต่เรื่องนพเคราะห์ สวดนพเคราะห์ คือ สวดรับเทวดา
ส่วนเรื่องสะเดาะเคราะห์ สวดยังไง มันก็ยังไม่ดี ถ้าตัวเองไม่ทำดี เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ได้ดี ก็พยายามทำดี เดี๋ยวเคราะห์มันก็หมดเอง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า ทำไม่ดี แล้วต้องมาเข้าพิธี แล้วจึงจะได้ดี อย่างนั้นไม่ใช่
ที่ถูกคือ ทำไม่ดี ก็ต้องแก้สันดาน นิสัย เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ให้เป็นคนทำดี พูดดี คิดดี บอกลูกชายให้ทำดีเยอะๆ ทำดีมากๆ ขยัน เป็นประโยชน์ต่อสังคมคนรอบข้าง เดี๋ยวเคราะห์ก็หมดเอง
• อยากพ้นทุกข์
ปุจฉา : หลวงปู่คะ เมื่อโลภ โกรธ หลง เป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ เราจะมีวิธีการเจริญสติอย่างไร จึงจะพ้นทุกข์คะ
วิสัชนา :
โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่สาเหตุของความทุกข์อย่างเดียว แต่มันมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย แล้วก็มีความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เป็นสาเหตุของความทุกข์
ทีนี้ โลภ โกรธ หลง มันเป็นทุกข์จร เพราะว่ามันเป็นแขกแปลกหน้า แต่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ มันเป็นทุกข์ประจำนะ เช่น นั่งนานไปก็เป็นทุกข์ ยืนนานไปก็เป็นทุกข์ กินมากไปก็เป็นทุกข์ ไม่ได้กินก็เป็นทุกข์
ทุกข์ประจำเหล่านี้ เราชินชากับมัน เราอยู่กับมันจนกลายเป็นความคุ้นเคย แล้วคบมันเป็นเพื่อนสนิท จริงๆแล้วมันเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ แล้วเราก็ไปให้น้ำหนักกับความทุกข์ที่ได้มาจาก รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งทุกข์อย่างนั้นมันเป็นทุกข์นอกบ้านนะ
ทุกข์ในบ้าน ก็คือที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ร่างกายเรามันเสื่อมลงๆ หิวก็เป็นทุกข์ กระหายก็เป็นทุกข์ ร้อนก็เป็นทุกข์ หนาวก็เป็นทุกข์ นี่มันทุกข์ในบ้าน ทุกข์ที่เกิดมีอยู่ประจำ อยู่ตลอดเวลา เกือบทุกลมหายใจเข้าออก ทุกข์อย่างนี้มันยิ่งใหญ่มาก
แต่ รัก โลภ โกรธ หลง นี่ อย่างรัก ถ้าไม่มีคนให้รัก มันจะเป็นทุกข์ทำไม ถูกมั้ย มันก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ ส่วนโลภมันไม่มีอะไรจะไปโลภ ก็ไม่ต้องทุกข์อีก แล้วถ้าไม่มีใครมายั่วให้โกรธ ก็ไม่ต้องทุกข์ เห็นมั้ย.. มันเป็นทุกข์นอกบ้าน เพราะฉะนั้น อย่าไปใส่ใจทุกข์นอกบ้านมากกว่าทุกข์ในบ้าน
แล้วการที่จะรู้จักทุกข์ในบ้านให้ได้มาก ก็ต้องรู้จักชีวิต การเรียนรู้ชีวิตเรา มันทำให้เราเข้าใจว่า เราทุกข์ เราเสื่อม แล้วความทุกข์มันมีอยู่เป็นอาจิณ เราต้องแก้ไขมันอย่างไร แล้วก็อยู่กับมันอย่างไร แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันครอบงำเรา จนกลายเป็นว่า เราไม่มีอิสระในการดำรงชีวิตหรือไม่ ต้องหาวิธีคิดกับมัน เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชาที่อยู่ทั้งภายในแล้วก็ภายนอก
หลวงปู่เขียนบทโศลกไว้บทหนึ่งว่า “ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นกิเลส แต่คนโง่โดนกิเลสใช้ โลภ โกรธ หลง มันก็จะครอบงำเรา”
สรุปแล้ว ความโลภดีถ้าฉลาด อย่างที่เรามีตึกรามบ้านช่อง มีเสื้อผ้าใส่ นี่โลภมั้ย โลภทั้งนั้นแหละ มันเกิดจากอะไร ก็มันเกิดจากตัณหา ความทะยานอยาก ทีนี้ ถ้าเราฉลาด เราก็จะบริหารตัณหา ความอยาก บริหารความโลภ บริหารความโกรธ บริหารความหลงได้ เราก็ทำตามเหตุตามปัจจัย สำคัญที่สุด คือ สติปัญญา ทำยังไงก็ได้ ให้ฝึกสติปัญญาให้ได้มากๆ
• กายรวมใจแล้วเกิดหดหู่เศร้าหมอง
ปุจฉา : ผมอยากจะทราบว่า ถ้าทำจิตรวมกายแล้ว มันเกิดความรู้สึกเศร้า หดหู่ แบบนี้เกิดจากอะไร และแก้ไขได้อย่างไรครับ
วิสัชนา :
อืม.. มันมีคำว่า นิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อหน่าย แต่มันไม่หดหู่นะ มันจะคลายกำหนัด แต่ที่มันหดหู่ มันไม่น่าจะเป็นนิพพิทาญาณ มันน่าจะเป็นอารมณ์สิ้นหวัง เขาเรียกขาดทุนอารมณ์ ไม่ได้ดั่งใจหวัง ไม่สมปรารถนา มันไม่น่าจะเป็นการที่กายรวมใจได้ คงจะต้องดูว่า เป็นอารมณ์อะไรที่แทรกอยู่ระหว่างกายรวมใจ
เพราะถ้ากายรวมใจจริงๆ มันมีแค่ตัวรู้เฉยๆ แต่ถ้ามันมีอารมณ์เข้ามาร่วมนี่ แสดงว่าไม่ใช่กายรวมใจ
กายรวมใจมันมีแค่ตัวรู้ ความเป็นไปภายในกายตน แต่ถ้ามีอารมณ์ปรากฏ นี่ก็ต้องเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ต้องค้นหาให้ได้ว่า อะไรปรากฏขึ้นในจิต สุข ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอะไรบ้างที่ปรากฏขึ้น เป็นกุศล เป็นอกุศล หรืออัพยากฤตจิต อย่างนี้เป็นต้น ต้องวิเคราะห์ให้ได้
ส่วนที่เป็นกุศล คือ กุศลชนิดใด ส่วนที่เป็นอกุศล คือ อกุศลชนิดใด ต้องค้นหา ต้องสืบเสาะ
แต่ถ้ากายรวมใจเฉยๆ มันก็เป็นกระบวนการที่มีตัวรู้เฉยๆ โดยไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ใดๆ คือ เรียกว่าไม่มีเจตสิก เครื่องปรุงจิตใดให้ปรากฏขึ้น อย่างนี้เขาเรียกว่า กายรวมใจ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)