xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แพทย์คอนเฟิร์มทำสมาธิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การฝึกทำสมาธิช่วยให้คลื่นสมองไม่ยุ่งเหยิง สมองจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีภูมิต้านทานโรคที่มีประสิทธิภาพ

มีผลงานวิจัยในต่างประเทศระบุว่า การทำสมาธิจัดเป็นยาอายุวัฒนะที่อยู่ใกล้ตัวของแต่ละบุคคล เนื่องจากจะส่งผลให้สุขภาพกายและสุขภาพใจดี ทำให้ใจอยู่ในอารมณ์สงบ ร่างกายจะได้รับการพักผ่อนไปด้วย และจะทำให้บุคคลนั้นใจเย็นขึ้น มีความมั่นคงทางใจ จิตใจเข้มแข็งไม่ถูกกระทบได้ง่าย เผชิญกับปัญหาโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ประการสำคัญ ผลการวิจัยยังพบว่า การทำสมาธิยังทำให้อัตราการใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลดลงร้อยละ 17 อัตราการเต้นของหัวใจลดลงนาทีละ 3 ครั้ง แสดงว่าหัวใจจะแข็งแรง ลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ช่วยให้ร่างกายเสื่อมน้อยลง ทำให้หน้าตาของผู้ทำสมาธิอ่อนกว่าวัย และอายุขัยจะยืนยาว

“กระบองเพชร” ป้องกันรังสีจากจอคอมฯ

เป็นที่ทราบกันดีว่า แสงจากหลอดไฟโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ จะส่งผลต่อสายตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุตาและแสบตา จนถึงปวดศีรษะและอาเจียน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดโรคต้อกระจกเร็วกว่าเดิม หรือเกิดปัญหาจอประสาทตาเสื่อม

มีงานวิจัยจากต่างประเทศพบว่า หนามของกระบองเพชรดูดรังสีจากโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ยิ่งกระบองเพชรที่มีหนามมากก็น่าจะดูดรังสีได้มาก การนำต้นกระบองเพชรมาตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ จึงสามารถช่วยลดรังสีที่แผ่ออกมาได้

เรื่องนี้จักษุแพทย์ไทยบอกว่า การที่กระบองเพชรสามารถดูดรังสีได้ น่าจะเป็นเพราะว่า สีเขียวของพืชมีคลอโรฟิลล์ดูดกลืนแสงได้ดี ฉะนั้น กระบองเพชรมีสีเขียว จึงมีโอกาสดูดซับรังสีจากคอมพิวเตอร์ได้บางส่วน แทนที่จะกระจายให้ผู้ใช้โดยตรง

รู้อย่างนี้แล้ว คนที่นั่งหน้าจอทั้งหลาย น่าจะหากระบองเพชรมาตั้งไว้สักต้น เพราะเลี้ยงง่าย แถมได้ประโยชน์อีกต่างหาก

วิตามิน D อาจช่วยให้อยู่รอดจากมะเร็งเต้านม

การศึกษาที่ผ่านมาบอกว่าวิตามิน D อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคกระดูกหัก และภาวะซึมเศร้าได้ ล่าสุดงานวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่มีวิตามิน D สูงในเลือด มีแนวโน้มที่จะอยู่รอดจากโรคนี้ได้มากกว่าผู้ป่วยที่มีวิตามิน D ต่ำในเลือด

ศาสตราจารย์เซดริก เอฟ การ์แลนด์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โรงเรียนแพทย์ซานดิเอโก ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเรื่องนี้ในวารสารการวิจัยเพื่อต้านมะเร็ง โดยการศึกษาครั้งนี้ทำในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม 4,443 คน ในระหว่างปี 1966 – 2010 พบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมซึ่งมีวิตามิน D สูงในเลือด มีอัตราการตายลดลง 50% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีระดับวิตามิน D ต่ำ

ทั้งนี้ วิตามิน D คือวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการควบคุมการดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระดูก โดยหลักๆแล้วร่างกายได้รับวิตามิน D จากดวงอาทิตย์ รวมทั้งอาหารบางอย่าง เช่น น้ำมันตับปลา ไข่ นม กุ้ง ปลาตัวเล็ก และอาหารเสริม

เตือนแนวโน้มผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้น แนะลดกินเค็ม-หวาน-มัน

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า สาเหตุที่ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคไตวาย เกิดมาจากโรคเบาหวานมากอันดับ 1 รองลงมาคือโรคความดันโลหิตสูง และไตอักเสบจากโรคนิ่ว ซึ่งหากป่วยทั้งโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานพร้อมกัน จะทำให้เกิดไตวายได้เร็วกว่าป่วยเป็นโรคเดียว เนื่องจากทั้ง 2 โรคนี้ทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงไตเสื่อม

ผลสำรวจล่าสุดทั่วประเทศ ปี 2555 พบประชาชนป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ประมาณ 6 แสนคน คาดว่าแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคือ ลดกินเค็ม ลดกินหวาน และอาหารมัน รวมทั้งการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย บอกว่า การบริโภคอาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมสูง โดยเฉพาะจากเครื่องปรุงรสเค็ม ได้แก่ เกลือ น้ำปลา กะปิ ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส ผงชูรส และผงปรุงรสต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภคอาหาร นิยมอาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูป รวมทั้งอาหารนอกบ้าน จากการสำรวจปริมาณอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียมคลอไรด์ของประชากรไทย ปี 2551 พบว่า มีการบริโภคโซเดียมคลอไรด์สูงเกินปริมาณแนะนำถึง 2 เท่า

ป่วยโรคอ้วนเสี่ยงตาบอด!!!

พญ.โสมสราญ วัฒนะโชติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา จากมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชน บอกว่า นอกจากโรคอ้วนจะส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเกิดโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ แล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยตาบอดได้ โดยก่อนหน้านี้ ผลการวิจัยของสถาบันไกเซอร์ ได้ยืนยันกับเรื่องนี้ว่า การป่วยเป็นโรคอ้วน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันในโพรงสมองสูง ซึ่งจะมีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ มองไม่ชัด จนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นตาบอดได้

แม้โรคอ้วนจะเป็นโรคที่ส่งผลกระทบให้เกิดโรคอื่นตามมาอย่างน่าตกใจ แต่สิ่งที่สำคัญสุด คือ เรื่องโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค ที่ต้องตระหนักถึงสารอาหารที่ครบถ้วนทั้งผัก ผลไม้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับมื้ออาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม ซึ่งคือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะต้องมาแก้ไขปัญหาปลายเหตุ

ระวัง 6 โรคหน้าร้อน ติดต่อจากอาหารและน้ำ

ในช่วงหน้าร้อนของทุกๆปี อุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า โรคติดต่อในช่วงนี้ที่พบบ่อยมี 6 โรค คือ อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ อุจจาระร่วง ไทฟอยด์ บิด และไวรัสตับอักเสบ เอ 

ส่วนนพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า โรคติดต่อที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน เช่น อาหารที่ปรุงดิบๆสุกๆ มีแมลงวันตอม หรือทำไว้ล่วงหน้านานๆ อาหารค้างคืน รวมทั้งการมีสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ไม่ดี เช่น ไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหารหรือหลังเข้าห้องน้ำ การใช้ช้อนหรือแก้วน้ำร่วมกับผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการ

จึงขอให้ยึดหลักป้องกันก่อนป่วยคือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน ใช้ช้อนกลางตักอาหารร่วมกัน ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม ทำความสะอาดครัวปรุงอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุก

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย ธาราทิพย์)





กำลังโหลดความคิดเห็น