xs
xsm
sm
md
lg

ศึกฟิล์ม 5 พันล้าน จากกันรอยสู่ถนอมสายตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หนึ่งในอุปกรณ์เสริมที่สำคัญของทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในเวลานี้คงหนีไม่พ้นฟิล์มกันรอยที่แต่เดิมจะเห็นว่ามุ่งเน้นไปที่การป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอโทรศัพท์ รวมไปถึงกันกระแทก แต่ล่าสุดได้เพิ่มพื้นที่เข้ามาสู่ตลาดสุขภาพที่เน้นในเรื่องการถนอมสายตา

โดยคาดว่ามูลค่าของตลาดฟิล์มกันรอย ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งในตลาดอุปกรณ์เสริมมือถือ มีมูลค่ารวมเฉียดๆ 5,000 ล้านบาท ประกอบกับช่วงที่ผ่านมายังถือเป็นช่วงที่มีอัตราการเติบโตของสมาร์ทโฟนในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเครื่องรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำตลาด และการทำโปรโมชันเชิญชวนให้ลูกค้าย้ายค่ายของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ยิ่งทำให้ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายอมรศักดิ์ แดงแสงทอง รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด บริษัท ดีพลัส อินเตอร์เทรด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอุปกรณ์เสริมไอที ภายใต้แบรนด์ FOCUS, RIZZ และ POWERMAX ให้ข้อมูลถึงมูลค่าตลาดรวมฟิล์มกันรอยในปัจจุบันจะมีเงินหมุนเวียนอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท จากการที่แต่ละร้านนำฟิล์มกันรอยไปขาย และเพิ่มมูลค่าได้ถึง 4-5 เท่าจากราคาทุน

'ถ้ามองในมุมของผู้ผลิตฟิล์มกันรอยตลาดจะมีมูลค่าอยู่ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งนับเฉพาะราคาขายปลีกเท่านั้น ยังไม่ได้นับรวมไปกับบริการติดฟิล์ม หรือการทำโปรโมชันร่วมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันฟิล์มกันรอยโฟกัสยังถือเป็นผู้นำในตลาดนี้อยู่ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50%'

โดยในปีนี้ทางดีพลัสตั้งเป้ารายได้ของบริษัทไว้ที่ราว 1,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนกว่า 50% จะมาจากฟิล์มกันรอยภายใต้แบรนด์โฟกัส ส่วนที่เหลือจะเป็นอุปกรณ์เสริมไอทีที่ล่าสุดเพิ่งมีการจับมือกับทางไลน์นำลิขสิทธิ์ของ ไลน์ เฟรนด์ มาจำหน่ายเพิ่มเติม เพื่อจับกลุ่มคนที่ชื่นชอบสินค้าของไลน์ด้วย

ที่ผ่านมาตลาดฟิล์มกันรอยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การปกป้องริ้วรอยบนหน้าจอ ป้องกันรอยขีดข่วนที่ไม่พึงประสงค์บนหน้าจอ จากการพกโทรศัพท์ หรือสมาร์ทโฟนในกระเป๋าร่วมกับเหรียญ หรือพวงกุญแจ ที่จะขูดขีดบนหน้าจอได้ง่าย ซึ่งจะเริ่มต้นจากฟิล์มใส และฟิล์มด้าน

ถัดมาจึงเริ่มเกิดนวัตกรรมแปลกๆ บนฟิล์มกันรอยหน้าจอ อย่างการเป็นฟิล์มใสลดรอยนิ้วมือ ฟิล์มด้านลดรอยนิ้วมือ ฟิล์มกระจกสะท้อนแสง ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นฟิล์มที่มีวางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงฟิล์มกันกระแทก ที่เข้ามาช่วยปกป้องหน้าจอจากการตก ช่วยลดความเสียหายกรณีที่เครื่องตกพื้น ก็จะช่วยปกป้องไม่ให้หน้าจอแตกได้

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะยังมีการพัฒนากันไปถึงขั้นของกระจกกันกระแทกที่เข้ามาติดเสริมทับลงไปบนหน้าจอสมาร์ทโฟนปกติ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นกระจกก็จะทำให้หน้าจอมีลักษณะหนาขึ้นเล็กน้อยเพื่อแลกกับการป้องกันการแตก และรอยขีดข่วน หรือถ้ามีรอยเกิดขึ้นหรือแตกหักก็สามารถเปลี่ยนแผ่นใหม่ได้ทันที แต่ราคาก็จะขยับสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะแต่ละแบรนด์ก็จะมีเงื่อนไขการรับประกัน 6 เดือน-1 ปี กรณีที่เกิดความเสียหายหลังจากติดตั้งกระจกหรือฟิล์มกันกระแทก

จนกระทั่งล่าสุดเริ่มมี 2 แบรนด์ใหญ่ในตลาดหันมาจับกระแสในเรื่องการรักสุขภาพ ด้วยการออกฟิล์มถนอมสายตา โดยยกเหตุผลที่ว่า แสงสีฟ้าที่ออกมาจากจอสมาร์ทโฟน เมื่อได้รับแสงเป็นเวลานานอาจส่งผลถึงขั้นเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

***จอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้กับวัยรุ่น

ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับโรคจอประสาทตาเสื่อมก่อนว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เบื้องต้น นพ.อุเทน บุญอรณะ แพทย์ด้านประสาทวิทยาโรคสมอง และเส้นประสาท ให้ข้อมูลว่า หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อมคือการใช้สายตามากเกินไป โดยขั้นตอนการทำงานของดวงตาจะเริ่มจากการรับแสงเข้าสู่ลูกตาผ่านกระจกตา (Cornea) เลนส์แก้วตา (Lens) ไปตกที่จอประสาทตา (Retina) ที่เป็นผนังชั้นในของลูกค้า ซึ่งมีเซลล์ประสาทตาจำนวนมากคอยรับและส่งสัญญาณภาพไปทางเส้นประสาทตาเข้าสู่สมองเพื่อแปลงเป็นภาพที่มองเห็น

ดังนั้น จากพฤติกรรมการใช้งานทั้งสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่แทบจะใช้งานตลอดเวลา ทำให้แสงจากหน้าจอเข้าสู่ดวงตายาวนาน และต่อเนื่องกว่าเมื่อก่อน จึงทำให้เข้าไปเร่งให้เซลล์ประสาทตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้นจากเดิมที่จะเป็นเฉพาะในผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป ก็อาจจะเริ่มเกิดขึ้นกับวัย 40-50 ปีมากขึ้น

ส่วนการที่แสงสีฟ้าถือเป็นอันตรายต่อดวงตามากที่สุดนั้น เกิดขึ้นมาจากช่วงแสงสีฟ้าถือเป็นช่วงที่มีขนาดเล็กที่สุด ส่งผลให้มีพลังงานมากที่สุด จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อเรตินาที่เป็นจุดรับแสง ซึ่งถ้ารับแสงในปริมาณที่ต่อเนื่อง และสะสมนานไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้เร่งการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

'ที่สำคัญคือโรคจอประสาทตาเสื่อมไม่มีทางรักษาได้ เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้วก็เหมือนเซลล์ตายไปแล้ว ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงป้องกัน โดยเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ให้น้อยลง หรือมองหาช่องทางอื่นในการป้องกันเพิ่มเติม'

นอกจากนี้ยังเล่าให้ฟังว่า เริ่มมีผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการตาพร่า ตาเลือนราง ในช่วงอายุราว 30 ปีเข้ามารักษามากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นทางโรงพยาบาลส่วนใหญ่ช่วงแรกก็จะวิเคราะห์อาการว่าเกี่ยวกับระบบประสาทมากกว่าเรื่องของสายตาเพราะช่วงอายุยังไม่ถึงวัยที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม แต่เมื่อตรวจแล้วก็พบว่าระบบประสาทไม่มีความผิดปกติ สุดท้ายก็เป็นโรคเกี่ยวกับจอประสาทตา

'หมอไม่สามารถฟันธงได้ว่าการใช้งานพวกสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือจอคอมพ์จะช่วยเร่งให้เกิดโรคนี้ เพราะทุกวันนี้ในการใช้ชีวิตมีอีกหลายปัจจัยเข้ามาช่วยกระตุ้น ทั้งอาหารการกิน พฤติกรรมการทำงานต่างๆ ดังนั้นจึงควรที่จะปรับพฤติกรรมการใช้งานหน้าจอเหล่านี้ให้เหมาะสม คอยพักสายตาอยู่เป็นระยะๆ ดีกว่า'

เช่นเดียวกับรายงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพตาหลายฉบับในต่างประเทศ ก็ระบุว่าแสงสีฟ้า หรือคลื่นแสงช่วงความยาวคลื่นต่ำ 400-500 นาโนเมตร ที่อยู่ใกล้เคียงกับรังสียูวี เป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่ดวงตามองเห็นได้ มีผลให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์จอประสาทตา และเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคตเช่นเดียวกัน

นายอมรศักดิ์ให้ข้อมูลเสริมว่า การเปิดตัวฟิล์มกันรอยจับกลุ่มตลาดสุขภาพ ก็เหมือนเป็นการขยายเซกเมนต์ และมูลค่าของฟิล์มกันรอยให้เพิ่มขึ้น และในฐานะที่เป็นผู้นำตลาดฟิล์มกันรอยบนโทรศัพท์มือถือยิ่งต้องมีการพัฒนาขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จึงได้คิดที่จะนำฟิล์ม Blue Light Cut (ฟิล์มตัดแสงสีฟ้า) เข้ามาวางจำหน่าย นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าภายในปีนี้ก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจับตลาดทั้งสุขภาพ และความแข็งแกร่งด้วยในอนาคต

'ต่อไปการแข่งขันในตลาดฟิล์มกันรอยจะเน้นการใช้งานที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น อย่างลูกค้าที่เน้นการเล่นเกมก็จะมีฟิล์มที่สัมผัสแล้วให้ความลื่นไหล หรืออย่างฟิล์มตัดแสงสีฟ้าที่เพิ่งพัฒนามาจำหน่ายก็จะเหมาะกับคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตเป็นเวลานาน และต้องการถนอมสายตา ด้วยการลดปริมาณแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา'

ในตลาดนอกจากผู้นำอย่างโฟกัสแล้ว ก็จะมีแบรนด์อย่าง Dapad ที่เข้ามาจับตลาดฟิล์มกันรอยตัดแสงสีฟ้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตัวฟิล์มของ Dapad จะเป็นสีเหลือง ซึ่งทาง Dapad ระบุว่าสามารถตัดแสงสีฟ้าที่ส่องสว่างออกมาได้มากกว่าฟิล์มสีฟ้าจากโฟกัส ด้วยการทดสอบเปรียบเทียบกัน

แต่อย่างไรก็ตามฟิล์มของทั้ง 2 แบรนด์ก็สามารถลดความแรงของแสงสีฟ้าที่เข้าสู่ดวงตาได้เช่นเดียวกัน แต่ในมุมของผู้ใช้งานกรณีที่ใช้งานสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตที่เป็นเครื่องสีขาว การที่จะนำฟิล์มซึ่งมีสีเหลืองมาติดก็อาจทำให้เครื่องดูเก่าได้ ส่วนฟิล์มที่มีลักษณะเป็นสีฟ้าก็อาจทำให้เครื่องดูมีสีสันที่แปลกตาไปอีกแบบหนึ่งแทน

*** จอคอมพ์หันลดแสงสีฟ้า

เบ็นคิว 1 ใน 4 ผู้ผลิตจอแอลซีดีรายใหญ่ของโลก ถือเป็นรายแรกที่เริ่มให้ความสำคัญต่อการพัฒนาจอแสดงผลสำหรับคอมพิวเตอร์ ด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยี Low Blue Light ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ BenQ Eye Care Monitor ช่วยลดการส่องสว่างของแสงสีฟ้าภายในจอเพื่อช่วยถนอมสายตา ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีก่อนหน้าอย่าง Flicker Free ที่ช่วยให้การแสดงผลภาพไม่เป็นเส้นๆ ลดการทำงานของตาลง

นายพัทธกร พรศิริธิเวช ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ Eye Care จะเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาด โดยเชื่อว่าจะมีกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อการใช้งานจอถนอมสายตาเข้ามาเลือกใช้ เบื้องต้นคาดว่าสัดส่วนการจำหน่ายจอมอนิเตอร์ที่เป็น Low Blue Light จะมีสัดส่วนกว่า 50% จากยอดขายจอมอนิเตอร์ที่ตั้งไว้ในปีนี้ 1 แสนเครื่อง

ทั้งนี้ จอมอนิเตอร์ BenQ Eye Care จะเริ่มวางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่น คือ สำหรับการใช้งานทั่วไป และสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ซึ่งเทคโนโลยี Low Blue Light ของเบ็นคิวจะทำการปรับลดแสงสีฟ้าของจอให้เหมาะกับการใช้งาน อย่างเช่นถ้าใช้งานมัลติมีเดียจะปรับลดลงไป 30% ถ้าใช้ท่องเว็บจะลดลงไป 50% ใช้งานเอกสารลดลงไป 60% และใช้สำหรับการอ่านจะลดแสงลงไปสูงสุดที่ 70% โดยจะเป็นโหมดให้เลือกใช้งานจากหน้าจอได้ทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น