• ขอพรอะไรดีที่สุด
ปุจฉา : การกราบไหว้ขอพรจากพระพุทธเจ้า หรือขอพรจากพระพุทธรูป ควรจะขออะไรดีที่สุดครับ
วิสัชนา :
ถ้าจะขออะไร ก็ขอให้ตัวเองฉลาด เพราะถ้าขอได้ตังค์มา แล้วโง่ เดี๋ยวก็ไม่รู้เรื่องอีก ว่าจะเอาตังค์มาทำอะไร, ต้องขอให้ตัวเองฉลาด อย่างหลวงปู่จะขอพรกับใคร เทวดาองค์ใดศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าองค์ไหนดลบันดาลได้ดั่งใจปรารถนา ก็ขอให้ฉลาด ขอให้มีปัญญา เพราะผู้มีปัญญา มีความชาญฉลาด ไม่มีเงิน มันก็หาเงินได้ มีเงินน้อย ก็ทำให้เงินเป็นมากได้
แล้วเรื่องทุกข์ยาก ก็ทำให้ผ่อนคลายสบาย เรื่องปัญหาชีวิต มันสามารถแก้ได้ เพราะคนมีปัญญาส่วนคนที่มีตังค์ มีสมบัติ เดี๋ยวก็ตายเพราะตังค์กับสมบัติ เพราะไม่มีสติปัญญาจะบริหารจัดการมัน
คนไม่มีสติปัญญา แม้มีบริวาร มีทรัพย์ มีคนรอบข้างเยอะแยะ เดี๋ยวก็โดนคนรอบข้าง บริวาร และทรัพย์นั้น ทำลายตัวเอง เพราะทรัพย์อะไรๆ มันก็โดนแย่งได้
แต่ทรัพย์ที่เกิดจากปัญญา เขาเรียกมีปัญญาเป็นอริยทรัพย์ โจรปล้นก็ไม่ได้ น้ำท่วมก็ไม่หาย ไฟไหม้ก็ไม่หมด แล้วมันจะช่วยเรา อยู่กับเรา แล้วอนุเคราะห์เรา ส่งเสริมสนับสนุนเราข้ามภพข้ามชาติได้
ดังนั้น ถ้าจะขออะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จงขอปัญญาเถอะ
• อยากให้สามีได้บุญ
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่ ดิฉันชอบทำบุญ และมักจะไปวัดเสมอๆ โดยเฉพาะในวันสำคัญทางศาสนา แต่พอดิฉันชวนสามีให้ไปทำบุญด้วยกัน เขาก็ไม่ยอมไปด้วย บอกว่าจะอยู่บ้านดูทีวีอย่างเดียวเลย
ถ้าเป็นอย่างนี้ควรจะชวนเขาต่อไปหรือไม่ หรือควรจะทำอย่างไร เพราะอยากให้เขาได้บุญด้วย
วิสัชนา :
ไม่ไปก็ไม่เป็นไร เราก็ใช้วิธีแบบสมัยก่อน อย่างเวลายายแกไปทำบุญที่วัด ส่วนตาไม่ชอบไปวัดนะ แต่แกชอบที่จะหาอาหารมาให้ยายใส่บาตร หรือไปถวายพระ ยายแกก็จะใช้วิธีพูดว่า “เอ้า..ตา อนุโมทนานะ” อะไรอย่างนี้ ตาก็ได้บุญไปด้วย
คุณใช้วิธีนี้ก็ได้ ชวนสามีด้วยวิธีการให้เขาอนุโมทนา สาธุ ดีกว่าเราไม่หือ ไม่อือ ปล่อยให้เขานั่งเฝ้าแต่หน้าจอ จะไปทำบุญใส่บาตร ก็ไม่บอกไม่กล่าว กลับมาแล้ว ก็ไม่ให้อนุโมทนา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
อย่างนี้เรียกว่า ไม่มีเมตตา ไม่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ เพราะบางทีเงินที่เอามาทำบุญนั้น ก็ไม่ใช่ของเราล้วนๆ แต่เป็นของสามีที่ช่วยกันหามาด้วย เพราะฉะนั้น ก็ควรจะสงเคราะห์เขาบ้าง
• อยากพ้นทุกข์
ปุจฉา : กราบเรียนหลวงปู่ครับ ผมอยากทราบว่า ทำไมมีชีวิตแล้วต้องมีความทุกข์ คนที่ไม่มีความทุกข์มีไหมครับ แล้วคนเรามีสิทธิ์ที่จะพ้นทุกข์ไหมครับ
วิสัชนา :
ที่จริง ทุกข์มันเป็นอาหารของเรานะ ความทุกข์มันเป็นเรื่องชีวิต เรามีชีวิต เราก็มีทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์กับชีวิตเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ยกเว้นเมื่อไรที่เราเป็นคนที่ปฏิเสธชีวิต แล้วเห็นว่า สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงในชีวิตนี้นี่มันเกิดขึ้น เราเห็นชัดตามอย่างนั้น ก็แสดงว่า กำลังจะเป็นคนปฏิเสธชีวิต แต่ยังไม่ถึงกับสิ้นชีวิตนะ
คนที่ปฏิเสธชีวิตแบบนี้ก็คือพระอริยเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้าท่านปฏิเสธชีวิต ท่านเห็นชีวิตแล้วก็เบื่อหน่าย แต่ไม่ใช่จะทำตัวเองให้สิ้นชีวิต คือไม่คิดจะฆ่า หรือทำร้ายชีวิต แต่เป็นคนปฏิเสธชีวิต มีความเบื่อหน่ายในการมีชีวิต
ส่วนคนที่ยังเห็นชีวิตเป็นเรื่องน่ารัก น่าถนอม ไม่มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์ แต่หากเมื่อไรที่เห็นชีวิตเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แล้วปฏิเสธชีวิต นั่นแหละ คนคนนั้นจะมีสิทธิ์พ้นทุกข์
แต่มันก็มีมุมกลับกันอีกว่า คนที่เบื่อหน่ายชีวิต ไม่ใช่เป็นคนผิดหวังนะ เพราะว่าบางคนมันผิดหวังแล้วบอกว่าเบื่อหน่าย อย่างนี้ไม่ใช่นะ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ก็ถือว่ายังมีทุกข์อยู่
แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเห็นชีวิต ไม่ว่าจะสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะผิดหวัง ก็เบื่อหน่ายไปหมด ด้วยความรู้สึกว่า เกิดนิพพิทาญาณว่า สภาพชีวิตมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนี้ คนคนนี้มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์
แต่ถ้ายังเห็นว่า โอ.. ชีวิตเกิดขึ้นดีใจ แตกสลายเสียใจ แล้วก็มีความกระตือรือร้นกับการมีชีวิตเกิด เจริญเติบโต รุ่งเรือง ถ้าอย่างนี้ก็ยังมีทุกข์อยู่
เพราะฉะนั้น ทุกข์จึงเป็นสมบัติของชีวิต
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 158 กุมภาพันธ์ 2557 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)