xs
xsm
sm
md
lg

นานาสารธรรม : ถวายข้าวพระพุทธ ทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การทำบุญเลี้ยงพระ คือ การนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารในสถานที่ประกอบพิธีทำบุญ จัดเป็นทานมัยบุญ บุญที่เกิดจากการถวายทาน คือ การถวายอาหาร ปัจจัย ไทยธรรม แด่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นบุญพิธีที่ชาวพุทธทั้งหลายนิยมทำกันเป็นประจำในโอกาสต่างๆ ทั้งโอกาสที่เป็นมงคล คือปรารภเรื่องดีที่เข้ามาในชีวิต และโอกาสที่เป็นอวมงคล คือปรารภเหตุแห่งความสูญเสีย อันเป็นคติธรรมดาของชีวิต

โดยในงานมงคลมีวัตถุประสงค์เพื่อความสุขความเจริญแห่งจิตใจที่เกิดเหตุดี หรือเกี่ยวกับการริเริ่มดำเนินชีวิตใหม่ เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามความปรารถนาด้วยดีตลอดไป

ส่วนในงานอวมงคล ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข โดยปรารภเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีการตาย หรือการสูญเสียในวงศาคณาญาติ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในครอบครัว จึงมีการทำบุญขึ้น เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ และความสุขแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

ด้วยเหตุนี้ พิธีทำบุญเลี้ยงพระ จึงมีความสำคัญ ทั้งในงานมงคลและงานอวมงคล

เหตุผลในการจัดข้าวบูชาพระพุทธ

ในพิธีทำบุญเลี้ยงพระนี้ มีโบราณประเพณีที่เรียกว่า ประเพณีถวายข้าวพระพุทธ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การจัดข้าวบูชาพระพุทธ หมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยข้าวและอาหารอื่นๆ

โดยถือสืบกันมาว่า สมัยพุทธกาล พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนิยมนิมนต์พระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานพระภิกษุสงฆ์ เสด็จไปฉันภัตตาหาร ณ เคหสถานของตนตามหลักฐานที่ปรากฏในพระบาลีว่า

“พุทฺธปฺปมุโข ภิกฺขุสงฺโฆ : พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน”

เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร ก็นิยมจัดภัตตาหารถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับปัจจุบันที่นิยมกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ในพิธีทำบุญงานมงคลตามบ้านเรือนคฤหบดี เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร ก็นิยมจัดภัตตาหารถวายสมเด็จพระสังฆราชเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์นอกนั้นอีกส่วนหนึ่ง

ฉะนั้น แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็ยังนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปมาตั้งเป็นประธานสงฆ์แทนพระพุทธองค์ในพิธีบำเพ็ญบุญต่างๆ ทุกอย่าง เช่นเดียวกันกับสมัยพุทธกาล

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร จึงนิยมจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์อีกส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล

คตินี้ได้นิยมสืบทอดกันมา ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ถวายข้าวพระพุทธ ถ้ามีการตักบาตรก็ต้องตั้งบาตรพระพุทธเจ้าไว้หัวแถวด้วย

พึงตระหนักว่า การจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปนี้ มิใช้จัดไปถวายพระพุทธรูปฉันเหมือนอย่างจัดถวายให้พระภิกษุสงฆ์ฉัน หรือไม่ใช่จัดไปเซ่นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจ

การจัดภัตตาหารไปถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นการจัดไปถวายเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับการจัดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น


และการจัดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยนั้น ไม่ใช่จัดถวายให้พระรัตนตรัยสูดดมกลิ่นธูป ควันเทียน และกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่จัดไปเพื่อบูชาพระคุณของพระรัตนตรัย ฉันใด การจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปก็เพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ฉันนั้น

วิธีการจัดและถวายข้าวบูชาพระพุทธ

โดยเหตุที่พระพุทธรูปนั้นเป็นเสมือนองค์แทนพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้านั้นทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นสังฆบิดร คือทรงเป็นพ่อของพระภิกษุสงฆ์

ดังนั้น การจัดสำรับคาวหวานบูชาพระพุทธ จึงนิยมจัดให้ดีกว่าประณีตกว่าจัดถวายพระภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นการบูชาพ่อ ควรจะดีกว่าประณีตกว่าจัดถวายลูก หรืออย่างน้อยก็นิยมจัดแบบเดียวกันกับจัดถวายพระภิกษุสงฆ์

และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะจัดภัตตาหารคาวหวานสิ่งละเล็กละน้อยใส่ภาชนะเล็กๆ เช่นเดียวกับจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจ

เพราะจะเป็นเหตุให้บุคคลที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และเยาวชนทั้งหลาย อาจเกิดความเข้าใจผิดคิดไปว่า เป็นการจัดอาหารไปเซ่นพระพุทธเจ้า

ถ้าจัดสำรับใหญ่อย่างดี เมื่อลากลับคืนมา ภัตตาหารนั้นย่อมเป็นสิริมงคลน่ารับประทานนักแล

เมื่อพระภิกษุสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จวนจะจบหรือจบแล้ว พิธีกรนิยมยกสำรับคาวหวานไปตั้งที่หน้าบูชาพระ โดยตั้งบนโต๊ะที่มีผ้าขาวปูรอง หรือตั้งที่พื้นมีผ้าขาวปูรอง แล้วเชิญเจ้าภาพหรือประธานพิธีมาทำพิธีบูชา โดยพิธีกรไม่ควรจัดทำการบูชาเสียเอง

เจ้าภาพหรือประธานพิธีพึงนั่งคุกเข่าจุดธูป ๓ ดอก ปักที่กระถางธูป แล้วประนมมือตั้งนโม ๓ จบ แล้วกล่าวคำบูชาข้าวพระพุทธ ว่า

อิมํ สูปพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ สาลีนํ โภชนํ (โอทนํ), สอุทกํ วรํ พุทฺธสฺส ปูเชมิ.
แปลว่า ข้าวสุกแห่งข้าวสาลี อันสมบูรณ์ด้วยแกงและกับข้าว พร้อมกับน้ำอันประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า

การกล่าวคำบูชานี้ จะว่าโดยออกเสียงดัง หรือว่าในใจโดยไม่ต้องออกเสียงก็ได้ จบแล้วกราบ ๓ ครั้ง ต่อนั้นจึงจัดถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์

เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาเสร็จจนกลับหมดแล้ว ถ้ามีการเลี้ยงแขกผู้มาในงานต่อ เจ้าภาพ พิธีกร หรืออุบาสกอุบาสิกา ผู้รู้ธรรมเนียม จะลาข้าวพระพุทธนั้นมารับประทาน

การลาข้าวพระพุทธมีหลักปฏิบัติ โดยผู้ลาพึงเข้าไปนั่งคุกเข่าหน้าสำรับที่หน้าโต๊ะหมู่บูชานั้นแล้วกราบ ๓ ครั้งก่อน หลังจากนั้นประนมมือกล่าวคำลาข้าวพระพุทธ ว่า

เสสํ มงฺคลํ ยาจามิ.
แปลว่า ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งที่เหลืออันเป็นมงคล
แล้วกราบ ๓ ครั้ง จากนั้นจึงยกสำรับไปรับประทานร่วมกันได้ตามอัธยาศัย

(จากหนังสือ คู่มือพุทธศาสนิกชน)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 158 กุมภาพันธ์ 2557 โดย แก้ว ชิดตะขบ นักวิชาการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)



กำลังโหลดความคิดเห็น