ขณะที่นิตยสารธรรมลีลาฉบับนี้วางแผง “อ๊อฟ” ศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ” คงกลายเป็นพระภิกษุศุภณัฐ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ใต้ร่มกาสาวพัตร์เรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่า นี่คือการบวชที่เขามุ่งหวังตั้งใจมาก มันเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
หลังจากคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดในเวที ทรู อะคาเดมี แฟนเทเซีย หรือเอเอฟ ปี 2 เมื่อปี 2548 “อ๊อฟ” ศุภณัฐก็ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินนักร้องเต็มตัว ผสมผสานไปกับงานด้านการแสดงที่มีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ นับเป็นเอเอฟคนหนึ่งซึ่งยังคงมีผลงานต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แต่ก็อย่างที่หลายคนรู้ว่า ขณะที่ชีวิตทางโลกของเขาดำเนินไป เขาก็พยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้โลกทางธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรม หรือแม้กระทั่งการบวชในครั้งนี้
“อันที่จริง ผมตั้งใจจะบวชตั้งแต่อายุ 21 แล้วล่ะครับ คือมันจะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งหลังจากเรียนจบ เพื่อนๆเขาก็บวชกัน ส่วนผมก็ไปร่วมงาน เลยทำให้ผมรู้สึกว่าอยากบวชมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกที่ดี และผู้ชายทุกคน เมื่อถึงเวลาก็ควรได้บวช เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็เลยตั้งใจมาตั้งแต่อายุ 21 จนมาถึงตอนนี้ 27 ก็เลยคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องบวช และที่สำคัญ ผมตั้งใจไว้ว่าจะบวชให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยประมาณหนึ่งเดือนขึ้นไป ก็ถือว่านานแล้วล่ะครับสำหรับศิลปินนักร้อง”
ขณะที่คุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ “พระศุภณัฐ” อาจจะกำลังนั่งสมาธิหรือสวดมนต์แผ่เมตตาอยู่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้อยคำของพระหนุ่มก่อนออกบวช ก็น่าฟังไม่น้อยไปกว่ากัน...
• ชีวิตเด็กหลังวัด ที่เชื่อเรื่องบุญ-บาป
ก่อนจะเข้ามาอยู่บ้านเอเอฟ ศุภณัฐเคยเป็นเด็กหลังวัดมาก่อน เนื่องจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างของพ่อแม่ตั้งอยู่หลังวัดพอดี วัดวาอารามและเสียงสวดมนต์ ตลอดจนการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม จึงเข้ามาในชีวิตของเขาตั้งแต่เยาว์วัย
“ผมอาจจะไม่ถือว่าเป็นเด็กวัด แต่เรียกว่าเป็นเด็กหลังวัด เราได้อยู่ใกล้ชิดกับวัดมาก อย่างวันพระ คุณแม่ก็จะพาไปวัด พาไปตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย พาไปทำไมก็ไม่รู้ แต่เราก็ตามคุณแม่ไป ก็เลยได้ซึมซับเรื่องการนั่งสมาธิและสวดมนต์”
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลในเชิงลึกอย่างไม่รู้สึกตัวต่อเด็กคนหนึ่งอย่างยากจะปฏิเสธ เหมือนผ้าขาวที่พร้อมจะซึมซับรับทุกสิ่ง ไม่ว่าขาวหรือดำ
“อย่างน้อยที่สุด ผมว่ามันทำให้เราเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป แล้วก็เรื่องเวรกรรมครับ พอเชื่อแล้วมันก็เลยทำให้เราสบายใจทุกครั้งที่เราทำบุญ ยิ่งเราทำบุญมาก บุญนั้นก็จะยิ่งส่งผล ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย ชาตินี้แหละที่เราจะได้ผลของบุญที่เราทำเอาไว้ เหมือนกับการร้องเพลงของผมในทุกวันนี้แหละครับ ทำให้มีคนรักทั่วประเทศ ซึ่งอันนี้ก็ต้องขอบคุณตัวเองเหมือนกันที่รักการทำความดี
สำหรับผมเชื่อว่า บาปบุญคุณโทษ เราทำชาตินี้ เราก็ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย มันส่งผลในชาตินี้นี่แหละ เราทำบุญชาตินี้ เราก็ได้รับกลับมาเลย เฉกเช่นเดียวกับการร้องเพลง ร้องแล้วก็มีคนต้องการสิ่งที่เราสื่อออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพลงรัก เพลงเศร้า หรือว่าเพลงสนุกสนาน แล้วปัจจุบัน คนก็เครียดกันเยอะด้วย แต่พอมาฟังเพลงของผมแล้ว ทุกคนลุกขึ้นเต้นได้เลย มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า มันก็เหมือนการทำบุญอีกแบบหนึ่ง และบุญนั้นก็ส่งผลทันที ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือชาติต่อๆไป”
• คิดบวก-ไม่เครียด พาชีวิตเป็นสุข
แม้จะอยู่ท่ามกลางการงานในฐานะศิลปินนักร้อง ที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก แต่ทว่าไม่เคยมีปัญหากับใครเลย หนุ่มเอเอฟรุ่นที่สองบอกว่าสิ่งหนึ่งซึ่งรักษาเขาไว้ก็คือ การไม่มองโลกในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสถานการณ์ก็ตามที
“ผมเป็นคนไม่เครียดครับ สนุกสนานมาก และคิดบวกมาโดยตลอด สิ่งเหล่านี้อาจจะอยู่ที่พื้นฐานของครอบครัวด้วย เพราะอย่างคุณพ่อก็เป็นคนอารมณ์ดี ชอบร้องเพลง ส่วนแม่ก็รักสวยรักงามรักความสะอาด อยู่บ้านก็จะอยู่ด้วยกันตลอด แม่ก็จะชวนผมปัดกวาดเช็ดถูบ้าน มันเลยทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับครอบครัวและอบอุ่นมาตลอด พื้นฐานจิตใจของผมก็เลยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ผมไม่ค่อยกังวลกับเรื่องต่างๆ ถึงจะมีปัญหาอะไร อย่างเช่นนั่งเรียนหนังสือแล้วเพื่อนๆ เครียดกันทั้งหมดเลย แต่ว่าทุกคนหันมาหาผม แล้วถามว่าผมไม่เครียดเลยเหรอ ผมก็ยิ้มๆ อย่างเดียวเลย จะเป็นแบบนี้เสมอ”
การเป็นคนร่าเริงและคิดถึงแต่สิ่งดีๆของหนุ่มอ๊อฟ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ในชีวิตมักไม่ค่อยพบเจอกับสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ จะว่าไปก็คล้ายกับกฎแห่งแรงดึงดูด เราคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเข้ามาหาเรา
“ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะผลบุญและการทำความดีที่เราได้ทำมาด้วย ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ มันเลยทำให้ได้เจอแต่คนดีๆ และมีแต่คนเอาเรื่องดีๆ มาให้เรา มิตรรักแฟนเพลงก็ดี เราอยู่ค่ายไหน อยู่ตรงไหน ก็ไม่มีคนไม่รักเรา ไม่มีศัตรูเลย มีแต่คนที่เป็นมิตร แล้วทุกคนก็จะบอกเหมือนกันว่า เราเป็นคนจิตใจดี ชีวิตของเราจึงมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาหา
อย่างถ้าใครมาอะไรไม่ดีกับผมปุ๊บ ผมก็จะเข้าข้างคนนั้นเลย ผมก็จะพูดว่า “เป็นเพราะเขาต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเลยทำอย่างนั้น” คนที่ได้ฟังเราพูดก็จะว่า “เออ.. อาจจะใช่นะ อ๊อฟเป็นคนดีนะนี่ ขนาดเขาทำไม่ดีกับเรา แต่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจอยู่” คือพูดง่ายๆ ว่าเราสามารถทำให้อีกคนรู้สึกดีกับอีกคนหนึ่งได้ แม้ว่าคนนั้นจะทำสิ่งไม่ดีก็ตามที มันก็เป็นสิ่งดีนะครับที่เราไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคนอื่นได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้คนรักกันได้”
• ปฏิบัติธรรม เสริมพื้นฐานทางใจ
อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคนที่ย่อมต้องมีอุปสรรคปัญหาผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง ศิลปินหนุ่มก็ไม่ต่างไปจากนั้น อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ที่วิกฤติเดินผ่านมาทักทาย และธรรมะก็คือสิ่งเยียวยาจิตใจของเขาในตอนนั้น
“มันก็มีช่วงหนึ่งซึ่งเราคล้ายๆกับเจอวิกฤติ แต่ไม่มากนัก ก็มีเรื่องเครียดนิดหน่อย อย่างออกคอนเสิร์ตเยอะ ท่องเพลงไม่ทัน อะไรทำนองนั้น แล้วก็มีเรื่องของข่าวบ้าง มันทำให้เรารู้สึกเครียดขึ้นมา เกิดมาไม่เคยเครียดขนาดนี้เลย ลองขับรถออกจากบ้านไปตัวเปล่าเลยนะ เหมือนคนอยากปลดปล่อยตัวเอง มีอิสระ ค่ำไหนนอนนั่น เราก็ขับรถไปเรื่อยๆ แถวๆวัชรพล เจอสถานที่แห่งหนึ่ง เอ๊ะ.. สถานปฏิบัติธรรมนี่นา แวะเข้าไปนอนดีกว่า (หัวเราะ)
แต่พอเข้าไปแล้ว บรรยากาศและบุคลากรเขากำลังประชุมกันอยู่ ส่วนผมก็เป็นแขกมาจากไหนก็ไม่รู้ ไปถึงก็ไปนั่งอยู่กลางวงเขา ทุกคนก็งง แล้วตรงนั้น ผมก็ถือโอกาสได้ระบายความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจของตัวเองออกไปให้เขาฟัง เรื่องที่เราข้องใจหมองมัวอยู่ พอพูดออกไปแล้ว มันก็เกิดความสบายใจมาก
นั่นแหละครับครั้งแรก เมื่อสองสามปีที่แล้ว มันสอนให้เรารู้ว่า เออ.. พอเราเจอวิกฤตินะ เราไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เลย เรามาอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือว่าวัดวาอารามดีกว่า แค่นี้ทำให้เราแก้ปัญหา คลี่คลายจิตใจได้เร็วมาก ภายในสามวัน
จำได้ว่า ตอนที่ขับรถออกจากบ้านในวันนั้น ผมเหยียบความเร็วไปถึง 120-130 ด้วยความใจร้อนมาก ภาวะตึงเครียดมากมาย แต่พอไปอยู่แค่สามวัน แค่เปลี่ยนสังคมที่เราอยู่เท่านั้นเอง กลับบ้านเปลี่ยนเลย อันที่จริงก็เปลี่ยนตั้งแต่ออกจากวัดแล้วล่ะ เพราะขับรถกลับบ้านแค่ความเร็ว 40 เท่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย จนกระทั่งคุณแม่ก็ยังแปลกใจว่า เอ๊ะ.. เกิดอะไรขึ้นกับลูกของเรา(หัวเราะ)”
หลังเสียงหัวเราะ อ๊อฟเล่าต่อไปด้วยอารมณ์ดีว่า สิ่งแวดล้อมนั้นสำคัญมากสำคัญสำหรับคนเรา เพราะถ้าเมื่อเครียดแล้วยังอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ ก็ไม่ค่อยดี
“สิ่งรอบตัวเรา ทำให้เราเปลี่ยนไป บางคนบอกว่า โอ๊ย..เครียด ไปทะเลดีกว่า แต่กลับกลายเป็นว่าเครียดเพิ่มซะอีก เพราะว่าเดินทางไกล
ดังนั้น ถ้ามีใครถาม ผมก็อยากจะแนะนำครับว่า จริงๆแล้ว มันไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ เอาแค่สถานที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสังคมใหม่ เปลี่ยนเราได้ เป็นสถานที่ที่สงบพอ และทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองก็พอแล้ว
อย่างการไปสามวันนั้น ทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองจริงๆ สำหรับคนที่เกิดความเครียด เพราะว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่กับตัวเอง หรือได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง”
• พาตัวเองให้ใกล้ชิดธรรมะ
แม้จะดูเป็นคนหนุ่มร่วมสมัย แต่ก็ไม่เคยห่างหายจากวัดวาอาราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังผ่านประสบการณ์สามวันครั้งนั้นมาแล้ว ศิลปินหนุ่มก็ไม่เคยห่างจากธรรมะเลย มีเวลาเมื่อใด ก็พยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดธรรมะและวัดวาอารามเมื่อนั้น
“ก็อย่างที่พุทธศาสนิกชนทราบกันดีนั่นแหละครับว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราทุกคนทำความดี ละเว้นความชั่ว ผมก็ยึดหลักการนี้ไว้เลยครับ ผมเชื่อว่า ถ้าคนเรามองเห็นคุณค่าของตัวเอง ใครๆก็ย่อมอยากจะเป็นคนดีและทำความดี
และสิ่งที่จะทำให้คนค้นพบตัวเองและทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเองอย่างแท้จริงก็คือ ลองมาศึกษาธรรมะดู แล้วจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะบางคนก็ไม่รู้ครับว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี คือไม่จำเป็นต้องมาห่มขาวหรือห่มผ้าเหลืองก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องพาตัวเองไปอยู่ใกล้ธรรมะให้ได้ ให้อยู่ใกล้ๆพื้นที่ของธรรมะเยอะๆ มันก็จะทำให้เรารู้ว่า การจะเป็นคนดีต้องทำอย่างไรบ้าง
ทีนี้ เมื่อเราคิดดี ทำดี พูดดี เราก็จะทำให้คนรอบข้างเราเป็นคนดีได้เช่นเดียวกัน เพราะแน่นอนว่า เราต้องทำความดีกับคนที่อยู่รอบตัวเรา คนรอบตัวเราก็จะทำความดีเหมือนกับเรา เป็นการส่งต่อความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการเป็นคนดีอย่างไร ผมว่าธรรมะหรือวัด หรือสถานปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องมือให้เราได้ครับ
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเทคโนโลยีนี่แหละเป็นเครื่องมือ ทำให้เรามีความสุข ผมว่าเราลองมาใช้เครื่องมือที่ชื่อว่าธรรมะดูบ้าง ใช้วัดให้เป็นประโยชน์ ไปที่ไหนก็มี วัดนี่แหละคือทางออก ธรรมะนี่แหละที่จะเป็นเครื่องมือทำให้คนไทยเรา เป็นคนดีกันทั้งประเทศครับ” ศิลปินหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา)