xs
xsm
sm
md
lg

มองเป็นเห็นธรรม : ทำอย่างไร จึงมีสติอยู่เสมอ? จดหมายจากพ่อถึงลูก ฉบับที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถึง...ตุลย์....ลูกรัก

พ่อต้องขอบใจลูกมากๆ ที่พาภรรยาและหลานๆมาเยี่ยมในช่วงวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ทำให้พ่อแม่มีความอิ่มเอิบใจที่เห็นความสุขในครอบครัวของลูก ซึ่งพ่อถือว่าได้รับความสำเร็จในส่วนนี้แล้ว เพราะไม่ว่าอุปสรรคใดๆ ก็ไม่อาจมาขวางกั้นความมุ่งมั่นของพ่อแม่ที่จะเลี้ยงลูกให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต

เมื่อปรารภถึงความสำเร็จในชีวิต ก็เป็นเหตุทำให้พ่อมาคิดพิเคราะห์ถึงความสำเร็จในชีวิตของบุคคลสำคัญของโลก ของสังคม และของพ่อเอง เพื่อหาจุดที่ทำให้เกิดความสำเร็จสมปรารถนาของชีวิต

พระพุทธเจ้า เป็นบุคคลแรกที่พ่อระลึกถึง พ่ออ่านทวนพุทธประวัติหลายรอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทรงแสวงหาสัจธรรมของชีวิตจนถึงตรัสรู้ สำหรับบุคคลอื่นนั้นพ่อก็สนใจช่วงเวลาชีวิตที่ท่านต่อสู้เพื่อให้ได้รับความสำเร็จที่ตนมุ่งหวัง

ในที่สุดพ่อก็พบว่า คุณธรรมที่กำกับชีวิตของท่านให้ดำเนินไปสู่ความสำเร็จของชีวิตก็คือ...การมีสติ อันเป็นต้นกำเนิดของปัญญาความรู้ที่ส่องสว่างให้เห็นหนทางของชีวิตที่สดใส การฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีสติ จึงเป็นหนทางที่นำตนไปสู่ความสำเร็จของชีวิตที่ปรารถนา

ลูกคงทราบดีแล้วว่า โครงการต่างๆ จะถูกกำหนดขึ้นมาได้นั้น เบื้องต้นจะต้องมีเป้าหมายของโครงการ เมื่อเป้าหมายถูกกำหนดได้แล้ว เนื้อหาก็สามารถเขียนขึ้นได้อย่างชัดเจน เมื่อนำไปปฏิบัติตามวิธีการที่กำหนดไว้ โอกาสที่จะสัมฤทธิผลตามเป้าหมายย่อมมีอยู่

เฉกเช่นชีวิตของคนเราที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องมีการกำหนดเป้าหมายของชีวิตขึ้นมาก่อน แล้วจึงกำหนดโครงการชีวิต ที่จะบ่งชี้ถึงแนวทางการดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายที่มุ่งหวัง

พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเป้าหมายชีวิตของพระองค์ไว้ที่การตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทรงใช้ปัญญาในการกำหนดทิศทางของชีวิต ทรงใช้ความเพียร ความอดทน ในการดำเนินชีวิตไปตามทิศทางนั้น อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนถูกก้าวข้ามไปด้วยความแน่วแน่ในการจะบรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้

ลูกลองตรองดูสิว่า สิ่งใดที่ทำให้ทรงตั้งมั่นได้ถึงเพียงนี้ และลองพิจารณาบุคคลที่ประสบความสำเร็จท่านอื่นดูว่ามีสิ่งนี้หรือไม่? พ่อเชื่อว่าลูกจะได้รับคำตอบที่เหมือนกันคือ ความระลึกได้ถึงเป้าหมายชีวิตของตนเอง

การระลึกได้
ที่พูดมานี้ ในทางพระท่านเรียกว่า สติ ซึ่งเป็นธรรมสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา การจะทำตนให้บรรลุถึงเป้าหมายในพระพุทธศาสนา คือพระนิพพาน ก็อาศัยสติในการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้

สติเป็นตัวกำหนดให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความไม่ประมาท ทุกย่างก้าวของชีวิตจะกอปรด้วยความสุขุมรอบคอบ ทำแต่สิ่งที่ก่อคุณประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ด้วยเหตุนี้พ่อจึงบอกไว้ว่า คุณธรรมที่กำกับชีวิตให้ดำเนินไปสู่ความสำเร็จของชีวิตก็คือ...การมีสติ

ลูกลองพิจารณาถึงชีวิตที่ผ่านมาของตนเองดู ในฐานะหัวหน้าครอบครัว หัวหน้างาน ความเครียดในจิตใจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเป็นเพราะอะไร ?

คำตอบของลูกก็คงจะเป็นการโทษว่าความผิดของคนเหล่านั้น นี่เป็นธรรมดาของคนในโลกนี้ ที่มักจะเห็นโทษความผิดของคนอื่นอยู่เสมอ โลกใบนี้จึงมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่ทุกวินาที ผลของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อโลกเลย

จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าพ่อก็ไม่ทราบ พระพุทธเจ้าจึงสอนพุทธบริษัทให้รู้จักย้อนกลับมาพิเคราะห์ตัวเองอยู่เสมอ แล้วทำตนเองให้เป็นผู้มีสติกำกับ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตน ก็ให้พิจารณาอารมณ์ของตนด้วยเหตุผล ไม่ปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมาครอบงำจิตใจ

ดังนั้น พุทธบริษัทที่ดำรงตนเป็นผู้มีสติ จึงไม่สร้างความขัดแย้งกับผู้ที่ตนมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ตอนนี้ลูกคงคิดได้แล้วว่า สติในตนเองมีมากน้อยเพียงใด

เหตุที่พ่อปรารภถึงความปรารถนาดีในจดหมายฉบับแรก ให้ลูกได้อ่านทำความเข้าใจก่อน พ่อหวังจะให้ลูกได้รู้ถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น ในจดหมายฉบับที่สองพูดถึงการรู้คุณคน ด้วยเจตนาให้ลูกได้มีความต่อเนื่องในการสร้างความปรารถนาดี ซึ่งลูกก็ได้พัฒนาตนเองในตามที่พ่อได้บอกไว้เป็นอย่างดี เมื่อลูกมาระลึกได้ถึงคุณค่าของคนที่ลูกมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ความปรารถนาดีต่อบุคคลนั้นก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ

ลูกลองสังเกตต่อไปสิว่า ท่าทีที่เคยเป็นเรื่องไม่สบอารมณ์ของลูก และเป็นมูลเหตุนำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมานั้น มีผลกระทบกับลูกอีกหรือไม่

ถ้าไม่มีเลยก็แสดงว่าลูกมีหลักที่นำให้เกิดสติในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาแล้ว ก็คือการรู้คุณคน ถ้ายังมีอยู่ก็หมายถึงสติของลูกยังไม่มีที่ยึดเหนี่ยวที่มั่นคง ลูกต้องกลับไปอ่านทวนจดหมายทั้งสองฉบับใหม่ให้เข้าใจ และปรับปรุงตนเองจนไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกเลย

ทำอย่างไรเราจึงเป็นผู้มีสติอยู่เสมอ? พ่ออยากให้ลูกคิดถึงหุ่นยนต์ที่ส่วนหัวมีคนบังคับ ถ้าคนบังคับสามารถมองเห็นจุดหมายที่จะพาหุ่นยนต์ไปถึง เขาก็สามารถบังคับใช้กลไกของหุ่นยนต์ให้เดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในเวลาไม่นานนัก

แต่ถ้าคนบังคับไม่สามารถมองเห็นจุดหมาย แม้การบังคับหุ่นยนต์จะมีประสิทธิภาพมาก แต่คุณค่าในการทำงานของหุ่นยนต์ไม่มีประโยชน์ต่อคนบังคับเลย ก็สูญเสียเวลาเปล่า

สติก็เหมือนคนบังคับหุ่นยนต์ การจะเป็นผู้มีสติได้ จำเป็นที่ต้องมีเป้าหมายให้เป็นที่ยึดมั่นของสติก่อน เราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต อะไรคือเป้าหมายชีวิตที่เราต้องการ ถามตนเองให้ชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต

เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว สติก็จะยึดเป้าหมายนั้นไว้เสมอ แล้วก็จะกำหนดการดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายนั้น จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้

ลูกคงอยากถามพ่อว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเป็นผู้มีสติ? พ่อคงตอบให้ถูกตรง ๑๐๐ % ไม่ได้ แต่ขอตอบตามแนวทางนวโกวาท ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ไว้ดังนี้

ผู้ที่มีสติ ย่อมเป็นผู้ที่มีสัมปชัญญะ ความรู้ตัว อยู่เสมอ อันนี้เราสามารถสังเกตได้จากคนดื่มเหล้าจนเมามาย เมื่อเขาขาดสติ เขาก็จะไม่รู้เรื่องต่างๆ ที่ตัวเองได้กระทำลงไป ดังนั้น พฤติกรรมที่น่าละอายน่ารังเกียจในยามที่ปกติจะไม่กระทำ แต่เมื่อขาดสติแล้ว เขาสามารถทำพฤติกรรมเหล่านี้ได้โดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น ผลของการมีสติ ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป ทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม เมื่อมีสติอยู่ ย่อมมีความอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุยั่วยวนที่จะนำตนไปทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม ด้วยสำนึกรู้คุณค่าแห่งบุพการี และมีจิตใจอยากจะรักษาชีวิตของตนไว้เพื่อตอบแทนคุณของท่าน

ลูกมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว หัวหน้างาน การมีสติในฐานะของตน จะทำให้ลูกรู้ถึงการแสดงออกที่สมควรแก่ฐานะ กิจที่หัวหน้าครอบครัวที่ดี หัวหน้างานที่ดี ควรประพฤติ สติจะเป็นตัวกำหนดให้ลูกประพฤติในกิจนั้นๆอยู่เสมอ จนเมื่อลูกทำกิจนั้นบ่อยๆ ก็จะทำให้ลูกเป็นผู้ที่มีวินัยในตนเอง

คนที่สามารถฝึกฝนตนเองจนสามารถสร้างวินัยในตนเองได้ ย่อมเป็นคนที่สามารถทำใจให้จดจ่อในการทำหน้าที่การงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการไตร่ตรองพัฒนางานให้เกิดประสิทธิผลอย่างดีที่สุด อาจกล่าวได้ว่าการมีสติเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในงาน

เมื่อเรามาพิจารณาขยายถึงความสำเร็จในชีวิต การมีสติในเป้าหมายชีวิต จะทำให้เราพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีวินัยในการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ รู้จักการกระทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม

เราจะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีความเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ตามแผนการชีวิตที่เรากำหนดขึ้น ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต จะถูกนำมาตริตรองหาเหตุผลให้เราสามารถนำพาชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรที่จะมาขวางกั้นความสุขของชีวิตที่เราได้กำหนดไว้เลย

พ่ออยากให้ลูกได้ตระหนักถึงความสำเร็จของเด็กพิการ ที่หมอวินิจฉัยว่าไม่สามารถเดินได้ แต่แล้วเขาก็สามารถเดินได้ในที่สุด แม้จะผ่านการล้มลุกคลุกคลาน มีบาดแผลเล็กใหญ่ปรากฏในร่างกาย สิ่งที่ทำให้เขามีความมุ่งมั่นในการทำให้ตนเองเดินได้เช่นนี้ ก็คือการมีสตินั่นเอง

เขามีสติในเป้าหมายของเขา คือการเดินได้ ซึ่งทำให้เขามีวินัยในการฝึกฝนตนเองตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด มีใจจดจ่อต่อการฝึกฝนอย่างมั่นคง ยามที่เขาล้มหรือได้รับบาดแผล ก็จะพยายามทบทวนหาสาเหตุของความผิดพลาด แล้วนำมาแก้ไข พัฒนา จนในที่สุดความสุขในการเดินได้คือสิ่งที่เขาได้รับ

รอยยิ้มของผู้ชนะไม่จำเป็นต้องปรากฏในสนามแข่งขันเท่านั้น ในสนามชีวิต เราก็สามารถสร้างรอยยิ้มของผู้ชนะได้เหมือนกัน

เวลาที่ผันผ่านมาในชีวิตของเราทุกคนในโลกนี้ ล้วนมีเท่ากันและเหมือนกัน แต่คุณค่าของเวลาที่แต่ละคนได้รับมีความแตกต่างกันไปตามเจตนาการใช้เวลาของบุคคลนั้นๆ

บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ การมีสติของเขาย่อมช่วยให้เขาได้รังสรรค์เวลาของชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ นำเขาให้ได้ประสิทธิผลของชีวิตตามที่ปรารถนา

พ่ออยากให้ลูกได้ตรึกตรองจดหมายฉบับนี้อย่างวิเคราะห์ แล้วทำตนให้มีสติในเป้าหมายของชีวิตอยู่เสมอ แล้วลูกจะรู้ด้วยตนเองว่า..การมีสติมันดีเช่นนี้หนอ....

รักลูกมากเสมอ
พ่อโต


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย พระครูพิศาลสรนาท (พจนารถ ปภาโส) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)




กำลังโหลดความคิดเห็น