ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ถึงวันตายของตนเองได้ แต่ทั้งแพทย์และพยาบาลผู้ที่มีประสบการณ์กับคนไข้ที่ใกล้ตายเกือบจะทุกวัน สามารถบอกถึงอาการของคนไข้ที่เริ่มหมดอายุขัยได้
อาการดังกล่าวเหล่านี้ เป็นอาการของวัยที่เสื่อมสภาพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีอาการทั้งหมดดังที่จะกล่าวถึงนี้ แต่อาจจะมีอาการดังกล่าวรวมกัน 4-5 ข้อ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
1. เบื่ออาหาร ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนต่อไป หากมีใครปฏิเสธอาหาร หรือน้ำ หรือทานอาหารได้ในปริมาณน้อย เช่น กินแค่ข้าวต้มถ้วยเล็กๆ ไม่ยอมทานเนื้อสัตว์ แม้ว่าจะเป็นอาหารโปรดที่เคยชอบทานก็ไม่อยากแตะ นั่นหมายถึงอาการของความตายเริ่มเข้ามาเยือนแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ร่างกายเสื่อมสภาพ มักมีปัญหาเรื่องการกลืนอาหาร
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : อย่าบังคับให้ทานอาหาร แม้ว่าผู้ดูแลอาจรู้สึกเครียดที่ญาติ หรือคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถทานอาหารได้ แต่ใช้วิธีเสริมกำลังใจ หรือให้ทานไอศกรีม หรือจิบน้ำ หรือน้ำแข็ง ใช้ผ้าอุ่นๆ เช็ดบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและผ่อนคลาย
2. เหนื่อยง่ายและต้องการนอนมากกว่าปกติ คนไข้ที่เริ่มนอนในเวลากลางวันและกลางคืนเป็นเวลานาน มีการไหลเวียนของโลหิตน้อยลง และปฏิเสธไม่ทานอาหารและน้ำ และเริ่มขาดน้ำ ไม่สามารถตื่นและทำกิจกรรมได้ตามปกติ เริ่มเหนื่อย อ่อนเพลีย และเลื่อนลอย
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : ให้นอนและหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ทำให้ตื่น เมื่อคนไข้อยู่ในภาวะไม่รู้สึกตัวหรือโคม่า ให้พูดคุยเหมือนคนไข้ได้ยิน ถึงแม้ว่าคนไข้จะไม่มีอาการตอบสนองก็ตาม
3. ร่างกายอ่อนแอไม่อยากเคลื่อนไหว เมื่อร่างกายเริ่มปฏิเสธอาหารทำให้ขาดพลังงานและนำไปสู่ความอ่อนแอ แทบไม่อยากจะยกศีรษะในขณะที่นอน และมีปัญหาการดื่มน้ำจากหลอด
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : ทำให้คนไข้นอนในท่าที่สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. สับสนและหลงลืม นอกจากอวัยวะเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว สมองที่เคยทำงานได้อย่างดีก็เริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ ความทรงจำที่เหลือคือความฝังใจที่สดชื่นหรือขมขื่นในอดีต คนไข้อาจจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน จำชื่อคนอื่นไม่ได้ อาจพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเหลวไหล สับสนเรื่องเวลา หรือจำไม่ได้ว่าทานอาหารหรือยัง
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : ช่วยเตือนความจำด้วยความใจเย็น และพูดกับคนไข้ด้วยเสียงอ่อนโยน และบอกชื่อของตัวเองให้คนไข้ทุกครั้งที่พบกัน เพื่อคนไข้จะจำได้
5. หายใจลำบาก การหายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอ ติดขัด และยากลำบาก เวลาหายใจสามารถได้ยินเสียงดังและหายใจเข้าลึก มีอาการหอบ หรือมีการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หยุดหายใจประมาณ 5 วินาที หรือนานถึง 1 นาที ก่อนจะหายใจแรงและลึกอีกครั้งและค่อยๆหายไปอีก บางครั้งหายใจเข้าออกดังครืดคราด
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : เตือนผู้เฝ้าไข้ให้ระวังและใส่ใจสังเกตอาการเหล่านี้ โดยพยายามให้คนไข้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด นั่งในที่ที่สบาย หรือตั้งศีรษะให้อยู่ในที่ผ่อนคลาย หายใจสะดวก เช็ดริมฝีปากด้วยผ้าเปียก หรือทาลิปมันเพื่อช่วยให้ริมฝีปากสดชื่น หากมีเสมหะมากให้ขับออกโดยธรรมชาติ ในกรณีที่ไม่มีเครื่องดูดเสมหะ การใช้เครื่องช่วยหายใจอาจช่วยได้
6. ไม่เข้าสังคม เมื่อร่างกายเริ่มหมดสภาพ ผู้ที่ใกล้ตายจะหมดความสนใจกับสิ่งรอบตัว บางครั้งอาจพูดน้อยลง บ่นพึมพำ สมองทำงานไม่ฉับไว ไม่ตอบสนองต่อคำถาม หรืออาจจะเดินหนีไป ก่อนที่อาการไม่สุงสิงกับผู้คนจะเริ่มขึ้น
บางครั้งคนที่ใกล้ตายอาจจะทำให้คุณประหลาดใจ โดยแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เราตื่นตกใจได้ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นไม่ถึงชั่วโมงหรืออาจทั้งวันก็ได้
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : ให้เราเฝ้าสังเกตอาการเหล่านี้ และใช้วิธีสัมผัส ลูบเบาๆที่แขน พูดคุย เมื่อคนไข้เริ่มจำได้ถึงความหลังเก่าๆ ให้รีบตอบสนองทางบวกทันที เพราะความจำเหล่านี้อาจจะหายไปในพริบตา
7. การเปลี่ยนแปลงเรื่องการถ่ายปัสสาวะ ในขณะที่ผู้ป่วยไม่สนใจเรื่องการทานอาหารและการดื่ม ทำให้การขับถ่ายน้อยลงด้วย ความดันเลือดต่ำ เป็นขั้นตอนหนึ่งของผู้ที่กำลังสูญเสียชีวิต เมื่อถึงจุดนี้อาจไม่มีอะไรที่จะช่วยได้ และอาจมีอาการอย่างอื่นที่พอสังเกตเห็นด้วย เช่น ไตเริ่มไม่ทำงาน ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ เมื่อเป็นสีน้ำตาล แดง หรือสีชา การสูญเสียการควบคุมปัสสาวะ อาจเป็นอาการสุดท้ายของผู้ที่กำลังจะตาย
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : บางครั้งทางการแพทย์อาจตัดสินใจใช้การช่วยระบายของเสียออกจากร่างกาย ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่ถึงชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต แต่การมีไตที่ไม่ทำงาน จะทำให้โลหิตเป็นพิษ และอาจส่งผลให้เข้าสู่โคม่าก่อนเสียชีวิต
8. บวมที่เท้าและตามข้อต่อ เมื่อไตไม่สามารถฟอกเลือดได้ จะทำให้ไปสะสมในอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น หัวใจ โดยเฉพาะข้อต่อและขา อาจเป็นบริเวณมือ หน้าและเท้ามีอาการบวมน้ำได้
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : เมื่อถึงขั้นนี้ปกติจะไม่มีการช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษ เพราะอาการบวมไม่เป็นสาเหตุของโรค แต่เป็นเพราะอาการชรา และการเสื่อมสภาพของร่างกาย
9. มือและเท้าเย็น หนึ่งชั่วโมงหรือ 2-3 นาทีก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยมักมีอาการมือและเท้าเย็น เนื่องจากเลือดไม่ไปเลี้ยงตามปลายประสาท ดังนั้น นิ้วมือ นิ้วเท้าจะเย็น เล็บอาจมีสีจาง หรือสีน้ำเงิน
วิธีช่วยอาจทำได้โดย : ห่มผ้าห่มอุ่นๆ ให้คนไข้เพื่อให้สบายตัวขึ้น
10. เส้นโลหิตดำเป็นลายพร้อย หรือกระด่างกระดำ ผิวหนังมีรอยดวง ด่างดำ ซีดหรือมีแต้มสีแดง สีน้ำเงินขึ้นเป็นจุดๆ เป็นอาการของผู้ที่จะเสียชีวิต สิ่งนี้เป็นผลจากการไหลเวียนโลหิตที่ล้มเหลว อาจปรากฏให้เห็นก่อนตามบริเวณเท้า
สัญญาณของผู้ใกล้เสียชีวิตแต่ละคนนั้น อาจมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไป สิ่งที่เขียนข้างบนนี้เป็นเพียงการให้ความรู้กับผู้อ่านในการสังเกตทั้งผู้ป่วยและคนชราที่อยู่ใกล้ตัวท่าน ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านดูแลผู้ที่กำลังจะสูญเสียชีวิตด้วยความรัก ความเมตตาและความอดทน จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเขา เพื่อที่คุณจะไม่ต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลัง
(ข้อมูลจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ)