เหตุการณ์ภัยธรรมชาติร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยที่มีการบันทึกไว้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เช้าวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 คือ วันแห่งความวิกฤตและสูญเสียมากที่สุดของชาวไทย จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5 พันคน
เมื่อวันเวลาแห่งความเศร้าผ่านพ้นไป “ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า” ผู้กำกับชื่อดังชาวสเปน ได้นำเหตุการณ์อันเศร้าสลดครั้งนั้น มาถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์เรื่อง The Impossible โดยเล่าเรื่องจากเหตุการณ์จริงของครอบครัวชาวอังกฤษครอบครัวหนึ่ง ที่ใช้เวลามาพักผ่อนที่เขาหลัก จังหวัดพังงา
หนังเปิดฉากที่ครอบครัวของ “เฮนรี่” กับ “มาเรีย” พร้อมลูกชายอีก 3 คน ได้แก่ ลูคัส โทมัส และไซม่อน ซึ่งลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ต ก่อนจะออกไปพักผ่อนหาความสงบ และความงามของท้องทะเลอันดามันบริเวณเขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า นับเป็นวันเวลาที่แสนวิเศษของครอบครัวจากเมืองผู้ดี แต่แล้วทุกคนก็ต้องประสบกับชะตากรรมที่ไม่มีใครคาดคิด และต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ขณะที่เฮนรี่กำลังเล่นน้ำในสระกับลูกชายคนกลางและคนเล็ก มาเรียนอนอ่านหนังสืออย่างสบายใจริมสระ ส่วนลูคัส ลูกชายคนโต กำลังเดินไปเก็บลูกบอล รวมทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่พักผ่อนหย่อนใจกันอย่างมีความสุขนั้น ความผิดปกติบางอย่างก็เริ่มส่งสัญญาณ เมื่อฝูงนกเริ่มบินหนี เสียงดังหึ่มๆน่าประหลาดแว่วมาจากไกล และไม่ทันถึงนาที ต้นมะพร้าวที่โผล่ยอดเห็นอยู่ลิบๆ ก็ทยอยล้มไปทีละต้นสองต้น จนนักท่องเที่ยวแต่ละคนไม่อาจทันตั้งตัว
แต่เฮนรี่ไหวตัวทัน เขารีบคว้าลูกชายสองคนไว้ในอ้อมแขน พลางตะโกนบอกลูกชายคนโตให้วิ่งหนี ส่วนมาเรียนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยเอื้อนวลีใดๆด้วยซ้ำ คลื่นยักษ์ก็ถาโถมเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเสี้ยววินาที กวาดเอาผู้คน และทรัพย์สิน ข้าวของต่างๆ พังราบหายวับไปในพริบตา
หนังตัดมาที่ภาพของมาเรียลอยตัวขึ้นเหนือผืนน้ำ ประคองร่างไหลไปตามกระแสคลื่นสีโคลนข้นขลั่ก เธอได้ยินเสียงลูคัสตะโกนอยู่ไม่ไกล และด้วยความเป็นแม่ เธอรีบกระโจนจากสิ่งยึดเกาะ เพื่อไปหาลูก แต่กระแสน้ำอันรุนแรงเกรี้ยวกราด ก็พัดพาให้แม่ลูกลอยห่างจากกันไปอีก
สองแม่ลูกตะโกนเรียกหากันอย่างสุดเสียง พยายามไขว่คว้าหาที่เหนี่ยวรั้ง เพื่อไม่ให้โดนพลังจากธรรมชาติพัดพาไป กระทั่งท้ายสุด ทั้งคู่ก็ประคองตัวว่ายมาเจอกันได้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง และนาทีชีวิตของคนอื่นๆที่ต่างก็อยู่ในสภาพวิกฤตพอกัน
เมื่อพลังแห่งธรรมชาติหยุดนิ่ง สองแม่ลูกพากันเดินไปตามผืนน้ำสีโคลน และซากปรักหักพัง ด้วยสภาพสะบักสะบอม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พร้อมกับจิตใจที่หวาดผวา
แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง มาเรียบาดเจ็บเกินกว่าจะพยุงตัวเองไปตามเสียงนั้น เธอบอกลูกชายว่าให้ไปตามหา และช่วยเหลือเด็กคนนั้น “อาจจะเป็นโทมัส หรือไซม่อนก็ได้”
นาทีแรก ลูคัสปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง เขามองด้วยสภาพความเป็นจริงว่า พ่อและน้องชายอีกสองคน ไม่น่าจะรอดชีวิต ตอนนี้เขาเหลือเพียงแม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นต้องเอาชีวิตรอดก่อน แต่สุดท้าย มาเรียยืนกรานว่า ต้องไปช่วยให้ได้
ลูคัสจึงเดินไปจนถึงต้นตอของเสียง ก็พบเด็กชายวัย 4-5 ขวบคนหนึ่ง ชื่อ เดเนียล ติดอยู่ในกอหญ้า เขาจึงอุ้มขึ้นมา แล้วกลับไปหาแม่ จากนั้นทุกคนก็เร่งเดินไปหาต้นไม้ใหญ่ เพื่อปีนขึ้นไปหลบภัย เพราะนาทีนั้น ไม่มีใครรับประกันถึงชะตากรรมในอนาคตได้
ไม่นานนักก็เริ่มมีชาวบ้านคนไทยในพื้นที่ ออกมาสำรวจความเสียหาย ลูคัสรีบตะโกนขอความช่วยเหลือ ชาวบ้านจึงพาทุกคนกลับไปที่หมู่บ้าน เพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่จะนำส่งโรงพยาบาลชุมชนที่ใกล้ที่สุด
ที่โรงพยาบาลที่แออัดไปด้วยผู้บาดเจ็บ เต็มไปด้วยสภาพที่ยากเกินบรรยายในความเจ็บปวดสูญเสีย ลูคัสเฝ้าแม่ไม่ห่าง เมื่อมาเรียได้รับการรักษาเบื้องต้น และรอการผ่าตัดในขั้นต่อไป เธอบอกกับลูกชายว่า
“แม่ไม่เป็นไรแล้ว จงออกไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ถามเขาว่ามีอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้าง”
คราวนี้เด็กชายปฏิบัติตามคำสั่งแม่อย่างว่าง่าย เขาเดินไปตามเตียงผู้ป่วย สอบถามถึงความต้องการ จนกระทั่งได้งานใหม่ คือ การตามหาพ่อแม่ลูกที่พลัดพรากกัน ลูคัสจดชื่อไว้แล้วเดินตะโกนเรียกหา จนทำให้พ่อลูกชาวสวีเดนคู่หนึ่งได้พบกัน
เหตุการณ์และบรรยากาศอันน่าสลดในโรงพยาบาล ดำเนินไปเรื่อยๆ แล้วหนังก็ตัดกลับไปที่รีสอร์ท เพื่อให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว เฮนรี่กับลูกชายอีกสองคนนั้นรอดชีวิต และไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง แต่ทว่าหัวใจความเป็นพ่อ ก็ไม่สิ้นหวัง เขาเดินไปตามซากระเกะระกะ และโคลนสกปรก เพื่อตามหาภรรยากับลูกคนโต แม้กระทั่งช่วงกลางคืน เมื่อมีรถมารับส่งคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เขาก็ฝากลูกชายสองคนไปกับครอบครัวอื่น โดยตัวเองเลือกที่จะเดินตามหาคนในครอบครัวที่ยังขาดหาย
สุดท้าย อาจเป็นโชคชะตา ความบังเอิญ หรือผลกรรมดี ของครอบครัวนี้ที่ได้มาเจอกันที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น โดยมีเพียงร่างกายกับสภาพจิตใจที่บอบช้ำ แต่ทุกคนก็ปลอดภัย และได้กลับบ้านพร้อมหน้า
แม้ภาพยนตร์เรื่อง The Impossible จะสื่อให้เห็นถึงจิตใจมนุษย์ที่มีความเพียรพยายาม ไม่สิ้นหวัง จนนาทีสุดท้าย แต่เมื่อมองในประเด็น “ความรัก” ในหลักพุทธศาสนา ก็มีความใกล้เคียงกับ หลัก “พรหมวิหาร 4” ที่ประกอบด้วย “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
ภาพที่ชัดที่สุดซึ่งน่าประทับใจจาก ความเมตตา อันหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข กับ ความกรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์นั้น เห็นได้ชัดจาก “เดเนียล” เด็กน้อยที่มาเรียสั่งลูคัสให้ไปช่วยเหลือนั่นเอง เพราะหนังเผยให้เห็นว่า เดเนียลได้เจอกับพ่อที่โรงพยาบาล ซึ่งมันจะไม่สามารถเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้เลย หากมาเรียกับลูคัส ปราศจากเมตตา กรุณา ในจิตใจ
ซึ่งในช่วงท้าย ลูคัสก็มาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังอย่างภาคภูมิใจ ตรงกับหลัก มุทิตา ที่ยินดีไปกับความสุข ความดีของผู้อื่น นอกจากนี้ยังรวมถึงความเมตตา กรุณา ที่แบ่งปันให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในโรงพยาบาลด้วย
“ความรัก” ตามหลักพุทธศาสนา ยังปรากฏให้เห็นชัดจากฉากที่ชาวบ้านท้องถิ่น พากันช่วยเหลือมาเรียทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน ไม่ต้องมีค่าตอบแทน แถมยังสื่อสารกันคนละภาษา
เรื่องราวความมีน้ำจิตน้ำใจของชาวไทยต่อชาวต่างชาติในเหตุการณ์วิกฤตครั้งนั้น ถูกส่งผ่านบอกเล่าต่อๆกันไป จนกลายเป็นความประทับใจของคนทั่วโลก
สิ่งเหล่านี้สื่อให้เราเห็นว่า แม้ในช่วงเวลาแห่งวิกฤต เราก็ยังสามารถพบกับความงดงามได้ หากมี “เมตตา กรุณา” ในจิตใจ อันเป็นความรักตามหลักพุทธศาสนานั่นเอง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 146 กุมภาพันธ์ 2556 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)