แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นนานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของ “สมใจ” อดีตลูกชาวนาอยุธยา ที่ยังคงจดจำทุกภาพที่เกิดขึ้นได้อย่างแจ่มชัด
สมใจย้อนความหลังให้ลูกๆฟัง เพื่อสอนเรื่องกฎแห่งกรรมที่เธอได้ประสบมาด้วยตนเอง
ตอนนั้นเธอกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนวัดใกล้ๆบ้าน และทุกครั้งที่ปิดเทอม พ่อก็จะส่งให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อน “ป้าสมจิตร” ซึ่งเป็นพี่สาวของพ่อ แต่อยู่คนละอำเภอ
เหตุที่ต้องไปอยู่เป็นเพื่อน เพราะพ่อห่วงว่าป้าสมจิตรอยู่ตัวคนเดียว แถมสุขภาพไม่ค่อยดี มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าหลายโรค โดยกำชับให้สมใจช่วยดูแลป้าสมจิตรอย่างใกล้ชิด
ป้าสมจิตรไม่ได้มีอาชีพเป็นชาวนา แต่มีรายได้เลี้ยงตัวจากการปล่อยเงินกู้ ทุกคนในตลาดรู้จักป้าสมจิตรเป็นอย่างดี เพราะลูกค้าเธอก็เป็นคนในตลาดนั่นแหละ
ทุกครั้งที่สมใจมาอยู่บ้านป้าสมจิตร เธอก็จะช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งซักผ้า รีดผ้า หุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน และยังคอยจัดเตรียมยาให้ผู้เป็นป้า ตามที่พ่อได้บอกไว้ ซึ่งป้าก็จะให้สตางค์เล็กๆน้อยๆ และเมื่อเปิดเทอมก็กลับบ้าน เธอปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา
แล้วเรื่องราวที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน ก็เกิดขึ้นในช่วงปิดเทอมกลางปี ซึ่งเธอก็ไปอยู่กับป้าสมจิตรเหมือนที่เคยทำมา
วันหนึ่งป้าสมจิตรเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“นี่...สมใจ เอ็งขโมยเงินของป้าไปใช่มั้ย..บอกมานะ”
สมใจตกตะลึงที่ได้ยินคำพูดของป้า เมื่อตั้งสติได้ เธอก็บอกไปว่า
“หนูเปล่าจ้ะ หนูไม่ได้ขโมย”
“เอ็งอย่ามาแก้ตัวนังสมใจ ถ้าเอ็งไม่ขโมย แล้วหมาที่ไหนมันจะมาขโมย มีเอ็งกับข้าอยู่ในบ้านนี้สองคนเท่านั้น” ป้าสมจิตรตวาดเสียงเข้ม
“หนูเปล่าขโมยจริงๆนะจ๊ะ ป้าเชื่อหนูเถอะ” สมใจพยายามบอกผู้เป็นป้า แต่หญิงชราไม่ฟัง กลับคว้าไม้มาฟาดที่ขาของสมใจ
“สารภาพมาดีๆ ไม่งั้นจะโดนหนักกว่านี้” ป้าสมจิตรขู่
“อย่าตีหนูเลย หนูไม่ได้เอาไปจริงๆ” สมใจร่ำร้องและวอนขอความเห็นใจจากป้า
เมื่อใช้ไม่ตีไม่ได้ผล หลานสาวไม่ยอมรับ ก็ยิ่งทำให้ป้าสมจิตรโมโหหนักขึ้น เธอครุ่นคิดหาวิธีการที่จะทำให้หลานสาวยอมรับให้ได้ ทันใดนั้นเธอก็ได้ได้ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง ป้าสมจิตรรวบรวมกำลังทั้งหมดลากหลานสาวไปที่หลังบ้าน แล้วมัดมือไพล่หลังไว้
จากนั้นก็เปิดตู้กับข้าว เอาพริกแห้งและเกลือเม็ดออกมาเทใส่กระทะ แล้วก็หาผ้ามาปิดปากปิดจมูกของตัวเอง จากนั้นก็เร่งไฟคั่วพริกกับเกลือ เมื่อร้อนได้ที่มีควันไฟลอยขึ้นมา หญิงชราก็จับหัวของหญิงสาวกดลงไปให้สูดดมควันไฟนั้น
สมใจพยายามเบือนหน้าหนี เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าและลำคอ และแสบตาอย่างหนัก น้ำตาไหลพรากๆ เวลานั้นเธอรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย
แม้เธอจะอ้อนวอนผู้เป็นป้าสักเท่าไหร่ หญิงชราก็ไม่สนใจ ได้แต่ย้ำว่า
“จะรับสารภาพมั้ยนังตัวดี ถ้าไม่รับ ข้าจะให้เอ็งดมอย่างนี้จนตาย” ว่าแล้วก็กดหัวหลานสาวลงไปอีก
แต่ไม่ว่าจะถูกทรมานอย่างไร สมใจก็ไม่อาจรับสารภาพได้ เพราะเธอไม่ใช่หัวขโมย เธอยังคงยืนกรานว่า ไม่ได้ขโมยเงินของป้า
ขณะนั้นป้าเจิมซึ่งเป็นแม่ค้ากล้วยทอด เข้ามาที่บ้านป้าสมจิตร และเห็นเหตุการณ์พอดี จึงได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ฟังป้าสมจิตรเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ป้าเจิมจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เด็กมันไม่ได้ขโมยหรอก ที่ฉันมานี่ก็เพราะจะเอาเงินที่แม่จิตรทำตกไว้หน้าร้านมาคืนให้ พอดีมีลูกค้ามาซื้อกล้วยทอดตอนที่แม่จิตรเดินไปแล้ว เขาเห็นเงินตกอยู่ที่พื้น ก็เลยหยิบให้ฉัน บอกว่าสงสัยจะเป็นของป้าที่เพิ่งเดินไป ฉันก็เลยเก็บไว้ก่อน กะว่าขายของเสร็จก็จะเอามาให้ เอานี่เงิน 200 บาท”
เมื่อป้าสมจิตรได้ฟังป้าเจิมพูดเช่นนั้น แกก็นึกถึงตอนที่แวะร้านกล้วยทอด ซึ่งแกหิ้วของพระรุงพะรัง และควักเงินจากกระเป๋าเสื้อออกมาจ่ายค่ากล้วยทอด เงินของแกคงตกตอนนั้น และเป็นจำนวนเท่าที่แกคิดว่าหลานสาวขโมยไป
“ขอบใจนะแม่เจิม” ป้าสมจิตรพูดเบาๆ พร้อมกับยื่นมือไปรับเงิน และบอกให้หลานสาวไปล้างหน้าล้างตา
สมใจนอนร้องไห้ทั้งคืน จนไข้ขึ้น ตาบวมแดง เธอจึงไม่สามารถออกมาทำงานบ้านได้
รุ่งเช้าพ่อของสมใจแวะไปทำธุระที่อำเภอที่ป้าสมจิตรอยู่ จึงถือโอกาสไปเยี่ยมลูก และเมื่อเห็นลูกสาวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น สมใจจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พ่อโมโหมาก จึงได้ต่อว่าพี่สาว และพาสมใจกลับบ้านในวันนั้นเอง
นับแต่นั้นมาพ่อก็ไม่เคยให้สมใจมาอยู่บ้านป้าอีกเลย....
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งสมใจเรียนจบชั้นมัธยมปลาย และสอบเข้าวิทยาลัยที่กรุงเทพฯได้ พ่อจึงส่งไปอยู่หอพักใกล้วิทยาลัย สมใจมุมานะตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือจนใกล้จะจบ
แต่วันหนึ่งหญิงสาวก็แปลกใจที่ผู้เป็นพ่อเดินทางมาหาที่หอพัก ด้วยท่าทางรีบร้อน พ่อเล่าว่า ป้าสมจิตรเข้าโรงพยาบาล อาการหนักมาก เพ้อเรียกแต่ชื่อ “สมใจ” พ่อคิดว่าป้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน จึงอยากให้ลูกไปเยี่ยมแก และก็ขออโหสิกรรมกันด้วย
สมใจจึงกลับไปพร้อมพ่อ และพากันไปเยี่ยมป้าสมจิตร ภาพของป้าสมจิตรที่สมใจเห็นนั้น คือ หญิงชราที่ดูแก่หง่อม ซึ่งพยายามจะผงกหัวขึ้นมาเหมือนกับสูดลมหายใจตลอดเวลา ทั้งๆที่มีออกซิเจนครอบจมูกไว้ ทำให้เธอนึกถึงเมื่อครั้งที่โดนป้ากดหัวให้ดมพริกเกลือคั่ว และเธอพยายามจะผงกหัวเงยหน้าขึ้นมาสูดลมหายใจ
หญิงสาวจึงเดินเข้าไปข้างๆเตียงและจับมือป้าไว้ เธอก้มลงไปกระซิบว่า “หนูมาเยี่ยมป้าค่ะ หนูไม่โกรธหรอกนะคะที่ป้าเคยทำกับหนู หนูขออโหสิกรรมให้ป้า เราจะไม่จองเวรกันต่อไปนะคะ”
เมื่อสิ้นเสียงของหลานสาว หญิงชราที่มีอาการทุรนทุรายผงกหัวอยู่ตลอด ก็ดูสงบลง จากนั้นไม่นานเมื่อสมใจกลับมากรุงเทพฯ พ่อก็ส่งข่าวมาบอกว่า ป้าสมจิตรสิ้นใจแล้ว
สมใจจึงได้ไปทำบุญกรวดน้ำแผ่เมตตาให้ผู้เป็นป้าได้ไปสู่สุคติ เธอกับป้าจะไม่มีเวรแก่กันอีกต่อไป จะมีก็เพียงเรื่องราวที่เธอได้นำมาสอนลูกหลาน ให้ตั้งหน้าทำแต่กรรมดี เพราะกรรมดีเท่านั้นที่จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยให้เราตลอดกาล
ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย รำพึง)