xs
xsm
sm
md
lg

ทางเอก : สุญญตา (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ที่ปล่อยวางความถือมั่นในจิตได้แล้วจะมีความรู้สึกต่อ (๑) บัญญัติ (๒) สภาวะของธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่ (๓) สภาวะของจิต (๔) สภาวะของธรรม ซึ่งในฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงเรื่องสภาวะธรรมไปบ้างแล้ว

ผู้เข้าถึงธรรมนี้แล้ว จะเข้าใจเส้นทางธรรมได้ตลอดทั้งสาย และอาจอุทานด้วยความร่าเริงใจว่า

“เมื่อจิตหลุดออกจากโลกของความคิด

จิตก็รู้รูปนามอันว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน

เมื่อจิตรู้รูปนามโดยไม่เติมแต่งสิ่งใดลงในการรู้

จิตก็เห็นเงาของธรรมอันสงบสันติที่แทรกซ้อนอยู่อย่างเร้นลับ

อันเป็นความสงบในท่ามกลางความเคลื่อนไหว

อันเป็นความร่มเย็นในท่ามกลางความเร่าร้อน

และเมื่อกำลังของปัญญาแก่กล้าพอ จิตจะปล่อยวางรูปนาม

แล้วเข้าถึงธรรมอันสงบสันตินั้นเองโดยอัตโนมัติ

เมื่อจะเข้าถึงธรรมอันสงบสันติ จิตก็เข้าถึงของเขาเอง

เมื่อจะทรงอยู่กับธรรมอันสงบสันติ จิตก็ทรงอยู่ของเขาเอง

ไม่ต้องพยายามหรือบังคับให้จิตเข้าถึงและทรงอยู่กับธรรมนี้

หากยังบังคับ หรือเพียงจงใจหมายรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้กระทั่งจิต

จิตจะเกิดภพคือการทำงานทางใจ

และห่างไกลจากธรรมนี้ออกไปอีก

ต่อเมื่อรู้แจ้งในความจริงของรูปนาม

จนปล่อยวางรูปนามได้นั่นแหละ

ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เข้าถึงธรรมนี้ได้แล้ว

เมื่อเข้าถึงธรรมอันสงบสันตินี้แล้ว

หากมีกิจที่จะต้องสัมผัส/สัมพันธ์กับโลก จิตก็รู้บัญญัติและรูปนาม

จิตอนุโลมตามโลก คือคล้อยตามสมมุติบัญญัติของโลก

เช่นโลกเขาเรียกว่าผู้หญิง ก็ผู้หญิงกับเขา

โลกเขาเรียกว่าผู้ชาย ก็ผู้ชายกับเขา

แล้วปฏิบัติต่อผู้หญิงและผู้ชายไปตามสมมุติ

หรือตามมารยาทของโลก

ด้วยความรู้เท่าทันว่าผู้หญิงไม่มี ผู้ชายไม่มี

มีแต่รูปกับนาม เป็นต้น

ในการดำรงชีวิตอยู่นั้น เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน

เมื่อร่างกายต้องการขับถ่ายก็ขับถ่าย

เมื่อมีเรื่องขบขันก็ยิ้มแย้ม เมื่อมีเรื่องควรสลดสังเวชก็มีธรรมสังเวช

ไม่เสแสร้งสงบสำรวม แต่มีอาการทางกายและวาจา ไปตามวาสนาที่เคยชิน

ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพียงกิริยาอาการในความว่างเปล่า

และไม่กระเทือนเข้าถึงธรรมอันสงบสันตินั้นเลย

เมื่อหมดกิจที่จะต้องสัมผัส/สัมพันธ์กับโลก

จิตก็อยู่กับธรรมอันสงบสันติ ซึ่งเป็นอมตธาตุอมตธรรมนั้น

และเมื่อคราวจะตาย

จิตก็ทิ้งความรับรู้รูปนาม หดตัวเข้ามารู้เฉพาะความสงบสันตินั้น

แล้วรูปนามก็ดับไป”

ธรรมเหล่านี้ผู้เขียนเคยได้รับฟังมาจากครูบาอาจารย์ พระป่าหลายรูป เห็นว่าแปลกดีจึงจำมาเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนนักปฏิบัติ

ท่านที่กล่าวถึงธรรมเหล่านี้ก็เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ หลวงพ่อกิม ธมฺมทีโป วัดป่าดงคู จังหวัดสุรินทร์ และอีกองค์หนึ่งคือหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์

โดยเฉพาะหลวงปู่สุวัจน์ ท่านเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟังว่า ธรรมนี้เป็นของง่าย เมื่อเข้าใจแล้วท่านถึงกับด่าตนเองว่าโง่แท้ ของเท่านี้เห็นก็เห็นอยู่แต่ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ท่านบอกว่าจิตใจของท่านมีความสุขมาก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า บวชมาแล้วจะมีความสุขได้มากมายถึงขนาดนี้ เวลานี้ท่านเหล่านี้มรณภาพไปแล้ว หากท่านหมดกิเลส ท่านก็คงสบายไปแล้ว ยังเหลือก็แต่พวกเราจะต้องพากเพียรเจริญสติรู้รูปนามเพื่อเอาตัวรอดกันต่อไป

สรุปแล้ว พวกเรามีหน้าที่ตามรู้รูปนามตามความเป็นจริงต่อไปเนืองๆ จนเห็นรูปนามมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ ไม่ต้องไปคิดถึงสุญญตาใดๆให้เสียเวลารู้สึกตัว ต่อเมื่อเห็นรูปนามเป็นของสูญ อันเป็นการเห็นสุญญตาตามนัยหนึ่งแล้ว ก็จะเข้าใจความหมายของสุญญตา ในอีกนัยหนึ่งได้ด้วยตนเองทีเดียว

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 139 กรกฎาคม 2555 โดย พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช)
กำลังโหลดความคิดเห็น