xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตกับธรรมะ : ธรรมะคือหลักใจ "ปราไพ ปราสาททองโอสถ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชื่ออของเธออาจจะไม่ปรากฏผ่านสื่อบ่อยครั้ง เหมือนเช่นพี่ชาย น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Airways), โรงพยาบาลกรุงเทพ และอีกหลายธุรกิจ

แต่ ปราไพ ปราสาททองโอสถ น้องสาวคนเล็กของบ้านและลูกคนที่ 7 ในบรรดาพี่น้อง 10 คน ถือเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพี่ชาย

เพราะนับตั้งแต่เรียนจบมาทางด้านธุรกิจ จากสหรัฐอเมริกา เธอทุ่มเททำงานให้กับธุรกิจของพี่ชายมาโดยตลอด เริ่มต้นที่ สหกลหล่อดอกยาง ปากน้ำ (เวลานี้ปิดตัวไปแล้ว) และสหกลแอร์ ที่ทำธุรกิจรถยนต์และเครื่องบินเช่าเหมา อันเป็นธุรกิจสาขาของกรุงเทพสหกล

“ดิฉันทำในส่วนเช่าเหมาเครื่องบิน บินไปเขมร ลาว เวียดนามที่เราคุ้นเคยกันดีในตอนนั้นว่า ‘ด่วนจี๋ต้องแทกซี่อากาศ เรียกสหกลแอร์’ ทำอยู่ 11-12 ปี พอเปลี่ยนมาเป็นบางกอกแอร์เวย์ได้ปีหนึ่ง ดิฉันก็ลาออก

ความจริงแล้วเราเป็นธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ที่ช่วยกันในหมู่ญาติมากกว่า ก่อนที่บริษัทจะขยายออกไปเป็นวงกว้าง เป็นบางกอกแอร์เวย์ในปัจจุบัน ใครช่วยกันตรงไหนได้ก็ช่วย พอลาออกมาแล้ว ถามว่าดิฉันมีความรู้สึกว่าเสียใจหรือเสียดายงานที่ทำอยู่ไหม ไม่ได้เสียดายอะไรเลย เพราะที่ผ่านมาเราแค่ทำตรงนั้นของเราให้ดีที่สุด

ดิฉันชอบประโยคหนึ่งที่ว่า ให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด และคิดว่าเป็นคติที่คนทำธุรกิจต้องมี คือทำอะไรก็ตาม ให้คุณอยู่กับปัจจุบันให้ได้ เมื่อคุณอยู่กับปัจจุบันได้ สมาธิ ความตั้งใจและความสุขจะเกิดขึ้นตรงนั้น”

• มุ่งหน้าศึกษาธรรมะ


ชีวิตหลังการลาออกจากหน้าที่การงานของปราไพ เป็นชีวิตที่ไม่ได้เปลี่ยวเหงาแต่อย่างใด เพราะเธอใช้จ่ายเวลาไปกับการปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจมากขึ้น

“เลิกทำงานเมื่ออายุ 50 กว่า อยู่มาจนตอนนี้ อายุ 72 ปี ถามว่า มีความสุขหรือไม่ มันมีนะคะ เพราะว่าดิฉันชอบปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เสียคุณแม่ไป เมื่อ 2514 ตอนนั้นยายยังไม่ได้เสีย แต่แม่เสียก่อน พ่อก็ยังไม่ได้เสีย มาเสียทีหลังแม่ 5 ปี

ดิฉันอยากรู้ว่าทุกข์มันอยู่ที่ไหน ทำไมเราต้องเป็นทุกข์ เวลาที่เราต้องเสียคนที่เรารัก อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ พอหาตรงนั้นเจอว่า ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่ทุกข์อยู่ที่ใจ จึงทำให้ความทุกข์ของดิฉันลดน้อยลงไป

และเป็นสาเหตุที่ทำให้ดิฉันเลือกที่จะไม่มีคู่ชีวิต ไม่มีบุตร แต่ไม่ใช่ไม่มีความรักนะคะ ยังคงรักหลาน รักลูกเพื่อน รักใครก็ได้หมด รักสัตว์ รักทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกของตัวเอง เพราะคิดว่าห่วงอันนี้เป็นห่วงที่ใหญ่มาก”

• บวชชีพราหมณ์ที่บ้าน

ใต้ต้นไทรที่บ้านใน ซ.สุขุมวิท 38 ในวันที่ปลอดผู้คนมาเยี่ยมเยือน ปราไพมักจะใช้ชีวิตสงบๆอยู่กับการอ่านหนังสือและฟังธรรมะ และบ่อยครั้งที่ใช้บ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรม

“แต่ทำเงียบๆนะคะ คนข้างนอกจะไม่ค่อยรู้มาก ดิฉันบวชชีพราหมณ์ที่บ้าน 15 วัน โดยให้พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์บวชให้ และในแต่ละวันจะไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ให้คนมาหา ทานข้าวมื้อเดียว

ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน ยากกว่าที่วัดเยอะ เพราะว่าสิ่งล่อลวง ใจเยอะมาก ทั้งมีโทรศัพท์โทรมา ทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงจะมาหา ดังนั้น ดิฉันจะไม่รับแขกในช่วงนั้นเลย

เพราะถ้าเราอยากจะขัดเกลาและฝึกจิตของเราให้อยู่คนเดียว ให้ได้ เราต้องอยู่คนเดียว ไม่สบตาเพื่อน ไม่มีอารมณ์สนุกสนาน รื่นเริง ต้องทำจิตให้นิ่งๆ จนเพื่อน (ภัทรา ศิลาอ่อน) ส่งตู้ปลาทองมาให้ เพราะคิดว่าสติจะไม่ดีนะ เป็นบ้าหรือเปล่า(หัวเราะ)”

• ออกงานสังคมให้น้อยลง
ไปงานศพให้มากขึ้น


ทุกวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน ปราไพจะมีนัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆสมาชิกสมาคมไทย-อเมริกัน เฟรนด์ชิพ

“มีคนไทย 18 คน อเมริกัน 15 คน นัดตามโรงแรมบ้าง ตามรีสอร์ตบ้าง ตามบ้านบ้าง แล้วแต่ใครเป็นเจ้าภาพ ไปพบปะเพื่อ แลกเปลี่ยนกันว่า บ้านเมืองเป็นอย่างไร ใครรู้ข่าวอะไรมา มีงาน บุญงานการกุศลตรงไหนที่ควรไปทำ ไปพบปะเพื่อจะทำประโยชน์ เพื่อคนอื่น เพื่อช่วยสังคมที่ลำบากยากไร้”

และในยามที่มีเพื่อนรักอย่าง ภัทรา ศิลาอ่อน, สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม และดาริกา ปุณณกันต์ หรือท่านอื่นๆ เชื้อเชิญให้ไปร่วมงานสังคม ยังคงไปร่วมอยู่บ้าง ทว่าค่อยๆลดน้อยลงไป

“ใครเชิญไปไหนดิฉันก็ยินดี เมื่อสักครู่คุณภัทราโทรมาให้ไปงานซอนต้า งานสังคม ต้องเรียนตามตรงว่า ดิฉันอยากห่างจากตรงนี้ให้มากหน่อย ถามว่างานสังคมไม่ดีหรือ ไม่ใช่.. แต่มันไม่ถูกกับอุปนิสัยของดิฉัน เมื่อก่อนอาจจะขยันแต่งตัวออกไปสังสรรค์ หรูหรานิดหน่อยก็ได้

แต่เดี๋ยวนี้พออายุมากขึ้นๆ มันมีความสมถะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เกิดความเรียบง่ายในชีวิตมาก อยากจะไปงานสังคมให้น้อยลง แล้วไปงานศพ ไปทำบุญที่เกี่ยวกับต่างจังหวัดให้มากขึ้น งานสังคมที่กรุงเทพไม่ค่อยได้ไปหรอกค่ะ

เพราะเราได้ไปมาพอแล้ว งานสังคมหรูหรา หรืองานทุกอย่างที่ต้องใช้เงินใช้ทองเปลือง ก็อยากจะเพลาลงบ้าง ถ้าเอาเงิน เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่าก็อยากจะทำ

ดิฉันไปงานได้ แต่ไม่ได้ชื่นชมในความสวยงาม ความหรูหรา ของงาน ของกระเป๋า ของเครื่องเพชร ของทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นกระเป๋าดีๆ ดิฉันก็ชื่นชม แต่ถามว่าให้ซื้อไหม ไม่ได้อยากได้มากมายขนาดที่ว่าจะต้องซื้อกระเป๋าใบละแสน ดิฉันขอซื้อใบละ 5 พันได้ไหม แล้วเอาที่เหลือไปสร้างห้องน้ำ สร้างเมรุ ไปช่วยด้านการศึกษาของเด็กในต่างจังหวัด”

• ตามรอยแม่

นอกจากนี้ในกลุ่มญาติพี่น้อง “ปราสาททองโอสถ” ก็มีกิจกรรมด้านการทำบุญทำกุศล ให้ต้องทำร่วมกันอยู่เรื่อยๆ

“เราทำบุญทุกอย่างเลย เลี้ยงช้าง คุณหมอปราเสริฐก็ชอบ เลี้ยงวันเด็กก็เลี้ยงเป็นหมื่นคน อย่างที่สุโขทัยที่เรามีสนามบิน ภรรยาของคุณหมอปราเสริฐ ก็เป็นผู้ที่มีใจเป็นกุศลมาก ชอบทำบุญมาก ทำแม้กระทั่งจัดบายศรีเอง เตรียมอาหารเองที่บ้าน”

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะลูกๆ ถูกปลูกฝังมาจากคุณแม่ ผู้มักตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมอาหารทำบุญใส่บาตรจนเป็นกิจวัตร และเมื่อมีโอกาสและกำลังทรัพย์ที่จะทำและให้ได้มากขึ้นจึงไม่รีรอ

“ดิฉันปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย เคยทำบุญกับ ท่าน 2 หน เคยไปทำบุญที่วัดป่านานาชาติ ที่อุบล ของหลวงปู่ชา สุภทฺโท และเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆอย่าง หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, ครูบาชุ่ม ฯลฯ เราไปทั้งนั้น

เมื่อโอกาสมา เรามีโอกาส เราก็ไป ใครมาชวนมาแจกเรื่องทำบุญ เราไม่ปฏิเสธ ทำเท่าที่กำลังทรัพย์มี วัดพระราม 9 ก็เป็นที่ที่หนึ่งที่ดิฉันศรัทธา และไปเสมอ ทั้งท่านเจ้าคุณพระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ) และหลวงพี่โบ๊ท (พระพรพล ปสันโน) รวมถึงวัดสระเกศก็ไป เพราะครอบครัวไป


ตั้งแต่ดิฉันเกิดมา ก็ได้เห็นว่าคุณแม่เป็นคนที่ทำบุญเยอะมาก ตอนดิฉันอายุ 8-9 ขวบ สมัยนั้นจะไม่ชอบพระ เกลียดพระไปเลย เพราะคุณแม่สั่งให้ปลุกตี 5 ครึ่ง เพื่อจะมาทำของถวายพระเช้า ต้องมานั่งเด็ดหางถั่วงอก เด็ดผักชี แต่ตอนนี้กลับมาสนใจทำบุญ และศึกษาธรรมะมาก”

• วิทยากรบรรยายธรรมะ

หลายปีมาแล้วที่ปราไพได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายธรรม ให้กับนักศึกษาและองค์กรต่างๆ ด้วย

“ดิฉันได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้นักศึกษาปี 1 และ ปี 4 ของคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บ่อยๆ ทั้งในงานปฐมนิเทศ และปัจฉิมนิเทศ เพราะนักเรียนระดับเตรียมอุดมเมื่อเข้าไปเจอสิ่งแปลกใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย และนักศึกษาปีสุดท้ายเมื่อเปลี่ยนจากนักศึกษาไปสู่ชีวิตทำงาน เขาจะซัดส่าย วางตัวไม่ถูก เราต้องการสร้างให้เขามีความมั่นใจ และเป็นคนที่มีความเผื่อแผ่ให้มากที่สุด

ไปพูดเรื่องธรรมะกับคุณจิ๊บ ร.ด. (วสุ แสงสิงแก้ว) ที่สถานีวังไกลกังวลก็เคยไป และธนาคารทหารไทยก็เคยเชิญไปบรรยาย ให้กับผู้จัดการฝ่าย 30-50 คน ที่มักมีคำถามว่า ทำไมทำงานแล้ว ไม่มีความสุข ดิฉันก็บอกเขาว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”

• คิดเพื่อผู้อื่น จะรู้เองว่าต้องทำสิ่งใด

ครบรอบ 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่มีกิจกรรมใดเป็นพิเศษที่ปราไพต้องการจะทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำอยู่แล้ว จะถูกขับเคลื่อนต่อไป

“ดิฉันทำบุญกับวัดพระราม 9 อยู่แล้ว ทำห้องปฏิบัติธรรมไว้ ด้วย แล้วก็ยินดีที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ตัวเล็กๆคนหนึ่งของวัดนี้”

รวมถึงอยากเรียกร้องให้ทุกคนทุกองค์กร ช่วยกันหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการให้ทุนทรัพย์หรือให้โอกาสก็ตาม

“อยากให้คิดนิดเดียวว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ทำเพื่อคนอื่นให้มากกว่าเพื่อตัวเอง คุณจะรู้เองว่า คุณจะต้องทำอะไรบ้าง ถ้าคุณทำทุกอย่างเพื่อตัวเองมันจะแคบ หรือถ้าทำเพื่อโรงเรียนเดียวมันก็จะอยู่แค่โรงเรียนเดียว แต่ให้ทำเพื่อทุกโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าทำได้ ไล่ไปจนถึงวัด หรือสถานที่อื่นๆ ที่ขาดแคลนจริงๆ คุณไปทำตรงนั้น

ที่ผ่านมา ดิฉันทำกับเด็กที่ด้อยโอกาสเรื่องการศึกษา เพราะอยากทำตรงนั้นที่สุด และปัจจุบันที่เห็นว่า อยากทำมาก คือเรื่องศีลธรรมของเด็ก ซึ่งดิฉันคิดว่ามันน้อยลงไปในคนรุ่นใหม่ ทั้งเรื่องของการมีสัมมาคาราวะต่อผู้ใหญ่ก็ดี

ไม่ใช่ว่าต้องมาเยินยอหรือมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ..ไม่ใช่ แต่ดิฉันคิดว่าเด็กสมัยนี้ขาดเสน่ห์ ซึ่งไม่มีอย่างที่คนโบราณมีกัน อยากให้เขามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้เขารู้เรา

เด็กสมัยนี้จะไม่ค่อยรู้ เธอไม่ถูกใจใครเธอก็ไปเลย ไม่เสวนา ไม่คบใคร ดิฉันถือว่าศีลธรรมและจรรยาบรรณในคนรุ่นใหม่ น้อยลงกว่าคนสมัยก่อนมาก ความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทุกคนเอา ตัวรอด ทุกคนต้องไปก่อน ไม่มีการหยุดให้ใคร มองว่าตัวเองต้องเป็นใหญ่ ต้องไปก่อน ขาดความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน”

นี่คือชีวิตที่น่าชื่นชมและทัศนะที่น่าฟังของ ปราไพ ปราสาททองโอสถ ผู้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 138 มิถุนายน 2555 โดย พรพิมล)




กำลังโหลดความคิดเห็น