สิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกนี้ คือ “ความ ไม่แน่นอน” ดังนั้น จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท แต่จงมีสติ เรียนรู้ ปรับตัว มองความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม เพื่อพร้อมรับกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ราว 80 ปีก่อน วงการฮอลลีวู้ดคึกคัก ด้วยอุตสาหกรรมภาพยนตร์เช่นเดียวกับทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าความแตกต่าง คือ ในยุคนั้นยังเป็นโลกของภาพยนตร์เงียบ เวลาฉายภาพยนตร์ ต้องมีวงดนตรีอยู่ข้างหน้าจอหนัง เพื่อคอยบรรเลงดนตรีประกอบให้สอดคล้องกับเนื้อหาในเรื่อง
ซึ่งในยุคที่ภาพยนตร์เงียบยังบูมสุดขีดนี่เอง “จอร์จ วาเลนติน” พระเอกหนุ่มใหญ่มาดเท่ คือ ซุปเปอร์สตาร์ที่ใครๆ ก็รู้จัก ภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำล้วนประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างล้นหลาม
ในงานเปิดตัวภาพยนตร์ของวาเลนติน ครั้งหนึ่ง มีเหตุการณ์บังเอิญบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อสาวน้อยนามว่า “เป๊ปปี้ มิลเลอร์” มายืนรอขอลายเซ็นซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจ และโดนผู้คนเบียดเสียดจนกระทั่งออกไปกระทบไหล่วาเลนติน กลายเป็นข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้น ว่าสาวปริศนารายนี้คือใคร
ความจริงแล้วมิลเลอร์เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใฝ่ฝันอยากจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง และประสบความสำเร็จในโลกมายา ในวันถัดมาสาวผู้พกความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงเดินทางไปทดสอบความสามารถในการเป็นนักแสดงตัว ประกอบ และผ่านการคัดเลือกในที่สุด
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆของมิลเลอร์ ทำให้เธอก้าวสู่บันไดความฝันขั้นแรก มีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์เรื่องเดียวกับพระเอกในดวงใจ แม้ว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบซึ่งแทบไม่มีความสำคัญใดๆ ในเรื่องก็ตาม แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้วาเลนตินจดจำ เพราะสาวมั่นรายนี้ แอบเข้าไปในห้องแต่งตัวของพระเอกหนุ่ม และสวมกอดเสื้อสูทของเขาด้วยความคลั่งไคล้ จนกระทั่งวาเลนตินเข้ามาเห็น
พระเอกดังรู้สึกแปลกใจระคนหลงใหลในเสน่ห์ของนักแสดงตัวประกอบ เขาจึงให้ข้อคิดแก่มิลเลอร์ว่า หากเธออยากเป็นดาราที่โด่งดัง ก็ต้องอดทนและสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา
แม้ว่าทั้งคู่แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่นักแสดงโนเนมอย่างมิลเลอร์ ก็จดจำสิ่งที่พระเอกรุ่นใหญ่บอกไว้อย่างขึ้นใจ เธอค่อยๆเติบโตขึ้นมาทีละก้าว จากนักแสดงตัวประกอบในฉากสั้นๆ ก็เริ่มได้รับ บทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด “เป๊ปปี้ มิลเลอร์” ก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงฝ่ายหญิงชื่อดังแห่งยุค
ขณะที่ชีวิตของวาเลนติน กลับผกผัน เมื่อวันหนึ่งนายทุนเจ้าของสตูดิโอ เรียกเขาไปคุยว่า ต่อแต่นี้ไปบริษัทผลิตภาพยนตร์จะเริ่มต้นศักราชใหม่ในวงการจอเงินด้วยภาพยนตร์มีเสียง
เรื่องนี้ทำให้คนที่แสนจะเชื่อมั่นในตนเองอย่างวาเลนติน หัวเราะเยาะกับกระบวนการประหลาดๆที่ต้องพากย์เสียงลงไปในแผ่นฟิล์ม พระเอกคนดังจึงปฏิเสธ ไม่ขอโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ที่เขามองว่า “ไม่น่าจะเวิร์ค” และตัดสินใจแยกทางกับนายทุนเดิม พร้อมประกาศกร้าวว่า เขาจะสร้างภาพยนตร์เงียบต่อไป โดยใช้ทุนของตัวเอง
การลงทุนสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเอง แสดงเอง กำกับเอง ของวาเลนติน ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถสำหรับพระเอกผู้คร่ำหวอดในวงการมานาน แต่ทว่าปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุด คือ พระเอกหนุ่มลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” โดยใช้เงินทุนจากตลาดหุ้นที่ตนมีอยู่ทั้งหมด และเมื่อการสร้างสิ้นสุดลง เขาก็ได้รับข่าวร้ายว่า ตลาดหุ้นในอเมริกาเจ๊งระนาว ซึ่งหมายความว่า หากภาพยนตร์เงียบของเขาไม่ประสบความสำเร็จ วาเลนตินก็คงหมดเนื้อหมดตัว
สถานการณ์ทางการเงินที่เลวร้าย ยังส่งผลให้ภรรยาของวาเลนติน ยอมรับไม่ได้ที่สามีทำอะไรโดยไม่ปรึกษา เธอจึงขอแยกทาง พระเอกหนุ่มจึงเหลือเพียงเจ้าหมาคู่ใจกับคนขับรถที่ทำงานด้วยกันมานาน
และแล้ว “วันชี้ชะตา” ก็มาถึง นั่นคือ วันที่ “ภาพยนตร์เงียบ” ของวาเลนติน ออกฉาย ซึ่งช่างเป็นเรื่องบังเอิญและตลก ร้ายเสียเหลือเกิน เพราะเป็นวันเดียวกับ “ภาพยนตร์เสียง” ของสาวน้อยเป๊ปปี้ มิลเลอร์ ออกฉายเป็นวันแรกเช่นกัน ผลลัพธ์ที่ปรากฏ คือ ภาพยนตร์เงียบนั้น มีผู้ชมแบบโหรงเหรง โรงหนังแทบจะว่างเปล่า ตรงข้ามกับภาพยนตร์เสียงของมิลเลอร์ ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่ในวงการที่ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น แปลกใหม่ จึงได้รับการตอบรับอย่างดี มีคนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อตั๋วเข้าชม
พระเอกระดับซุปเปอร์สตาร์ จึงเข้าสู่ภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นดาวโรย ค่อยๆร่วงหล่นจากฟ้า ขณะที่สาวน้อยมิลเลอร์ ก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับภาพยนตร์เสียง ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้คนชื่นชอบ
“มิลเลอร์” ยังจำได้ถึงความรู้สึกดีๆ และข้อคิดดีๆที่ “วาเลนติน” มีให้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเสมอมา นางเอกดาวรุ่งจึงหาหนทางช่วยพระเอกตกอับ ให้กลับคืนสู่วงการอีกครั้ง
ท้ายที่สุด จากความช่วยเหลือของนักแสดงสาว วาเลนตินจึงกลับมาสู่แวดวงการแสดงอีกครั้ง แต่กลับมาในรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งนั่นเป็นนัยให้ผู้ชมตระหนักว่า การเรียนรู้เพื่อปรับตัวกับความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญในการนำชีวิตให้ก้าวต่อไปข้างหน้า
“The Artist” เป็นภาพยนตร์ที่ให้แง่คิดมากมาย โดยสิ่งที่เด่นชัดมากที่สุด คือ กฎข้อแรกของ “ไตรลักษณ์” เรื่อง “อนิจจัง” หรือ ความไม่เที่ยง
“วาเลนติน” นั้น ละเลยกฎไตรลักษณ์ข้อนี้ จึงตกอยู่ในความประมาท และไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวิชาชีพตนเอง ซ้ำยังประมาทในการวางแผนชีวิต ด้วยการใช้ทรัพย์สินทั้งหมดลงทุนเพื่อหวังอยากเอาชนะ ทำให้ความสำเร็จชื่อเสียง และเงินทองที่เคยมี ต้องสูญสลายไป
แม้ส่วนใหญ่ “ความไม่เที่ยง” มักใช้ในความหมายเรื่องสังขาร ที่เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา แต่บริบทของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ยังครอบคลุมกว้างไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ซึ่งหมายถึงลาภผลเงินทอง ชื่อเสียง หรือความสำเร็จ ด้วยเช่นกัน
The Artist คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม ดารานำชาย ยอดเยี่ยม ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ที่เพิ่งผ่านมา โดยเป็นภาพยนตร์เงียบ ขาว-ดำ ซึ่งสื่อเป็นข้อคิด ให้แก่ผู้ชมได้เช่นกันว่า
แม้ในยุคปัจจุบันที่ผู้ชมต่างคุ้นเคยจากเสียง สีสัน รวมทั้งภาพยนตร์สมัยใหม่ในระบบ 3 มิติ หรือ 4 มิติ ก็ตาม แต่สุดท้าย ภาพยนตร์แบบเก่าๆสมัยก่อน ที่เราลืมเลือนไปแล้ว ก็กลับมาสู่ความสำเร็จได้อีกครั้ง เพราะ “ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน” นั่นเอง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 136 เมษายน 2555 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)