เมื่อสมัยที่ฉันอายุราว 10 ขวบตอนนั้นกำลังเรียนชั้นประถม ที่บ้านได้เลี้ยงแมวสีดำจมูกขาวไว้ตัวหนึ่ง ชื่อ “เจ้าเดี่ยว” แม่บอกว่าเลี้ยงไว้ช่วยจับหนู ฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ เพราะมันชอบมาพันแข้งพันขา บางทีฉันนอนเล่นอยู่ในบ้าน มันก็มานอนเบียดใกล้ๆ ไล่ก็ไม่ไป ฉันก็ต้องลุกหนีไปเอง นับวันฉันก็ยิ่งไม่ชอบมัน แต่มันคงไม่รู้หรอก
วันหนึ่ง หลังจากที่แม่คลุกข้าวให้มันกินแล้ว และพวกเราก็กินข้าวเสร็จแล้ว ฉันก็มีหน้าที่ล้างจาน ขณะที่ฉันกำลังล้างจานอยู่นั้น เจ้าเดี่ยวก็เดินเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ฉันเอ่ยปากไล่ เพราะไม่อยากให้ชามที่ล้างไว้สะอาดดีแล้ว ต้องมาโดนขนแมวสกปรก แต่ไล่เท่าไหร่มันก็ไม่ไป กลับมานั่งเลียขนอยู่ข้างๆ ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดมาก จึงโยนชามกระเบื้องใส่มัน
“เพล้ง!!” เสียงจานกระทบพื้นแตกกระจาย เจ้าเดี่ยวตกใจกระโดดหนี พร้อมกับร้องเมี้ยวๆ ขณะที่แม่ก็เดินมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น ฉันโดนแม่ดุที่ทำจานแตก ฉันรู้สึกเสียใจจนร้องไห้ เมื่อล้างจานเสร็จ ก็ต้องมานั่งเก็บเศษกระเบื้องแตกอีก ตอนนั้นรู้สึกว่า ในใจฉันโกรธแค้นเจ้าแมวดำตัวนี้มาก
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ เจ้าเดี่ยวก็เดินเข้ามาหา แล้วก็มาขดตัวอยู่ข้างๆ ฉันทั้งตีทั้งผลัก แต่มันลุกไปเดี๋ยวเดียว แล้วก็กลับมาอีก ทำให้ฉันเกิดความโมโหมาก จึงคว้ามีดคัทเตอร์ที่วางไว้เหลาดินสอ ขึ้นมาขู่มัน
“ไป..ชิ้วๆ..ไปไกลๆเลย ถ้าไม่ไปฉันจะเอามีดสับขาแก ไปเร็วๆ”
แต่เจ้าเดี่ยวมันไม่เข้าใจภาษาคนหรอก และมันก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่ฉันถืออยู่ในมือนั้นคืออะไร มันจึงไม่ยอมลุกไปไหน แถมยกขาขึ้นมาเลียอย่างสบายใจ
ด้วยความโกรธสุดขีด ฉันจึงใช้มีดคัทเตอร์ฟันเข้าไปที่ขาของมัน เจ้าเดี่ยวสะดุ้งสุดตัว กระโดดหนี พร้อมกับร้องเมี้ยวๆด้วยเสียงที่โหยหวน !!
เมื่อมันไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้หันไปมองอีกเลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำการบ้านจนเสร็จ
ตอนที่ฉันจะเดินไปอาบน้ำ ฉันเห็นเจ้าเดี่ยวมันนอนอยู่ข้างๆแม่ ที่ขามันมีผ้าพันแผลอยู่ แม่พูดว่า สงสัยเจ้าเดี่ยวมันไปปีนหลังคาบ้านเลยถูกสังกะสีบาดเป็นแผลยาว แม่ก็เลยทำแผลให้มัน แต่ยังดีที่แผลไม่ลึกมาก
ฉันได้ยินแล้วก็พยักหน้า ไม่พูดอะไร เดินไปอาบน้ำ ฉันไม่กล้าบอกแม่ว่า ที่เจ้าเดี่ยวเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่สังกะสีบาดหรอก เป็นฝีมือของฉันล้วนๆ
และตั้งแต่นั้นมา เจ้าเดี่ยวก็ไม่เข้ามาใกล้ฉันอีกเลย เมื่อมันเห็นฉันกลับมาจากโรงเรียน มันก็จะเลี่ยงไปแอบซุกอยู่ข้างๆลังใส่ของ
ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สามารถทำให้เจ้าแมวดำจมูกขาวไม่มายุ่งด้วย และเจ้าเดี่ยวยังคงอยู่กับครอบครัวเรามาอีกนาน
.......
วันนี้ที่ฉันหวนคิดถึงเจ้าเดี่ยว เพราะสิ่งที่เคยทำไว้กับมัน ได้ย้อนกลับมาทำร้ายฉันจนเจ็บปวดเหมือนกับที่มันเคยได้รับ และนี่ก็คือกฎแห่งกรรม ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อฉันได้แต่งงานและแยกครอบครัวออกไป หลังแต่งงานได้ราว 5 ปี ฉันก็มีลูกสาวเล็กๆคนหนึ่ง ชื่อเล่นว่า “นิ้ง” ใครเห็นก็บอกว่าหน้าตาน่ารัก นิ้งเป็นเด็กขี้อาย และเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของฉันและสามี เพราะเป็นลูกสาวคนแรก ฉันจึงเลี้ยงดูลูกสาวอย่างทะนุถนอม สุดชีวิต
พอนิ้งเริ่มเดินเตาะแตะ สามีก็ชวนไปเที่ยวเชียงใหม่ เพราะเห็นว่าฉันเหนื่อยกับการเป็นแม่บ้านมาหลายปี และตอนนี้ลูกก็โตพอเดินได้บ้างแล้ว ฉันตอบตกลงด้วยความดีใจ
เราค่อยๆขับรถไปกันเอง ค่ำไหนก็พักที่นั่น จนกระทั่งมาถึงเชียงใหม่ เราไปเที่ยวกันหลายที่ รวมทั้งน้ำตกแม่สาที่ใครๆบอกว่าสวยที่สุด ถ้าไปเที่ยวเชียงใหม่ ต้องไปให้ได้
เมื่อมาถึงน้ำตก สามีก็อุ้มลูกไปหาที่นั่ง ส่วนฉันก็ถือตะกร้าของตามไป เราเลือกนั่งตรงบริเวณที่มีผู้คนนั่งอยู่ เพราะมีเสื่อของร้านขายส้มตำปูไว้ ฉันสั่งข้าวเหนียว ส้มตำ และไก่ย่าง มานั่งกินอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศที่สดชื่น สวยงาม
หลังจากกินเสร็จฉันก็เดินไปล้างมือตรงแอ่งน้ำใกล้ๆ ส่วนลูกสาวนั่งเล่นอยู่กับพ่อ ขณะนั้นเอง น้องนิ้งก็ลุกขึ้นและค่อยๆเดินเตาะแตะมาหาฉัน โดยสามีนั่งมองอยู่
และแล้ว.. ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรตกลงข้างๆ พร้อมๆกับเสียงร้องไห้จ้า ฉันรีบหันไปดู ลูกสาวแสนสวยของฉันนั่นเอง เดินสะดุดล้มลง หน้าคว่ำ สามีรีบเข้ามาอุ้มแล้วปลอบให้หยุดร้องไห้ ส่วนฉันก็รีบเช็ดมือแล้วก็เช็ดหน้าตาลูกสาวที่เปื้อนดิน แต่แทนที่น้องนิ้งจะหยุดร้องเหมือนที่เคยเป็นตอนเดินหกล้ม เจ้าตัวน้อยกลับแผดเสียงร้องดังกว่าเดิม
สามีซึ่งอุ้มลูกอยู่ ก็พาลูกเดินไปรอบๆ เพื่อปลอบขวัญ ทันใดนั้นฉันก็เห็นเลือดสดๆไหลมาจากขาของลูก ฉันรีบบอกสามีให้วางลูกลงกับพื้น แล้วดูว่า เลือดออกตรงจุดไหน ปรากฏว่า มีเศษขวดแก้วเครื่องดื่มชูกำลัง ปักติดอยู่กับหน้าขาของลูกสาวเป็นทางยาว!!
นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ลูกสาวแสนรักของฉันร้องไห้ไม่หยุด ฉันค่อยๆบรรจงดึงเศษแก้วออกจากขาลูก เอากระดาษทิชชูชุบน้ำดื่มที่สะอาดเช็ดแผล แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของสามีที่ยังไม่ได้ใช้ มารัดแผลไว้ จากนั้นเราก็รีบขับรถไปคลินิกหมอที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางน้องนิ้งก็ร้อง ไห้สะอึกสะอื้นมาตลอด
หลังตรวจดูแล้ว หมอบอกว่า โชคดีที่เศษแก้วบาดไม่ลึก หมอจึงใส่ยาห้ามเลือด และทำแผลให้ โดยไม่ได้เย็บ และบอกว่าอีกไม่นานก็หาย
พอเราออกจากร้านหมอ ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นมันเจ็บปวดเหมือนเศษแก้วบาดเข้าที่หัวใจ ลูกสาวร้องไห้จนเพลียหลับอยู่ในอ้อมกอดตลอดทางที่เราเดินทางกลับที่พัก และเราทั้งสองก็ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น เพราะเป็นห่วงลูก
......
เวลาผ่านไปอีกหลายปี น้องนิ้งเติบโตเป็นสาวน้อยน่ารัก แต่ร่องรอยบาดแผลยังคงปรากฏอยู่ที่ขา
ฉันเคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง ตอนที่พาลูกสาวไปหายาย แม่เห็นแผลของหลานแล้ว จึงพูดขึ้นว่า
“จำได้ไหมที่เจ้าเดี่ยวโดนสังกะสีบาด จริงๆแล้วแม่รู้ว่าเป็นฝีมือของลูก ทีนี้รู้หรือยังล่ะว่า ตอนนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน”
ฉันฟังที่แม่พูดแล้วได้แต่น้ำตาซึม ไม่คิดว่าเวรกรรมมันจะมาตกที่ลูกสาวที่ฉันรักดังดวงใจ คงเหมือนกับที่พระท่านสอนไว้ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่มา และมีกรรมเป็นที่ไป
และฉันจำไม่ได้ว่า สมัยเด็กๆได้เคยทำบาปอะไรไว้อีกบ้าง ดังนั้น ทุกวันนี้ ฉันจึงเพียรทำบุญสร้างกุศล บริจาคโลหิต ปล่อยนกปล่อยปลา เข้าวัดฟังธรรม ถือศีลภาวนา เท่าที่โอกาสจะอำนวย พยายามทำความดีให้มากที่สุด เพราะอย่างน้อยๆบาปกรรมที่อาจหลงเหลืออยู่ ก็คงบรรเทา เบาบางลงได้บ้าง
ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 135 มีนาคม 2555 โดย นิศรา)