วันที่ 14 ก.พ. “วันวาเลนไทน์” หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็น “วันแห่งความรัก” ซึ่งมีกำเนิดจากวัฒนธรรมของชาติตะวันตก เป็นวันที่ผู้คนนิยมมอบดอกกุหลาบและของขวัญให้กับคู่รัก
แต่นอกเหนือจากความรักฉันหนุ่มสาวแล้ว ยังมีความรักในรูปแบบอื่น ซึ่งถือว่ามีความสำคัญในวัฒนธรรมไทย นั่นก็คือ ความรัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งปัจจุบันถูกกัดเซาะด้วยวัฒนธรรมต่างชาติ และแนวคิดต่างๆ ที่ทำให้สังคมไทยกำลังลืมเลือนความรักใน 3 สถาบันหลักของไทย
การทำความรู้จักเพื่อซึมซับวิธีคิด หลักการใช้ชีวิต คุณธรรมและจิตสำนึก ของ “พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ” อดีตรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก และแกนนำคนสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยืนยันว่า “ชีวิตทุกวันนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปไม่มีอะไรที่ต้องติดค้าง เสียใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำให้กับ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” นั้น เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนควรนำไปปฏิบัติใช้
• คำสอนของครอบครัว และรร.นายร้อย
เบ้าหลอมสำคัญในการสร้างความรักชาติรักแผ่นดิน
อดีตนายพลแห่งกองทัพบกวัย 77 ปี ผู้นี้ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2478 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจน บิดารับราชการเป็นตำรวจ มารดาเป็นแม่บ้าน มีบุตรทั้งหมด 5 คน โดย พล.อ.ปรีชาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว แม้ว่าฐานะจะไม่ร่ำรวย แต่คำสอนของบิดามารดาได้ปลูกฝังความมีระเบียบ วินัย รู้จักหน้าที่และอดทนชนิดที่ว่า “ถ้าไม่มีกิน ก็ให้อด อย่าไปแย่งหรือขอใครเด็ดขาด”
แต่ด้วยความที่พล.อ.ปรีชา เป็นคนเรียนดี ดังนั้น เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดทรงธรรม จึงได้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ทั้งๆ ที่ครอบครัวอยากให้เรียนแพทย์ แต่ทว่าด้วย ความยากจน การเลือกสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารและรับราชการจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัวได้ โดยในวันที่เข้าสอบคัดเลือก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายกว่า 1,800 บาท ก็ได้รับการช่วยเหลือจากปู่ ซึ่งขายข้าว 2 เกวียน เอาเงินมาให้ พร้อมกำชับหนักแน่นว่า “เอ็งเป็นหลานข้า ต้องอดทน อย่าไปคดโกงใครเด็ดขาด”
คำสอนของคนในครอบครัวได้ปลูกฝัง ความอดทนและความมีศักดิ์ศรีให้กับพล.อ.ปรีชามาอย่างเต็มเปี่ยม จนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้สมความตั้งใจ
จากนั้นอดีตรองเจ้ากรมฯได้เข้าสู่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 7 (จปร.7) รุ่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
คำอบรมสั่งสอนจากครอบครัว และรั้วโรงเรียนนายร้อยได้เป็นเบ้าหลอมสำคัญในการสร้างความรักชาติ รักแผ่นดิน รวมทั้งปลูกฝังความเป็นผู้นำที่ดีของพล.อ. ปรีชา ซึ่งพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดกำลัง เพื่อชาติ
• ความภาคภูมิใจในชีวิต “ทหารนักรบ”
การทำหน้าที่ชายชาติทหารในสมรภูมิรบที่สุดโหด และเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากที่สุดในชีวิตของอดีตนายพลผู้นี้คือ สมรภูมิ ทุ่งไหหิน ในประเทศลาว พล.อ.ปรีชา ซึ่งในขณะนั้นมียศ “พันเอก” เป็นผู้บังคับกองพัน นำทหารแนวหน้าซึ่งห่างจากฐานสนับสนุนกว่า 100 กิโลเมตร เข้าโจมตีฐานที่มั่นของศัตรูซึ่งมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีในขณะนั้น ถือว่ายากลำบาก และเสี่ยงเป็นอย่างมาก
“ในฐานะที่เราเป็นทหารและเป็นผู้นำ ต้องใจกล้าเด็ดเดี่ยว ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะนั้นต้องโรยตัวลงมา ฝ่ากระสุน แต่ผมก็ลุยคนแรกและสำเร็จ ทำให้ทหารคนอื่นๆมีความกล้า แต่ในเวลานั้นไม่มีความกลัวในใจ นึกถึงแต่ว่าต้องชนะ ต้องทำเพื่อชาติเท่านั้น”
ยังไม่นับรวมถึงการรักษาอธิปไตยที่เสี่ยงชีวิตสำคัญหลายครั้ง ทั้งการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่สมรภูมิภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก
อีกหนึ่งสมรภูมิที่สร้างความประทับใจ ความปลื้มปีติ และความจงรักภักดีอย่างที่สุดในชีวิตก็คือ การร่วมรบในสงครามเวียดนาม ที่เรียกว่าเฉียดเป็นเฉียดตาย ครั้งสำคัญของชีวิต โดยก่อนการออกรบ กองทัพบกได้ขอพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดา (พระกำลังแผ่นดิน) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นายทหาร โดยพล.อ.ปรีชาได้เข้ารับพระราชทานจากพระหัตถ์
เหตุการณ์ที่ได้สร้างความภาคภูมิใจและขวัญกำลังใจให้แก่ พล.อ.ปรีชาอีกครั้งก็คือ เมื่อเดินทางเข้าสู่สนามรบในประเทศเวียดนาม ด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำกำลังพลเข้ารุกพื้นที่ หน่วยของพล.อ.ปรีชาเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ สำหรับขนส่งกำลังพล 1 ลำ และสำหรับคุ้มกัน 1 ลำ ในระหว่างที่กำลังเดิน ทางนั้น ได้ถูกซุ่มโจมตีด้วยกองกำลังภาคพื้นดินของศัตรู พล.อ.ปรีชาจึงได้ยิงตอบโต้กลับไป แต่ชั่วขณะที่เฮลิคอปเตอร์กลับลำเพื่อหาเป้าหมายที่หลบซุ่มอยู่ เสี้ยวเวลาของการหยุดลั่นไกปืนกลประจำเครื่อง คมกระสุนจากเบื้องล่างจึงพุ่งขึ้นมายังเฮลิคอปเตอร์ และแฉลบไปโดนนายทหาร คนหนึ่งที่อยู่บนเครื่อง เลือดทะลักออกมา แดงฉาน
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ คมกระสุนที่พุ่งมา ไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับพล.อ. ปรีชาได้แม้แต่นิดเดียว ด้วยปาฏิหาริย์จาก พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทำให้พล.อ.ปรีชามีกำลังใจ ฮึกเหิม และนำกำลังกลับมาโจมตีจนสามารถเอาชนะศัตรูได้
“เป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระสมเด็จจิตรลดาจากพระหัตถ์มอบให้กับนายทหารที่ออกรบในครั้งนั้น และเมื่อผมออกรบก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผมยิ่งต้องทำดีเพื่อรักษา ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างไม่เสียดายชีวิต และต้องเตือนไปยังผู้ที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ต่อพระมหากษัตริย์ ว่าไม่สมควร ควรหยุดได้แล้ว”
ตลอดชีวิตในการรับราชการทหาร ของพล.อ.ปรีชา จึงเรียกได้ว่าเป็นนายทหารนักรบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิใดๆ พล.อ.ปรีชา มักจะเป็นชื่อแรกๆ ที่ถูกนึกถึง ทั้งนี้เพราะความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว จนสามารถสร้างเกียรติประวัติของทหารไทยตามที่บันทึกไว้ก็คือ การได้เงินเพิ่มสู้รบมากถึง 16 ขั้น ซึ่งนับว่ามากที่สุดในกองทัพไทย
• ร่วมสร้างคุณธรรม
กระตุ้นจิตสำนึกความรักชาติ
นอกเหนือจากการสู้รบแล้ว ภารกิจอื่นๆ ในฐานะทหาร พล.อ.ปรีชาก็พร้อมปฏิบัติอย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่การดายหญ้า หรือทำความสะอาดพื้นที่กรมกองในกองบัญชาการ ที่ทำได้ดีถึงขั้นได้รับโล่เชิดชูเกียรติมาแล้ว
นอกจากนี้ ยังรวมถึงงานในสายของการสร้างคุณธรรม จิตสำนึก และระเบียบ วินัยในการฝึกอบรมให้ความรู้ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยยึดหลักการให้ทหารทุกคนจำ ขึ้นใจใน 3 หลักสำคัญ ได้แก่ 1.เป็นผู้นำ ดีมีคุณธรรม 2.ช่ำชองอาวุธ ยุทธวิธี ปืนแม่นยำ และ 3.ร่างกายแข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมทันทีในการเข้าสู่สนามรบ
รวมไปถึงการประพฤติตนให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งพล.อ.ปรีชา มองว่า หากคำนึงถึงหน้าที่ที่รับผิดชอบ ทำอย่างเต็มความสามารถ ไม่ประพฤติผิด ไม่คดโกง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสอนให้ทุกคนรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ ซึ่งหากทุกคนในสังคมทำ ตามหน้าที่ ประเทศก็จะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ประชาชน ตลอดจนนักการเมือง หากทำหน้าที่ของตนได้ดีแล้ว ทุกอย่างก็จะดีหมด
แต่ด้วยโลกที่เปลี่ยนแปลงก็ยังต้องเน้นไปสู่หลักคิดของการไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้กับคนชั่ว คนไม่ดี ซึ่งหากไม่เป็นเครื่องมือในการร่วมกระทำผิด ปัญหาก็จะเบาบางลง สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายก็จะหมดไปได้ ซึ่งพล.อ.ปรีชาได้ประพฤติมาตลอดการรับราชการ
“ตลอดชีวิตราชการ ผมเติบโตมาด้วยความมุ่งมั่น อุตสาหะ ไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อหาผลประโยชน์ ทำโดยมุ่งเพื่อปกป้องชาติ เป็นสำคัญ แล้วทรัพย์สิน ชื่อเสียง เงินทอง จะมาเอง ขอเพียงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อลูกน้องเข้ามาวิ่งเต้นเพื่อขอตำแหน่ง ผมก็ไม่ให้ ต้องยอมรับว่าแรกๆ อาจจะยาก แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ก็จะเลิกไปเอง ข้าราชการทุกคนหรือคนไทยทุกคนควรที่จะยึดมั่นในหลักการที่ว่านี้ เพราะสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายนิยมใช้เงินเป็นเหยื่อล่อ”
จนกระทั่งเกษียณอายุราชการแล้ว อดีตรองเจ้ากรมฯก็ได้ผันตัวเองเข้ามาทำงานด้านส่งเสริมคุณธรรมและเผยแผ่พุทธศาสนา โดยเป็นที่ปรึกษาและรองประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม หรือ “ศูนย์คุณธรรม” โดยมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตนายทหารเพื่อนร่วมรุ่น เป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังเป็นกรรมการและที่ปรึกษาการจัดงานวันวิสาขบูชาโลกในปี พ.ศ.2550 แต่ก็ยังไม่ทิ้งความรู้ ประสบการณ์ในวิชาทหาร ด้วยการทำหน้าที่อบรม ทหารที่จะเข้าประจำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
เมื่อปี พ.ศ.2551 พล.อ.ปรีชาได้เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยจุดเริ่มต้นการขึ้นเวที ก็เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน การที่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี (เสียชีวิต) ได้ปล่อยให้มีการปักธงชาติกัมพูชา บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งถือเป็นการไม่รักษาอธิปไตย ของไทยในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งในฐานะของพลเมืองไทยจะต้องร่วมกันรักษาด้วยชีวิต เลือดรักชาติรักแผ่นดินของนายทหารอย่าง พล.อ.ปรีชา จึงพุ่งพล่านส่งให้เขาขึ้นสู่เวทีพันธมิตร เป็นแกนนำมวลชนคนสำคัญ ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมา เฉกเช่นวิสัยของชายชาติทหาร
“เราเป็นทหารที่นำการรบ เพื่อรักษาพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มาเองกับมือ ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ต่างชาติมาประกาศสิทธิเหนือดินแดนไทย สมัยก่อนสู้กันดุเดือดเพื่อป้องกัน แต่ขณะนี้ยอมกันง่าย ผมจึงยอมไม่ได้ ต้องออกมาปลุกจิตสำนึก สร้างความเข้าใจให้กับสังคม”
ดังนั้น ในเวลานี้สิ่งที่ พล.อ.ปรีชา มองว่าเป็นจุดอ่อนของสังคมไทยก็คือ การขาด “จิตสำนึก” ในการรักชาติ ที่ลดลง จึงทำให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับผิดชอบไม่ดีนัก ไหลตามกระแสของโลกทุนนิยม ซึ่งจำเป็นปลุกจิตสำนึกเหล่านี้ขึ้นมา และอยู่กับสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสอนไว้คือ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ให้ประชาชนทุกคนอยู่อย่างพอดี ใช้ชีวิตอย่างพอดี ซึ่งเมื่อไม่อยากได้อยากมีจนเกินตัว ความโลภ กิเลสต่างๆก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาลบล้างจิตสำนึกที่ดีได้
การรู้จักตนเองและใช้ชีวิตอย่างพอดีนี้ ส่งผลให้พล.อ.ปรีชา ในวัย 77 ปี ยังคง มีสุขภาพแข็งแรง มีบุคลิกที่สง่างาม ไม่มีโรคภัยใดๆ เบียดเบียน
เขาเล่าว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากจิตที่คิดดี ทำดี วินัยที่ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็ก และเข้าสู่ชีวิตราชการและกินอยู่อย่างสมถะตามความเหมาะสม ไม่อยากมีอยากได้จนเกินตัว ทุกเช้าจึงเริ่มต้นด้วยการวิดพื้น ซิทอัพ ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยศร้อยตรีจนถึงปัจจุบัน และเลือกกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ไม่เสพสิ่งเสพติดทั้งสุราและบุหรี่ จึงทำให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
แม้วันนี้จะเป็นพียงอดีตนายทหารนอกราชการ แต่พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ยังคงเป็นชายชาติทหารที่เปี่ยมไปด้วยความ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างไม่เสื่อมคลาย
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 134 กุมภาพันธ์ 2555 โดย เฉลิมพล)