xs
xsm
sm
md
lg

มองเป็นเห็นธรรม : สหกรณ์ชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หลวงตาครับ ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วครับ เมียที่ไม่รับผิดชอบหน้าที่แม่บ้าน ลูกจะเป็นอยู่อย่างไรก็ไม่สนใจ มุ่งเอาแต่เงินผัวอย่างเดียว อย่างนี้ต้องเลิกกันแน่ครับหลวงตา”

“หลวงตาคะ หนูก็จะขอเลิกเหมือนกันค่ะ ผัวที่ไม่รับผิดชอบหน้าที่พ่อบ้าน ลูกจะเป็นจะตายก็ไม่สนใจ เอาแต่สนุกส่วนตัวไปวันๆ ไม่รับผิดชอบงานในบ้านเลย เลิกกันดีกว่าค่ะ หลวงตา”

“พ่อแม่เลิกกัน แล้วพวกหนูจะอยู่กับใครล่ะคะ?”

“อยู่กับพ่อแกซิ เขามีเงินเลี้ยงดูพวกแกได้ตลอดเวลา ฉันไม่ไหวหรอก”

“อ้าว..พูดอย่างนี้ได้ไง เธอต้องเอาลูกไปเลี้ยงด้วย เป็นแม่ภาษาอะไร ไม่ยอมรับผิดชอบหน้าที่เลย”

“หลวงตาช่วยพูดให้พ่อแม่หนูไม่เลิกกันหน่อยซิคะ”

“หนูแดง.. ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องคนเลี้ยงน่ะ มาอยู่ศูนย์เด็กของหลวงตาที่วัดนี่แหละ หมาเขาเอามาทิ้งหลวงตายังเลี้ยงได้เลย นับประสาอะไรกับลูกที่พ่อแม่ไม่เอา ไปๆ ลงไปดูห้องหับที่จะอยู่เลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว พ่อแม่เขาจะได้สบายใจไม่มีห่วงผูกขาให้กังวลใจอีกต่อไป”

“ทำไมหลวงตาพูดอย่างนี้ล่ะครับ เอาลูกผมไปเปรียบกับหมาได้ไง ผมไม่ได้ทิ้งลูกนะครับ แต่จะให้แม่เขาเลี้ยง แล้วผมก็จะส่งเงินช่วยเหลือทุกเดือน”

“หนูไม่เอาหรอกค่ะหลวงตา พ่อมันไม่เอา หลวงตาก็รับเลี้ยงเลยค่ะ จะได้รู้กันว่าพ่อมันไม่รับผิดชอบ”

“เอ๊ะ เธอนี่.. ไม่รักลูกเลยหรือไง อยากให้ลูกมีปัญหารึ พูดไม่คิดเลยนะ”

“ทำไมล่ะ ทีเธอก็จะยกลูกให้ฉัน คิดหรือว่าเอาเงินมาให้แค่นี้ มันจะพอยาไส้ไปได้ตลอดเดือนน่ะ ฉันไม่เอาหรอก”

“เอาล่ะๆๆ หยุดทั้งคู่เลย อุตส่าห์ให้ลูกลงไปแล้ว แทนที่จะรู้สำนึก กลับทำตัวเป็นเด็กอีก น่าตีจริงๆ เอ้าหลับตาลง นั่งสมาธิ สงบจิตใจก่อนแล้วค่อยคุยกัน อย่าขยับหนีล่ะ อาตมาจะนั่งเฝ้าตรงนี้ ไม่จบกันตรงนี้ วันนี้ก็ไม่ต้องไปไหนเลย”

“จะนั่งได้อย่างไรครับหลวงตา อารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวก็เห็นแต่บาปเท่านั้นเอง”

“บอกให้นั่งก็นั่งไป หลับตาด้วย แกจะพูดอีกทำไม เมียแกก็นั่งแล้วนะ”

.........

“ต่อไปนี้ ให้ฟังอย่างเดียว ลองคิดทบทวนดูสิว่า กว่าจะแต่งงานกันได้นั้น มันยากลำบากแค่ไหน อาตมาฟังพวกเธอพร่ำพรรณนาอุปสรรคในเรื่องนี้ จนยอมมาเป็นประธานสงฆ์ในงานมงคลสมรสของเธอทั้งสอง

จำได้ไหมว่า อาตมาให้พรวันมงคลสมรสว่า ชีวิตคู่สมรสก็คือสหกรณ์ชีวิต เธอสองคนมาแต่งงานกันด้วยความสมัครใจ ด้วยความรัก และความหวังที่จะสร้างครอบครัวที่ดีร่วมกัน จะช่วยกันทำให้สหกรณ์ชีวิตดำเนินไปด้วยหลักการประชาธิปไตย คือฟังเสียงของกันและกัน ด้วยความเสมอภาค ความเที่ยงธรรม และความเป็นเอกภาพในครอบครัว

อาตมาย้ำในวันนั้นว่า ครอบครัวจะดำเนินไปได้ตามความประสงค์ เธอทั้งสองจะต้องมั่นคงในศีลธรรม มีความสุจริตใจต่อกัน ร่วมกันรับผิดชอบภาระครอบครัว ด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถปรับตัวเข้าหากัน อันจะส่งผลให้นำครอบครัวไปสู่วิถีแห่งความสุข ที่เธอทั้งสองปรารถนา

แต่วันนี้ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากอะไรก็ตาม เธอทั้งสองกำลังทำให้สหกรณ์ชีวิตล้มเหลว ถึงขั้นล้มละลาย เธอปรารถนาให้เป็นเช่นนี้จริงๆหรือ? คิดทบทวนไปแล้วค่อยคุยกัน เดี๋ยวอาตมาจะนั่งฟังเอง ลองคิดทบทวนดู

วันนี้ดอกผลสหกรณ์ชีวิตของเรามีถึง 3 คน กำลังรอการฟูมฟักให้เติบใหญ่เป็นลูกที่ดี เป็นคนดีของสังคม เราสมัครใจให้เขาถือกำเนิดมาในครอบครัวของเรา เราทำใจเปิดกว้างต่อกันในการทำหน้าที่ของพ่อแม่แล้วหรือยัง เราใช้หลักประชาธิปไตยในการเสนอความคิดเห็นร่วมกันในเศรษฐกิจของสหกรณ์เราหรือไม่

เราได้เรียนรู้ศึกษาถึงตัวตนของแต่ละคนมาแล้วก่อนจะเข้าสู่พิธีการมงคลสมรส หลังจากนั้นเราต้องปฏิบัติต่อกันเพื่อประคองสหกรณ์ชีวิตให้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมีความวัฒนาสถาพร เราได้แสดงน้ำใจเอื้ออาทรห่วงหากัน ร่วมมือกันในสหกรณ์ชีวิตนี้หรือไม่

จงพิจารณาดูในการดำเนินชีวิตครอบครัวที่ผ่านมา ความรักความปรารถนาดีต่อกัน มันงอกงามเพิ่มพูนหรือน้อยลง คิดให้ดี ดูให้เห็นจริง ด้วยสติปัญญาของเรา......”

.........

“แม่.. พ่อขอโทษนะ พ่อลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่ตอนที่เราแต่งงานกัน ความรักที่พ่อมีให้แม่วันนี้ก็เพิ่มพูนมากขึ้น แต่บางครั้งงานมันรุมเร้าทำให้เกิดความเครียด ทำให้ต้องทะเลาะกับแม่เกือบทุกวัน พ่อนี่แย่จริงๆ เกือบทำสหกรณ์ชีวิตของเราล้มละลายไปแล้ว ขอโทษนะจ๊ะ”

“จ้ะ..แม่เองก็ต้องขอโทษด้วย ภาระในบ้านมันมากไป ทำให้เครียดตลอดเวลา กลัวไปหมด ห่วงลูกว่าจะไปเกิดความเสีย หาย อยากระบายกับพ่อบ้าง เพื่อให้พ่อได้แบ่งเบาความทุกข์ในจิตใจ จะได้มีกำลังใจต่อสู้ ทำให้สหกรณ์ชีวิตของเราอยู่ได้อย่างเจริญรุ่งเรือง

อารมณ์โกรธก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อไม่ยอมฟังไม่ยอมรับรู้อะไรเลยในบ้าน จึงคิดไปเองว่าพ่อคงหมดอาลัยในแม่แล้ว

เอาอย่างนี้นะ..ต่อไปพ่ออยากทำอะไรก็ทำเถอะ แม่จะทำงานเพื่อลูกของเรา ทำให้สมหน้าที่ของแม่ ทำให้ดอกผลของสหกรณ์ชีวิตเราได้เติบโตมีคุณภาพ สามารถต่อสู้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”

“แม่ไม่ผิดหรอก พ่อผิดเอง ต่อไปพ่อจะฟังแม่พูดให้มากขึ้น จะไม่เอาเรื่องเครียดในที่ทำงานกลับมาบ้าน พ่อจะช่วยแม่ดูแลลูกด้วย พ่อสัญญา”

“เออ เข้าใจกันก็ดีแล้ว ต้องคอยดูแลซึ่งกันและกัน จะได้ประคับประคองสหกรณ์ชีวิตให้รุ่งเรือง...

เณรๆ ไปตามลูกๆโยมมาหน่อย จะได้พูดกันเสียทีเดียวเลย

เอาล่ะ...เมื่อมาพร้อมกันแล้ว หลวงตาก็อยากจะบอกทุกคนว่า การดำเนินชีวิตครอบครัวนั้น ก็เหมือนการทำสหกรณ์ชีวิต ที่ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบทำให้สหกรณ์ชีวิตของเราดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นมั่นคง มีความเจริญรุ่งเรือง

ใครมีหน้าที่อะไร ก็ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความยินดี เช่น พ่อมีหน้าที่หาเงินมาบำรุงเลี้ยงดูครอบครัว ก็ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัว ต้องสงวนเงินไว้ให้ครอบครัวใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ แม่ทำหน้าที่บริหารครอบครัว เพื่อให้คนในครอบครัวสามารถดำเนินชีวิตไปตามสมควรกับฐานะ ก็ต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินที่พ่อหามาได้ ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนในครอบครัวอย่างสูงสุด ลูกๆก็มีหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียน ก็ต้องหมั่นเพียรในการเรียน ไม่ทำตัวเหลวไหล ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ช่วยงานบ้านตามหน้าที่ที่แม่มอบหมายให้

คราวนี้ เรามาพิจารณากันดูว่า การทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้นั้น เราก็ต้องมีความรักซึ่งกันและกัน พ่อก็ต้องให้ความรักแก่แม่และลูก แม่ก็ต้องให้ความรักแก่พ่อและลูก ลูกก็ต้องให้ความรักแก่พ่อแม่ ความรักเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน

ความรักที่พ่อแม่มีต่อกัน ต้องเป็นความรักที่เกิดจากความปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ต้องเป็นความรักแบบพรหมวิหาร คือกอปรด้วยเมตตา ความปรารถนาให้ลูกมีความสุข กรุณา ความปรารถนาให้ลูกพ้นจากความทุกข์ มุทิตา ความพลอยยินดีกับลูก และอุเบกขา การทำใจให้เป็นกลาง เมื่อตนได้ทำหน้าที่ของพ่อแม่สมบูรณ์แล้ว แต่ลูกจะเติบโตดำเนินชีวิตไปเช่นไร ก็เป็นไปตามธรรมชาติของลูก

ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่ ต้องเป็นความรักของกตัญญูกตเวทิตาธรรม คือความรำลึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำแล้วแก่ตน ตนก็ปรารถนาที่จะตอบแทนท่าน เช่นตอนนี้เราเป็นนักเรียน ก็ตั้งใจขยันเรียน เพื่อให้พ่อแม่ได้อิ่มเอิบใจที่เห็นลูกทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ

นี่ถ้าทำความรักได้อย่างนี้ สหกรณ์ชีวิตก็มีแต่เจริญงอกงามไพบูลย์ แต่ในการดำเนินงานของสหกรณ์นั้น สมาชิกของสหกรณ์ย่อมต้องมีส่วนร่วมในการบริหารสหกรณ์ สามารถแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสหกรณ์ให้มีความเจริญรุ่งเรือง สามารถให้ผลตอบแทนแก่สมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ในการดำเนินสหกรณ์ชีวิต ทุกคนก็ต้องเปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นที่มีประโยชน์ของคนในครอบครัว เพื่อจะได้แก้ไขหรือส่งเสริมให้สหกรณ์ชีวิตสามารถเติบโตขึ้นอย่างอบอุ่น การพูดคุยสนทนากันในครอบครัว จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยพัฒนาและลดปัญหาครอบครัวได้ ทั้งยังช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้มีความใกล้ชิดสนิทใจกันมากขึ้น

นี่คือพรในวันมงคลสมรส ที่หลวงตามอบให้เธอทั้งสอง ซึ่งถ้าเธอได้ทำตามพรที่มอบให้ วันนี้ก็คงไม่ต้องมาฟังพรนี้เป็นครั้งที่ 2 คิดทบทวนดูเถิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะรับพรแล้ว ไม่ปฏิบัติตามพร ที่ได้รับใช่ไหม”

“ใช่ครับ/เจ้าค่ะ”

“จำวันนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวิต อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพรปีใหม่แก่ปวงชนชาวไทยว่า

“...วิถีชีวิตของคนเรานั้น จะต้องมีทุกข์ มีภัย มีอุปสรรค ผ่านเข้ามาเนืองๆ ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปรกติสุขอย่างเดียว ได้ทุกคนจึงต้องเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมการไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อเผชิญและป้องกันแก้ไขความไม่ปรกติเดือดร้อนต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคี ธรรม

ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชนชาวไทย ได้ตั้งตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยมีสติรู้ตัว และปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดที่มีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงกันไป ให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานทั้งนั้นจะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงมั่นคงและก้าวหน้าต่อไป ด้วยความผาสุกสวัสดี...”


นี่ก็คือพรที่พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยตระหนักธรรมชาติในการดำเนินชีวิต ควรที่เธอทั้งสองจักได้นำไปเขียนติดไว้ในที่ที่มองเห็นชัด จะได้เตือนใจตนเองตลอดปีพุทธศักราช 2555 นี้

เข้าใจแล้วนะ...มีอะไรอีกมั้ย”

“ไม่มีแล้วครับ หลวงตาเมตตาครอบ ครัวผมจริงๆ กราบขอบพระคุณครับ จากนี้ไปผมต้องทำสหกรณ์ชีวิตให้รุ่งเรืองจริงๆ ตามพรที่หลวงตาให้ไว้ ขอนมัสการลาครับ”

“โชคดีทุกคนนะ เจริญพร”

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 134 กุมภาพันธ์ 2555 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)

กำลังโหลดความคิดเห็น