ฟักทอง ลูกกลมแป้น ผิวขรุขระ เนื้อสีเหลืองทอง ซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมของโลกตะวันตก ได้กลายเป็นราชรถสวยหรูในเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลลา และเป็นสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน (เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจ พากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการ ประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทอง เป็นโคมไฟ)
นอกจากนั้น ฟักทองยังเป็นสุดยอดอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณทางสมุนไพรของฟักทองมีมากจริงๆ เริ่มจาก...
เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื้อฟักทอง เนื้อฟักทอง มีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และ มี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง รวมทั้งมีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และสาร “เบต้าแคโรทีน” ซึ่งช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ และช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และเอว รวมถึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ และเป็นยาระบายอ่อนๆด้วย
เมล็ดฟักทอง ที่นำมาคั่วเป็นอาหารขบเคี้ยวรสชาติมันๆนั้น ให้โปรตีนมากรองลงมาจากถั่วลิสง มีไขมันต่ำ ให้ธาตุเหล็กสูง นอกจากนั้นก็ยังมีแร่ธาตุอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินเอ ใยอาหารและกรดไขมันที่จำเป็น เมล็ดฟักทอง 1 กรัมมีกรด อะมิโนทริปโทเฟน มากเท่ากับที่มีในนมสดหนึ่งแก้ว
เมล็ดฟักทองยังมีน้ำมันที่อุดมไปด้วยสารแกมม่าโทโคฟีรอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุมูลอิสระที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี
มีงานวิจัยสนับสนุนว่าเมล็ดฟักทองมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ เรียกว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hyperplacia) รวมทั้งมีสาร “คิวเคอร์บิติน” ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี หากกินเมล็ดฟักทองในขณะท้องว่างวันละสองครั้งก็จะช่วยขับพยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม และพยาธิใบไม้ได้อีกด้วย และยังช่วยขับปัสสาวะ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และช่วยบำรุงประสาท
ไขมันในเมล็ดฟักทองเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว จึงช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคหลอดเลือดอุดตัน อีกทั้งแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่มีอยู่มากจะช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วย
เยื่อในผลฟักทอง สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
ราก นำมาต้มน้ำ ใช้ดื่มบำรุงร่างกาย แก้อาการไอ และถอนพิษของฝิ่น
น้ำฟักทอง มีงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบว่า เมื่อนำเนื้อฟักทองมาปั่นหรือต้มแล้วคั้นจนได้น้ำ น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีน ในเนื้อฟักทอง มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงดีกับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
ที่สำคัญ ฟักทองสามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน หรือเพียงแค่นำไปนึ่งก็รับประทานได้แล้ว
• ข้อควรระวัง
ในการรับประทานฟักทอง
แม้ว่าฟักทองจะอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือ มีอาการ เช่น กระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย กองบรรณาธิการ)