10 พฤติกรรมต่อไปนี้ เป็นผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง มีผู้ส่งมาให้อ่าน ได้อ่านแล้วเห็นว่าดีมาก ใครที่ทำอยู่ ต้องเลิกกระทำ ต้องไม่ให้ลูกหลานกระทำ เพราะเป็นการทำลายสมองให้ฝ่อเร็วกว่าวัยอันควร หากต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่อย่างเป็นสุขตลอดอายุขัย
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าการไม่ทานอาหาร เช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ผลการวิจัยในปัจจุบัน กลับพบผลเสียหายอย่างร้ายแรง คือ เป็นสาเหตุทำให้มีสารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ในระยะยาวจะทำให้สมองเสื่อมเร็วกว่ากำหนดมาก
2. ทานอาหารมากเกินไป การทานมากเกินไปในแต่ ละมื้อ จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวได้ง่าย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้นได้ ดังนั้น ในแต่ละมื้ออาหาร ไม่ควรทานจนอิ่มมากเกินไป ให้ทานเกือบอิ่ม
นักโภชนาการรุ่นใหม่ ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพยุคใหม่ แนะนำให้แบ่งทานอาหารออกเป็นวันละ 6-7 มื้อ แต่ต้องทานไม่มากในแต่ละมื้อ ทานพอสบายท้อง จึงจะเกิดผลดีต่อสุขภาพ
3. การสูบบุหรี่ จากผลงานวิจัยล่าสุด ได้พบว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์ได้ง่ายกว่าและมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่จำนวนมาก อย่างมีนัยสำคัญ
4. ทานของหวานมากเกินไป จากผลงานวิจัยล่าสุดเช่นกัน นักโภชนาการยืนยันว่า การทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อสมอง เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารในสมอง และไปขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลพิษ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดส่วนหนึ่งในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลพิษเช่น ควันรถ ควันบุหรี่เข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนบ่อยๆ หรือการนอนดึก การนอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมง จะทำให้เซลล์สมองตายได้ ยกเว้น ผู้ที่ทำสมาธิในขั้นหลับลึก หลับสนิทโดยแท้จริง จึงจะนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงโดยไม่มีผลเสียหายติดตามมา แต่ในบุคคลธรรมดาทั่วไป ไม่ควรนอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมง และไม่ควรนอนเกิน 23.00 น.
ผู้ใดมิได้กระทำในลักษณะดังกล่าว ต้องตั้งใจเปลี่ยนนิสัยการนอนใหม่ หากฝึกฝนจริงๆ ฝึกนิสัยการนอนให้ถูกต้อง นิสัยที่ดีก็จะคืนกลับมาได้ เซลล์สมองที่สมบูรณ์ของเราก็จักได้อยู่กับเราไปจนสิ้นอายุขัย
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหนัก ความเครียด หรือ มุ่งเรียนหนักขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำ งานของสมองลดลง และเป็นการทำร้ายเนื้อสมองไปในตัว
ดังนั้นในช่วงป่วยเจ็บ ไม่ควรใช้สมองในการคิดเรื่องงานที่มีความเครียด แต่ควรให้สมองพักในช่วงที่ไม่สบาย หากมีโอกาส การทำสมาธิ หรือทำจิตให้สงบ ปล่อยวางเรื่องต่างๆสักระยะ สมองจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อร่างกายหายป่วย สมองที่ดีก็จะพร้อมลุยงานใหม่ได้ทุกงาน เพราะสมองมีความพร้อม และมีความสดชื่นแจ่มใสเต็มที่
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิด จะทำให้สมองฝ่อได้ ดังนั้น ในช่วงที่ร่างกายมีความเป็นปกติ ต้องบริหารความคิดบ้าง หรือนำหนังสือมาอ่าน ทุกครั้งที่ท่านอ่าน หรือทุกครั้งที่ท่านได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ท่านอาจคิดตาม แล้วพิจารณาได้ว่าสิ่งนั้นๆ น่าจะเป็นไปได้ หรือเพ้อฝันเกินจริง เป็นเรื่องความจริงที่มีหลักฐานชัดเจน หรือเป็นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว เรียกว่า เกิดจินตามยปัญญา หรือได้ปัญญาจากการคิด เป็นต้น สมองของท่านก็จะมีประสิทธิภาพยาวนานอย่างมีคุณภาพจวบจนสิ้นลมหายใจ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูด จะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ต้องพยายามแสดงออกด้วยการพูด จะช่วยให้สมองพัฒนาสูงมากขึ้นได้ ที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า “เด็กช่างพูดคือ เด็กฉลาด” นั้นใช่เลย เป็นความจริงที่มักเห็นได้โดยทั่วไป ยกเว้นในบางรายที่ มีความเป็นอัจฉริยะในเรื่องอื่น หรือในหลายเรื่องเป็นการเฉพาะ แต่สมองส่วนของการพูดบกพร่อง สมองส่วนอื่นไม่บกพร่อง ก็เป็นเด็กฉลาดได้ เพราะเป็นเด็กอัจฉริยะในเรื่องอื่น แต่มีประมาณ 1 ในล้านคนเท่านั้น ที่มีลักษณะดังกล่าว
สิ่งที่ไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติ 10 ประการนี้ ใครที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ พึงทราบว่าท่านกำลังทำร้ายตนเองในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว ต้องเริ่มฝึกฝนสร้างนิสัยใหม่โดยเร็ว กลับตัวกลับใจได้เร็ว ท่านจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่มีความสุขในระยะยาว เพื่อที่ท่านจะ
- เป็นผู้ที่กินด้วยตนเองได้ (ไม่ต้องให้อาหารทางสาย ยาง)
- เป็นผู้ที่นอนเองได้ (ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ หรือไม่ต้องให้ใครมาช่วยพลิกตัวเวลานอนนานๆ)
- ขับถ่ายได้ด้วยตนเอง (ไม่ต้องใช้วิธีสวนทวาร หรือไม่ต้องถือถุงปัสสาวะไปไหนมาไหนตลอดเวลา เพราะไม่อยากถ่าย มันก็ไหลออกมาเอง หรือในเวลาต้องการถ่าย กลับถ่ายไม่ออก ต้องสวนทวาร เป็นต้น)
แนวทางออกกำลังสมอง
การออกกำลังสมองเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยไม่ให้สมองเสื่อมเร็วก่อนวัยอันควร สามารถทำได้ง่ายๆ โดยผลที่ได้จากการออกกำลังสมอง คือ โครงสร้างของสมองเกิดการพัฒนา ส่วนผลโดยอ้อม คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีพลัง จิตใจสดชื่นแจ่มใส เกิดความสุข การออกกำลังสมองมีแนวทางดังนี้
1. การฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน
2. ฝึกกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการทำงานของสมองอย่างเป็นระบบและผ่อนคลาย
3. ฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ ทำให้เซลล์ “เดนไดรต์” เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง
4. ส่งเสริมให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การได้ยิน มองเห็น การได้กลิ่น ลิ้มรส และการสัมผัส ได้ทำงานประสานเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ หรือที่เกี่ยวข้องกับ “อารมณ์” (emotional sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน
5. การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างทำงานประสานกัน หรือฝึกทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ร่างกายซีกซ้ายและขวาทำงานเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับช่วยให้สมองทั้ง 2 ซีก ได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย อ.มงคล กริชติทายาวุธ)