ชื่อว่า ยามที่เราต้องเผชิญกับโชคร้ายหรือปัญหาและอุปสรรคที่คิดไม่ตก ช่วงขณะหนึ่งของความคิด ณ เวลานั้น หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่า ทำไมขณะที่คนอื่นดูมีความสุขพร้อมในทุกด้านของชีวิต แต่ทำไมเรากลับต้องมีชีวิตที่ขัดสนดิ้นรนไปเสียเกือบทุกเรื่อง หรือในขณะที่ชีวิตเราต้องแบกเรื่องอมทุกข์ไว้มากอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วทำไมบางคนถึงกลับมีโชคดีทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน และเรื่องความรัก
ขณะที่บางคนอาจยอมก้มหน้ารับความเลวร้ายที่เข้ามาในชีวิตอย่างยอมจำนน ด้วยการเรียกขานสิ่งเหล่านั้น ว่า “กรรมเก่า” แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับการก่นด่าและน้อยใจในโชคชะตาอยู่อย่างนั้น แต่สำหรับ “รอนดา เบิร์น” ผู้เขียนหนังสือขายดีติดอันดับโลกที่ชื่อ “the Secret” และผลงาน ล่าสุด “the Power” เธอมีความเชื่อว่า คนเราสามารถดลบันดาลให้เกิดสิ่งดีงามได้ในทุกพื้นที่ของชีวิต ด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน นั่นก็คือ “พลังแห่งความรัก”
ความรัก....คือกุญแจที่สามารถไขนำพาเราไปสู่ทุกสิ่งที่ต้องการ
ความรัก...ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้
ความรัก...สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตได้ และยังอาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลกนี้ได้ด้วย
พลังแห่งความรัก ...เป็นคลื่นพลังงานด้านบวกที่อยู่รอบตัวเรา และเป็นพลังอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
คำถามก็คือว่า ...เราจะดึงพลังอำนาจของความรักมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างไร?
• แรงดึงดูดของกฎแห่งความรัก
ความรักในที่นี้ต่างจากความรักที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ความรักในที่นี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความรักระหว่างชายกับหญิง สามีกับภรรยา พ่อแม่กับลูก หรือแม้แต่เพื่อนกับเพื่อน ความรักในที่นี้มีความหมายกว้างใหญ่ไพศาลกว่านั้น เป็นทั้งความรัก ความชื่นชม ความพึงพอใจ ความซาบซึ้ง และบางทีก็ถึงขั้นหลงใหล เราจึงรักทุกสิ่งทุกอย่าง ได้รอบตัว รักคน รักงาน รักสิ่งแวดล้อม รักท้องฟ้า รักต้นไม้ใบหญ้า รักอวัยวะในร่างกายตนเอง ฯลฯ และที่สำคัญคือรักชีวิต
ความรักเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เรารับรู้ได้ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพลังแห่งความรัก เพราะไม่ว่าจะเป็นการกำเนิดของมนุษย์ การค้นพบ และการสร้างสรรค์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ ล้วนก่อเกิดจากพลังบวกของความรักในใจมนุษย์
สำหรับคนคนหนึ่ง ความรักคือพลังที่ทำให้ก้าวไปเป็นพลังบวกที่กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจอยากเป็น อยากทำ หรืออยากมี ในสิ่งที่ตนรักและต้องการ “รอนดา เบิร์น” เชื่อว่า คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เพราะพวกเขาได้ใช้พลังบวกแห่งความรัก เพื่อดลบันดาล ให้ได้มาซึ่งสิ่งดีๆ ในชีวิตทั้งปวงนั่นเอง
รอนดา เบิร์น เปิดเผยถึงกระบวนการที่พลังแห่งความรักสามารถปรับเปลี่ยนความสุข ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล การเงิน สุขภาพ อาชีพการงาน และทุกอย่างในชีวิตคนเราได้ ก็ด้วยผ่านกฎแห่งความรัก ซึ่งก็อยู่บนหลักการเดียวกับกฎแห่งการดึงดูด อันเป็นกฎเหล็กอันทรงอานุภาพที่สุดในจักรวาลนี้
กฎแห่งการดึงดูดคือสิ่งที่ควบคุมดาวทุกดวงในห้วงจักรวาล แรงดึงดูดของโลกทำให้ทุกสิ่งและทุกชีวิต สามารถเกาะติดอยู่บนผิวโลกได้ ขณะที่ความรักจะเป็นพลังดึงดูด ให้คนที่รักในสิ่งเดียวกันมารวมกัน หรือผลักดันให้เราก้าวไปหาสิ่งของหรือสถานที่ที่เราชอบ และบุคคลที่เรารัก
นั่นก็คือ กฎแห่งความรักทำงานบนกฎแห่งการดึงดูด กล่าวคือ เมื่อใดที่เราส่งหรือให้อะไรออกไป เราก็จะได้รับ ในสิ่งที่ให้ไปนั้นกลับมา เพราะสิ่งที่เราให้ออกไปจะกลายเป็นสิ่งที่เราดึงดูดกลับมาหาตัวเรานั่นเอง หรือที่หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ให้” อะไรก็ย่อมได้ “อย่างนั้น” หรือ “คิด” อะไรก็จะ “เป็น” อย่างนั้น
นี่ก็หมายความว่า เรากำลังสร้างชีวิตด้วยความรู้สึกนึกคิดของเราเอง แต่น่าเสียดายที่คนเราส่วนใหญ่ชินกับการคิดเรื่องไม่ดี และพูดเรื่องไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นฝนตก รถติด นักการเมืองไม่ดี เจ้านายบ่น เงินเดือนน้อย แฟนทิ้ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราเองไม่ต้องการ อันเป็นการเพิ่มพลังให้กับความรู้สึกด้านลบ ...และแน่นอน เมื่อเรารู้สึกลบและส่งความรู้สึกด้านลบออกไป ก็ย่อมได้สิ่งนั้นกลับมา
“สังคมไทยยุคหลังบริโภคนิยม เรากลายเป็นบริภาษนิยม หรือ “ขี้ด่า” สมัยก่อนแค่คน “ขี้บ่น” เราก็ไม่อยากคุยด้วย ทุกวันนี้ด่ากันแหลก พลังงานถูกดูดไปเรื่องลบหมด แล้วจะเอาอะไรมาเป็นพลังบวก จะดีกว่าไหมถ้าเราเลิกประณาม เลิกนั่งท้อแท้ แล้วสร้างทางเลือกใหม่ที่ดีขึ้น ผ่านพลังบวกแห่งความรัก” ความเห็นของ “จิระนันท์ พิตรปรีชา” นักแปลและนักเขียนชื่อดัง เจ้าของรางวัล “นักแปลอาวุโสยอดเยี่ยม” โดยผลงานแปลล่าสุด ได้แก่ หนังสือ The Power
ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจเรื่องของกฎแห่งความรักแล้ว นับจากนี้ไป ก็จงหมั่นเตือนตัวเองว่า “อย่ามองสิ่งชั่วร้าย อย่าฟังสิ่งชั่วร้าย อย่าพูดสิ่งชั่วร้าย” เปลี่ยนมาเป็น “คิดดี พูดดี ทำดี” ตามหลักพุทธศาสนิกชนที่ดี ชีวิตจะได้ดีขึ้น
• กลไกของกฎแห่งความรัก
กับความสำเร็จในชีวิต
กฎแห่งความรักมีกลไกการทำงานโดยเริ่มต้นจากหลักการที่ว่า ...เมื่อคนเรารู้สึกรักสิ่งใด แล้วเราก็จะรู้สึกดีต่อสิ่งนั้นไปโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกดีเป็นพลังงานที่มีคลื่นความถี่ที่เป็นบวก ขณะที่ความรู้สึกแย่เป็นการส่งคลื่นความถี่ที่เป็นลบ ดังนั้น ไม่ว่าคนเรานึกคิดและรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกนั้นจะเป็นตัวกำหนดคลื่นความถี่ที่ส่งออกไปจากตัวเรา
รอนดา เบิร์น ยังบอกด้วยว่า ความปรารถนาเป็นความรู้สึกรักรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเราปรารถนาสิ่งใด และแสดงความรู้สึกชัดเจน จนเห็นเป็นจินตภาพว่าเราทำอย่างที่ต้องการ กำลังมีในสิ่งที่ต้องการ หรือกำลังเป็นอย่างสิ่งที่ต้องการ นั่นก็คือเรากำลังแสดงความรักในสิ่งที่อยากทำ อยากมี และอยากเป็น
ไม่ว่าเราจะต้องการปรับเปลี่ยนสุขภาพ ฐานะการเงิน ความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม ให้เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเอาไว้ จากนั้นก็ให้ลองนึกภาพของสิ่งที่เราต้องการ นึกภาพและรู้สึกถึงความรักที่มีต่อสิ่งนั้น นึกภาพแต่ละฉากที่เราได้อยู่กับสิ่งนั้น และรู้สึกประดุจว่าเรามีมันอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ทุกๆวันจนกว่าจะได้รับตามที่ปรารถนา
จินตนาการทำหน้าที่เชื่อมโยงเรากับสิ่งที่เราต้องการ เมื่อความรักที่เรา “ให้” ผ่านทางความรู้สึกรักและต้องการ จะทำหน้าที่ประหนึ่งคลื่นความถี่ด้านบวกที่มีพลังดึงดูดสิ่งต่างๆ ทั้งผู้คน สิ่งของเหตุการณ์ และเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ ที่มีคลื่นความถี่ด้านบวกแบบเดียวกัน หรือก็คือ “สิ่งที่เราให้ความรักไป” กลับมาสู่เรา
“จงให้ความรักในสิ่งที่คุณอยากเป็น อยากทำ หรืออยากมี แล้วคุณจะได้รับกลับ” นี่เป็นคำแนะนำของ รอนดา เบิร์น ที่พบบ่อยๆ ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอ
หลังจากเราได้ให้ความรักไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่เราต้องทำก็คือ ให้ความ “ศรัทธา” ต่อกฎแห่งความรัก เหมือนกับที่กับชาวพุทธอย่างเราเชื่อมั่นใน “กฎแห่งกรรม” ว่า การกระทำนั้นย่อมส่งผลต่อผู้กระทำ ฉันใดก็ฉันนั้น
“พลังอำนาจที่จะขับเคลื่อนสิ่งที่เราต้องการจะทำ ต้องการจะเป็น และต้องการจะมี นอกจากความรักก็ยังต้องมีศรัทธา เราถึงจะเชื่อมั่นและเดินหน้าทำต่อไปได้อย่างแน่วแน่” แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าว
ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังได้อธิบายเพิ่มเติม จากประสบการณ์การทำงานหาหลักฐานในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการทำงานตรวจหลักฐานนิติบุคคลในเหตุการณ์สึนามิว่า การทำงานครั้งสำคัญทุกครั้ง เธอต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่เพราะมีเป้าหมาย แน่วแน่ มีความรัก และความศรัทธาในสิ่งที่ทำ จึงไม่เคยเกิดความรู้สึกย่อท้อต่อปัญหา จนในที่สุดการทำงานจึงสำเร็จ รวมถึงกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีความคืบหน้าไปมากเช่นกัน
ขณะที่ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ซีอีโอแห่งบริษัท อริยชน จำกัด อดีตวิศวกรนาซ่าที่หันหน้าเข้าสู่การปฏิบัติธรรม มองว่า พลังแห่งความรักนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตได้ เป็นเพราะความรักนั้นเป็นคุณธรรมส่วนหนึ่งใน “หลักอิทธิบาทสี่” ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และ “พละ 5” อันประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ และเกิดปัญญา
นั่นก็คือ “ความรัก” ก่อเกิดความพอใจและศรัทธาในสิ่งนั้น อันจะนำมาซึ่งความเพียรพยายามและความมุ่งมั่น ที่จะทำสิ่งนั้นให้ดียิ่งๆขึ้นไป เมื่อมีความมุ่งมั่น หรือที่เรียกว่า “โฟกัส” ก็ทำให้เกิดสมาธิในการทำสิ่งนั้น เมื่อเกิด สมาธิก็ย่อมมีสติและปัญญาในการทำงาน ซึ่งย่อมจะนำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานและเรื่องต่างๆ ในชีวิต
ไม่ต่างจากกฎแห่งความรักที่ดึงดูดพลังงานด้านบวกทั้งหมดให้มาจดจ่อและมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่เรารักนั่นเอง
• “ให้ความรัก”...พลิกวิธีคิด
เปลี่ยนชีวิต เพิ่มความสุข
หากว่ากันตามกฎแห่งความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราในเวลานี้ ล้วนมาจากสิ่งที่เราคิดและรู้สึกมาก่อนหน้านี้ ชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบสนองต่อตัวเรา แต่ละด้านของชีวิตเราย่อมขึ้นต่อตัวเราเอง เราคือผู้สร้างและกำหนดชีวิตของเราเองด้วยสิ่งที่เราให้ออกไป...
ดังนั้น ถ้าเราอยากได้รับสิ่งที่เรารักหรือเปลี่ยนอะไรให้กลายเป็นสิ่งที่เรารัก สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือปรับเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของเราแค่นั้นเอง เช่นเดียวกับที่ จิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนอาวุโสให้คำแนะนำไว้ว่า การแปลงเปลี่ยนชีวิตในทุกด้านเพื่อมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่อยาก และเริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงแค่การปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่โดยใช้ “ความรัก” เป็นพลังบวกในการสร้างชีวิตในรูปแบบที่เราต้องการ หรือเรียกสั้นๆว่า “คิดบวก”
ปกติเวลาที่เราเกิดความท้อแท้ เรามักจะคิดถึงแต่ปัญหาที่ทำให้ท้อแท้ แล้วก็เกิดความรู้สึกด้านลบ สุดท้ายก็พูดและกระทำสิ่งแย่ๆ ออกไป เมื่อคลื่นความถี่ติดลบถูกส่งออกไป เราก็จะได้รับสิ่งที่เป็นลบกลับคืนมา ก็ยิ่งทำให้ชีวิตเราแย่ลงไปกว่าเดิม แล้วก็เข้าสู่วัฏจักรเดิมคือ ผลิตพลังลบให้ออกไป และรับกลับมา วนอยู่อย่างนี้... บางคนอาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” แต่ความจริงแล้ว นี่เป็นเพราะเราไม่ได้ใช้พลังบวกแห่ง “ความรัก” มาเปลี่ยนวิธีคิด
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ให้ความเห็นว่า “ความรัก” ที่จะเป็นพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงามได้นี้ ต้องอาศัยคุณธรรมสี่ประการในหลัก “พรหมวิหารสี่” ของพุทธศาสนามาเป็นพื้นฐาน นั่นก็คือ เมตตา คือการให้ ความรู้สึกดีและปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา ให้กำลังใจ และปรารถนาดีเพื่อให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสุข และ อุเบกขา วางเฉย เมื่อไม่ได้สมดังใจปรารถนา หรือได้สิ่งที่ไม่ปรารถนา
หลักพรหมวิหารสี่เป็นคุณธรรมที่ช่วยสร้าง “ความรัก” อันบริสุทธิ์ต่อทุกคนและทุกสิ่งให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา ซึ่งจะยิ่งช่วยขัดเกลาจิตใจเราให้คิดดีและรู้สึกดี ซึ่งจะส่งผลให้เราพูดดีและทำดี เมื่อเราส่งคลื่นพลังงานที่มีความถี่เชิงบวกออกไป คลื่นความดีนี้ย่อมดึงดูดเอาสิ่งดีๆ
ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นลบให้แก้ปัญหาด้วย “ให้ความรัก” กับตัวเองและสิ่งนั้น เมื่อเห็นคนอื่นได้รับสิ่งดีๆ ก็ “ให้ความรัก” ด้วยการยินดีอย่างจริงใจกับคนนั้น และเมื่อตัวเราเองเจอกับเหตุการณ์ดีๆ ก็ “ให้ความรัก” ด้วยการแสดงความขอบคุณต่อตัวเองและเหตุการณ์นั้น เพราะทุกครั้งที่เรารู้สึกสำนึกรู้คุณหรือขอบคุณใครหรือสิ่งใด เท่ากับว่าเรากำลังให้ความรักต่อคนนั้นหรือสิ่งนั้น
เมื่อยิ่งเราให้ความรักและความรู้สึกดีออกไปมากขึ้นๆ ก็เหมือนเรากำลังส่งพลังบวกออกมาซ้ำๆ พลังงานในการขับเคลื่อนไปสู่ชีวิตด้านบวกเราก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เหมือนกับที่รอนดา เบิร์น ย้ำว่า หน้าที่ของเราก็คือ แค่รักให้มากเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน เพราะยิ่งให้ความรักมากเท่าไร เราก็ยิ่งจะได้รับในสิ่งที่เราและต้องการกลับมา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มาทั้งที่ต้องการและไม่ต้องการ ล้วนแต่ได้มาจากภายในตัวเราทั้งสิ้น หาได้มีใครมาดลบันดาลให้เกิดแก่เรา ตัวเราเองต่างหากที่ดลบันดาลสิ่งดีๆ ให้เกิดกับตัวเองก็ด้วย “ความรัก” หรือชักนำสิ่งร้ายมาสู่ชีวิต ก็เพราะขาดซึ่ง “ความรัก” นั่นเอง
เมื่อรู้แล้วว่า ทุกคนล้วนมี “พลังแห่งความรัก” ที่จะสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ คราวนี้ก็คงอยู่ที่ว่า ใครจะสามารถดึงพลังสู่ความสำเร็จแห่งชีวิตนี้ที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากกว่ากัน...
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 126 พฤษภาคม 2554 โดย ไม้ยมก)