xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : ธรรมะกำกับชีวิต ของ ผู้กำกับหญิง "ผอูน จันทรศิริ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ขณะเดียวกันก็ได้รับอิสรภาพในการเลือกและตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเอง ส่งผลให้ผู้กำกับหญิงและนักแสดงมืออาชีพอย่าง “ปุ๊ย” ผอูน จันทรศิริ ได้รับความไว้วางใจทั้งในเรื่องของความรับผิดชอบที่มีต่องาน และในฐานะนักสร้างสรรค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

“มันทำให้เราเป็นคนที่ถี่ถ้วนและเป็นคนที่ค่อนข้างจะจุกจิกในรายละเอียด ในเวลาที่เราทำงานในวิชาชีพของเรา และเวลาที่เรากำกับนักแสดง แต่ส่วนที่เราได้รับการตามใจมา มันทำให้เราเป็นคนกล้าพูดกล้าแสดงออก และมีความคิดริเริ่มพอสมควร”

ผอูนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ “ญาณี จงวิสุทธิ์” เมื่อครั้งเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทั้งคู่เข้าสู่วงการพร้อมกันโดยการเป็นผู้เขียนบทละครโทรทัศน์เรื่อง “พลับพลึงสีชมพู” ที่เคยฉายทางช่อง 7

ก่อนจะได้กำกับละครโทรทัศน์หลายเรื่อง อาทิ ม่ายค่ะ, ครอบครัวนี้...คงกระพัน, แอบเก็บใจไว้ใกล้เธอ, ทายาทคุณหญิง, มารยาริษยา, นิยายรักภาค 2, พิษกุหลาบ, หนี้รัก, เมืองมายา The Series 3, สงครามมายา, เมืองมายา The Series 5, มายาลวง, ดงดอกเหมย

รวมถึงละครเวทีเรื่อง “ลูกคุณหลวง” จากบทประพันธ์ ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และภาพยนตร์เรื่องเดอะเลตเตอร์ จดหมายรัก ที่เธอทำหน้าที่แทนผู้กำกับ “ดวงกมล ลิ่มเจริญ” รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัย ที่เสียชีวิต ไปก่อนวัยอันควร

หลังจากที่เพิ่งปิดกล้องละครเรื่อง “ทัดดาวบุษยา” และกำลังเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ “มาลัยสามชาย” ที่เธอทำหน้าที่ผู้กำกับ ผอูนบอกเล่าว่า เธอเป็นผู้หญิงที่มีหลายอารมณ์รวมอยู่ในคนคนเดียวกัน และตัวตนที่แท้จริง ก็แตกต่างกับบทของ “สมร เก่งงาน” แห่งละครซิทคอม ยอดฮิตเรื่อง “เป็นต่อ” ที่ออกอากาศทุกคืนวันพฤหัสบดีทางช่อง 3 และเธอรับบทเป็นสาวโสดอายุ 46 ปี เป็นผู้จัดการบริษัทที่พระเอก “เป็นต่อ” ทำงานอยู่ เป็นคนที่ใจดีและเอ็นดูลูกน้องพอๆ กับความเข้มงวดที่มีต่อการทำงาน

“พี่หมอนไม่ใช่ตัวเราเลยนะคะ ใครเจอข้างนอกแล้วเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม เพราะรู้สึกเอ็นดูเราเหมือนกับที่เอ็นดูพี่หมอน ก็จะรู้สึกงงๆ ว่าเราเป็นคนที่เฉยๆ กับคน ไม่ใช่คน friendly เท่าไหร่ ต้องพูดอย่างนี้เลย

เป็นคนมีหลายแง่มุม ในบางเวลา ก็จะร่าเริงแจ่มใส และตลกเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิท เป็นคนขี้อายมากเลยนะเวลาอยู่กับคนแปลกหน้า และบางทีก็ดูเหมือนเป็นคนหน้าบึ้งด้วยซ้ำ ต่อหน้าคนที่ไม่รู้จักเรา

เพราะฉะนั้นเวลาที่แฟนๆละครเจอ แล้วทักทาย พี่หมอนๆ แล้วเรากำลังอยู่ในอารมณ์หน้าเฉย เขาจะงงมากว่า ทำไมหน้าหงิกขนาดนี้ เราเองก็ปรับอารมณ์ของเราไม่ทัน เพราะเวลานั้นเราอาจจะกำลังอยู่ในอารมณ์เหม่อลอย และเป็นส่วนตั๊วส่วนตัว”

แต่ผ่านไปนานวัน ตัวตนที่แท้จริงของเธอและบทบาท ของพี่หมอนก็เริ่มจูนเข้าหากันมากขึ้น จนทำให้ไม่รู้สึกว่าเธอและพี่หมอนเป็นคนละคนกัน

“บทพี่หมอนเหมือนเราในเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิท ต่อให้เราเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน ไม่ค่อยสั่งสอนคน ดุด่า หรือตบตีคน แต่พออยู่กันไปนานๆ กับแก๊งค์เป็นต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลกับตัวละคร มันคล้ายกันมาก มันทำให้เรากับพี่หมอน ใกล้กันไปโดยปริยาย เพราะว่าในกองถ่ายละครที่เรากำกับอยู่ เราก็จะเป็นพี่ใหญ่สุด แล้วน้องๆ ชาวออฟฟิศก็น่ารัก

จำได้ว่า ตอนแรกๆ เราจะเครียดมาก เพราะเราไม่ใช่คนขี้เล่น แล้วบทมันกำหนดให้เราต้องถูกลูกน้องลามปามเยอะ หรือถูกแซวอะไรอย่างนี้ ซึ่งจะบอกผู้กำกับว่า ถ้าตัวจริงโดนแบบนี้ คงต่อยตากันไปแล้ว ไม่ปล่อยให้ใครมาว่าหรอก ในที่สุดพออยู่ๆ ไป เขาก็ค่อยๆ ปรับบท และเราเองก็ค่อยๆ ปรับจิตใจของเราให้เข้ากับบท มันก็เลยออกมาค่อนข้างลงตัว”

ไม่ว่าในละครหรือภาพยนตร์ เธอจะรับบทเป็นผู้หญิงที่บุคลิก อย่างไร แต่ในชีวิตจริง ผอูนรับ บทผู้หญิงโสดที่มีงานให้ทำล้นมือและสามารถเติมเต็มความสุขให้ตัวเองได้เสมอ

“เพราะว่าเพื่อนเยอะไงคะ พอเราเริ่มจะเหงา เราก็ไปหาคนนี้ พอคนนี้เราเบื่อแล้ว หรือเขาเริ่มทนเราไม่ได้แล้ว เราก็จะไปหาอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่ค่อนข้างจะโชคดีตรงที่มีเพื่อนเยอะ แล้วก็มีครอบครัว มีพี่ๆ มีหลานๆ มันเลยยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเหงา ถ้าอีกหน่อย อายุเพิ่มมากขึ้น และล้มป่วยลง อาจจะรู้สึกแย่ก็ได้”

นอกจากนี้เธอยังยึดหลัก การทำงานทุกอย่างต้องสนุก

“เมื่อเราสนุกกับมัน เราจะรู้สึกว่า ในแต่ละวันเราอยาก จะออกไปทำงาน และผลงานของเราก็จะออกมาดี เพราะเราทำด้วยความรู้สึกที่สนุกจังเลย แล้วมันจะทำให้คนรอบ ข้างเราของเราพลอยสนุกไปด้วย ดังนั้น งานที่ทำทุกอย่าง เราจึงต้องสนุกกับมันก่อน

แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยได้วางแผนอะไรล่วงหน้ายาวๆ สมมติถ้าเรากำลังทำเรื่องนี้อยู่ แล้วบางทีมันมีงานเข้ามาแบบปัจจุบันทันด่วน ด้วยความสนิทสนมส่วนตัวกับคนที่ชักชวนให้เราไปทำ และเราเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สนุก ท้าทาย ก็ไม่อยากพลาดไป

ผ่านไปหนึ่งปี อ้าว..เรายังไม่ได้ทำงานที่วางแผนเอาไว้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ใช่อะไรที่เลวร้าย เพราะว่างานทุกสิ่งที่เราทำมันก็เป็นความสนุก เพราะเราสนุกที่จะทำ เราถึงรับงานนั้นไว้”

ชีวิตโสดในความเห็นของเธอในแง่หนึ่งมันช่างมีอิสระ และมากไปด้วยความสุข เพราะไม่ต้องมีภาระให้รับผิดชอบดูแลใคร แต่ในแง่หนึ่งเธอก็รู้สึกว่า ตัวเองขาดโอกาส ที่จะร่วมสร้างทรัพยากรบุคคลที่ดีมีคุณค่าให้กับโลก

“มันเป็นชีวิตที่เราควบคุมดูแลทุกๆ สิ่งได้ด้วยตัวของเราเอง วันไหนเราเหนื่อยจากงาน เราก็นอน เราไม่อยากคุยกับใครเราก็เล่นเกมส์ ปิดโทรศัพท์ ทุกอย่างมันมาจาก เราหมดเลย เราไม่เคยแบ่งตัวเองให้คนอื่น

แต่พอเทียบกับเพื่อนฝูงที่มีลูก เช้ายันเย็น ต้องขับรถ รับส่งลูก ต้องเตรียมกับข้าวให้สามีหรืออะไรต่อมิอะไร ซึ่งเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว หรือแค่ปีที่แล้วยังรู้สึกเลยว่า โอ้โห.. ชีวิตของคนเรามันต้องเสียสละเพื่อคนอื่นขนาดนี้เลยหรือ

แต่พอตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกว่า จริงๆแล้วคนที่มีลูกมีสามีเขาเสียสละชีวิตอย่างสูง เพราะเขาเป็นผู้ช่วยสร้างพลเมืองให้กับโลกใบนี้ ยิ่งถ้าสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีได้ เขาจะได้บุญมหาศาลจากการสร้างทรัพยากรที่มีคุณค่า ในขณะที่ผู้หญิงโสด ก็แค่เกิดขึ้น มีอยู่ แล้วมันก็ดับไปเฉยๆ ไม่ได้อำนายอะไรให้กับโลกนี้เท่าไหร่

เรากำลังจะกลายเป็นภาระของสังคมในเวลาที่เราแก่ ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยที่ไม่มีคนรุ่นใหม่ อันนี้เป็นสิ่งที่เพิ่งคิดได้เมื่อไม่นานมานี้”

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าวันหนึ่งเธอต้องกลายเป็นภรรยาของใครสักคน ภรรยาเช่นเธออยากจะมีสามีไว้เป็นเพื่อนชีวิตมากกว่า

“ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ในเมื่อผู้ชายก็ไม่ได้เลี้ยงดูผู้หญิงเช่นแต่ก่อนแล้ว เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน ถ้าเกิดต้องแต่งงานในช่วงเวลานี้ เราไม่ได้คิดแบบเด็กแล้วไงคะ แต่คิดแบบฉันสามารถอยู่ได้ และเธอก็สามารถอยู่ได้ เดินไปใกล้ๆกันก็พอ ไม่ต้องมาเลี้ยงฉัน และฉันก็ไม่ต้องเลี้ยงเธอมาก สามีและภรรยา มันน่าจะเป็นเหมือนเพื่อน ที่มีหน้าที่ประคับประคองกันไปมากกว่าเราอยู่ใกล้กัน รักกัน ดูแลกันและกัน แต่ไม่ใช่ว่าภรรยาที่ต้องทำทุก อย่างเพื่อสามี และสามีที่ต้องเทคแคร์ภรรยาทุกอย่าง”

โลกที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลาย และมีอะไรมากมายที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาก สิ่งที่เธอเป็นห่วงผู้หญิง ด้วยกันก็คือ

“ถ้าเป็นประชากรส่วนใหญ่เลย รู้สึกว่าผู้หญิงสมัยนี้น่าเป็นห่วงเรื่องความประพฤติ เพราะกล้าแสดงออกกันอย่างรุนแรง แล้วก็สนุกในการแสดงอารมณ์ เหมือนจะต่อต้านโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ให้ความสำคัญกับคำสั่งสอนของคนสมัยก่อนที่ผู้หญิงต้องเก็บอารมณ์นะ หรือต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้

ถ้าสมมติว่าเห็นใครโกรธแล้วเงียบก็จะรู้สึกว่า ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาเป็นคนดี เชื่อเถอะว่าคนนี้ร้ายลึก ไม่แสดงออก แทนที่จะคิดว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาดี โกรธแล้วเขานิ่ง ไม่จำเป็นต้องตอบโต้

ทัศนคติของมนุษย์ผู้หญิงในปัจจุบันแปลกไปมากๆ เห็นได้จากการดูเรียลลิตี้โชว์ในหลายๆปีที่ผ่านมา ใครที่เรียบร้อย กลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้รับความนิยม แต่กลับนิยมคนที่โกรธใครแล้วก็ด่าเลย สังคมมันเปลี่ยนไป ผู้หญิงชอบใครก็ต้องบอก ต้องแสดงออกเลย และถ้าเกลียดใครก็ด่าเลย

และเป็นที่น่าอนาถใจมากก็คือ สมัยนี้มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นที่ตบกัน ผู้ชายไม่ค่อยต่อยกันแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย..มันกลายเป็นอะไรกัน มันกลายเป็นแฟชั่น เป็นความนิยมที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงเจ้าอารมณ์ ฉันเก่ง ฉันจะตบกับใครก็ได้ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะจริงๆแล้ว การเป็นคนเจ้าอารมณ์ กล้าแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เด็กสมัยนี้ ไม่รู้จักความเป็นผู้ดี ซึ่งจริงๆแล้วมันยังต้องมีการให้เกียรติกัน เคารพสิทธิซึ่งกันและกันในสังคม

หรือว่านักร้องและนักแสดงบางคนที่ชอบให้สัมภาษณ์อะไรที่แรงๆ ก็จะเป็นที่ชื่นชมในอินเตอร์เน็ตว่า คนนี้กล้าแสดงออก โดยที่เขาไม่ได้แยกแยะว่า การกล้าแสดงออกกับการก้าวร้าวมันต่างกัน อะไรเล็กๆน้อยๆ อย่างนี้ที่เป็นห่วงมาก โดยเฉพาะผู้หญิงแล้วมันเป็นเหมือนแฟชั่น สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นฝ่ายคลั่งดาราหรือนักร้องผู้หญิง แต่เดี๋ยวนี้เป็นผู้หญิงที่มีอำนาจทางการซื้อ และมีอำนาจในการใช้เงินสูง ทุ่มเทซื้อทุกอย่างเพื่อผู้ชาย”

ในขณะที่สังคมโดยรวมไม่มีการแบ่งแยกเพศหญิงหรือชาย ผู้กำกับหญิงคนดังจึงรู้สึกเป็นห่วงเรื่องจิตสาธารณะของผู้คน ที่นับวันยิ่งมีคนให้ความสำคัญน้อยลง

“ประชาชนชาวไทยทุกวันนี้ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่อสังคมเท่าไหร่ อยากให้คนปรับเรื่องความรับผิดชอบ ที่มีต่อสังคมมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ทุกคนชอบเอาแต่ประโยชน์ใส่ตัวเอง แล้วก็ชอบพูดว่า ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ฆ่าใครตาย ซึ่งเป็นประโยคที่น่าเบื่อมาก

การขับรถปาดหน้าคน มันก็ผิดเหมือนกัน เพราะมันคือการผิดกฎหมาย ถึงมันจะเล็กๆ แต่ไม่อยากให้เราสั่งสมความรู้สึกอันนี้ไว้ว่าไม่มีใครเดือดร้อน เพราะจริงๆเขาเดือดร้อน คุณคิดเอาเองว่าเขาไม่เดือดร้อน จึงค่อนข้างหงุดหงิดกับจิตสาธารณะของคนในยุคปัจจุบันนี้”

เนื่องในวันสตรีสากล สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของผู้หญิงเก่งแห่งวงการบันเทิงคนนี้ ก็คือ

“เป็นคนดี(หัวเราะ)จริงๆนะ อาจจะไม่ใช่เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ มีความเลว มีกิเลสเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ถ้าถามถึงความภูมิใจของตัวเองก็คือ ทุกวันนี้พยายาม ประคับประคองตัวเอง เช่น ในเวลาที่ทำงาน งานของเราไม่ได้ออกมาเลวทรามต่ำช้า ไม่เคยมีงานชิ้นไหนที่อายจังไม่กล้าบอกใคร แล้วก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยเสียภาษีเต็มกำลัง ไม่เคยหลบเลี่ยง

หรือว่าโลกนี้ต้องการให้เราร่วมมือเรื่องอะไร จะลดโลกร้อน ลดการใช้ถุงพลาสติก ก็จะพยายามทำอย่างเต็ม กำลัง เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้เสมอ จึงทำให้รู้สึกว่าเราก็เป็นพลเมืองที่ดีของโลก อย่างไม่อายใครเหมือนกัน”


ผอูนอาจทำทั้งหน้าที่กำกับนักแสดงให้เล่นไปตามบทบาทที่ได้รับ ดีและร้ายแตกต่างกันไป หรือบางเวลาเธอ ก็เปิดโอกาสให้ผู้กำกับท่านอื่น ทำหน้าที่กำกับการแสดง ของเธอบ้าง แต่ชีวิตทุกลมหายใจของผอูน เลือกให้ธรรมะกำกับตลอดเวลา

“ถือว่าได้ใช้เยอะ ถึงจะไม่ได้ไปปฏิบัติธรรม แต่ที่ผ่านมาอ่านหนังสือธรรมะค่อนข้างเยอะ อ่านมาตั้งแต่อายุน้อยๆ และได้นำธรรมะมาใช้กับชีวิตเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ทุกข์ใจ จะหาสาเหตุและถามตัวเองว่า อะไรทำให้เราเกิดความทุกข์ พยายามแก้จากต้นตอของทุกข์

ชีวิตได้ใช้ธรรมะทั้งนั้น รวมถึงเรื่องของการเดินสายกลาง มีเมตตา กรุณา อุเบกขา ธรรมะจะคอยกำกับจิตใจให้ค่อนข้างจะเสถียร ไม่ค่อยมีอารมณ์กรี๊ดกร๊าด ขึ้นๆ ลงๆ

มีหลายครั้งที่ความโกรธมันมีขึ้นมา จะคอยถามตัวเองว่าเรากำลังโกรธอะไรอยู่ แล้วเวลาที่เราโกรธ เขาจะรู้ไหม มันจะได้อะไรขึ้นมา ในที่สุดเราก็หายโกรธได้เอง ความที่เราไม่ใช่นักปฏิบัติ จึงอธิบายไม่ได้ว่าธรรมะที่เรานำมาใช้มันเป็นข้อไหน แต่เรารู้สึกว่าได้นำธรรมะมาใช้กับชีวิตตลอดเวลา”


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 112 มีนาคม 2553 โดย พรพิมล)



กำลังโหลดความคิดเห็น