วาจานุสรณ์ (ต่อ)
พระอนุรุทธะ เป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่กล่าวถ้อยคำไว้มากตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น พระสังคีติกาจารย์ได้รวบรวมไว้ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวดังต่อไปนี้
พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว
เสด็จมาหาเราด้วยกายทิพย์ที่ทรงเนรมิตขึ้น
ทรงแสดงธรรมขั้นสูงให้เราฟัง
พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมไม่ทำให้เนิ่นช้า
ทรงแสดงธรรมไม่ทำให้เนิ่นช้านั้นแก่เรา
ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น
เราเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว จึงทำให้ยินดีในพระศาสนา
เราปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอนจนได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำตามเสร็จสิ้นแล้ว
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เพื่อเป็นการปรารภถึงการปฏิบัติธรรมของท่าน ที่ปาจีนวังสมิคทายวัน ในแคว้นเจตี
เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว
และ ๒๕ ปีแรกนั้นเราไม่ยอมหลับเลย
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เพื่อเป็นการอ้างถึงการบำเพ็ญเพียรของท่าน ให้บรรดาศิษย์ได้ทราบ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า พระเถระถือการนั่งอย่างเดียวไม่ยอมนอน และไม่ยอมเอนกายพิงอะไรเลยมาเป็นเวลา ๕๕ ปี นับแต่วันบวชและ ๒๕ ปีแรกนั้นท่านจะไม่ยอมงีบหลับแม้แต่น้อย แต่มา ๒๕ ปีหลัง ท่านจะหลับบ้างในยามสุดท้าย เพราะร่างกายเหนื่อยอ่อนมากเนื่องจากชรา
ขณะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยุดหายใจแล้ว
แต่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เพราะทรงตั้งพระทัยกำหนดนิพพานเป็นอารมณ์
ต่อจากนี้จึงจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา อันเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เนื่องจากมีพระถามว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วหรือยัง ท่านเข้าผลสมาบัติตามพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงหยุดหายใจ นั้น เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเข้าจตุตถฌานแล้ว ทันทีที่ทรงออกจากจตุตถฌานก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระเถระก็ได้กล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยพระทัยเบิกบาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านิพพาน ก็เหมือนกับดวงไฟดับ
พระทัยก็หลุดพ้นอย่างวิเศษ
เจตสิกธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าดับลงแล้วในบัดนี้เอง
และเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
เจตสิกธรรมเหล่าอื่นก็จักไม่มีอีกต่อไป
คราวหนึ่ง เทพธิดาชื่อ “ชาลินี” เข้ามาหาท่าน แล้วเชิญชวนให้ท่าน กลับไปเกิดเป็นเทวาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก ว่ากันว่านางเทพธิดานี้เคยเป็นบาทบริจาริกเก่าของท่าน ครั้งที่ท่านเกิดเป็นเทวดา เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นางจำได้และเห็นว่าท่านชรามากแล้ว จึงมาหาแล้วเชิญชวนให้ท่านกลับไปเกิดที่เก่าด้วยความรัก พระเถระจึงกล่าวตอบไปว่า
ชาลินี นับแต่นี้ไป อาตมาจะไม่กลับไปเกิดอยู่ในหมู่เทวดาอีกแล้ว อาตมาละการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว การเกิดใหม่จะไม่มีอีกต่อไป
เทพธิดาได้ฟังดังนั้นแล้วรู้สึกผิดหวังจึงกลับไป
มนุษย์โลก เทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก มีเป็นพัน
ภิกษุใดรู้แจ้งได้ชั่วเวลาครู่เดียว
ภิกษุนั้นถือว่าเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์
รู้แจ้งการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมจะเห็นเทวดาได้ทุกเมื่อ
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ต่อจากเมื่อกล่าวแก่เทพธิดา เพื่อขจัดความ สงสัยของบรรดาศิษย์ที่ไม่เห็นเทพธิดา และคิดว่าท่านกล่าวเพ้อเจ้อ
จากนั้นพระเถระได้กล่าวถึงอดีตชาติของท่านหลายต่อหลายชาติ นับตั้งแต่เกิดเป็นคนหาบหญ้าชื่ออันนภาระ ซึ่งได้พบพระปัจเจกพุทธ-เจ้าอุปริฏฐะ รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ สุดท้ายพระเถระได้กล่าวถึงการนิพพานของท่านว่า
เราผู้ไม่มีอาสนะ ถึงคราวสิ้นชีวิตก็จักนิพพาน
ณ ใต้กอไผ่ ใกล้หมู่บ้านเวฬุวะแคว้นวัชชี
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 111 กุมภาพันธ์ 2553 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระอนุรุทธะ เป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่กล่าวถ้อยคำไว้มากตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น พระสังคีติกาจารย์ได้รวบรวมไว้ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวดังต่อไปนี้
พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว
เสด็จมาหาเราด้วยกายทิพย์ที่ทรงเนรมิตขึ้น
ทรงแสดงธรรมขั้นสูงให้เราฟัง
พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมไม่ทำให้เนิ่นช้า
ทรงแสดงธรรมไม่ทำให้เนิ่นช้านั้นแก่เรา
ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น
เราเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว จึงทำให้ยินดีในพระศาสนา
เราปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอนจนได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำตามเสร็จสิ้นแล้ว
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เพื่อเป็นการปรารภถึงการปฏิบัติธรรมของท่าน ที่ปาจีนวังสมิคทายวัน ในแคว้นเจตี
เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว
และ ๒๕ ปีแรกนั้นเราไม่ยอมหลับเลย
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ เพื่อเป็นการอ้างถึงการบำเพ็ญเพียรของท่าน ให้บรรดาศิษย์ได้ทราบ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า พระเถระถือการนั่งอย่างเดียวไม่ยอมนอน และไม่ยอมเอนกายพิงอะไรเลยมาเป็นเวลา ๕๕ ปี นับแต่วันบวชและ ๒๕ ปีแรกนั้นท่านจะไม่ยอมงีบหลับแม้แต่น้อย แต่มา ๒๕ ปีหลัง ท่านจะหลับบ้างในยามสุดท้าย เพราะร่างกายเหนื่อยอ่อนมากเนื่องจากชรา
ขณะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยุดหายใจแล้ว
แต่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เพราะทรงตั้งพระทัยกำหนดนิพพานเป็นอารมณ์
ต่อจากนี้จึงจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา อันเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เนื่องจากมีพระถามว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วหรือยัง ท่านเข้าผลสมาบัติตามพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงหยุดหายใจ นั้น เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเข้าจตุตถฌานแล้ว ทันทีที่ทรงออกจากจตุตถฌานก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระเถระก็ได้กล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยพระทัยเบิกบาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านิพพาน ก็เหมือนกับดวงไฟดับ
พระทัยก็หลุดพ้นอย่างวิเศษ
เจตสิกธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าดับลงแล้วในบัดนี้เอง
และเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
เจตสิกธรรมเหล่าอื่นก็จักไม่มีอีกต่อไป
คราวหนึ่ง เทพธิดาชื่อ “ชาลินี” เข้ามาหาท่าน แล้วเชิญชวนให้ท่าน กลับไปเกิดเป็นเทวาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก ว่ากันว่านางเทพธิดานี้เคยเป็นบาทบริจาริกเก่าของท่าน ครั้งที่ท่านเกิดเป็นเทวดา เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นางจำได้และเห็นว่าท่านชรามากแล้ว จึงมาหาแล้วเชิญชวนให้ท่านกลับไปเกิดที่เก่าด้วยความรัก พระเถระจึงกล่าวตอบไปว่า
ชาลินี นับแต่นี้ไป อาตมาจะไม่กลับไปเกิดอยู่ในหมู่เทวดาอีกแล้ว อาตมาละการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว การเกิดใหม่จะไม่มีอีกต่อไป
เทพธิดาได้ฟังดังนั้นแล้วรู้สึกผิดหวังจึงกลับไป
มนุษย์โลก เทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก มีเป็นพัน
ภิกษุใดรู้แจ้งได้ชั่วเวลาครู่เดียว
ภิกษุนั้นถือว่าเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์
รู้แจ้งการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมจะเห็นเทวดาได้ทุกเมื่อ
พระเถระกล่าวถ้อยคำนี้ต่อจากเมื่อกล่าวแก่เทพธิดา เพื่อขจัดความ สงสัยของบรรดาศิษย์ที่ไม่เห็นเทพธิดา และคิดว่าท่านกล่าวเพ้อเจ้อ
จากนั้นพระเถระได้กล่าวถึงอดีตชาติของท่านหลายต่อหลายชาติ นับตั้งแต่เกิดเป็นคนหาบหญ้าชื่ออันนภาระ ซึ่งได้พบพระปัจเจกพุทธ-เจ้าอุปริฏฐะ รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ สุดท้ายพระเถระได้กล่าวถึงการนิพพานของท่านว่า
เราผู้ไม่มีอาสนะ ถึงคราวสิ้นชีวิตก็จักนิพพาน
ณ ใต้กอไผ่ ใกล้หมู่บ้านเวฬุวะแคว้นวัชชี
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 111 กุมภาพันธ์ 2553 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)