xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดื่มน้ำองุ่นช่วยปกป้องความจำ

นักวิจัยจากแผนกจิตเวช มหาวิทยาลัยซินซินเนติ สหรัฐฯ ได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 12 คน อายุ 75-80 ปีที่เริ่มสูญเสียความจำ โดยแบ่ง ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินน้ำองุ่น พันธุ์คองคอร์ด เข้มข้น 100% อีกกลุ่ม กินน้ำองุ่นปลอม ทั้งสองกลุ่มต้องทำ การทดสอบความจำเป็นประจำตลอดช่วงเวลา 3 เดือน โดยเป็นการทดสอบ ภารกิจทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับคำ อาทิ การท่องรายชื่อต่างๆ หรือการจำตำแหน่งของสิ่งของ พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำองุ่นเป็นประจำมีความจำดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาการทดลอง ดร.โรเบิร์ต เคอร์โคเรียน แกนนำการศึกษากล่าวว่า “หลังการทดลอง เราพบ ว่ากลุ่มตัวอย่างที่ดื่มน้ำองุ่นคองคอร์ดสามารถเรียนรู้ในการจดจำคำต่างๆ ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน และแนวโน้มนี้บ่งชี้ถึงพัฒนาการในปกป้องความจำช่วงสั้นและความจำเกี่ยวกับตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำพูด”

การศึกษานี้ช่วยสนับสนุนทฤษฎีที่ ว่าอาหารและเครื่องดื่มที่อุดมด้วยสาร ต่อต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยปกป้อง การทำงานของสมอง และชะลอการสูญเสียความจำได้

พบความเหงาปลุกเร้ามะเร็งเต้านม

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ ศึกษาผลกระทบจากความเหงาหรือ การโดดเดี่ยวทางสังคมของหนูตัวเมียที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อให้เป็น มะเร็งเต้านม ผลศึกษาพบว่าหนูที่ถูกแยกขังตัวเดียวมีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่พบทั่วไปในผู้หญิงมากกว่า หนูที่อยู่ในกรงกับตัวอื่นๆ ถึง 3.3 เท่า นอกจากนั้น เนื้อร้ายของหนูที่อยู่ตัวเดียว ยังมีขนาดใหญ่กว่าและเพิ่มจำนวน มากกว่า โดยรวมแล้วหนูที่อยู่ตัวเดียว มีเนื้อเยื่อมะเร็งมากกว่าตัวอื่น 84 เท่า และมะเร็งลุกลามไปยังเกือบทุกส่วนของเต้านม

ที่สำคัญคือ มีแนวโน้มว่าการลุกลาม ของมะเร็งถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนความ เครียดมากกว่าฮอร์โมนเพศที่ปกติแล้วเป็นตัวกระตุ้นมะเร็งเต้านม และหนูที่แยกอยู่ตัวเดียวใช้เวลาในการหายจากสถานการณ์ความเครียดนานกว่าหนูตัวอื่นๆ

ศาสตราจารย์มาร์ธา แม็กคลินท็อก แกนนำการวิจัย กล่าวว่าผลศึกษานี้บ่งชี้ ถึงความจำเป็นในการระบุเป้าหมายเพื่อหาวิธีบำบัดมะเร็งและปัจจัยเสี่ยงด้านจิตวิทยาและสังคม

นักวิจัยมากมายเตือนว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่หรือโรคอ้วน เพราะการถูกตัดขาดจากเพื่อนและครอบครัวทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เครียด และเสี่ยงที่จะมีอาการซึมเศร้า ซ้ำยังทำให้ระบบภูมิคุ้ม กันอ่อนแอ จึงเสี่ยงต่อโรคนี้

พริกช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก

ความเผ็ดของพริกเกิดจากสาร “แคปไซซิน” ที่มีอยู่ในพริก ซึ่งมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าสารที่สร้างความเผ็ดนี่เอง ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดการทำลายตัวเองได้

จากรายงานการวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Research ระบุว่านักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ร่วมกันศึกษาได้ออกมารายงานผลการวิจัยพบว่า แคปไซซิน จะไปกระตุ้นเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากที่เพาะเลี้ยงในหนู เกิดกระบวนการทำลายตัวเองถึง 80%

น.พ.ซอเรน เลห์มันน์ จากศูนย์การแพทย์ Cedars-Sinai Medical Center และมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ University of California Los Angeles School of Medicine ได้รายงานว่าสารแคปไซซินจากพริกจะมีฤทธิ์ไปยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคน ที่นำไปปลูกถ่ายในหนูทดลอง ซึ่งให้รับประทานสารสกัดแคปไซซิน

อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้นี้ยังเป็นเพียงผลที่เกิดในห้องทดลองเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ยืนยันว่าคนที่รับประทานพริกมากๆแล้วจะเกิดผลเช่นเดียวกัน คงต้องรอการวิจัยที่จะมาช่วยยืนยันในเรื่องนี้กันต่อไป

“ผลไม้” กินดียามท้องว่าง

หลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับการกินผลไม้ปิดท้าย หลังจากที่อิ่มหนำกับอาหาร คาว แต่ถ้าจะกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดแล้วละก็ ต้องกินตอนท้องว่าง โดยเฉพาะตอนเช้าๆ หรือกินแทนมื้อเช้าเลยยิ่งดี เพราะการกินผลไม้ในขณะท้องว่าง มีข้อดี คือ

ประการแรก ร่างกายจะดูดซึมวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆจากผลไม้ไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ประการที่ 2 ผลไม้จะช่วยให้ร่างกายกวาดล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญก็คือ กระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ต้องเหนื่อยแรงย่อยผลไม้ เพราะในตัวผลไม้มีเอ็นไซม์ที่เป็นประโยชน์และย่อยตัวเองได้อยู่แล้ว ส่วนกากผลไม้ที่หลงเหลือก็ยังช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย

แต่ถ้ากินผลไม้พร้อมๆอาหาร หรือกินตบท้ายหลังอาหาร ผลไม้จะถูกกักรวมอยู่กับอาหารอื่นๆ และโดนน้ำย่อยของกระเพาะกับลำไส้นานเกินไป อาจทำให้เอ็นไซม์ที่มีประโยชน์สูญเสียได้

เพราะฉะนั้นการกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรจะกินตอนท้องว่าง แต่ที่สำคัญคือต้องเลือกกินแต่ผลไม้สดเท่านั้น พวกผลไม้เชื่อมหรือผลไม้หมักดอง จะมีคุณค่าน้อยกว่า แถมยังมีสารเคมีซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย

กินกะเพราแก้ฉุนเฉียว

รศ.พร้อมจิตต์ ศรลัมภ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะกินกะเพราเป็นประจำ มีน้ำมันหอมระเหยสรรพคุณขับลม ช่วยย่อย จมูกโล่ง ขับเสมหะ นำใบสดมาเคี้ยววันละ 2-3 ใบทำให้ลมหายใจสดชื่น หรือนำใบกะเพราะตากแห้ง ชงน้ำดื่มผสมกับชาเขียวหรือชาธรรมดาและดอกคาโมมายด์ จะช่วยลดความเครียด

ต้นกะเพรา มีอยู่ 2 ชนิดคือ กะเพราขาวและกะเพราแดง โดยกะเพราแดงมีกลิ่นแรงกว่า เพราะมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยมากกว่า
ผู้ป่วยบางโรคที่ควรรับประทานกะเพราเป็นพิเศษ ได้แก่ อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีอาการหวัด ไอ คลื่นไส้อาเจียน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอด เลือด เครียด นอนไม่หลับ โดยเหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นเบาหวานระดับเพิ่งเริ่มเป็น ถ้ารับประทานกะเพราเป็นประจำจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้นเล็กน้อย

มีการวิจัยหลายชิ้นพบว่า กะเพราสามารถลดอารมณ์ที่ฉุนเฉียวลงได้ ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งมีการทดลองในหนู โดยนำมาว่ายน้ำ เพื่อสร้างความเครียด ถ้าหากว่ายไปแล้วหยุดนิ่งแสดงว่าหนูหมดหวังในชีวิต นักวิจัยได้ใช้สารสกัดกะเพราให้กิน พบว่ากะเพราทำ ให้หนูว่ายน้ำได้ดีขึ้น แสดงว่าอารมณ์หมดหวังในชีวิตลดลง

นอกจากนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับใบกะเพรา ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมาจะเน้นในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดอนุมูลอิสระ รวมทั้งลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ผู้ที่ปวดข้อ ปวดเข่ารับประทานกะเพราจะช่วยให้อาการบรรเทาได้

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 111 กุมภาพันธ์ 2553 โดยธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น