xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : กรรมที่แก้ไม่ได้ ของ ‘ก้อง’ ปิยะ เศวตพิกุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามสิ่งที่ ก้อง ‘ปิยะ เศวตพิกุล’ นักแสดงและเจ้าของบริษัทโซนิกซ์ ยูธ1999 จำกัด อธิฐานขอ สำหรับชีวิต ณ เวลานี้คือ
หนึ่ง ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สองขอให้งานที่เขามีโอกาสถวายการรับใช้พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ตามที่ทรงมีพระดำริ บูรณะปฏิสังขรณ์ วัดธาราทิพย์ชัยประดิษฐ์ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และทรงออกแบบภาพจิตรกรรมฝาผนังให้กับพระวิหาร วัดหนองน้ำขุ่น อ.แกลง จ.ระยอง สำเร็จลุล่วงตามพระประสงค์ และสามขอให้ครอบครัวของเขาที่ประกอบด้วย คุณพ่อ ตัวเขาเอง และน้องสาว มีความสุข
และหากสามารถอธิษฐานขออะไรได้มากกว่านั้น เชื่อแน่ว่า เขาน่าจะขอให้ชีวิตมีโอกาสแก้ตัวทำในสิ่งที่ทำให้คุณแม่ของเขา ที่เวลานี้ท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว สบายใจและรับรู้ได้ถึงความรักที่เขามีต่อท่าน
เพราะในครั้งที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ มีหลายครั้งที่เขาปฏิบัติต่อท่านในฐานะ ลูกดื้อ มองผ่านความรักและความห่วง ใยที่ท่านมีให้เสมอ จนมารู้ตัวอีกที สิ่งดีๆที่คิดอยากจะทำเพื่อท่าน กลับสายไปเสียแล้ว
ในเวลาที่ได้เห็นลูกบ้านอื่นดื้อ และทำกิริยาที่ไม่ดีกับพ่อแม่ เขามักจะย้อนนึกถึงอดีตของตัวเองเสมอ เพราะบ่อยครั้งที่เขาตอบแทนแม่ ผู้นั่งรอเขากลับบ้านในตอนดึกๆ และคอยตักเตือนในเรื่องต่างๆ ด้วยอารมณ์ที่ฉุน เฉียว พร้อมคำพูดที่ว่า “ไม่ต้องรอ” “โตแล้ว”
แม้ในอดีตการกระทำของเขาต่อบุพการี จะไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นถูกประณามจากคนรอบข้าง แต่สำหรับเขาแล้ว การเป็นลูกที่ได้ชื่อว่านำความกังวลใจมาให้พ่อแม่แม้เพียง เล็กน้อย ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ และถือเป็นบาปได้เช่นกัน
“สมัยก่อนผมเคยเฮี้ยวกับแม่ไว้เยอะ ดื้อกับแม่ แล้วก็ไม่ค่อยได้ให้เวลากับท่าน ถ้าอารมณ์เสียก็จะอารมณ์เสียมาก ซึ่งมาคิดได้ทีหลัง ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี นับถึงเวลา นี้คุณแม่เสียไปแล้ว 5 ปี ผมไม่สามารถแก้ตัวได้อีกแล้ว คิดอยู่ตลอดเวลาว่า เราน่าจะทำสิ่งดีๆให้คุณแม่ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ให้ท่านรับรู้ในสิ่งที่เราทำ
เวลานี้ถึงจะทำบุญให้ท่านเยอะแค่ไหน ก็ยังไม่รู้สึกถึงความอิ่มเอมใจอย่างแท้จริง เหมือนเราทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเรามากกว่า แต่ข้างในเรายังรู้สึกตลอด ว่าเราน่าจะทำให้ท่านเมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะดีกว่า นี่เองที่เขาเรียกกันว่า นรกมันอยู่ในใจ พอเรารู้สึกอ่อนแอ หรือเรารู้สึกทุกข์ ความรู้สึกแย่เพราะเราเคยดื้อกับแม่ มันจะแว้บเข้ามาในชีวิต ในจิตใจของเราเอง”
ช่วงเวลาที่คุณแม่ล้มป่วยลง และ 48 วัน ก่อนที่ท่านจะจากไป เขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะยื้อชีวิตของท่านไว้ ไม่ว่าใครจะแนะนำให้ทำอะไร หรือแก้กรรมด้วยวิธีไหน เขาได้ลองทำตามมาแล้วทั้งสิ้น ด้วยถูกความกลัวต่อการสูญเสียคุก คามจิตใจทีละเล็กละน้อย
และท้ายที่สุดเมื่อชีวิตต้องประจันหน้ากับความสูญเสียอย่างแท้จริง เขาจึงได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่า กรรมเป็นสิ่งที่แก้กันไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือการเริ่มต้นใหม่ และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“ผมเชื่อว่าคนเราทำอะไรไว้ก็จะได้ในสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวเรา กรรมที่เราเคยทำก็ยังติดตามเราอยู่ เพียงแต่เราต้องพยายามทำบุญ ทำความดีเยอะๆ เพื่อให้กรรมที่ไม่ดี จะได้ตามกรรมดีของเราไม่ทัน”
โดยส่วนตัวผมจึงไม่ค่อยเชื่อเรื่องการแก้กรรม แต่เชื่อเรื่องการทำความดี เพราะก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมเคยทำพิธีแก้กรรมมาเยอะแยะ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ไปขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงนั้นตรงนี้ ลองปั้นตุ๊กตาไปถวายก็ ทำ ใครบอกให้ทำพิธีอะไรก็ไปทำหมด แต่ก็ไม่เป็นผล”

สำหรับนักแสดงผู้นี้การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจึงถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ที่ผ่านเข้ามาทดสอบความ เข้มแข็งของจิตใจ
“ปัญหาที่หนักที่สุดก็คือช่วงที่คุณแม่เสียนั่นแหละรู้สึกเศร้าที่สุดในชีวิต
ช่วงเวลาของการทำใจอยู่นั้น สิ่งที่ทำให้ชีวิตเข้มแข็งขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะคำสั่งสอนของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านบอกท่านสอนว่า แม่อยู่ในตัวเรา เพราะว่าตัวเราเกิดมาจากแม่ ถ้าเราทำดี แม่ก็จะได้ในสิ่งที่ดีนั้นด้วย”
กำลังใจจึงมีเกิดขึ้น และมุ่งมั่นที่จะพาคาราวานชีวิตดำเนินไปตามแนวทางที่ว่า
“ทำวันนี้ให้ดีที่สุด โดยพยายามที่จะดูแลสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุด ไม่พยายามไปโกงใคร เบียดเบียนใคร ทำร้ายใคร อิจฉาใคร เพราะความอิจฉา มันทำร้ายตัวเราเอง และการที่เรารู้สึกในด้านลบมากๆ จิตใจก็จะพลอยไม่ดีด้วย”
หรือแม้แต่การงานหาเลี้ยงชีพในปัจจุบันก็ต้องยึดหลัก สร้างงานคุณภาพแลกผลตอบแทนแต่พอควร
“เราต้องซื่อสัตย์กับงานที่เราทำ หวังผลกำไรเท่าที่เราพอจะจัดการมันได้ ไม่ได้หวังว่าต้องได้กำไรมโหฬาร แต่ทำงานให้คุ้มกับที่ลูกค้าไว้วางใจ
ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็อยากประสบความสำเร็จในการทำงาน และอยากได้รับการยอมรับ แต่เราต้องทำวันนี้ให้ดีก่อน ทำงานที่ดีออกมาก่อน คนถึงจะรู้สึกว่าอยากจะทำงานกับเรา”
ด้วยงานที่ทำอยู่ซึ่งมีทั้งงานแสดงและงานประจำ ไม่เอื้อต่อการไปปฏิบัติธรรมดังเช่นนักแสดงคนอื่นๆ บ่อยครั้งที่ชีวิตพบอุปสรรค เขามักจะได้รับคำแนะนำดีๆจากเพื่อนนักแสดงที่คบกันมาหลายสิบปีและถือเป็นกัลยาณมิตรคนสำคัญ อย่าง “ท็อป” ดารณีนุช โพธิปิติ ซึ่งเธอผู้นี้มักจะใช้ธรรมะของพระพุทธศาสนาที่เธอ เคยนำมาปรับใช้กับชีวิตและครอบครัวของตัวเองจนเกิดเป็นผล ชี้ทางสว่างให้แก่เขา
“จริงๆแล้วการที่เราทำใจของเราอยู่ที่บ้าน มีความรู้สึกดีๆอยู่ที่บ้าน มันก็เหมือนเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ขอเพียงให้จิตของเรามีสมาธิและรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังโกรธใครอยู่ หรือกำลังมีความสุขกับการทำงาน ถ้าเราทำได้ มันก็เหมือนกับเรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่เหมือนกันนะ”

(จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 104 กรกฎาคม 52 โดยพรพิมล)
กำลังโหลดความคิดเห็น