นายกฯ สั่งเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลในวันนี้ หลังหารือฝ่ายความมั่นคง เพื่อลดความขัดแย้ง พร้อมวอนยุติจาบจ้วง-แอบอ้างสถาบัน เผยตรวจสอบกรณี “แม้ว” ให้สัมภาษณ์ละเมิดในหลวงผ่านสื่อนอกแล้ว ยืนยัน “นักโทษชาย” พูดไม่จริง หวังสังคมไทยหมดความรุนแรง-ไร้คนจาบจ้วง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างอภิปรายในที่ประชุมร่วมกันของสองสภา เมื่อช่วงหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมาว่า เพื่อเป็นการลดความขัดแย้ง จากการแสดงความคิดเห็นของหลายๆ ฝ่ายที่กังวลต่อบรรยากาศการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ตนจึงได้เร่งหารือกับฝ่ายความมั่นคง และตัดสินใจแล้วว่า จะยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.)
ต่อมานายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ขอความกรุณาทุกท่านที่ต่างก็ยืนยันถึงความจงรักภักดีให้ช่วยกัน เรื่องการจาบจ้วง การแอบอ้างต้องยุติด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย และจำเป็นต้องพูดพาดพิงเล็กน้อยเนื่องจากอดีตนายกฯ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ) ได้พูดต่อเนื่องมาหลายวัน ยังคงมีการพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ไปไกลเลย โดยอ้างว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงการวางแผนรัฐประหาร 19 ก.ย. โดยมีการเข้าเฝ้าฯ ขององคมนตรี 3 ท่าน
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ในฐานะเป็นรัฐบาล จำเป็นต้องตรวจสอบ และได้ตรวจสอบแล้วกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอยืนยันว่าสิ่งที่อดีตนายกฯ พูดไม่เป็นความจริง และจะขอความกรุณาว่าเมื่อเราหันหน้าเข้าหากัน ในส่วนของพวกเรากันเองที่จะไปพาดพิงหรือ ร้ายกว่านั้นในลักษณะของการจาบจ้วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นต้องหยุด และไม่สนับสนุน
ส่วนที่เพื่อนสมาชิกอีกซีกหนึ่งอ้างว่ามีการแอบอ้างจากบางฝ่าย เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อมีการอภิปรายถึงการรณรงค์ปกป้องสถาบัน โดยมีเสื้อสีน้ำเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้วว่าการรณรงค์ปกป้องสถาบันต้องไม่มีสี เพราะทุกสีต้องปกป้องสถาบันด้วยกันทั้งสิ้น
ประเด็นต่อมาเรื่องความรุนแรง ซึ่งเชื่อว่าพี่น้องที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ และที่ทุกคนพยายามบอกว่าเหตุความรุนแรงทั้งหลายที่พัทยา รถแก๊ส ที่ซอย 5 ซอย 7 ก็ตาม ไม่ใช่การกระทำของผู้ชุมนุมนั้นแสดงว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง
นอกจากนี้ ไม่ใช่แกนนำทุกคนที่ยึดแนวทางนี้ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายจักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่าต่อไปนี้การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมอาจจะใช้อาวุธ จึงขอความกรุณาว่า ถ้าเราจะหันหน้าเข้าหากัน ทุกคนทุกพรรคในที่นี้ต้องบอกว่าไม่ยอมรับ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็ง่ายต่อการทำงานร่วมกัน เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกกังวลต่อไปเพราะเรื่องที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด เรื่องสถาบันก็ดี ความรุนแรงก็ดี ไม่มีอีกแล้ว การชุมนุมหรือการแสดงออกถึงความแตกต่างด้านความคิดเห็นทางการเมืองทำได้เต็มที่ ทุกฝ่ายจะมีความสบายใจ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ได้ติดตามการเคลื่อนไหวในช่วงก่อนและหลังการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงบอกว่าไม่อยากให้คนจำนวนมากที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ มาต่อต้านความไม่เป็นธรรมตามความรู้สึกของเขา ถูกชี้นำโดยคนจำนวนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งพร้อมจะใช้ความรุนแรง มีการประกาศเป็นแผน ด้านหนึ่งจะใช้ความรุนแรงให้เกิดความไร้ระเบียบ เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ หรือในทางกลับกันให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อนำไปสู่ปัญหาที่จะตามมากับรัฐบาล
“ทำกันหมดละครับ ผมก็เห็นแผนชัด กังวลเลยครับ เพราะขนาดหมอดูยังฟันธงว่าผมวาสนาหมดแล้ว จึงอยากจะกราบเรียนว่าถ้าเราออกจากกรอบตรงนี้ไปได้ ผมว่าเราเดินได้”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 2 เรื่องที่จะดำเนินการต่อ คือ เรื่องของการประมวลพิสูจน์เหตุการณ์ก็ดี การแก้ไขกฎหมายใดๆ ที่ไม่เป็นธรรมก็ดี ก็ทำไป ขณะเดียวกันก็ขอโอกาสให้กับประเทศ แก้ตัวจัดประชุมอาเซียนให้สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้ ในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเรา และให้เวลาอีกสักระยะในการออกมาตรการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ นี่คือประโยชน์ของทุกฝ่าย
นอกจากนี้ อยากจะกลับไปทำหน้าที่นักการเมืองได้ ทำไมตนจะไม่อยากไปเชียงใหม่ เพราะตอนนี้การท่องเที่ยวกระทบมหาศาล อยากไปดูศูนย์ประชุม หาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ และลำไยก็กำลังมีปัญหา ทำไมตนจะไม่อยากไปอีสาน เพราะรู้ว่าเรื่องใหญ่ในอีสานคือเรื่องน้ำจะเป็นโครงการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำไมจะไม่อยากให้ ส.ส.ฝ่ายค้านอยากจะลงตรวจสอบพื้นที่ไหนก็ลงไปได้ ทำหารเมืองกลับมาเป็นนี้ หลังจากนั้นก็จะปูทางไปสู่การเลือกตั้งก็ไม่มีปัญหา
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะถือว่าเราได้ใช้ก้าวสำคัญผ่านยกระบวนการของรัฐสภาใน 2 วันนี้ เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนมา ตนเข้ามาทำงานการเมือง เพราะมีเป้าหมายเพียงเพื่อทำงานเพื่อประชาชน และมีความสุขกับการทำงาน แต่จะมีความสุขได้อย่างไรถ้าบ้านเมืองของเรายังมีความขัดแย้งกันเอง ยังมีความรุนแรงอยู่ และไม่เคยให้ความสำคัญว่าจะอยู่ในตำแหน่งนานแค่ไหน แต่เมืองไทยมีคนเก่งคนดีจำนวนมาก ต้องไม่สำคัญผิดว่าต้องเป็นเราเท่านั้น ที่จะทำได้ แต่ตนจะถือว่าเมื่อทำหน้าที่ใดแล้วก็ทำให้ดีที่สุด
นายอภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า 2 วันที่ผ่านมามีการกระทบกระทั่งกันบ้าง จนหลายคนกังวลว่าจะเวทีสภายิ่งเพิ่มขัดแย้ง แต่ตนเห็นว่าไม่ใช่ เพราะการได้แสดงความรู้สึก เอาสิ่งที่อยู่ในใจออกมาไว้ข้างนอก ก็ปล่อยผ่านไปแล้ว ไม่เก็บเอามาเป็นอารมณ์ และขอเสนอให้ประธาน และประธานวิปทั้ง 3 ฝ่ายนำไปพิจารณาถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของสถาบันแห่งนี้ที่จะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาต่อไป
ต่อมา นายวิทยา บูรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านได้ลุกขึ้นอภิปรายสั้นๆ ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยทุกคนมีความจงรักภักดี ส่วนเรื่องข่าวที่นายกฯ พูดถึงนั้น พวกตนก็ทราบเพราะติดตามตลอด แต่ไม่อยากให้นำเรื่องการจาบจ้วงสถาบันมาพูดในที่นี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่นอกประเทศ และขอให้เห็นใจพวกตนที่เคยอยู่พรรคไทยรักไทยบ้าง ส่วนเรื่องของนายจักรภพนั้นถือว่าเป็นคนนอกพรรค และตนก็เคยให้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับนายจักรภพแล้ว
หลังจากนั้น นายชัย ชิดชอบ ประธานในที่ประชุมได้สั่งปิดการประชุมในเวลาประมาณ 01.00 น. และนัดประชุมอีกครั้ง วันจันทร์ที่ 27 เม.ย. เวลา 10.00 น. โดยมีวาระพิจารณาที่สำคัญคือกรอบการตกลงตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ