xs
xsm
sm
md
lg

กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฏก : พูดใส่ร้ายป้ายสี ตกอเวจีมหานรก !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นความจริงที่ว่า ความดีย่อมเป็นความดีอยู่วันยังค่ำ เพชรย่อมเป็นเพชร ถึงแม้จะตกอยู่ที่ไหนก็ย่อมเป็นเพชรอยู่นั่นเอง ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ การเป็นคนดีก็เช่นเดียวกัน เราจะทำเพียงเสแสร้งแกล้งทำไม่ได้ ต้องทำออกมาจากจิตใจของเราจริงๆ หากเราเพียงแสร้งแกล้งทำ สักวันหนึ่งพฤติกรรมชั่วๆ ก็ย่อมหลุดออกมาให้คนอื่นเห็นอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน คนที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ใจ หากเจออุปสรรคก็ไม่ควรที่จะท้อแท้ท้อถอยในการทำความดี ต้องเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ หากเรามั่นใจอย่างนี้ ก็จะทำให้การทำความดีของเรานั้น มีพลังแรงกล้าที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้ ดังเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่เผชิญกับการใส่ร้ายป้ายสี ต่อไปนี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนจำนวนมาก เมื่อพระองค์เดินทางไปที่ใดก็จะมีลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย ประชาชนได้นำอาหารหวานคาวต่างๆ มาถวายพระองค์และพระภิกษุสงฆ์ ทำให้พวกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลายเสื่อมลาภสักการะ ไม่มีใครเอาอาหารหวานคาวไปถวายเหมือนเช่นที่เคยเป็น พวกเดียรถีย์จึงประชุมปรึกษาหารือกันว่า ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก พวกเราก็เสื่อมลาภสักการะ จะทำอย่างไรกันดีหนอ จะไปรวมกลุ่มกับใครที่จะพอมีพลังต่อกรกับพระพุทธเจ้าได้บ้าง พวกเราต้องช่วยกันหาทางกำจัดพระพุทธเจ้า ทำทุกวิถีทางที่จะให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา และให้หันกลับมาศรัทธาพวกเราเหมือนเดิมให้ได้
หลังหารือกันเรียบร้อยแล้ว พวกเดียรถีย์ก็มีความเห็น ร่วมกันว่า ต้องร่วมมือกับนางสุนทรี เพราะนางยังศรัทธา ในพวกเดียรถีย์อยู่ และนางยังเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก คงจะหาทางใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธเจ้า ได้อย่างแน่นอน
นางสุนทรีได้รับปากพวกเดียรถีย์ที่จะหาทางใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เพื่อให้หมดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า จึงถือดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ การบูรและของเผ็ดร้อนต่างๆนานา ไปที่วัดพระเชตวัน ทำทีเหมือนไปทำบุญ เวลาที่ประชาชนพากันฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วกำลังกลับบ้าน นางก็จะเดินสวนทางเข้าไปที่วัด ให้เป็นเหมือนว่า นางพักอาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้
พวกประชาชนที่เห็นนางไปวัดตอนเย็นเช่นนั้น จึงพากันสอบถามว่าจะไปไหน นางก็ตอบว่าไปสำนักของพระสมณโคดม และอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมด้วย แต่แท้จริงนั้น นางไปอยู่ในอารามแห่งหนึ่งของพวกเดียรถีย์ พอถึงเวลาเช้าก็รีบตื่นแต่เช้า เดินมาที่พระวิหารเชตวัน อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ทำให้คนทั่วไปเห็นว่านางออกมาจากกุฏิของพระพุทธเจ้าหรือนอนอยู่ที่กุฏิของพระพุทธเจ้าตลอดทั้งคืน นางสุนทรีพยายามทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำ จนชาวบ้านเริ่มเกิดความ สงสัยขึ้นมา
พวกชาวบ้านที่เห็นนางจึงพากันถามว่า ไปไหนมา นางก็บอกว่าตนอยู่ในกุฏิเดียวกันกับพระพระพุทธเจ้า นอนกับพระพุทธเจ้า สมสู่กับพระพุทธเจ้า เพิ่งจะกลับมาจากที่นั่น นางใส่ร้ายพระพุทธเจ้าอยู่เช่นนี้ เพื่อที่จะทำให้ชาวบ้านหมดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่นั้นเป็นกรรมอันหนักยิ่ง
เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเดียรถีย์ก็ซ้อนแผน โดยได้จ้างนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้วให้หมกไว้ที่กองขยะ หรือใกล้ๆ กับกุฏิของพระพุทธเจ้า พวกนักเลงจึงไปลอบ ฆ่านางสุนทรีและหมกไว้ตามแผนของพวกเดียรถีย์
หลังจากที่นางสุนทรีตายแล้ว พวกเดียรถีย์จึงแกล้งทำเป็นโวยวายขึ้นมาว่า
“พวกเราไม่เห็นนางสุนทรี” แล้วไปกราบทูลพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า พวกท่านสงสัยใครที่ไหนหรือไม่ ที่คิดว่าน่าจะเป็นคนฆ่านางสุนทรี พวกเดียรถีย์จึงกราบทูลว่า ตามปกติแล้วนางสุนทรีไม่คอยเดินทางไปไหน นอกจากไปพระวิหารเชตวันเท่านั้น นางจะอยู่ที่นั่นทั้งวัน แต่ไม่ทราบว่าขณะนี้จะยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า หรือว่าใครที่อยู่ในพระวิหารเชตวันจะทำร้ายนางหรือเปล่าก็ไม่รู้
พระราชาทรงทราบดังนั้น จึงต้องการที่จะทำความจริงให้กระจ่าง โดยได้อนุญาตให้พวกเดียรถีย์ไปตรวจค้นพระวิหารเชตวัน พวกเดียรถีย์ได้พาบริวารจำนวนมากเดินทางไปพระวิหารเชตวัน และได้กระจายกันออกตรวจค้นอย่างละเอียด ในที่สุดก็พบนางสุนทรีนอนตายอยู่ที่กองขยะ จึงได้พากันนำร่างของนางใส่เตียงกลับเข้าพระนคร และได้กราบทูลพระราชาว่า พระสาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในกองขยะเพื่อต้องการจะปิดปากนาง ที่ได้ทำกรรมชั่วร่วมกับพระพุทธเจ้า
พระราชาจึงตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงไปเที่ยวประกาศบอกเรื่องนี้ให้แก่ชาวพระนครทุกคนทราบ”
พวกเดียรถีย์จึงแอบกระยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ และได้ไป ประกาศให้ชาวเมืองทราบ หลังจากนั้นจึงพากันไปเฝ้าพระราชาอีกครั้งหนึ่ง พระราชามีรับสั่งให้นำศพของนางสุนทรีใส่แคร่และเก็บไว้ในป่าช้า ยังไม่ให้เผา
ชาวบ้านทั่วไปเมื่อได้ฟังเรื่องราวตามประกาศ ต่างก็พากันประณามการกระทำของพระพุทธเจ้า และเที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุสามเณรทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกพระนคร รวมทั้งพวกที่อยู่ในป่าช้า
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงโกรธเรื่องนี้ กลับตรัสบอก ภิกษุทั้งหลายว่า “พวกท่านทั้งหลายจงบอกชาวบ้านเหล่านั้นว่า ผู้มักพูดคำไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก หรือแม้ผู้ใดทำกรรมชั่วแล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้ามิได้ทำ คนเหล่านี้เป็น มนุษย์ที่เลวทราม ละไปในโลกอื่นแล้ว ย่อมเข้าสู่นรกด้วยกันทั้งนั้น”
ต่อมาไม่นานนัก พวกโจรที่รับจ้างฆ่านางสุนทรีนั่งดื่มเหล้ากันจนเมา แล้วเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น โจรคนหนึ่งได้พูดใส่หน้าเพื่อนของตนว่า “แกฆ่านางสุนทรีด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว แล้วเอาศพไปหมกไว้ในกองขยะ ไปรับเงินเขาแล้วก็เอามาซื้อเหล้ากิน” ทำให้คนทั้งหลาย ได้รู้ความจริง และไปบอกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจับนักเลง พวกนั้นไปหาพระราชา พระองค์จึงทรงสอบสวนจนได้ความว่า พวกอัญญเดียรถีย์เป็นคนจ้างให้ไปฆ่านางสุนทรี จึงมีรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มา แล้วตรัสแก่เดียรถีย์ว่า
“จงไปประกาศทั่วพระนครว่า นางสุนทรีนี้ถูกพวกข้าพเจ้าจ้างให้คนฆ่า เพราะต้องการใส่ความพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ผิด แต่พวกข้าพเจ้าเป็นคนผิดเอง เป็นคนทำเอง”
จากนั้นพระองค์ก็ทรงสั่งให้ประหารพวกนักเลงและพวกเดียรถีย์เหล่านั้นทั้งหมด ชาวเมืองที่เคยเข้าใจพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผิดๆ ก็หันมาศรัทธายิ่งกว่าเดิม ทำให้พระองค์และพระสงฆ์ทั้งหลายมีลาภสักการะเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย

จะเห็นว่าความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่นั่นเอง การแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรมนั้น ย่อมไม่สร้างความสุขให้กับผู้ที่ได้รับอย่างแท้จริง กลับจะเป็นการสร้างความทุกข์ให้กับตนเองทั้งในภพนี้และภพหน้า ชีวิตจะมีความสุขได้จะต้องดำเนินไปตามธรรมเท่านั้น กฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่ของมันเอง ที่จะจัดสรรชีวิตของคนแต่ละคนให้ได้รับผลตามที่ตนเองได้กระทำไว้ คนทำดีจึงไม่ควรท้อแท้ในการทำความดี และคนทำชั่วก็ควรที่จะละกรรมชั่วให้เด็ดขาด ก่อนที่กรรมชั่วจะทำลายชีวิตของตนเอง จนไม่สามารถที่จะแก้ไขได้

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 103 มิ.ย. 52 โดยมาลาวชิโร)
กำลังโหลดความคิดเห็น